ยามเมื่อสายลมกรีดร้อง!
เขียนโดย GCodename
วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 20.29 น.
แก้ไขเมื่อ 11 เมษายน พ.ศ. 2561 15.25 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) บทที่12 เรื่องเล่าVSความจริง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบท12 เรื่องเล่าVSความจริง
สัปเหร่อขามถูกลากตัวมาที่บ้านของนางภาโดยมีชินกรเดินนำพร้อมกับถือย่ามพระของแกติดมือไป มีครั้งหนึ่งที่แกพยายามดิ้นรนจากชาวบ้านที่ควบคุมแกจนเกือบสำเร็จทว่าเป็นจังหวะที่ลุงคำเดินมาสมทบพอดีจึงใช้พานท้ายปืนลูกกรดฟาดไปที่ท้ายทอย จนสัปเหร่อขามสิ้นฤทธิ์ก่อนจะนำตัวแกมายังที่บริเวณสวนหลังบ้านนางภาที่มีศาลไม้เก่าตั้งอยู่ ลุงคำที่ทำหน้าที่หิ้วร่างของสัปเหร่อขามโยนแกลงบนพื้นดินอย่างไม่ไยดี แล้วใช้เท้าเตะไปที่ร่างกายเพื่อให้แกรู้สึกตัว เมื่อสัปเหร่อขามลืมตาตื่นขึ้นมาแกก็พบว่าทั้งร่างกายเจ็บช้ำไปด้วยฤทธิ์ฝ่าตีนของลุงคำ ขณะที่ด้านหน้าภายในสวนรอบตัวที่ให้บรรยากาศชวนสยองขวัญโดยเฉพาะศาลไม้เก่าที่มีดอกดาวเรืองแห้งกังคล้องไว้ทับถมกัน ที่นั่นสัปเหร่อขามเห็นชินกรยืนมองแกด้วยแววตานิ่งเฉยส่วนนางภาศัตรูตัวฉกาจก็ยืนอยู่ข้างๆลูกชายยิ้มให้แกอย่างสมเพสเวทนา!
“ตื่นสักทีนะไอ้ขาม กูได้ยินชื่อมึงมาตั้งนานแล้ว”
นางภาที่อยู่ในชุดดำทั้งตัวพูดขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้สัปเหร่อขามมองไปรอบตัวเห็นในบริเวณสวนแห่งนี้มีเพียงตัวเอง,ลุงคำและสองแม่ลูกที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดเท่านั้นไม่มีชาวบ้านคนอื่นเลย ลุงคำใช้เท้าเตะไปที่ตัวของสัปเหร่อขามอีกครั้งแล้วตวาดใส่
“แม่ภาเขาทักทายมึงไอ้ขาม มึงยังกล้าทำเมินแม่ภาอย่างนั้นเหรอ?”
สัปเหร่อขามได้ยินเสียงหัวเราะมาจากนางภาอย่างชอบใจขณะที่ตัวเองต้องจุกจากการถูกลุงคำเตะราวกับกระสอบทราย
“ลูกศิษย์ข้าหายไปไหนวะ? ถ้าเอ็งจะทำอะไรก็ทำข้านี่ไอ้เด็กพวกนั้นมันไม่เกี่ยว”
“โห มึงห่วงไอ้เด็กพวกนั้นด้วยเหรอไอ้ขาม? ถ้าห่วงมึงก็ไม่ควรพามันมาที่นี่เพื่อเสี่ยงชีวิตไปกับมึงด้วยนะ”
นางภาพูดด้วยท่าทางสะใจส่วนชินกรที่อยู่ข้างๆยังคงมองแกด้วยสายตาที่เรียบเฉย
“หึ ลูกชายนังภานี่มันลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆที่หลอกข้าเสียสนิท น่าภาคภูมิใจในตระกูลอัปรีย์จริงๆ”
ลุงคำกำลังง้างเท้าเพื่อจะสั่งสอนแกอีกรอบ คราวนี้ชินกรยกมือห้ามไว้ก่อน
“อย่ามัวแต่ด่าผมเลยสัปเหร่อขาม ในเมื่อเราก็ตอแหลด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละจำที่ผมถามกับสัปเหร่อขามได้ไหม? ว่าถ้าเกิดว่าแม่ของผมดื่มน้ำมนต์ของสัปเหร่อขามเข้าไปจะเป็นอะไรหรือเปล่า? แล้วสัปเหร่อขามก็ตอบกลับมาว่าแม่ภาของผมจะแค่เสียอาคมมนต์ดำไปเพียงแค่นั้นทั้งที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าถ้าแม่ของผมดื่มน้ำมนต์นั้นเข้าไปจะต้องตาย! เพื่อให้ปอบที่แฝงอยู่ในร่างมันออกมาจึงจะใช้มีดหมอฆ่ามันได้เท่านั้น”
สัปเหร่อขามรู้สึกหน้าชาที่ชินกรดูแผนการของแกออกหมดทุกอย่าง จนมีเสี้ยวความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาว่าบางทีศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของภารกิจครั้งนี้ไม่ใช่นางภาแต่กลับเป็นคนที่ยืนมองแกด้วยแววตาที่เรียบเฉยตรงหน้า! ทันใดนั้นเองชินกรก็ชูย่ามพระของสัปเหร่อขามขึ้นมา สัปเหร่อขามตาโตเพราะรู้ว่านั่นคือความหวังเดียวที่จะยังทำให้ภารกิจนี้สำเร็จได้ด้วยข้าวของอาคมโยเฉพาะมีดอามคมที่อยู่ในนั้น
“ดูท่าย่ามพระที่ถืออยู่นี้จะสำคัญกับสัปเหร่อขามมากเลยนะ ถึงได้มีท่าทางสนใจขนาดนี้”
ชินกรพูดอย่างเยาะเย้ยนั้นทำให้สัปเหร่อขามรู้ตัวว่าแกพลาดขนาดไหนที่แสดงท่าทีเช่นนั้นออกไป แกพยายามจะพุ่งตัวไปคว้าย่ามพระมาจากมือของชายหนุ่ม แต่ลุงคำก็ไวพอโดยใช้เท้าเหยียบไปที่หลังของแกอย่างแรงจนหยุดอยู่ตรงนั้น นางภาเดินเข้ามาลูบศีรษะลูกชายอย่างเอ็นดูพร้อมกับหันมาทางลุงคำ
“เอาของที่สั่งมาไหม?”
ลุงคำล้วงเข้าไปในกระเปากางเกงหยิบไฟแช็คกับขวดน้ำมันไฟแช็คขนาดเล็กส่งให้กับนางภา ก่อนที่จะถูกส่งต่อไปให้กับชินกร สัปเหร่อขามรู้ได้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น? แกพยายามดิ้นรนแต่ก็แค่ชั่วอึดใจเมื่อลุงคำเอาปากกระบอกปืนลูกกรดจ่อไปที่ใบหน้าของแก ชินกรเหลือบมองดูเจ้าของย่ามชั่วครู่แล้วจึงโยนย่ามพระลงบนพื้นดินเทน้ำมันไฟแช็คลงบนย่ามพระจนชุ่มเหม็นกลิ่นน้ำมันไปทั่วบริเวณ พร้อมกันนั้นก็จุดไฟแช็คลงบนย่ามพระทันใดนั้นเองย่ามพระของสัปเหร่อขามก็ติดไฟดังพรึบ กองไฟขนาดย่อมเกิดขึ้นตรงหน้าของสัปเหร่อขามที่บัดนี้แววตาของแกบ่งบอกถึงความหวังที่พังทลายลงต่อหน้าต่อตา!
สรรู้สึกเหมือนกับสัตว์ที่รอการเชือดอยู่ในบ้านของตน ศพพ่อของสรนั้นเริ่มส่งกลิ่นแรงเท่าที่เขาเคยอ่านหนังสือหรือรู้มาศพคนไม่น่าจะส่งกลิ่นเหม็นได้ไวขนาดนี้นอกเสียจากว่าในความจริงพ่อของสรนั้นได้ถูกปอบที่สิงในร่างกินตายไปเป็นเวลานานแล้วคนที่เขากับแม่ต้องป้อนข้าวป้อนน้ำทุกวันนั่นคือปอบที่อยู่ในร่างเท่านั้นเอง! นางวันแม่ของสรยังคงหมดสติไม่รู้เรื่องหลังจากที่ฟื้นมาอยู่ชั่วครู่จนเจอกับความเป็นจริงที่โหดร้ายเป็นลมไปอีกรอบ ระหว่างที่ตัวเขากำลังปลงตกกับชีวิตอยู่นั้นเสียงคลายโซ่ที่คล้องตรงประตูบ้านก็ดังขึ้น บานประตูถูกเปิดออกพร้อมกับอาคันตุกะที่สรคุ้นหน้าตาถูกมัดมือและขาลากเข้ามาในบ้านของเขาถึงห้าคน คนที่นำชาวบ้านที่คุมตัวทั้งห้าคนมาคือน้าหำที่สรรู้จักมักคุ้นกันดีโดยน้าหำนั้นจัดแจงให้วัยรุ่นทั้งห้าคนนั่งคนละฟากกับสร
“ฟังนะพวกมึง ให้อยู่ตรงนี้เงียบๆอย่าสร้างความเดือดร้อนอะไรเพราะบ้านนี้เขาไว้ทุกข์อยู่ ถ้าเกิดพวกมึงเสียงดังหรือพยายามจะทำอะไรแล้วล่ะก็ พวกมึงโดนฆ่าหมกบนภูเขาแน่!”
“นี่กลิ่นอะไรเนี่ยเหม็นเน่าเป็นบ้า! นี่ใจคอจะให้พวกกูอยู่กันแบบนี้จริงๆเหรอไอ้น้า?”
ไอ้ฉัตรโวยวายขึ้นขณะที่เหล่าลูกน้องพยายามส่งสายตาห้ามเพราะรู้ว่านี่ไม่ใช่ที่ๆจะมาโวยวายหรือเบ่งได้ น้าหำมองหน้าไอ้ฉัตรอย่างเอือมระอาจึงเอามีดพร้าจ่อไปที่คอหอยจนมันเงียบปากลงแทบไม่ทัน
“กูบอกมึงว่าอย่าเสียงดังไง อยากให้กูฟันคอมึงให้ตายตรงนี้แบบศพตรงนั้นเลยไหม?”
น้าหำชี้ไปที่ศพพ่อของสรที่เอาผ้าคลุมไว้อยู่แสร้งใช้ศพหลอกพวกนักเลงภูธรอย่างไอ้ฉัตรให้เงียบลงซึ่งก็ได้ผลดีตามที่คาด เพราะตัวมันปิดปากสนิททันที เมื่อควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้วน้ำหำก็เดินมาทางสรพร้อมกับนั่งลงข้างๆเขามองไปที่นางวันที่ยังหมดสติแล้วหันมาทางสรด้วยแววตาสงสารจับใจ
“เจ้ากรมันความจำกลับคืนมาแล้วใช่ไหมน้าหำ?”
สรถามโดยไม่มองหน้าด้วยซ้ำเขาจำภาพสุดท้ายก่อนหมดสติไปว่าที่ตรงหน้าบ้านนางภาที่เขาชะงักไปเพราะเห็นชินกรยืนอยู่หน้าบ้าน เขารู้จักชินกรดีพอที่จะรู้ว่าแววตาและรอยยิ้มที่เขาเห็นเมื่อเช้านี้คือชินกรคนเดิมที่เห็นแก่ตัว ร้ายกาจมาตั้งแต่เด็ก น้าหำพยักหน้าแทนคำตอบ
“น้าก็รู้เมื่อเช้ามืดนี่เองพี่คำแกมาปลุกแต่เช้า พร้อมกับให้หาคนมาเพื่อมาจัคการกับศัตรูของพี่ภา น้าไม่อยากทำกับเอ็งแบบนี้เลยเอ็งเข้าใจใช่ไหม?”
“เข้าใจน้า เราไม่ต่างอะไรกับสัตว์เลี้ยงที่น้าภาเลี้ยงไว้แล้วพร้อมจะเชือดเมื่อไรก็ได้ น้ามีบ้านที่ดินของครอบครัวก็อยู่ที่นี่ยังไงน้าก็ต้องยอมเขาเพื่อให้ตัวเองกับครอบครัวอยู่รอดและมีชีวิต แต่น้า...” สรน้ำตารินขึ้นมา “น้าดูครอบครัวฉันสิ ดูสิ่งที่มันทำกับพ่อกับแม่กับฉัน น้าคิดว่าเรื่องแบบนี้วันหนึ่งจะไม่เกิดขึ้นกับน้าหำและครอบครัวเหรอ?”
“พี่คำบอกว่าเอ็งทรยศที่ร่วมมือกับพวกไอ้ชมที่จะฆ่าเจ้ากร เอ็งทำจริงหรือเปล่าวะ?”
สรพยักหน้ารับแต่โดยดี “แต่ฉันมีเหตุผลในการทำนะ ไม่ใช่ว่าฉันไม่เสียใจฉันก็เสียใจที่ไม่น่าไปร่วมมือกับพวกไอ้ชมเลย”
“เอ็งนี่น้าไอ้สรเล่นกับใครไม่เล่นไปเล่นกับพี่ภา เอ็งยังจำพ่อไอ้ชมกับพ่อนังหวานและชาวบ้านที่ลุกขึ้นมาแข้งข้อได้ไหม? ศพไม่เคยสวยสักคนรวมไปถึงไอ้ชมด้วยป่านนี้พี่คำเอาศพมันไปฝังตรงไหนของภูเขาก็ไม่รู้”
สรนิ่งเงียบราวกับคนยอมรับในโชคชะตาเพราะไม่ว่าจะแก้ตัวหรือพูดอะไรไปก็ไม่เกิดผลตอนนี้ น้าหำขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูของสรจนเขาต้องหันกลับมามองน้าหำด้วยความตกใจ
ย่ามพระที่ถูกไฟไหม้จนดำเป็นตอตะโกเครื่องรางของขลังลงอาคมมานานหลานสิบปีที่สัปเหร่อขามได้เก็บไว้ในย่ามพระเหลือเพียงซากเท่านั้น เจ้าของย่ามกลายเป็นคนที่ก้มหน้าพร้อมกับมองชินกรด้วยแววตาที่โกรธแค้นซึ่งชายหนุ่มดูไม่สนใจ
“เสียดายมากเหรอไอ้ขาม?”
นางภาถากถางผู้ที่เดินเกมแพ้อย่างสะใจ
“ก็อย่างให้คนอย่างข้ารอดไปได้ละกัน ข้าจะฆ่าเอ็งสองคนแม่ลูกเลย!”
“ขนาดอาจารย์มึงยังไม่รอดเลย น้ามึงที่สะเออะแนะนำลูกกูให้ไปหามึงกูก็เป็นคนสั่งฆ่า กูอยู่กับลูกกูดีๆมึงกับน้ามึงมาเสือกเองนะ! จุดจบของมึงมันไม่ต่างจากอาจารย์มึงหรอกกูจะให้ปอบรุมทึ้งมึงจนไม่มีเครื่องใน”
“แต่พวกเอ็งทำให้ชาวบ้านที่เขาไม่รู้เรื่องราวต้องกลายเป็นปอบเพียงเพราะการทะเลาะกันของพวกเอ็ง เอ็งสองคนทำให้คนตายไปตั้งเท่าไร? ที่หมู่บ้านนี้ฉิบหายก็เพราะ...”
“หยุดได้แล้ว!”
ดังเสียงประกาศิตที่ออกมาจากปากของชินกรเพราะไม่แค่จะหยุดคำสบถของสัปเหร่อขามยังเกิดเป็นลมแรกวูบหนึ่งพัดแรงโหมบริเวณนั้นจนลุงคำถึงกับเซถลา ชินกรมองสัปเหร่อขามด้วยแววตาน่ากลัวถึงที่สุดพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้
“หยุดว่าแม่ผมเพราะท่านไม่เกี่ยวอะไรด้วย เรื่องนี้แม่ของผมไม่เกี่ยวเป็นเพียงเหยื่อเหมือนกัน!”
“ไอ้หนุ่มเอ็งกำลังจะบอกข้าว่า....”
“คนที่เป็นทายาทปอบเจ้าต่อจากพ่อผม คือผมเองไม่ใช่แม่”
ฟ้าที่ครึ้มอยู่เกิดเสียงกัมปนาทขณะที่ไม่เพียงสัปเหร่อขามเท่านั้นที่มีสีหน้าตกใจ ขนาดลุงคำที่ยืนอยู่ยังมองชินกรตาค้างสลับกับนางภาอย่างไม่เชื่อสายตา
“ไหนๆก็พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ผมจะเล่าเรื่องคืนนั้นให้ฟังเพื่อเป็นการสั่งลาให้กับสัปเหร่อขามก็แล้วกัน”
น้าหำเดินออกไปราวสิบนาทีพร้อมกับเสียงคนเดินลงจากบ้านของสร ไอ้ฉัตรกับสมุนได้แต่บ่นเบาๆบางคนถึงขนาดร้องไห้คิดว่าจะต้องจบชีวิตลงที่หมู่บ้านผีปอบแห่งนี้
“ฉันจำพวกนายได้ นายคือลูกศิษย์ของสัปเหร่อขามแล้วตอนนี้อาจารย์ของนายไปไหนล่ะ?”
สรถามขึ้นไอ้ฉัตรตอบกลับอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก
“อาจารย์ขามโดนพวกมันเอาตัวไป เพราะไปหลงกลไอ้เพื่อนของแกนั่นแหละที่พาเราเข้ามาในหมู่บ้านจนโดนจับตัวมาอย่างนี้ ไม่รู้ตอนนี้อาจารย์ขามเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง?”
“ฝีมือของเจ้ากรเหรอ?”
“ใช่ ไอ้หนุ่มหน้าตาดีที่มาจากกรุงเทพเพื่อนแกนั่นแหละ มันหลอกเรามาตลอดโธ่เว้ย!”
“เรื่องนั้นฉันไม่รู้จริงๆ แต่ตอนนี้ฉันมีเรื่องอยากรบกวนพวกนายช่วยฉันเรื่องหนึ่ง ที่ด้านล่างมีรถกระบะสีขาวของฉันอยู่ฉันอยากให้นายพาแม่ของฉันออกไปจากหมู่บ้านนี้ “
“พูดอะไรหัดคิดบ้าง ดมกลิ่นศพจนเพี๊ยนไปแล้วหรือไงไม่เห็นว่าพวกเราก็โดนมัดมือมัดขาอยู่อย่างนี้”
ทันใดนั้นสรก็ลุกขึ้นยืนโดยไม่มีเชือกพันธนาการไอ้ฉัตรกับสมุนมองดูอย่างดีใจ แต่สรกลับทำท่าทางให้ทุกคนเงียบ
“น้าหำแอบปล่อยฉัน พร้อมกับเคลียร์เส้นทางในหมู่บ้านไว้ให้ถึงชาวบ้านจะไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่าลืมว่าปอบของน้าภาเต็มหมู่บ้านไปหมดแล้วมันคงไม่ปล่อยให้ออกนอกหมู่บ้านได้แน่ๆ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงพวกเรามีตะกรุดของอาจารย์ขามอยู่ ปอบทำอะไรพวกเราไม่ได้แน่นอน”
ไอ้ฉัตรตอบอย่างมั่นใจในของขลังของอาจารย์ขามของมัน ขณะที่สรจำเป็นต้องเสี่ยงเพราะไม่มีทางเลือก
“ถ้าเป็นอย่างนั้นเดี๋ยวฉันแก้มัดพวกนายให้ ตอนนี้เราต้องแข่งกับเวลาแล้ว”
“เวลาอะไรพี่ชาย?”
ไอ้ฉัตรเปลี่ยนวิธีเรียกสรทันที สรไม่ตอบเขาเดินไปที่ศพพ่อของเขาแล้วก้มลงกราบสามครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นปราดน้ำตารีบหามีดที่ครัววิ่งมาตัดเชือกให้กับไอ้ฉัตรและพรรคพวกอย่างเร่งด่วน
ชินกรเดินเข้ามาใกล้กับศาลไม้บรรยากาศภายในสวนหลังบ้านเย็นยะเยือกอย่างไม่มีสาเหตุ ท้องฟ้าครึ้มมัวราวกับเวลาพลบค่ำ สัปเหร่อขามเพิ่งสังเกตเห็นพืชชนิดหนึ่งที่ขึ้นอยู่เต็มพื้นศาลไม้เป็นพืชล้มลุกที่ลักษณะคล้ายกับว่าน สีหน้าของแกซีดลงแบบฉับพลันแน่นอนว่าไม่สามารถรอดพ้นสายตาของชินกรไปได้เลย
“รู้จักดีสินะว่าว่านที่ขึ้นรอบๆสวนนี้คืออะไร? ถ้าเกิดยังไม่รู้หรือไม่แน่ใจแม่ครับช่วยตอบแกทีว่านี่คือว่านอะไร?”
“ว่านผีปอบ”
นางภาตอบมาด้วยรอบยิ้มที่แสยะชวนขนหัวลุก นี่คือการไขปริศนาที่สัปเหร่อขามสงสัยมานานว่าเหตุใดผีปอบที่หมู่บ้านนี้ถึงได้เยอะมากกว่าที่อื่น
“ถ้าผมจำไม่ผิดตอนเด็กแม่เคยบอกว่าตระกูลเราปลูกว่านชนิดนี้ไว้มาหลายชั่วอายุคนใช่ไหมครับ?”
“ใช่จ๊ะกร ว่านผีปอบตระกูลหมอธรรมทางฝั่งพ่อของลูกปลูกไว้มาหลายชั่วอายุคน ไว้ใช้งานในเรื่องของคุณไสยโดยที่ไม่ต้องไปเอาศพหรือข้าวของผีตายโหงมาไว้ในบ้าน”
“แต่นี่มันก็เป็นของอัปมงคลเหมือนกัน พวกเอ็งรู้ไหมว่าไอ้ว่านนี้มันจะดึงดูดวิญญาณบาปมาไว้เพื่อทำให้วิญญาณสัมพเวสีเหล่านั้นหิวโหยกว่าเดิมซ้ำยังไม่ได้ไปเกิด มันเป็นการทำบาปทางอ้อมนะ”
สัปเหร่อขามพูดขึ้นมาเพราะแกรู้ว่าว่านผีปอบนี้เป็นสิ่งอันตรายและอัปมงคลถึงขนาดที่ยุคหนึ่งพรานและผู้มีวิชาพากันกวาดล้างจนปัจจุบันเชื่อกันว่าว่านผีปอบสูญพันธ์ไปหมดแล้ว จนไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาพบเจอกับว่านที่ยิ่งกว่ายากชนิดนี้
“พวกเอ็งมันกู่ไม่กลับทั้งแม่ลูกจริงๆ”
“ลูกกรแม่ว่าให้ปอบของเรากินมันเลยดีกว่า อย่าไปเสียเวลาพูดคุยกับมันเลยอีกอย่างไอ้พวกนี้มันคงหิวกันแย่แล้ว”
นางภาพูดพรางส่งสายตาไปยังว่านผีปอบที่ขึ้นเต็มพืดอยู่รอบๆสวนซึ่งพวกมันเหมือนจะรับรู้คำพูดของนางภา พากันส่ายเอนไปมาราวกับพืชที่มีชีวิตจิตใจ!
“ผมขอเวลาที่จะเล่าความจริงให้กับคนที่ใกล้ตายฟัง ใช้เวลาไม่นานหรอกครับแม่”
ชินกรพูดอย่างอ่อนโยนกับมารดาแล้วหันมายังสัปเหร่อขาม สีหน้าของชายหนุ่มยากที่จะอ่านได้มันเรียบเฉยจนดูราวกับคนที่ไร้หัวใจ ชินกรย่อตัวลงใกล้กับที่สัปเหร่อขามนอนคว่ำหน้าถูกเอาปืนลูกกรดจ่อที่ศีรษะ
“อยากฟังความจริงของคืนนั้นไหมสัปเหร่อขาม?”
“เฮอะ อยากเล่าอะไรก็เล่ามาสิวะ!”
ความจริงแกก็ไม่มีความอยากจะฟังเท่าไรแต่ด้วยที่ว่าสิ่งนี้ยังพอยืดเวลาตายของแกได้เพียงน้อยนิด ที่อาจมีโอกาสทางรอดโผล่ขึ้นมาด้วยความหวังอันริบหรี่ ชีวิตแกไม่เสียดายเท่ากับชีวิตของว่าที่ลูกศิษย์ที่ตามแกมาจนโดนจับตัวหายไปอยู่ส่วนไหนของหมู่บ้านแห่งนี้ก็ไม่รู้ อีกอย่างที่น่าเจ็บใจกว่านั้นคือรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปากของชินกรที่อยู่ตรงหน้าบ่งบอกหมดทุกอย่างว่ารู้ทันในความคิดของแกสิ้น
“ถ้าจะให้เริ่มคงต้องย้อนกลับไปตอนเด็ก ผมบอกตรงๆเลยว่าผมเกลียดหมู่บ้านนี้.....บ้านวังสาแห่งนี้คือส่วนสำคัญที่ทำให้พ่อของผมต้องจบชีวิตในฐานะหมอธรรมของหมู่บ้าน คืนหนึ่งที่ฝนตกหนักผู้ใหญ่บ้านคนเก่าได้ขอร้องกึ่งบังคับให้พ่อต้มยาสมุนไพรให้กับลูกชายก็คือไอ้ชมที่เป็นไข้หนักเจียนตายเจียนอยู่ พ่อเลยต้องบากหน้าไปที่ภูเขาเพื่อเอาสมุนไพรที่ขาดอยู่แค่ชนิดเดียว แต่แล้วก็จบชีวิตลงเพราะดินถล่มพอดี”
ชินกรเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แววตาแดงก่ำขณะที่นางภาน้ำตาไหลกระซิกอยู่ด้านหลัง
“หลังจากนั้นเด็กอายุไม่ถึงสิบขวบก็ต้องก็ต้องรับภาระบางอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด นึกออกไหมสัปเหร่อขามว่าคืออะไร? ใช่! คือการสืบเชื้อสายปอบเจ้านั่นแหละ แม่ของผมเป็นเพียงสะใภ้คนนอกไม่สามารถจะสืบเชื้อปอบของตระกูลได้ส่วนผมเป็นลูกชายก็ต้องรับสืบเชื้อปอบมาเต็มๆ คิดถึงเด็กที่ไม่รู้ประสีประสาต้องถูกสืบเชื่อสายปอบ ต้องรู้สึกถึงความผิดปกติคือชอบกลิ่นเลือด ชอบของคาวที่ดิบกินอาหารแบบเด็กคนอื่นก็ไม่อร่อยกลับมาบ้านตอนดึกแม่ต้องแอบเอาไก่ดิบกับเครื่องในมาให้กินโดยไม่มีใครเห็น ที่สำคัญทุกๆคืนต้องนอนหลับไม่เต็มตาต้องเห็นภาพที่น่ากลัวของสิ่งที่สัปเหร่อขามเรียกว่าปอบเจ้านั่งอยู่ข้างๆตัวทุกคืน!”
เกิดความเงียบไปทั่วบริเวณสวนหลังบ้าน ลุงคำดูจะมีอาการสะเทือนใจเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าของชินกรเพราะตัวเองก็เป็นปอบที่โดนสิงเหมือนกันเข้าใจความทุกข์ทรมานยิ่งในเวลานั้นชินกรอายุยังไม่พ้นสิบขวบด้วยซ้ำ!
“ผมมารู้ความจริงจากปากของแม่ตอนสิบสองขวบในความรู้สึกตอนนั้นผมเกลียดและโกรธแค้น สัปเหร่อขามจินตนาการไม่ออกหรอกว่าเด็กที่ทนทรมานราวกับตกนรกกับการเป็นปอบมันเป็นยังไง? ยังดีที่ผมเกิดมาพร้อมกับความเป็นคนหัวไว ผมจึงตั้งหน้าตั้งตาเรียน อ่านหนังสือในขณะที่เด็กคนอื่นอย่างไอ้ชมหรือเจ้าสรต่างใช้เวลาช่วงเย็นไปวิ่งเล่นแต่สำหรับผมนั่นคือทางเดียวที่นึกออกในตอนนั้นคือการประสบความสำเร็จในด้านการเรียนเพื่อจะได้ขยับขยายตัวเองออกไปจากหมู่บ้านแห่งนี้รวมไปถึงปอบเจ้าในสักวันหนึ่ง”
สรกับไอ้ฉัตรและลูกสมุนย่องลงมาจากบ้านโดยลูกสมุนของไอ้นักเลงภูธรหิ้วปีกสองข้างพาแม่ของสรลงมาด้วย เมื่อลงมาถึงด้านล่างไม่มีชาวบ้านคนไหนเฝ้าตามที่น้าหำได้กระซิบบอก สรใช้กุญแจเปิดประตูรถกระบะ
“นายพาแม่ของฉันกับพรรคพวกขับออกไปให้เร็วที่สุด ขับไปรอที่วัดนาดุมก็ได้แต่อย่าพาแม่ฉันเข้าไปในวัดล่ะเดี่ยวท่านจะร้อนเอา”
“แล้วพี่ชายล่ะ ไม่ไปกับเราหรือไง?”
“ไม่ ฉันมีเรื่องที่ต้องสะสางให้จบในวันนี้ไม่อย่างนั้นทั้งฉันกับแม่ได้ตายแน่”
“พี่ชายคิดจะไปจัคการกับนังปอบนั่นสินะ”
ไอ้ฉัตรพูดอย่างคนรู้ทันมันตบไหล่ของสรอย่างหนักแน่น
“ลูกผู้ชายต้องอย่างนี้สิพี่ชายใจต้องถึงแบบนี้ เฮ้ย พวกเอ็งเอาแม่ของพี่ชายไปไว้แถววัดนะ เดี๋ยวข้าตามไปแล้วจะโทรหาอีกทีเข้าใจไหม?”
“พี่ฉัตรไม่ไปกับเราเหรอพี่?”
“ไปได้ยังไงล่ะ พวกเอ็งลืมอาจารย์ขามไปแล้วหรือไง? ข้าต้องไปช่วยอาจารย์ขามของข้าขืนหนีไปแล้วปล่อยอาจารย์ให้ตายที่นี่ข้าก็ไม่ต่างจากหมาสิวะ!”
ว่านผีปอบภายในสวนหลังบ้านเอนส่ายไปมาระริกระรี้ขณะที่คนสี่คนภายในสวนยังคงนิ่งเงียบฟังเรื่องเล่าจากปากของชินกรต่อไป
“ไม่รู้ว่าด้วยความโกรธเกลียดหมู่บ้านอยู่แล้วหรือเป็นเพราะอำนาจด้านมืดที่มาจากปอบ ทำให้ในความทรงจำของผมในวัยเด็กนั้นมีแต่ความรู้สึกอยากเอาชนะทุกคน ทั้งด้านการเรียนที่เหนือกว่าใคร การกีฬาก็โดนเด่นแต่เหนือสิ่งอื่นใดคือผู้หญิงที่ไอ้ชมหมายปองอย่างหวาน ที่เปรียบเสมือนดาวของหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใช่แค่ไอ้ชมเท่านั้นผมรู้ดีว่าแม้แต่เจ้าสรหรือคนอื่นๆในรุ่นราวคราวเดียวกันก็มองหวานตาเป็นมันทุกคน ด้วยความรู้สึกที่อยากจะชนะทุกคนในหมู่บ้านเป็นทุนเดิมผมจึงเริ่มทำการจีบหวานและสุดท้ายผมก็ได้เธอมาครอบครอง หลังจากนั้นไอ้ชมที่รู้เรื่องก็แทบเป็นบ้าคิดว่าผมข่มขืนหวานจนท้องเอง เล่ามายืดยาวคงคิดใช่ไหมว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับคืนที่ปอบลงหมู่บ้านนี้? นี่แหละคือจุดสำคัญเลยสัปเหร่อขาม.....”
ทันใดนั้นนางภาที่ยืนอยู่ด้านหลังก็มีปฏิกิริยาบางอย่างหันมองไปทางทิศบ้านของสร ก่อนจะหันมาทางว่านผีปอบที่เอนส่ายไปมาแล้วตวาดออกคำสั่ง
“มีคนกำลังจะหนีออกไปจากบ้านของอีวัน พวกมึงตามมันไปแล้วจัคการกินมันทุกคนที่อยู่บนรถเลย!”
ว่านผีปอบได้ส่งเสียงหวีดแหลมชวนขนลุกดังไปทั่วบริเวณสวนหลังบ้าน ก่อนที่ลมวูบใหญ่กลิ่นเน่าเหม็นไปด้วยซากศพได้พัดผ่านไปยังทิศทางบ้านของสร สัปเหร่อขามมองตามด้วยความเป็นห่วงไม่รู้ว่ากลุ่มคนที่หนีไปเป็นว่าที่ลูกศิษย์ที่พามาหรือเปล่า?
“จะฟังต่อไหม? สัปเหร่อขามหรือห่วงทางนั้นจนไม่อยากจะฟังล่ะ”
“เอ็งก็เล่ามาสิวะไอ้หนุ่มข้าก็ฟังเองอยู่นี่!”
“โอเค งั้นมาเล่าต่อทางนั้นก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของบุญและกรรมแล้วกัน”
สายลมเน่าเหม็นได้พัดผ่านตามรถกระบะของสรไปพร้อมกับเสียงหวีดร้องน่าสะพรึง เมื่อสายลมนั้นผ่านพ้นไปแล้วสรกับไอ้ฉัตรก็ออกมากพุ่มไม้ที่หลบอยู่พร้อมกับค่อยๆย่องเข้าไปในรั้วบ้านของนางภา
“ถึงแม้ว่าผมจะต้องการครอบครองหวานเพื่อเอาชนะคนทุกคนในหมู่บ้าน แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครรู้ก็คือผมรักหวานเข้าจริงๆ มันเป็นความรักที่ยอมแพ้เพราะความดีที่หวานมีต่อผมกล้าพูดเลยว่าในหมู่บ้านนี้นอกจากแม่ของผมก็มีแค่หวานเท่านั้นที่รักและจริงใจกับผมจริงๆ ทว่ามีบางอย่างกลับรู้เช่นกันว่าผมรู้สึกยังไง? เดาออกหรือเปล่าว่าคืออะไร? ใช่ ปอบเจ้านั่นแหละ รู้ไหมว่าผมสามารถควบคุมสติสัมปชัญญะต่อหน้าคนอื่นที่ไม่สามารถดูออกว่าผมเป็นปอบได้ยังไง? แล้วทำไมทายาทปอบเชื้อตระกูลนี้คนสืบทอดถึงต้องเป็นผู้ชาย สัปเหร่อขามเดาได้ไหม?”
“ปอบเจ้าตนนั้นเป็นผู้หญิงสินะ!”
“ตบมือให้เลย ใช่ ปอบเจ้าที่ตระกูลผมเลี้ยงเป็นผู้หญิงที่สำคัญแม้แต่แม่ของผมก็ไม่รู้คือปอบเจ้าตนนั้นรักผมเช่นกัน! ตลอดเวลาที่ผมมีเชื้อปอบผมจึงได้สร้างความสัมพันธ์ไว้หลอกใช้ปอบเจ้าตนนี้เพื่อไม่ให้มันควบคุมผมได้ ซึ่งตัวมันก็ยอมเพราะรักผม ทีนี้นึกภาพออกใช่ไหมถ้ามันรู้ว่าผมรักหวานมันจะเกิดอะไรขึ้น? มันอาศัยตอนที่ผมไม่อยู่ลวงหวานไปฆ่าโดยแสร้งทำเป็นผูกคอตายขณะที่หวานกำลังท้องลูกของผม!!”
เป็นเสียงที่สั่นเครือครั้งแรกพร้อมกับดุดันด้วยความโกรธแค้นดังไปทั่งบริเวณสวนหลังบ้าน ลุงคำที่ยืนคุมนักโทษประหารอย่างสัปเหร่อขามถึงกับตาค้างเมื่อได้รู้ความจริงเรื่องนี้
“เมื่อผมรู้ข่าวร้ายผมก็รีบกลับมาพร้อมกับไปงานศพหวานด้วยอาการของคนที่เสียใจถึงที่สุด ผมไม่สนใจว่าไอ้ชมจะต่อยผมหรือพ่อแม่ของหวานจะตบตีผมยังไงก็ตาม ผมก็ต้องไปหาผู้หญิงที่รักผมและผมรักเธอที่สุดให้ได้ เมื่อผมกลับมาที่บ้าน สิ่งที่ผมก็เริ่มคิดที่จะเอาตัวเองออกจากวังวนอัปรีย์อย่างปอบเชื้อนี่เสียที! ผ่านไปร่วมเดือนวันหนึ่งผมได้ไปเจอตำราเก่าอยู่เล่มหนึ่งที่ปู่ทวดได้เขียนไว้ซ่อนอยู่ที่ในหีบเล็กๆหลังตู้เสื้อผ้า ในตำรานั่นเขียนวิธีที่จะถอนปอบเชื้อออกจากตัวแต่มันต้องแลกมาด้วยสิ่งที่เสียสละสูงเช่นกัน นั่นคือคนอื่นในครอบครัวต้องรับฝากปอบเชื้อไว้และรวมไปถึงต้องปล่อยปอบที่เลี้ยงไว้ทั้งหมดให้เข้าสิงชาวบ้านคนอื่นรวมไปถึงบริเวณรอบๆจนกลายเป็นพื้นที่ต้องสาปเพื่อเซ่นสังเวยพิธีกรรมนี้ ถึงแม้ว่าผมจะเกลียดชาวบ้านแค่ไหนหรือเกลียดหมู่บ้านนี้แต่การมอบคำสาปทั้งเป็นแบบที่ผมได้เผชิญอยู่กับคนอื่น มันเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากเกินไปผมจึงทิ้งตำรานั้นไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือของผมสุดท้ายคนที่เปิดอ่านก็คือแม่ของผม”
ชินกรพูดพร้อมกับหันไปมองนางภาด้วยสายตาที่เกือบจะร้องไห้ สัปเหร่อขามปะติดปะต่อเรื่องได้รวดเร็วจนหลุดปาก
“แม่ของเอ็ง...”
“ใช่ แม่ของผมแอบทำพิธีเพื่อถอนปอบเชื้อออกไปจากผมวันนั้นผมจำได้ดีว่าเป็นวันที่ผมไม่อยู่บ้านทั้งวัน ช่วงนั้นผมเครียดกับเรื่องที่ต้องการถอนปอบเจ้าออกไปจากตัวเองเลยอารมณ์ไม่ดีเท่าไร หงุดหงิดตลอดเวลา เมื่อกลับบ้านไปตอนเย็นสิ่งที่พบก็คือแม่ได้เปลี่ยนบ้านให้ชุ่มโชกไปด้วยเลือดไก่ พร้อมกับมีหิ้งทำพิธีที่ผมรู้ได้ว่าแม่ของผมได้ทำพิธีเพื่อจะถอนปอบเจ้าที่อยู่ในตัว เราทะเลาะถกเถียงกันความจริงในตอนนั้นผมสามารถที่จะหยุดพิธีกรรมนี้ได้ด้วยตัวผมเอง แต่ไม่ก็ไม่ ผมได้แต่ยืนดูปล่อยให้แม่ทำพิธีในที่สุดเมื่อพิธีกรรมนี้เสร็จสิ้นลงโดยปอบเจ้าตัวปัญหาได้หลุดออกมาจากร่างกายของผม พร้อมๆกับที่ปอบที่เลี้ยงไว้ภายในบ้านทั้งหมดได้หลุดออกไปสิงสู่เหล่าชาวบ้านบ้านวังสาทุกคนหรือก็คือคืนวันปอบลงนั่นแหละ!”
สัปเหร่อขามไม่รู้จริงๆว่าจะรู้สึกเช่นไรในตอนนี้ เพราะสิ่งที่ได้ยินมากับความจริงมันเป็นเหรียญคนละด้านกับเหตุการณ์ที่เกิดว่าไม่ใช่เกิดจากความชังหรือน้อยเนื้อต่ำใจ หากแต่เป็นความรักที่แม่มีต่อลูกชายล้วนๆ
“เมื่อทุกอย่างมันสายเกินไปแล้วต่อหน้าของผมคือปอบเจ้าที่ยืนอยู่ มันพยายามจะเข้าสิงผมอีกครั้งแต่ก็ยังคงเป็นแม่ที่ขวางทางมันด้วยพิธีที่แม่ทำ มันพยายามอ้อนวอนไม่ให้ผมไปจากมันโดยเอาแม่ของผมเป็นตัวประกัน ขณะที่แม่ของผมก็ขับไล่ไสส่งให้ผมออกไปจากหมู่บ้านนี้โดยไม่หันกลับมาอีก แล้วสุดท้ายผมก็ไปจริงๆตอนนั้นผมแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าที่ผมตัดสินใจหนีไปกลางดึกเพราะความเห็นแก่ตัวที่ฝังรากลึกในกมลสันดานตัวเองมานานบวกกับการเกลียดหมู่บ้านแห่งนี้ หรือเพราะผมทนไม่ได้ที่ต้องเห็นสิ่งที่แม่ทำทุกอย่างเพื่อผมต้องสูญเปล่ากันแน่? ผมจากไปโดยคิดว่าแม่ของผมได้ตายไปจากโลกจึงไม่คิดกลับมาที่นี่อีก ที่นี้เข้าใจหรือยังว่าแม้ว่าแม่ของผมจะเป็นคนทำพิธีกรรมนี้แต่คนที่ปล่อยให้มันเป็นไปโดยไม่ห้ามปรามหนำซ้ำยังเป็นต้นเหตุทั้งหมดมันคือผมเอง แม่เป็นเพียงเหยื่อที่เกิดจากความเห็นแก่ตัวของผมเท่านั้น หนำซ้ำยังเป็นคนแบกรับบาปและความผิดทั้งหมดไว้กับตัวเองมานานหลายปี”
เกิดความเงียบไปทั่วบริเวณที่ความจริงในคืนวันเพ็ญที่ปอบได้ลงหมู่บ้านคืนนั้น แม้แต่สรกับไอ้ฉัตรที่ซุ่มดูอยู่มาได้พักใหญ่ที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดต่างมองตากันอย่างหดหู่ใจ ชินกรเดินเข้าไปกอดนางภาที่ยืนอยู่ใกล้ๆน้ำตารินออกมาจากใบหน้าของเขาเอง สัปเหร่อขามถอนหายใจเฮือกใหญ่
“นี่แหละคือสิ่งที่คาใจข้ามานานไอ้หนุ่ม ถ้าแม่เอ็งอยากให้เอ็งไปจากหมู่บ้านจริงๆแล้วแม่เอ็งจะเรียกเอ็งกลับมาที่นี่ทำไม? และมีเหตุผลอะไรที่อยากให้เอ็งจำได้ทั้งๆถ้าเอ็งจำเรื่องทั้งหมดได้เอ็งก็อาจหนีไปจากที่นี่อีก ทุกอย่างมันดูขัดแย้งกันไปหมด”
“ถามได้ดีสัปเหร่อขาม สัปเหร่อขามไม่แปลกใจเหรอว่าทำไมผมถึงเล่าเรื่องนี้ให้สัปเหร่อขามฟัง? ทำไมไม่ฆ่าให้ตายทั้งที่ทำได้ตั้งนานด้วยซ้ำ? คำถามที่ถามนี่แหละคือไคลแม็กซ์เลย แม่ของผมอยากให้ผมจำได้จะได้ให้ผมออกไปจากบ้านวังสานี้ ขณะที่คนที่เรียกผมกลับมาก็ไม่ใช่แม่ของผมเหมือนกัน”
ลุงคำกับสรและไอ้ฉัตรต่างทำหน้างุนงงกับคำพูดของชินกร มีเพียงสัปเหร่อขามเท่านั้นที่เข้าใจในสิ่งที่เขาจะสื่อถึง
“พูดเองคงจำได้นะว่า ปอบเจ้ามันต้องใช้ร่างกายของคนในการคงสถานการณ์มีตัวตนบนโลกใบนี้ ถ้าผมไม่อยู่คิดว่ามันจะไปสิงหรือแฝงร่างใครไว้ล่ะ? ใช่ มันอยู่ร่างของแม่ผมในตอนนี้ไง!”
พูดจบชินกรก็คลายกอดนางภาพร้อมกับจับไหล่ทั้งสองข้างไว้แน่น
“ฉันรู้ว่าแกอยู่ในตัวของแม่ฉันนังผีปอบน่ารังเกียจ! ออกมาจากร่างแม่ของฉันเดี๋ยวนี้นี่คือคำสั่งของทายาทโดยตรงผู้เป็นนายของแก!!”
ทันใดนั้นสายลมกรรโชกแรงราวกับพายุในบริเวณสวนหลังบ้าน ลุงคำเซถลาจนปากกระบอกปืนถอยห่างจากใบหน้าของสัปเหร่อขามแกรีบลุกขึ้นยืนทันทีก่อนที่จะถีบลุงคำจนหงายหลังปืนลูกกรดหลุดออกจากมือ สรกับไอ้ฉัตรที่แอบอยู่รีบออกมาจับตัวลุงคำกับแย่งปืนลูกกรดไปจากแก
“อาจารย์ขามนี่มันเกิดอะไรกันขึ้นเนี่ย? ลมแรกขนาดนี้มันมาจากไหน?”
“ความฉิบหายมาเยือนเอ็งไงไอ้ฉัตร”
สิ้นคำพูดของสัปเหร่อขามกลุ่มควันสีดำได้ออกมาจากตา จมูก ปาก และหูทั้งสองข้างของนางภาก่อนที่กลุ่มควันนั้นจะค่อยๆรวมตัวกันเป็นรูปร่างที่สูงใหญ่ซูบผอมตรงหน้าของทุกคน
แผล่บ! แผล่บ! แผล่บ!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ