รอรักเคียงใจ

-

เขียนโดย 0ilz

วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 21.31 น.

  9 บท
  0 วิจารณ์
  10.02K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2561 21.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ครูชีววิทยา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่1

ครูชีววิทยา

          มอเตอร์ไซค์บิ๊คไบค์คันใหญ่วิ่งฝ่าละอองหมอกบางๆ ที่ปกคลุมเส้นทางสัญจรในยามเช้าวันจันทร์อันไม่ค่อยจะสดใสนักของผู้ขับขี่ วันแรกของการทำงานในรอบสัปดาห์ส่งผลให้ท้องถนนคลาคล่ำไปด้วยรถยนต์ รถรับส่งนักเรียนและมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งสวนทางกัน อีกทั้งสองข้างทางยังมีรถบัสและรถตู้ป้ายทะเบียนต่างจังหวัดจอดเรียงรายเป็นแถวยาว

เนื่องด้วยเพราะเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนแบบนี้ นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเริ่มหลั่งไหลเข้ามาสัมผัสกับธรรมชาติอันงดงามท่ามกลางลมหนาวและทะเลหมอก และจากเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตคาดว่าปีนี้คงจะคึกคักเป็นพิเศษ

          ลมหนาวที่ปะทะระลอกแล้วระลอกเล่าทำให้คนที่ควบขับพาหนะเครื่องยนต์สี่สูบสะท้านเยือก แม้จะใส่ชุดที่รัดกุม สวมถุงมือและหมวกกันน็อคเต็มใบ แต่ก็ช่วยบรรเทาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้งหมอกที่กลั่นตัวเป็นหยดน้ำเกาะพราวอยู่บนหมวกกันน็อคก็ทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ลดลง

          กว่าจะฝ่าการจราจรที่แน่นขนัดในตัวเมืองเชียงรายมาถึงโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดได้ก็ใช้เวลาไปร่วมสิบยี่สิบนาที

          ประตูทางเข้าทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นทางเข้าหลักมีนักเรียนทั้งหญิงและชายทยอยเดินเข้ามา บางคนก็จูงรถจักรยานยนต์ของตัวเองผ่านหน้าป้อมยามและครูเวรเข้าไปจอดยังโรงรถที่จัดไว้อย่างเป็นระเบียบ

          ครูสาวผู้อยู่บนมอเตอร์ไซค์บิ๊คไบค์สี่สูบคันใหญ่ชะลอความเร็วเพื่อโค้งศีรษะทำความเคารพครูเวรและยามหน้าประตูที่อาวุโสกว่า ก่อนจะขับต่อไปจนกระทั่งมาถึงอาคารเรียนหลังใหญ่ สูงสามชั้น มีป้ายอักษรตัวใหญ่ติดไว้ว่า ‘อาคารเรียนวิทยาศาสตร์’

          ร่างสูงโปร่งก้าวลงมาจากมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ หลังจากเลือกที่จอดไว้บริเวณใต้ต้นหูกวางใกล้กับรถยนต์ของรุ้งรดา เพื่อนร่วมสถาบันเมื่อครั้งยังเป็นนักเรียนทุนโครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (สควค.)

          พริมมาดา เทวาพิทักษ์ เลือกเรียนครูสาขาวิชาชีววิทยา เมื่อเรียนจบด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เกรดเฉลี่ยสี่จุดศูนย์ศูนย์ จึงมีสิทธิ์เลือกสถานที่บรรจุเป็นอันดับต้นๆ เธอจึงไม่รอช้าที่จะใช้ความรู้ความสามารถที่มีกลับมาพัฒนาโรงเรียนแห่งนี้ โรงเรียนที่เคยให้ความรู้และบ่มเพาะให้เธอมีอนาคตที่สดใส ได้ทำในสิ่งที่ตัวรักอย่างวันนี้ ซึ่งนับรวมเวลาก็ย่างเข้าปีที่สามแล้ว

          “สวัสดีครับครูพริม วันนี้ขับรถมาโรงเรียนซะเท่เลยนะครับ”

เสียงทักทายจากกลุ่มนักเรียนชายชั้นมอสี่ที่อยู่นั่งตรงม้าหินอ่อนบริเวณลานช้างเรียกให้ครูสาวที่กำลังจะเดินผ่านต้องแวะเข้าไปทักทายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งที่ตั้งใจว่าจะรีบเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนชุดให้ทันก่อนสัญญาณเคารพธงชาติจะดังขึ้น

          เนื่องด้วยตอนนี้เธออยู่ในชุดเสื้อกันหนาวตัวใหญ่กับกางเกงยีนส์ขายาวเพื่อให้สะดวกแก่การขับขี่ แต่ตามระเบียบของโรงเรียนทุกๆ วันจันทร์จะต้องใส่ชุดข้าราชการสีกากี เธอจึงต้องเตรียมใส่กระเป๋ามาเปลี่ยน ซึ่งนับว่าเป็นอะไรที่ยุ่งยากพอสมควร ตอนนี้มันอาจจะกำลังนอนยับอยู่ในกระเป๋าก็ได้ คิดแล้วก็ยิ่งพาลให้โมโห แต่ก็ต้องระงับไว้

          “สวัสดีค่ะ มาโรงเรียนกันแต่เช้าเลยนะ”

          “รีบมาส่งงานครูสมใจน่ะครับ ครูขีดเส้นตายให้ไม่เกินแปดโมง แล้วทำไมวันนี้ครูถึงขับบิ๊คไบค์มาละ รถเลคซัสคันสวยของครูไปไหน” นักเรียนทั้งสี่คนชะโงกหน้าไปมองทางที่เธอจอดรถไว้ด้วยความสนใจ

          “รถครูหาย ไม่รู้ใครแอบเอาไปขับ” ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย แต่คุณครูคนสวยกลับพูดราวกับไม่ทุกข์ร้อนเท่าไหร่

          “ครูแจ้งความหรือยัง ให้ผมบอกพ่อให้ไหมครับ รถราคาแพงขนาดนั้นผมเสียดายแทน” ธราธรรีบเสนออย่างกระตือรือร้น เนื่องด้วยบิดาของเขาเป็นสารวัตรประจำอยู่สภ.เมืองเชียงราย และมักจะช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนด้วยความจริงใจจนเป็นที่เล่าลือ

          “ขอบใจมาก ถ้าจะให้ช่วยแล้วครูจะบอกก็แล้วกัน เดี๋ยวครูขึ้นห้องก่อนนะ ต้องรีบไปเปลี่ยนชุด แล้วก็คาบแรกวันนี้เตรียมของทดลองกันให้พร้อมล่ะ อย่างละสอง”

          พูดจบครูสาวก็เดินขึ้นอาคารเรียนวิทยาศาสตร์ไป ทิ้งให้นักเรียนทั้งสี่ส่งยิ้มให้กันเมื่อนึกถึงความสนุกที่กำลังจะเกิดขึ้นในการทดลองวิชาชีววิทยาในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้

          เมื่อเข้าแถวเคารพธงชาติเสร็จเรียบร้อย นักเรียนต่างเดินแถวแยกย้ายกลับห้องเรียนประจำของตนเองเพื่อพบปะกับครูประจำชั้น วันนี้พริมมาดาปล่อยให้นักเรียนของเธอได้มีเวลาพักผ่อนตามอัธยาศัยในคาบโฮมรูมเพื่อที่เธอจะได้ปลีกตัวไปเตรียมอุปกรณ์การทดลองในชั่วโมงเรียนแรกของวันนี้

          กล้องจุลทรรศน์ถูกยกออกมาวางไว้บนโต๊ะหน้าห้อง ข้างกันมีบีกเกอร์ ปิเปต และกระจกสไลด์วางไว้ กระดานไวท์บอร์ดถูกเปลี่ยนสภาพให้เป็นจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ สำหรับฉายผลจากกล้องจุลทรรศน์

          เมื่อเตรียมอุปกรณ์เสร็จเรียบร้อยพริมมาดาจึงหันไปเขียนวิธีการทางวิทยาศาสตร์บนกระดานไว้รอ หลังจากนั้นอีกสิบนาทีสัญญาณเตือนให้เข้าเรียนคาบแรกก็ดังขึ้น นักเรียนชั้นมอสี่จุดสิบเอ็ดต่างทยอยเดินเข้าห้องเรียนชีววิทยาด้วยใบหน้าที่กลั้นยิ้มบ้าง อมยิ้มน้อยๆ บ้าง บางคนถึงกับหัวเราะขบขันกันเสียงดัง

          พฤติกรรมเหล่านั้นทำให้ครูสาวที่ยืนอยู่หน้าห้องต้องส่ายหน้าด้วยความเอ็นดู ไม่รู้ว่าเธอคิดถูกหรือคิดผิดที่ยอมให้มีการทดลองนี้เกิดขึ้น

ชั่วโมงเรียนเรื่องการสืบพันธุ์

          ‘ครูครับถ้าอสุจิมีฤทธิ์เป็นเบส แล้วปัสสาวะมีฤทธิ์เป็นกรด แบบนี้ถ้าเวลาเรามีอะไรกับแฟนแล้วไม่อยากให้แฟนท้องก็ฉี่ใส่ช่องคลอดแฟนได้ใช่ไหมครับ’

          หืม!

          คำถามที่ดังขึ้นกลางห้องทำให้ครูสาวที่กำลังตั้งใจสอนถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออกไปเกือบนาที เด็กอายุแค่สิบหกมีความคิดแบบนี้กันแล้วเหรอ

          มีอะไรกับแฟนแล้วฉี่ใส่ช่องคลอดอย่างนั้นหรือ?

          ‘ทำไมถึงคิดแบบนั้นละ’ ทันทีที่หาเสียงตัวเองเจอพริมมาดาจึงลองหยั่งเชิงนักเรียนของเธอดู

          ‘ก็ตามหลักการแล้วถ้าอสุจิเจอปัสสาวะที่เป็นกรดมันก็ควรจะต้องตาย แล้วมันตายไหมอ่ะครับ’

          ‘อืม...ครูก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ มันอาจจะตาย แต่จะช้าหรือเร็วอันนี้ครูตอบไม่ได้ ถ้าหากว่าใช้เวลาหลายนาทีกว่ามันจะตายก็ไม่ปลอดภัยจ๊ะ อีกอย่างก็เสี่ยงติดเชื้อด้วย เพราะปัสสาวะเป็นสิ่งสกปรก เอาอย่างนี้ไหมถ้าอยากรู้ ชั่วโมงหน้าเรามาทดลองกัน’

          แล้วก็เกิดชั่วโมงเรียนเฉพาะกิจนี้ขึ้นมา ดูเหมือนว่านักเรียนจะให้ความสนใจ และกระตือรือร้นยิ่งกว่าชั่วโมงเรียนปกติซะอีก

          “เอาล่ะ ถ้ามากันครบแล้วจดสิ่งที่ครูเขียนบนกระดานลงในสมุด แล้วเราจะมาเริ่มการทดลองกัน ของที่ครูให้เตรียมมาอยู่ไหนคะ”

          ไม่ต้องให้ถามซ้ำ นักเรียนชายสี่คนประคองแก้วพลาสติกใบเล็กซึ่งมีของเหลวสีเหลืองและสีขาวขุ่นมาวางตรงหน้าครูสาวทันที

          “ครบตามที่ต้องการครับ”

          “ดีมาก อสุจิเทใส่บีกเกอร์สองอันแรกนี้ ส่วนปัสสาวะเทใส่สองอันนี้ แล้วก็เอาแก้วพลาสติกไปทิ้งถังขยะค่ะ”

          ครูสาวแจกแจงให้นักเรียนเทอสุจิและปัสสาวะในแก้วลงในบีกเกอร์ทั้งสี่ใบมีสัญลักษณ์เอและบีไว้อย่างละสองใบ ซึ่งนักเรียนก็ทำตามอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอาแก้วไปทิ้งแล้วกลับมานั่งโต๊ะตัวเอง

          “เฮ้ยของใครอ่ะ ทำยังไงเอาออกมาหรอ” เสียงนักเรียนหญิงที่ตะโกนมาจากโต๊ะด้านหลังห้องเรียกเสียงโห่แซวตามด้วยเสียงหัวเราะครืนจากนักเรียนทั้งห้องให้ดังขึ้นพร้อมกัน

          “ไม่บอกหรอก ความลับ” นักเรียนชายประสานเสียงตอบพร้อมกัน เพราะตกลงกันไว้แล้วว่าจะไม่มีมีการเปิดเผยข้อมูลผู้มีอุปการคุณเด็ดขาด

          หลังจากที่ครูบอกว่าจะทำการทดลองนี้ และให้พวกเขาไปโอน้อยออกกันว่าใครจะเป็นผู้ที่ต้องเอาอสุจิและปัสสาวะมาใช้ทดลอง พวกผู้หญิงในห้องต่างก็คอยสืบเสาะ แกล้งถามเพื่อล้วงความลับตั้งแต่หมดคาบเรียนที่แล้วจนถึงตอนนี้ก็ยังมีแอบถามเพื่อนผู้ชายที่สนิทๆ กัน ทว่าลูกผู้ชายเมื่อสัญญากันแล้วว่าจะรักษาความลับก็จะไม่มีทางปริปากเด็ดขาด

          “โธ่ ไม่ต้องเขินหรอกน่า พวกเราไม่แซวเยอะหรอก”

          “อีกอย่างนะเราว่าเอาออกมานานแล้วมันคงใกล้ตายแล้วมั้ง การทดลองจะไม่มีประสิทธิภาพได้ เอาใหม่ดีกว่า หลังห้องเลยไหมคะคุณผู้ชาย”

          นี่คือบทสนทนาระหว่างฝ่ายนักเรียนหญิงและชายที่น่าปวดหัว และดูเหมือนจะเป็นฝ่ายหญิงที่ไล่ต้อนจนฝ่ายชายถึงกับไปต่อไม่เป็น กลัวว่าหากเผลอตอบโต้ไปจะเป็นการเปิดเผยความลับโดยไม่รู้ตัว

          ครูสาวคนสวยเพิ่งตระหนักในนาทีนี้เองว่าลูกศิษย์ของเธอต่างก็เซี้ยวเกินหญิงกันทั้งนั้น

          นี่ละน้า...เธอพยายามบอกนักเรียนตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่อยากสอนเรื่องนี้ที่สุด เพราะนักเรียนจะไม่ค่อยตั้งใจเรียนสักเท่าไหร่ สมาธิส่วนใหญ่จะไปจดจ่ออยู่แต่กับอวัยวะบางอย่างจากภาพที่ใช้ประกอบการสอนเสียมากกว่า ยิ่งในระดับมัธยมและเป็นห้องเรียนพิเศษแบบนี้แล้วหากจะใช้ภาพประกอบการ์ตูนก็จะไม่ได้เรียนรู้อย่างเต็มที่ ต้องใช้ภาพที่สมจริงที่เรียกได้ว่า ฉกสตินักเรียนหายกระเจิงหมด

          ชั่วโมงเรียนนี้ก็เช่นกัน เกรงว่านักเรียนจะพากันเตลิดออกทะเลไปเสียก่อนจะได้ลงมือทำอะไร

          และก่อนที่นักเรียนจะให้ความสนใจกับที่มาของเจ้าของเหลวสีขุ่นมากไปกว่านี้ พริมมาดาจึงต้องรีบดึงสตินักเรียนให้กลับเข้ามายังบทเรียนของวันนี้ ไม่อย่างนั้นสองคาบนี้อาจจะหมดไปกับการสืบหาเจ้าของสารตั้งตนและล้อเลียนแทนการทดลองเป็นแน่

          “พอได้แล้วค่ะ เราตกลงกันแล้วว่านักเรียนชายจะไม่เปิดเผยว่าอสุจิที่ใช้ในการทดลองวันนี้เป็นของใคร ครูจะเริ่มทดลองเลยก็แล้วกัน เดี๋ยวเวลาจะไม่พอ วันนี้เราจะทำทั้งหมดหกสไลด์ ขออาสาสมัครหกคนค่ะ”

          แล้วความวุ่นวายย่อมๆ ก็เกิดขึ้นเมื่อนักเรียนทั้งหญิงและชายต่างก็ลุกจากเก้าอี้ของตัวเองเพื่อวิ่งมายังหน้าห้อง กว่าจะตกลงกันได้และให้นักเรียนที่เหลือกลับโต๊ะของตัวเองก็ทำเอาต้องปาดเหงื่อ

          เมื่อนักเรียนทุกคนเข้าสู่โหมดตั้งใจเรียนแล้วพริมมาดาจึงบอกให้นักเรียนคนแรกใช้ปิเปตดูดอสุจิเอขึ้นมาแล้วหยดลงในกระจกสไลด์ของตัวเอง จากนั้นก็เอาอีกแผ่นมาประกบกันไว้ คนที่สองทำเหมือนกันโดยเปลี่ยนมาใช้อสุจิบี คนที่สามใช้อสุจิเอร่วมกับปัสสาวะเอ คนที่สี่ใช้อสุจิบีกับปัสสาวะเอ คนที่ห้าใช้อสุจิเอกับปัสสาวะบี และคนที่หกใช้อสุจิบีกับปัสสาวะบี

          เมื่อได้กระจกสไลด์ทั้งหกมาเรียบร้อยแล้ว พริมมาดาจึงนำมาส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ โดยมีการฉายภาพออกทางจอโปรเจคเตอร์ตรงกระดานหน้าห้องเพื่อให้นักเรียนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน

          “เห็นไหมคะว่ายังเคลื่อนไหวปกติทั้งหกสไลด์ ต่อไปเริ่มจับเวลาว่าเมื่อมันออกมาเจออากาศแล้วจะดำรงชีวิตอยู่ได้กี่นาที เดี๋ยวครูจะส่องซ้ำให้ทุกๆ สองนาที แล้วให้นักเรียนบันทึกเวลาที่มันเริ่มอ่อนแรงจนกระทั่งหยุดเคลื่อนไหว”

          “บีดิ้นเก่งจังเลยค่ะครู”

          “เอของใครอ่ะทำไมว่ายช้าจัง”

          “ใช่ๆ ของไม่ค่อยดีหรือเปล่า แถวบ้านเรียกไม่มีน้ำยาอ่ะ”

          “ดูสิอสุจิเอเจอปัสสาวะบีเข้าไปเริ่มดิ้นช้าแล้ว เยี่ยวใครทำไมแรงจัง”

          แล้วคำถามห่ามๆ ที่เกิดจากความสงสัยของนักเรียนสี่สิบกว่าคนก็หลั่งไหลออกมาจนฟังไม่รู้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร หลายคนอยู่ในสภาพหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง บ้างก็ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาป้อยๆ ไม่เว้นแม้แต่คุณครูคนสวยที่กำลังนั่งเอามือกุมท้องมองดูนักเรียนโต้ตอบกันไปมา

          เสียงหัวเราะสนุกสนานที่มักจะไม่เกิดขึ้นสำหรับห้องเรียนวิชาชีววิทยาทำให้มีนักเรียนจากห้องข้างๆ ชะโงกหน้ามาดูด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

          ถ้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นคงจะชวนครูประจำห้องตัวเองทำบ้างเป็นแน่

          “ว่าแต่เช้านี้เยี่ยวบีมันกินอะไรมา ทำไมแรงจัง ลูกไอ้เอมันจะน็อคตายอยู่แล้ว” นักเรียนหญิงช่างสงสัยยังคงซักต่อไป

          “ข้าวมันไก่”

          “เฮ้ย...ไอ้แท็คแน่เลย บ้านมันขายข้าวมันไก่”

          “ฮ้าๆ ๆ /ฮ้าๆ ๆ”

          กว่าความครื้นเครงจะจบลง กว่าจะได้บทสรุปของผลการทดลองก็พากันออกทะเลไปไกลโข หลังจากนี้ทุกคนคงจะจำได้จนขึ้นใจว่าเมื่ออสุจิผสมกับปัสสาวะจะทำให้มันตายเร็วขึ้นถึงสองเท่า หากแต่ครูสาวก็ต้องย้ำกับนักเรียนว่า วิธีนี้ไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัย ไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ อีกทั้งอาจจะเสี่ยงกับการติดเชื้ออื่นๆ ตามมา

          แต่อย่างไรก็ตามถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่นักเรียนรู้จักสังเกตและซักถามจนนำมาสู่การค้นหาข้อเท็จจริง เพราะถือเป็นคุณสมบัติที่ดีอย่างหนึ่งของนักวิทยาศาสตร์

          เวลาห้าโมงเย็นมอเตอร์ไซค์บิ๊คไบค์ขับเข้ามาจอดในไซต์งานก่อสร้างห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่ใจกลางเมืองเชียงราย ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เป็นโครงการใหญ่ที่ต้องการให้เป็นแหล่งรวบรวมสินค้าและบริการอย่างครบวงจร มีระยะเวลาการสร้างอย่างเร่งด่วนเพียงแค่หนึ่งร้อยยี่สิบวัน ทั้งผู้รับเหมา วิศวกรและคนงานจึงต้องเร่งก่อสร้างทั้งวันทั้งคืนไม่มีการหยุดพัก

          ก่อนจะมาพริมมาดาได้โทรไปเช็คที่บ้านแล้วจึงรู้ว่าวันนี้พงศกรเปลี่ยนมาเข้ากะเย็น หลังจากที่เข้ากะเช้ามาตลอดสามสัปดาห์ และหากน้องชายตัวดีจะรู้จักรับโทรศัพท์บ้าง เธอคงไม่ต้องแลกเวรสอนพิเศษในสถาบันกวดวิชากับครูรุ่นพี่เพื่อมาถึงที่นี่

          “อ้าวพี่พริม มาหาพอร์ชเหรอครับ” จีรวัฒน์เข้ามาทักทายเมื่อเห็นพริมมาดาเดินตรงเข้าไปในที่พักสำหรับวิศวกร

          “ใช่ค่ะ อยู่ไหนคะ”

          “คุยงานกับพี่ธีร์อยู่ด้านหลังครับ ให้ผมตามให้ไหม กำลังจะเอาแปลนไปให้มันพอดี” ชายหนุ่มรุ่นน้องรีบขันอาสา หากแต่ชื่อของใครอีกคนกลับทำให้พริมมาดาลังเล เธอมีธุระด่วนจะคุยกับน้องชายก็จริง แต่ก็ไม่อยากทำให้ใครเสียงาน เดี๋ยวจะพลอยมาเหวี่ยงใส่ โทษว่าเธอเป็นสาเหตุให้งานล่าช้าอีก

          “ไม่เป็นไรค่ะ ให้พอร์ชคุยงานเสร็จก่อนก็ได้ พี่จะรออยู่แถวนี้”

          “อย่างงั้นก็ได้ครับ พี่พริมเข้าไปรอในห้องดีกว่า เปิดทีวีดูก่อนก็ได้ จะได้ไม่เบื่อ”

          “ขอบใจจ๊ะ”

          ชายหนุ่มพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มก่อนจะหยิบหมวกสีขาวมาสวม เดินหนีบม้วนกระดาษไปทางนั่งร้านที่มีคนงานปีนขึ้นไปติดแผ่นอะไรสักอย่าง พริมมาดาจึงผลักประตูห้องทำงานขนาดเล็กเข้าไป

          ภายในห้องทำงานขนาดย่อมที่ทำมาจากตู้คอนเทนเนอร์ธรรมดา ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งเครื่องปรับอากาศ โซฟา โฮมเทียเตอร์ชุดใหญ่ที่ชั้นวางข้างๆ เต็มไปด้วยแผ่นหนัง จนเธอแปลกใจว่างานที่เร่งขนาดนี้มีเวลามานอนดูหนังกันด้วยหรือ

          บริเวณหลังห้องมีผู้หญิงหน้าตาสะสวย ผิวขาวละออที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่ในไซต์งานที่ต้องตรากตรำอยู่กลางแดดแบบนี้ได้ เธอส่งยิ้มเป็นมิตรให้พร้อมกับทักทายด้วยเสียงอ่อนหวาน

          “สวัสดีค่ะ มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”

          “พอดีมาหาพอร์ชน่ะค่ะ แต่เห็นว่าคุยงานอยู่ก็เลยเข้ามารอในนี้”

          นับดาวหุบยิ้มแทบจะทันทีเมื่อรู้ว่าสาวสวยคนนี้มาหาพงศกร เหอะ...เสน่ห์แรงเสียจริงผู้หญิงวิ่งเข้าหาไม่เว้นแต่ละวัน

          “เชิญนั่งรอก่อนนะคะ รับน้ำหรือกาแฟไหมคะ”

          “ไม่ค่ะ ขอบคุณนะคะ”

          หญิงสาวเดินไปนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ เมื่อนับดาวกลับไปสนใจงานของตัวเอง หญิงสาวก้มหน้าก้มตาอ่านรายงานการสั่งซื้อในแฟ้ม ห้องทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่ยังทำงานอย่างขะมักเขม้น พริมมาดาจึงถือวิสาสะหยิบรีโมทโทรทัศน์มาเปิดดูรายการประกวดร้องเพลงเพื่อฆ่าเวลา แต่ก็สังเกตเห็นว่าสายตาของคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานตัวเล็กจะคอยเหลือบมองมาทางเธออยู่ตลอด

          ด้วยความที่เป็นคนตรงไปตรงมา เธอจึงเลือกที่จะถามออกไปตรงๆ

          “น้องมีอะไรสงสัยในตัวพี่หรือเปล่าคะ”

          “อ่ะ...เอ่อ เปล่าค่ะ ขอโทษนะคะที่เสียมารยาท” ดวงตาคมเข้มคู่นั้นเสหลบเมื่อรู้ว่าถูกอีกฝ่ายจับได้

          “น้องทำงานตำแหน่งอะไรคะ ดูหน้าตาผิวพรรณแบบนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่ในไซต์งานก่อสร้างที่มีแต่ผู้ชายผิวกร้านกรำแดด แถมยังดิบเถื่อน คอทองแดงอีกต่างหาก น้องรู้ใช่ไหมว่าผู้ชายพวกนี้ขี้เมา” ประโยคหลังพริมมาดายกมือขึ้นมาป้องปากแล้วกระซิบราวกับว่ากลัวจะมีใครมาได้ยิน

          “เป็นผู้ช่วยพี่ธีร์ค่ะ ดาวเป็นน้องรหัสพี่พอร์ช จบวิศวะโยธามา พี่เขาก็เลยชวนให้มาทำงานด้วย เรื่องขี้เมานี่รู้เช่นเห็นชาติกันหมดแล้วค่ะ”

          “น้องบอกว่าเป็นน้องรหัสพอร์ชเหรอ พี่ไม่เห็นรู้เลยว่าไอ้หมอนั่นมีน้องรหัสน่ารักขนาดนี้ แต่น้องน่ะโชคร้ายหน่อยนะที่มีพี่รหัสตัวแสบแถมยังปากสุนัขอีก”

          สาวๆพากันหัวเราะน้อยๆ ที่ได้นินทาคนขี้เมา นับดาวลืมไปชั่วขณะว่าก่อนหน้านี้ยังรู้สึกไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายอยู่เลย พอหญิงสาวชวนคุยอย่างเป็นกันเองเธอก็ผ่อนคลายมากขึ้น แต่จะว่าไปจากสรรพนามที่เรียกขานอย่างสนิทสนมบวกกับหน้าตาที่นับดาวเพิ่งจะสังเกตว่ามีส่วนคล้ายพงศกรมากทีเดียว ทำให้เธอคิดได้ว่าผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นพี่สาวของเขาก็ได้

          “ใช่ค่ะ พี่เรียกดาวก็ได้นะคะ แล้วพี่เอ่อ...”

          “อ่อพี่ชื่อพี่พริมจ๊ะ เป็นพี่สาวไอ้ตัวแสบนั่นแหละ”

          เมื่อได้ยินเช่นนั้นนับดาวก็ยิ้มกว้างอย่างโล่งใจ และดีใจที่ได้รู้จักผู้หญิงสวยๆ อัธยาศัยดีอย่างพริมมาดา

          สองสาวคุยกันเรื่อยๆ ผลัดกันถามตอบจนกระทั่งเวลาผ่านไปราวยี่สิบนาที เสียงประตูหน้าห้องทำงานก็ถูกเปิดเข้ามา พริมมาดารีบเด้งตัวลุกจากโซฟาทันทีเพราะคิดว่าผู้เข้ามาคือน้องชายของเธอ

          แต่แล้วสายตาของเธอก็เหมือนถูกตรึงอยู่กับที่เมื่อคนที่ก้าวพ้นประตูเข้ามาคือใครอีกคนที่เธอไม่อยากเจอที่สุดในตอนนี้ ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากรู้ว่าเขาย้ายกลับมาทำงานที่บ้านเกิดเธอก็พยายามหลบเลี่ยงตลอด แม้ว่าคุณป้าอรอนงค์จะชวนครอบครัวเธอไปทานข้าวที่บ้านทุกวัน เธอก็คอยหาข้ออ้างเรื่องสอนพิเศษมาบังหน้าเพื่อจะได้ไม่ไปเจอเขา

          ทั้งที่วันนี้คิดว่าคงจะไม่เจอกันเพราะเธอแอบรู้มาว่าเขาเข้างานกะกลางวัน ออกงานสี่โมงเย็น จึงลองเสี่ยงมาแต่โชคก็ไม่เข้าข้างเธอเอาซะเลย ข้อมูลที่ได้มามันผิดหรืออะไรกำลังเล่นตลกกับเธออยู่กันแน่ คิดแล้วก็หงุดหงิดอยากปาโทรศัพท์น้องชายทิ้งเสียจริง มีแล้วไม่ใช้ก็จะได้ขายซากทิ้งไปเลย

          ธีทัตเองก็ตกใจไม่น้อยที่เปิดประตูเข้ามาแล้วเจอใบหน้าสวยหวานของใครบางคนลอยเข้ามากระแทกเข้าอย่างจัง ร่างทั้งร่างกระตุกเฮือกจนไร้แรงขยับเขยื้อน แม้จะไม่ได้พบกันหลายปีแต่หญิงสาวตรงหน้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ใบหน้าอาจจะสวยหวานดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่รูปร่างก็ยังผอมเพรียวอยู่เหมือนเดิม

          สายตาสองคู่สบประสานกันแต่ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา ฝ่ายหนึ่งมองด้วยสายตาที่ตัดพ้อระคนน้อยใจ แต่อีกคนกลับมองด้วยสายตาที่เย็นชา ว่างเปล่า

          ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ เมื่อคนสองคนเอาแต่ยืนจ้องกันนิ่ง บรรยากาศที่กดดันพลอยทำให้นับดาวไม่กล้าเอ่ยอะไรขึ้นมาอีกคน จึงได้แต่มองคนทั้งคู่อยู่เงียบๆ

          แต่แล้วความเงียบที่แสนอึดอัดทำให้พริมมาดาเลือกที่จะเดินไปที่ประตู เธออยากออกไปให้พ้นจากที่ตรงนี้ แม้ร่างกายรู้สึกหนักอึ้งจนก้าวขาแทบไม่ออก แต่เธอก็ทนมองสายตาแบบนั้นไม่ได้อีกแม้แต่นาทีเดียว

          ร่างโปร่งระหงพยายามก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง จนกระทั่งถึงประตู อีกนิดเดียวก็จะหลุดพ้นแล้วกับความอึดอัดที่สุมอยู่ในอก หากแต่มันไม่ง่ายอย่างที่ใจปรารถนาเมื่อมือหนาที่เธอระลึกอยู่เสมอว่าอุ่นเพียงใดยื่นมาขวางประตูไว้

          “ไม่เจอกันตั้งหลายปี ไม่คิดจะทักทายกันหน่อยเหรอ”

          “กับคนที่เลิกสนิทสนมไปแล้ว คงไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทหรอกมั้งคะ”

          เจ้าของร่างบางเดินจากไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงคำพูดตอกย้ำความจริงบางอย่าง

          ความจริงที่ต้องยอมรับเสียทีว่าเขาโกหกตัวเองมาตลอด

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา