รอวันฟ้าใส

3.3

เขียนโดย จาริน

วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 12.03 น.

  3 ตอน
  0 วิจารณ์
  5,060 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 มกราคม พ.ศ. 2561 13.05 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     ฟ้าใสเร่งมืออ่านทวนและขัดเกลานิยายจนจบแล้วส่งต้นฉบับไปให้สำนักพิมพ์ก่อนออกเดินทางสู่อังกฤษ ตอนที่โทรศัพท์ไปแจ้งให้น้องชายรู้ว่าจะไปหา เมฆก็ถือโอกาสจัดการสั่งพี่สาวให้เอาทุเรียนกวน มะม่วงดอง ปลาเค็ม และของกินอีกหลากชนิดไปฝาก ทั้ง ๆ ที่ของที่สั่งส่วนใหญ่นั้นก็ไม่แน่ใจว่าเอาข้ามประเทศไปได้หรือเปล่า ฟ้าใสเองก็ขําน้องชายที่ล้วนสั่งแต่ของกินจำพวกของเปรี้ยวของดอง ทําราวกับเป็นผู้หญิงแพ้ท้องก็ไม่ปาน

     หนึ่งวันก่อนวันเดินทาง กวินท์โทรศัพท์มาบอกฟ้าใสว่าเขาไปส่งเธอไม่ได้เพราะติดงานกะทันหัน แต่ก็ขออวยพรให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่วายกำชับว่าให้หญิงสาวหมั่นโทรศัพท์มาทุกวัน จะเป็นเพราะความหมั่นไส้หรืออะไรก็ไม่ทราบได้ แต่หลังจากวางสายลงแล้ว ฟ้าใสก็หยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ปิดเครื่อง แล้วก็โยนมันไปบนโต๊ะเขียนหนังสืออย่างไม่ไยดี ความจริงโทรศัพท์เครื่องนี้กวินท์เป็นคนคะยั้นคะยอให้ฟ้าใสซื้อทั้ง ๆ ที่เธอเองก็ไม่ได้อยากมีไว้ใช้ แต่มีหรือที่ผู้ชายคนนี้จะฟังเธอ เพราะฉะนั้นเธอไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเอาโทรศัพท์ไปด้วย ทำเป็นลืมเสียเลย ถ้าเขาอยากโทรหาเธอก็คงต้องโทรผ่านโทรศัพท์นายเมฆคู่อาฆาตนั่นแหละ ฟ้าใสคิดพาล ๆ

     เครื่องบินร่อนลงสู่สนามบินของแมนเชสเตอร์ในตอนเย็น ฟ้าใสไม่มีความจําเป็นต้องรอรับกระเป๋าเดินทางเพราะในการเดินทางทุกครั้ง เธอมีเพียงเป้แบบแบคแพคหนึ่งใบที่สามารถเช็คอินเป็นกระเป๋าถือขึ้นเครื่องติดตัวเข้าไปด้วยได้ เพราะเช่นนี้หญิงสาวท่าทางทะมัดทะแมงคนนี้จึงสามารถเดินตัวปลิวออกมาได้ทันทีที่ลงจากเครื่อง ไม่ต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองอีกเนื่องจากว่าได้ผ่านด่านที่ลอนดอนมาก่อนแล้ว ฟ้าใสเดินส่ายตาอยู่ครู่เดียวก็เห็นน้องชายเดินตรงรี่เข้ามาหา เมฆไม่เปลี่ยนไปมากนัก ผมยาวขึ้นแต่ตัดทรงเข้าสมัย แต่สงสัยว่านายเมฆจะเล่นกล้ามหรือกีฬาอะไรสักอย่างเพราะร่างกายดูจะกำยำขึ้นกว่าเดิมมาก ซ้ำยังรู้สึกว่าผิวจะคลํ้าขึ้นด้วย ฟ้าใสอดทักแกมแซวไม่ได้

     “โอ้โห... เจอกันคราวนี้ฟิตเปรี๊ยตเชียวนะ มีแฟนไม่บอกกันมั่งหรือไง”

     “แหม... เจอกันคราวที่แล้วก็ทักว่าผอมเหมือนกุ้งแห้ง ไม่มีราศี เรารึก็อยากจะมาดแมนจะได้ดูดีขึ้นบ้าง ก็ดันมาหาว่าเรามีฟงมีแฟนเสียอีก แล้วไงพี่ฟ้า... นั่งเครื่องบินมาเหนื่อยมากหรือถึงได้ดูโทรมขนาดนี้ อ้อ... ลืมไปว่าพี่ฟ้าไม่ชอบแต่งหน้าแต่ชอบสวยธรรมชาติ ก็เลยดูเหมือนโทรม” เมฆร่ายออกมายืดยาว แต่ฟ้าใสชินกับฝีปากน้องชายเสียแล้วจึงไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไร เพียงแต่ปลดเป้ลงแล้วยื่นส่งไปให้น้องชาย เมฆรู้หน้าที่จึงรับเป้มาแบกให้แต่โดยดีแล้วพากันเดินออกไป ระหว่างนั้นฟ้าใสก็ถามน้องชายว่า

     “แล้วนี่เมฆเช่ารถมารับพี่เหรอ หรือต้องนั่งรถเมล์ไป”

     “ยืมรถรูมเมทมาน่ะ ขี้เกียจเช่ารถ” เมฆหมายถึงเพื่อนที่เช่าบ้านพักแชร์อยู่ร่วมกัน

     “อ้าว... แล้วนี่เขาไม่ว่าอะไรเหรอ นายนี่แย่จริง ๆ ไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจชาวบ้านเขาเลยนะ เที่ยวได้เอาของคนอื่นมาใช้แบบนี้” ฟ้าใสท้าวสะเอวสั่งสอนผู้เป็นน้อง

     “โอ๊ย... พี่ฟ้า... มาถึงก็ด่าฉอด ๆ เลยนะ ศรณ์เขาไม่งกของขนาดนั้นหรอก พูดมากนักเดี๋ยวก็ให้โหนรถเมล์ไปคนเดียวเสียเลยนี่” เมฆขู่พี่สาว

     “ถึงเขาจะไม่งกแต่ก็ต้องเกรงใจเขาบ้าง ไม่ไหวเลยนะนายนี่” ฟ้าใสส่ายหน้าบ่นกระปอดกระแปด ไม่กลัวหรอกคำขู่ลอยๆ ของน้องชาย นายเมฆเคยปล่อยให้เธอลำบากเสียที่ไหน

     สองพี่น้องเดินออกมาจากตัวอาคารของสนามบิน อากาศภายนอกในเดือนธันวาคมหนาวจนสาวเมืองร้อนอย่างเธอต้องกระชับเสื้อโค้ทเข้ากับตัว เมื่อข้ามถนนไปอีกฟากก็ถึงลานจอดรถ เดินครู่เดียวก็มาถึงรถจี๊ปสีดำ

     เมฆพาพี่สาวนั่งรถบึ่งกลับไปบ้านที่เขาเช่าอยู่กับเพื่อนที่เป็นคนไทยด้วยกัน ระหว่างทางฟ้าใสมองอะไรไม่เห็นมากนักเพราะภายนอกค่อนข้างมืด ถึงแม้ว่าเวลาขณะนี้ยังเป็นเวลาแค่หกโมงเย็นแต่ฤดูหนาวของประเทศทางเหนือนี้มืดเร็วสว่างช้า ขับรถได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งเพราะแวะทานอาหารเย็นง่าย ๆ ข้างทางด้วย เมฆก็พารถมาจอดหน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในเขตเงียบ ๆ ของเมืองที่ชื่อว่าลีดส์ บ้านเช่าหลังนี้เป็นบ้านสองชั้นทําด้วยอิฐสีแดง แสงไฟหน้าบ้านสว่างพอที่จะทำให้เห็นสวนดอกไม้เล็ก ๆ ที่ได้รับการตบแต่งไว้ได้อย่างน่ารัก ฟ้าใสมองอย่างชื่นชม แน่ใจว่าเมฆไม่ใช่คนที่ดูแลสวนนี้อยู่แน่ ๆ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเรียนศิลปะ ซึ่งนายเมฆเคยป่าวประกาศกับหล่อนอย่างหยิ่ง ๆ ว่าชอบทําแต่วาดรูประบายสีอย่างเดียว

     “สวนสวยจัง มีคนมาทำสวนให้เหรอ” ฟ้าใสถามขึ้นลอย ๆ ในขณะที่เมฆกําลังควานหากุญแจบ้าน

     “เปล่า รูมเมทเป็นคนทำ ศรณ์เขาเรียนสถาปัตย์แล้วก็รู้สึกว่าจะถนัดพวกแลนด์สเกปด้วย” เมฆตอบ น้องชายไม่เคยเล่าอะไรเกี่ยวกับศรณ์ให้ฟังมากนัก ฟ้าใสเองก็ไม่เคยถาม รู้เพียงแต่ว่าไม่มีปัญหาอะไรกัน เข้ากันได้ดี เท่านั้นก็โล่งใจ เพราะบางทีเมฆก็เข้ากับคนได้ยาก อย่างพ่อก็คน หรือกับกวินท์ที่ไม่ใช่เข้ากันไม่ได้เหมือนน้ำกับน้ำมัน แต่เข้ากันไม่ได้เหมือนน้ำมันกับไฟเลยทีเดียว เมื่อก่อนฟ้าใสเคยแก้ต่างให้กับตัวเองว่า เหตุที่สองคนนี้เข้ากันไม่ได้คงเป็นเพราะเมฆกับกวินท์อายุห่างกันมากเกินไป หญิงสาวเคยพยายามทำตัวให้เป็นกลางมาโดยตลอด แต่พักหลัง ๆ นี่ หลายต่อหลายครั้งเธอแอบเข้าข้างเมฆ!

     เมื่อไขกุญแจแล้วบิดประตูเปิดเข้าไป สิ่งแรกที่เห็นก็คือห้องนั่งเล่นขนาดปานกลาง มีเอนเตอร์เทนเมนต์เซ็นเตอร์ที่ประกอบด้วยโทรทัศน์จอยักษ์ใหญ่และเครื่องเสียงสเตอริโอพร้อมลําโพงครบชุด แผ่นซีดีวางกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพรมสีนํ้าตาลอ่อน หน้าโทรทัศน์มีโต๊ะรับแขกขนาดเล็ก ใต้โต๊ะมีนิตยสารทั้งไทยและเทศสุมกันเป็นกองใหญ่ ๆ จนล้นออกมากองอยู่ข้างๆ ด้านหลังโต๊ะรับแขกคือโซฟาสีครีมขนาดนั่งได้สามคนตั้งอยู่ และบนโซฟานั้นมีร่างของผู้ชายนายหนึ่ง นอนอ่านหนังสืออยู่ในชุดกางเกงขาสั้นเทียบเข่าสีขาวและเสื้อยืดคอกลมสีเขียวเข้มสวมทับเสื้อแขนยาวอีกที

     “อ้าว... อยู่บ้านเหรอ” เมฆถามคนที่นอนยืดตัวอยู่บนโซฟา

     “อยู่สิ ก็นายเอารถฉันไปใช้นี่นา จะให้ออกไปไหนล่ะ”ชายหนุ่มบนโซฟาตอบพลางลุกขึ้นนั่งแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี

     “ก็นึกว่านกยูงจะมารับไปไหนซะอีก” เมฆว่าแล้วแนะนําพี่สาว “นี่ไงพี่สาวฉัน ชื่อฟ้าใส พี่ฟ้า นี่รูมเมทเมฆชื่อศรณ์” ศรณ์วางหนังสือลงบนโต๊ะกาแฟ ยืนขึ้นแล้วยกมือไหว้อย่างนอบน้อม เล่นเอาฟ้าใสตกใจรับไหว้แทบไม่ทัน

     “โอ๊ย... ไม่ต้องไหว้หรอกค่ะ” ฟ้าใสรีบปราม

ศรณ์ยิ้มกว้างสดใสตอบรับอัธยาศัยจนเห็นฟันเกนิด ๆ สายตาของฟ้าใสจ้องไปที่รอยยิ้มของเขาอย่างอัตโนมัติ เธอเป็นคนแพ้คนยิ้มสวย แล้วนายนี่ก็ดันยิ้มน่ารักชะมัด!แถมนายคนนี้ยังสูงน่าดู นายเมฆว่าสูงแล้วนายนี่กลับสูงกว่า คงเกิน 180 เซนติเมตรแน่ ๆ

     “จะให้ช่วยแบกกระเป๋าไหม” ศรณ์เสนอความช่วยเหลืออย่างมีนํ้าใจ

     “ไม่ต้องหรอก เป้ใบนี้ใบเดียวนี่แหละคือสมบัติทั้งหมดของพี่ฟ้า” เมฆตอบแทนพี่สาว

     “ลุย... เหมือนที่นายเล่าเลย” ศรณ์ว่ายิ้ม ๆ ฟ้าใสหน้าแดง แปลก... ทำไมเธอต้องเขิน... จึงทำได้เพียงหันมาหาเรื่องน้องชาย

     “อะไรกันนายเมฆ... นายเอาเรื่องของพี่ไปปากเสียกับเพื่อนล่ะสิ”

     “อ้าว... ไหนแต่ก่อนชอบว่าเมฆว่าปากดีนักนะ แล้วไหงตอนนี้กลายเป็นว่าเมฆปากเสียไปซะงั้น เอายังไงกันแน่เนี่ยพี่ฟ้า... จะดีหรือเสีย” เมฆโวยวาย

     ศรณ์ขำกับกิริยาของเพื่อนร่วมบ้านแล้วลอบมองผู้เป็นพี่สาว หญิงสาวตาโต ๆ หน้าใส ๆ จมูกรั้นนิด ๆ ผมสีน้ำตาลไหม้ยาวเคลียไหล่ถักเปียเดี่ยว ซึ่งตอนนี้ยุ่งเหยิงนิดหน่อย คงยังไม่ได้จัดทรงมาตั้งแต่ตอนลงมาจากเครื่องบิน ซึ่งสำหรับเขา... ออกจะน่าเอ็นดู... ส่วนการแต่งตัวก็ง่าย ๆ มีเพียงผ้าพันคอไหมพรมสีสด เสื้อยืดแขนยาวสีเทากับโค้ทหนาสีดำ กางเกงขายาวสีขาวกับรองเท้าผ้าใบหนึ่งคู่เท่านั้นเอง มองดูแทบไม่ออกเลยว่าฟ้าใสอายุมากกว่าเขา

     “พี่ฟ้าคงจะเหนื่อย นายพาพี่สาวไปพักก่อนเถอะ ว่าแต่กินอะไรมากันหรือยัง ถ้ายัง ฉันจะทำอะไรง่าย ๆ ให้กินกัน” ศรณ์ถาม

     “แวะกินมาข้างทางแล้วล่ะ” เมฆตอบก่อนหันมาพูดกับพี่สาว “ไป... พี่ฟ้า... อาบน้ำอาบท่าแล้วเข้านอนเถอะ กลิ่นตุ ๆ ลอยมาเชียว”

     ฟ้าใสเอื้อมมือไปใช้มะเหงกเขกหัวน้องชายเบา ๆ แล้วหันมายิ้มให้ศรณ์อย่างขอตัวก่อนตามน้องชายขึ้นไปข้างบน ศรณ์ยิ้มตอบและยังยิ้มค้างอยู่จนสองพี่น้องเดินลับตาไป

 

     เมฆมีความจำเป็นที่ต้องออกจากบ้านแต่เช้าในวันรุ่งขึ้นเพราะต้องไปพบอาจารย์เรื่องรายงานที่ยังค้างอยู่ ส่วนศรณ์นั้นว่างทั้งวันจึงรับอาสาเป็นคนนำฟ้าใสเที่ยวรอบเมือง ศรณ์พาฟ้าใสขับรถรอบเมืองก่อนพาไปเดินตลาดเคิร์กเกทตามคําขอของฟ้าใส เคิร์กเกท เป็นตลาดในร่มที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป มีร้านรวงที่ขายสินค้านานาชนิด คล้าย ๆ กับตลาดนัด ตัวอาคารเป็นตึกสไตล์เอดเวิร์ดเดียน ดูโออ่าอลังการเกินหน้าเกินตาตลาดธรรมดา ฟ้าใสควักกล้องถ่ายรูปออกมากดแชะ ๆ ถ่ายมุมนี้เสร็จก็ถลาวิ่งไปถ่ายมุมโน้น จนศรณ์แทบต้องคว้าคอเสื้อฟ้าใสในบางคราเพราะเธอเล่นวิ่งโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ เล่นเอาศรณ์หวาดเสียวกลัวหญิงสาวจะโดนรถเฉี่ยวแล้วเขาจะไม่มีพี่สาวเอากลับไปคืนให้เพื่อนร่วมบ้าน

     “พี่ฟ้าชอบถ่ายรูปเหรอ” ศรณ์ชวนคุย

     “ชอบมาก... แต่ไม่เคยมีโอกาสได้เรียนเป็นชิ้นเป็นอันหรอก มือสมัครเล่นน่ะ”

     “มา... พี่ฟ้าไปยืนตรงนู้น ผมถ่ายให้” พูดแล้วศรณ์ก็ยื่นมือไปจะคว้าเอากล้องถ่ายรูปจากในมือของฟ้าใส แต่ฟ้าใสกลับเอี้ยวตัวไม่ให้ศรณ์ดึงเอากล้องไป

     “ไม่เอา พี่ไม่ชอบถูกถ่ายรูป”

     “อ้าว... ทำไมล่ะครับ”

     “ก็ไม่ใช่คนสวยนี่ เห็นรูปตัวเองแล้วเขิน แต่พี่ชอบถ่ายให้คนอื่นนะ ศรณ์ยืนตรงนั้นสิ” ฟ้าใสชี้ไปที่มุมสวยมุมหนึ่ง

     ศรณ์มองผู้หญิงตรงหน้า ทำไมไม่รู้แต่จู่ ๆ เขานึกอยากแกล้งเธอขึ้นมาเฉย ๆ เลยแสร้งทำเป็นเห็นว่าฟ้าใสกำลังยืนขวางทางคนอื่นอยู่ เขาจับไหล่แล้วดึงเธอเข้ามาหาตัวแล้วหมุนตัวหญิงสาว ส่วนอีกมือก็ยกมือถือตัวเองขึ้นมากด …แชะ… ได้รูปคู่ที่มีผู้ชายยิ้มระรื่นอย่างซุกซนกับผู้หญิงหน้าเหวอ ๆ ฟ้าใสงงอ้าปากค้าง ส่วนศรณ์หัวเราะร่วน

     “เป๊ะมาก... รูปนี้ต้องขยาย”

     “ศรณ์!” ฟ้าใสขี้นเสียงสูง “แกล้งกันชัด ๆ นี่”

     “ขอโทษคร้าบ” น้ำเสียงขี้เล่นนั้นไม่ส่อถึงความรู้สึกผิดแต่อย่างใด เขายกโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูรูปที่เพิ่งถ่ายไปอีกที ถ่างรูปขยายให้เห็นชัดแล้วทำเป็นรำพึงรำพันกับจอโทรศัพท์ว่า “เอ... ไหนว่าไม่สวย... น่ารักออกจะตาย”

     “บ้า... ลบเดี๋ยวนี้เลยนะ” ฟ้าใสทำตาเขียวใส่ ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วก็อยากขำไปกับเพื่อนของน้องชาย

     “ไม่ลบ ผมชอบของผมนี่” ศรณ์ว่ายิ้ม ๆ และถึงแม้ว่าฟ้าใสจะทั้งอ้อนทั้งขู่ ศรณ์ก็ยังยืนกรานที่จะไม่ลบภาพ ฟ้าใสจึงทำได้เพียงถอนหายใจ ส่ายหน้า แล้วก็ต้องยอมจำนนไปตามระเบียบ

     ครั้นศรณ์พาฟ้าใสเข้าไปในตัวตลาดได้ไม่ทันไร ฟ้าใสก็เข้าไปตีสนิทคุณลุงขายผักร้านหนื่ง คุยด้วยหน่อยเดียว คุณลุงก็ยอมตกลงเป็นดาราหน้ากล้องให้ฟ้าใสถ่ายรูปเป็นยกใหญ่ เมื่อถ่ายได้จุใจฟ้าใสแล้ว ศรณ์เห็นเธอควักเอาอะไรสักอย่างออกจากกระเป๋าสตางค์แล้วส่งให้คุณลุง คุณลุงส่ายหน้าปฎิเสธพัลวัน แต่ฟ้าใสไม่ย่อท้อ จนคุณลุงต้องยอมรับของกํานัลชิ้นนั้นด้วยใบหน้าเบิกบานและด้วยรอยยิ้มละไม

     “พี่ฟ้าให้อะไรคุณลุงน่ะ”

     “เหรียญบาทไทยน่ะ... เวลาเที่ยวต่างประเทศแล้วเจอคนใจดีหรือช่วยเหลืออะไรพี่ พี่ก็จะให้ของเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเมืองไทยเป็นที่ระลึกแล้วก็เพื่อตอบแทนนํ้าใจ อีกอย่าง... จะได้ช่วยโฆษณาเมืองไทยไปในตัวด้วยไง” ฟ้าใสอธิบายเสร็จศรณ์ก็แบมือแล้วจ้องหล่อน

     “อะไรเหรอ” ฟ้าใสถามงง ๆ

     “ของที่ระลึกผมล่ะ อุตส่าห์ใจดีพามาเที่ยวนี่ไง” ศรณ์ว่ายิ้ม ๆ

     “ของฝากศรณ์น่ะอยู่ที่บ้านจ้ะ แหม... พี่มาพักบ้านศรณ์หลายวัน พี่จะใจจืดใจดําไม่เอาของฝากมาให้เจ้าของบ้านได้ไง เดี๋ยวก็ตีมือเสียเลยนี่” ฟ้าใสขู่ ศรณ์รีบหดมือกลับไป ยิ้มแหย ๆ แล้วพูดขึ้นว่า

     “ล้อเล่นน่ะพี่ฟ้า แหม... ผมไม่มักได้ขนาดนั้นหรอก”

     “เดี๋ยวเราหาอะไรทานแถวนี้ได้ไหม พี่เริ่มหิวแล้วล่ะ” ฟ้าใสชวน

     “ได้ครับ เออ... ว่าแต่...” ศรณ์เว้นไปนิดหนึ่งก่อนถามขี้นด้วยน้ำเสียงและหน้าตาที่ซีเรียสว่า “จะว่าอะไรไหมถ้าผมจะขอเรียกพี่ว่าฟ้าใสเฉยๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่ให้ความเคารพนะ คือ... ผมรู้สึกจั๊กกะจี้ยังไงก็ไม่รู้ที่ต้องเรียกพี่ว่าพี่น่ะ” ศรณ์รีบออกตัวพลางทำหน้าแหย ๆ กลัวถูกผู้หญิงตัวเล็ก ๆ หน้าเด็ก ๆ คนนี้หาว่าเขาไม่มีสัมมาคารวะ

     “โธ่... นึกว่าอะไร...” ฟ้าใสหัวเราะ “อยากเรียกอย่างนั้นก็เรียกสิ”

     “ขอบคุณครับ” ศรณ์มองหญิงสาวตรง ๆ ยิ้ม ๆ “เออ... ชื่อว่าฟ้าใสนี่เหมาะกับตัวฟ้าใสดีนะ พ่อแม่เข้าใจตั้ง”

     “เหมาะยังไง”

     “ก็เป็นชื่อน่ารัก เรียบง่าย คลาสสิก มีความหมายชัดเจน แล้วหน้าก็ใส ๆ ตาใส ๆ”

     “โอ้โห... ไม่ยักรู้ว่าศรณ์เป็นนักวิเคราะห์ชื่อ” ฟ้าใสว่าพลางเดินตามศรณ์เข้าไปในคาเฟ่เล็ก ๆ ที่ตบแต่งได้อย่างน่ารักและมีสเน่ห์ “แล้วชื่อตัวเองล่ะเหมาะกับตัวเองไหม” ฟ้าใสย้อนถาม

     “อืม... อันนี้ผมก็ไม่แน่ใจนะ รู้แต่ว่าความหมายของชื่อผมก็คือ ที่พึ่ง ผมเป็นลูกชายคนเดียว คุณพ่อคุณแม่ผมคงอยากให้ผมเป็นที่พึ่งให้เขาตอนแก่ละมั้ง” ศรณ์เดาเล่น ๆ ก่อนหันมาถามผู้หญิงข้างตัวอย่างทีเล่นทีจริงว่า “แล้วฟ้าใสว่าผมจะพอเป็นที่พึ่งให้ใครได้ไหม” ฟ้าใสอึ้งไปนิดหนึ่งก่อนยิ้มเศร้า ๆ ศรณ์คงไม่รู้ว่าคำว่า “ที่พึ่ง” นั้นเป็นคำที่เธอแสวงหามันมากเพียงใด แม้จะนึกแปลกใจที่จู่ ๆ ฟ้าใสก็ยิ้มเศร้าขึ้นมาอย่างนั้น ศรณ์ก็ฉลาดพอที่จะเลี่ยงที่จะถามหรือพูดอะไรต่อ ชายหนุ่มเพียงแต่พาเธอเข้าไปนั่งที่โต๊ะ เลือกโต๊ะติดหน้าต่างเพราะจะทำให้เห็นบรรยากาศภายนอกได้อย่างดี

     วันนั้นทั้งวัน ศรณ์พาฟ้าใสเที่ยวจุดสําคัญต่าง ๆ ของเมือง แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะชอบเดินตลาดที่สุด โดยให้เหตุผลว่า

     “ฉันว่าตลาดสดของแต่ละประเทศแต่ละเมืองน่าสนใจเพราะเป็นจุดรวมของชาวบ้านธรรมดาที่มาจับจ่ายซื้อของ ฉันว่ามันทําให้เราได้เห็นการใช้ชีวิตประจําวันของคนพื้นเมือง ไม่ใช่เห็นแต่แหล่งช้อปปิ้งที่มีแต่นักท่องเที่ยว”  

     ฟ้าใสเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเอง เพราะในเมื่อศรณ์ตัดคำว่า “พี่” นำหน้าเวลาพูดกับเธอ ฟ้าใสเองก็แทนตัวเองว่า “ฉัน” ไม่ใช่ “พี่” อย่างตอนแรกเช่นกัน

     และนักท่องเที่ยวคนนี้ก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่า วันนี้เป็นวันที่สนุกอย่างที่ไม่ได้สนุกมานานเลยทีเดียว...

     ศรณ์และฟ้าใสกลับมาถึงบ้านตอนเย็น เห็นรถบีเอ็มดับบลิวสีแดงเพลิงจอดรออยู่แล้ว คนทั้งคู่เดินเข้าบ้านไปปะทะเอากับกลิ่นหอมของอาหารไทย เมฆนอนหนุนหมอนใบใหญ่ดูโทรทัศน์รายการข่าวบีบีซี ส่วนในครัวมีร่างของสาวน้อยที่ง่วนทําอาหารอยู่

     “อุ๊ย... กลับกันมาแล้ว” เสียงอุทานมาจากสาวน้อยในครัวที่อยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนสีชมพู มีรูปตัวกระต่ายสีขาวหูยาวบนผ้ากันเปื้อน

     “โอ้โห... วันนี้มีอะไรพิเศษถึงได้ลงมือทํากับข้าว กลิ่นหอมฟุ้งเชียว” ศรณ์ทักพลางทำจมูกฟุดฟิด

     “ก็เลี้ยงต้อนรับพี่สาวของเมฆไง เนี่ย... นกยูงทำแกงจืดที่ศรณ์ชอบ ทอดมันปลาที่เมฆชอบ ยําเนื้อ แล้วก็ต้มข่าไก่ที่เมฆเล่าว่าพี่สาวชอบสุดขีด” สาวน้อยยิ้มหวาน

     “นกยูง... นี่พี่สาวฉันชื่อฟ้าใส พี่ฟ้า... นี่ไงนกยูง แฟนนายศรณ์” เมฆแนะนำคนทั้งสอง

     “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” ฟ้าใสยิ้มหวานให้สาวน้อยในครัวแล้วมองดูหญิงสาวอย่างพึงพอใจ นกยูงมีชื่อจริงว่ามยุรีและเป็นผู้หญิงสวยสไตล์นางแบบ คือ สูง ร่างเพรียว ผมยาวดัดเป็นคลื่น แต่ตอนนี้ถูกมัดรวบเป็นมวย มีปอยผมตกลงมาเคลียแก้มอย่างน่าเอ็นดู ตาคมเข้ม ริมฝีปากเต็มอิ่ม มองมยุรีแล้วอดคิดไม่ได้ว่าเธอน่าจะไปเดินโชว์หุ่นตามแค้ทวอร์คมากกว่ามายืนทํากับข้าวในครัวในชุดผ้ากันเปื้อนลายกระต่าย!

     มยุรีปราดเข้ามากอดฟ้าใสราวกับรู้จักกันมานาน

     “ดีใจจังค่ะที่ได้พบตัวจริง นกยูงได้อ่านนิยายที่พี่ฟ้าเขียนด้วยนะคะ” นกยูงชี่นชมเสียงแจ้ว “เมฆเขาเป็นคนเอามาให้อ่าน อวดใหญ่ว่าพี่สาวเขาเป็นคนเขียน เมฆเขาภาคภูมิใจในตัวพี่ฟ้ามากนะคะ”

     “น้อย ๆ หน่อยยายนกยูง ไม่ถึงขนาดนั้น” เมฆหันมาแย้งตาขุ่น “ก็ตอนนั้นเธอบ่นกระปอดกระแปดว่าคิดถึงบ้าน อยากอ่านหนังสือที่เป็นภาษาไทย นิยายออนไลน์ก็ไม่สนุก นักเขียนชื่อดังหรือก็อ่านหมดแล้ว แล้วพอดีฉันมีนิยายที่พี่ฟ้าเขาส่งมาให้ก็เลยให้เธอลองเอาไปอ่าน มันก็แค่นั้น” เมฆอธิบายยืดยาวอย่างร้อนตัวจนศรณ์ต้องแอบอมยิ้ม จะตายไหมนายเมฆถ้าจะให้พี่สาวรู้ว่านายรักและภูมิใจในตัวพี่สาวขนาดไหน

     “เหรอคะ... แล้วชอบไหมคะ” ฟ้าใสถามความเห็น เขินและกลัวกับคำวิพากษ์วิจาร์ณเหมือนกันนะ เพราะเด็กคนนี้ดูเหมือนจะเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่คิดยังไงก็จะพูดออกไปตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม

     “ชอบค่ะ อ่านสนุก เนื้อเรื่องก็น่ารัก” ฟ้าใสหน้ารื่น ในขณะที่มยุรีพูดต่อว่า “แต่พระเอกดูจะเป็นคนจืด ๆ ไปหน่อยนะคะ” คราวนี้ฟ้าใสเริ่มหน้าเจื่อน แต่มยุรีคงไม่ทันสังเกตเพราะยังถามต่อเอาดื้อ ๆ ว่า “เอ... หรือว่าพี่ฟ้าชอบคนจืด ๆ เป็นการส่วนตัวคะ พระเอกของเรื่องถึงได้ออกมาลักษณะนี้”

     ฟ้าใสไม่ทันได้ตอบ หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือยังงง ๆ ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ศรณ์ที่กำลังจัดอาหารใส่จานอยู่ในครัวก็ดุเสียงเข้มขึ้นมาว่า

     “มากไปแล้วนกยูง เกรงใจพี่ฟ้าเขาบ้าง” ศรณ์หันมาเรียกฟ้าใสตามยศเมื่อยู่ต่อหน้าคนอื่น

     “ไม่เป็นไรค่ะ” ฟ้าใสรีบพูดแล้วหันมาบอกกับนกยูงว่า “ชอบสิคะคนจืด ๆ เรียบง่าย ไม่เรื่องมาก สบายใจดี”

     เมฆผิวปากวิ้วขึ้นมาทันที

     “เหรอ... เมฆไม่ยักรู้ว่าพี่ฟ้าชอบคนจืด ๆ นึกว่าชอบแต่คนดูไม่จืดซะอีก” ฟ้าใสทำตาขวางใส่น้องชาย แต่ก็ศรณ์อีกแหละที่เป็นคนขัดจังหวะขึ้นมาว่า

     “เมฆ... ว่างมากใช่ไหม งั้นมานี่เลย... ถ้าไม่มีอะไรทำก็มาช่วยกันจัดโต๊ะหน่อย นอนเล่นอยู่ได้”

     ฟ้าใสแลบลิ้นใส่น้องชายอย่างเป็นต่อ ในขณะที่เมฆทำหน้าหงิกแต่ก็จำยอมลุกขึ้นมาช่วยศรณ์จัดอาหารขึ้นโต๊ะโดยดี ส่วนมยุรีได้แต่ยืนหัวเราะอยู่ข้าง ๆ ฟ้าใส

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา