รอวันฟ้าใส
เขียนโดย จาริน
วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 12.03 น.
แก้ไขเมื่อ 26 มกราคม พ.ศ. 2561 13.05 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ขอ... ไม่ขอ...
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ฟ้าใสเรียนจบและเข้าทำงานมาสามปีแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าแต่งตัวแต่งหน้าไม่ค่อยเป็นอยู่เลย ปกติเธอก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้มากนัก... แต่วันสำคัญแบบนี้เธอคงต้องพยายามดูดีหน่อย
หญิงสาวหมุนตัว ตรวจเช็คเสื้อผ้าหน้าผมผ่านกระจกบานใหญ่ในห้องชุดสุดหรูของคอนโดทันสมัยที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองนั้นอีกครั้ง
“ก็ไม่ได้แย่...” ฟ้าใสพึมพำปลอบใจตัวเอง ชุดเดรสผ้านุ่มพลิ้วสีเหลืองเลม่อนขับให้ผิวขาว ๆ ของเธอดูสดใสขึ้น ผมสีน้ำตาลแก่เป็นมันวาวปล่อยยาวประบ่า ไม่รวบมันลวก ๆ เป็นหางม้าหรือถักเปียง่าย ๆ อย่างเวลาปกติ เครื่องประดับมีเพียงสร้อยคอที่มีจี้ไข่มุกที่เจ้าของห้องเป็นคนให้เธอเมื่อวันเกิดปีที่แล้ว
ถ้าเพียงแต่เขาจะให้แหวนกับเธอเสียที...
ฟ้าใสเดินลึกเข้าไปในห้องที่ตบแต่งไว้อย่างเรียบง่าย ไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรือสัมภาระอะไรมากนัก ทว่าของแต่ละชิ้นที่มีเป็นของแบรนด์เนมราคาสูง หญิงสาวตรงเข้าไปในห้องครัวแล้วจัดแจงหยิบวัตถุดิบต่าง ๆ ออกจากตู้เย็นเพื่อที่จะเตรียมตัวทำสปาเกตตีคาร์โบนาร่ากับสลัดง่าย ๆ แม้จะไม่ใช่คนที่ทำอาหารเก่งนัก แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันครบรอบห้าปีที่เธอกับเจ้าของห้องคบกัน หญิงสาวจึงอยากที่จะทำอะไรพิเศษสักหน่อย เธอเริ่มต้มน้ำสำหรับลวงเส้นสปาเกตตีพลางเหลือบตาดูนาฬิกาที่ข้างฝา เห็นว่าในภาวะปกติ เจ้าของห้องน่าที่จะกลับถึงบ้านในอีกไม่เกินสิบห้าหรือยี่สิบนาที ทันใดนั้นเองโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล”
“ฟ้า นี่พี่นะ ตอนนี้ถึงบ้านพี่หรือยัง” เสียงของผู้ชายดังมาตามสาย
“ถึงได้สักครู่แล้วค่ะ ตอนนี้กำลังจะทำกับข้าวรอพี่วินอยู่”
“โอเค พี่แค่โทรมาบอกว่าพี่คงกลับสายหน่อย คงจะอีกประมาณเกือบ ๆ ชั่วโมงกว่าจะถึงบ้าน” แฟนหนุ่มที่หญิงสาวเรียกว่า “พี่วิน” หรือกวินท์นั้น บอกโดยไม่ให้สาเหตุหรือคำขอโทษ ทว่าเธอเคยชินเสียแล้วกับวิสัยเช่นนี้ของเขาจึงรับคำเพียงว่า
“ค่ะ”
“ถ้าหิวก็กินอะไรรองท้องไปก่อนก็ได้นะ”
“ค่ะ”
วางหูโทรศัพท์ไปแล้ว ฟ้าใสก็เดินอย่างเนือย ๆ ไปที่ห้องครัวอีกครั้ง เส้นสปาเกตตีคงเอาไว้รอต้มหลังจากกวินท์กลับมา ลงมือทำสลัดกับซอสขาวก่อนเลยละกัน เธอจัดการผัดกระเทียมลงในน้ำมันมะกอกตาม ด้วยหัวหอม เห็ด และเบคอนที่หั่นเอาไว้แล้วเมื่อสักครู่ จากนั้นก็ถือวิสาสะเปิดตู้แช่ไวน์ ซึ่งกวินท์มีเก็บไว้หลายขวดทีเดียว หยิบไวน์ขาวออกมาขวดหนึ่ง อ่านฉลากบนขวดดูก็ไม่เข้าใจหรอก รู้แต่ว่าเป็นไวน์ขาวจากฝรั่งเศส หญิงสาวเปิดขวดแล้วเทไวน์คลุกในกะทะกับครีมขาวและไข่ไก่ เพิ่มรสชาติด้วยเกลือและพริกไทยเท่านั้น เป็นสูตรที่ไม่ยากนักเพราะฟ้าใสก็มีปัญญาทำได้ไม่มากกว่านี้ ทว่าถึงแม้จะง่ายและเร็ว แต่เวลาเอาซอสมาราดหน้าเส้นสปาเกตตีที่ใช้ส้อมเอามากองให้พูนอยู่บนจานสวย ๆ ก็ทำให้ดูหรูขึ้นมาได้เหมือนกัน คิดได้อย่างนั้น ฟ้าใสก็อดยิ้มภูมิใจในฝีมือตัวเองขึ้นมาไม่ได้
ยังมีเวลาเหลืออีกพอสมควร หญิงสาวเริ่มอึดอัดกับชุดกระโปรงที่สวมอยู่ พลันนึกอยากค้นเอาเสื้อเชิ้ตหรือเสื้อยืดตัวยาว ๆ ของกวินท์มาใส่ แต่ก็ไม่กล้าเพราะรู้ว่าเขาไม่ชอบใช้ของส่วนตัวร่วมกับใคร เธอเคยทำเช่นนั้นครั้งเดียวก็โดนเอ็ดตะโรเสียใหญ่โต ฟ้าใสทิ้งตัวลงบนโซฟาที่ตั้งในส่วนที่จัดเป็นห้องนั่งเล่นแล้วหยิบเอากล่องของขวัญที่ตั้งใจจะให้แฟนหนุ่มเนื่องในโอกาสสำคัญวันนี้ออกมาจากกระเป๋า ของขวัญที่เลือกคือปากกายี่ห้อหรูที่เคลือบทองคำขาว ตอนซื้อเธอคิดเล่น ๆ ว่าจะสลักชื่อของกวินท์ลงบนแท่งปากกาแต่ก็เปลี่ยนใจ รู้ดีว่าแฟนหนุ่มจะไม่ชอบเพราะมันดูเหมือนทำเป็นเล่นเกินไป
ชายหนุ่มร่างโปร่งในชุดสูทสีเทาเดินเข้ามาในห้องในเวลาไม่ขาดไม่เกินไปเท่าไหร่ตามที่ได้บอกไว้ในโทรศัพท์ เขาทักแฟนสาวที่ขณะนี้กำลังง่วนอยู่ในครัวแล้วถาม
“วันนี้มีอะไรกินบ้าง”
“ฟ้าทำสปาเก็ตตี้คาร์โบนาร่ากับสลัดค่ะ จวนเสร็จพอดี พี่วินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวฟ้าจะตั้งโต๊ะเลย”
“โอเค”
กวินท์กลับออกมาด้วยเสื้อผ้าที่ดูสบายตัวขึ้น เดินอ้อมมาหอมแก้มหญิงสาวที่กำลังวางช้อนส้อมลงบนโต๊ะอาหารแล้วพูดเบา ๆ ที่ข้างหูว่า
“หอมจัง”
“อะไรหอมคะ” ฟ้าใสหันมาถามยิ้ม ๆ
“ก็สปาเก็ตตี้เนื้อนุ่มนี่ไง หอม” กวินท์ยิ้มตอบพลางใช้นิ้วเกลี่ยแก้มหญิงสาวเบาๆ แล้วยื่นกล่องเล็กๆ ที่เมื่อครู่คงซ่อนไว้ในอุ้งมือ “สุขสันต์วันครบรอบห้าปีที่คบกันมาครับ”
“ขอบคุณค่ะ” ฟ้าใสยิ้มกว้าง รอยยิ้มแบบนี้และความใส ๆ ของหญิงสาวเบื้องหน้าเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้กวินท์ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของเธอที่มหาวิทยาลัยสนใจและเข้ามาจีบจนได้คบหากันในที่สุด ตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนนั้นระยิบกับของขวัญในมือเมื่อแกะกระดาษห่อแล้วเห็นว่าเป็นกล่องกำมะหยี่ อึดใจหนึ่งอดคิดไม่ได้ว่าอาจจะเป็นแหวนหมั้น เพราะครบรอบห้าปีนี่ก็เลขสวยอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อเปิดฝากล่องแล้วเห็นว่าเป็นต่างหูมรกตสีเขียวเข้มขนาดกะทัดรัด ล้อมรอบด้วยเพชรน้ำงามเม็ดเล็ก ๆ ฟ้าใสก็ลืมที่จะผิดหวังแต่กลับต้องเผลอตัวอุทานหน้าเหวอ
“พี่วิน... ฟ้าไม่ได้เจาะหู!”
“อ้าวเหรอ... งั้นก็ไปเจาะซะ” คำตอบไม่สะทกสะท้านหรือแสดงความเดือดร้อนใด ๆ “พี่กำลังคิดอยู่พอดีว่าฟ้าควรจะเริ่มใส่ใจกับพวกเครื่องสำอางกับเครื่องประดับได้แล้ว อายุก็ปูนนี้แล้ว แต่ไม่ต้องมากนะ เอาให้แค่ดูดี ดูเป็นผู้ใหญ่ แล้วก็ให้เรียบร้อย”
ฟ้าใสลอบถอนหายใจเบา ๆ อารมณ์ไม่ค่อยชื่นบานสักเท่าไหร่อีกต่อไป พักหลังนี่ดูเหมือนกวินท์จะจู้จี้จุกจิกกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับเธอมากขึ้นทุกวัน ฟ้าใสพยายามทำใจให้สบายแล้วหยิบเอากล่องของขวัญที่เตรียมไว้ยื่นให้
“แฮปปี้แอนนิเวอร์ซารี่ค่ะพี่วิน”
ชายหนุ่มแกะกล่องของขวัญ หยิบปากกาเรือนสวยนั้นขึ้นมาพินิจ เขายิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นว่าเป็นปากกายี่ห้อดังก่อนเก็บกลับเข้ากล่องไป กวินท์วางกล่องลงบนเคาน์เตอร์ที่กั้นระหว่างห้องครัวกับส่วนที่วางโต๊ะรับประทานอาหารแล้วบอกว่า
“เรามากินกันดีกว่า เดี๋ยวจะเย็นชืดเสียหมด”
ฟ้าใสหายเข้าไปในครัวเพื่อหยิบเอาขวดไวน์ขาวที่ใช้ทำครีมขาวเมื่อครู่พร้อมแก้วไวน์สองแก้วออกมาวางที่โต๊ะ กวินท์จ้องไปที่ขวดไวน์แล้วถามขึ้นเสียงเข้มทันทีว่า
“ฟ้าเปิดไวน์ขวดนี้เหรอ”
“ค่ะ... ฟ้าเอามาใช้ทำครีมขาว เห็นว่าเหลือก็เลยเอามาให้เราดื่มฉลองกัน... ทำไมคะ”
กวินท์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ทีเดียว
“ฟ้าไม่เห็นหรือไงว่ามันเป็นไวน์ชาร์ดอนเนย์ฝรั่งเศส ขวดนั้นราคาห้าพันกว่าบาทนะ พี่อุตส่าห์เก็บเอาไว้อย่างดี คิดว่าจะรอดื่มในโอกาสพิเศษ...”
ฟ้าใสชักสีหน้าแล้วขัดขึ้น
“แล้ววันนี้ไม่ใช่โอกาสพิเศษเหรอคะ”
กวินท์วางส้อมลงทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้รับประทานเลยสักคำ
“ฟ้า... พี่ไม่ได้หมายความว่าวันนี้ไม่สำคัญ แต่พี่ว่าฟ้าเริ่มคิดเสียหน่อยก็ดีนะว่าไวน์ราคาแพงสมควรเอามาทำซอสสปาเกต็ตี้หรือเปล่า”
ฟ้าใสเงียบไปก่อนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“ฟ้าขอโทษค่ะ... คราวหน้าคราวหลังฟ้าจะตรวจฉลากให้ดี ๆ แล้วเช็คราคาก่อนเอามาใช้สุ่มสี่สุ่มห้านะคะ”
จริง ๆ แล้วฟ้าใสแฝงคำประชดไว้ในคำพูดนั้น ทว่ากวินท์ก็ดูเหมือนจะไม่สนใจหรือไม่รับรู้ เขาเพียงพยักหน้าแล้วลงมือรับประทานอาหารราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฟ้าใสเสียอีกที่หมดอารมณ์จนรู้สึกว่าฝืดคอไปหมด
กวินท์ชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปจนกระทั่งทุกอย่างกลับเข้าสู่ปกติ ฟ้าใสเริ่มผ่อนคลายขึ้น และอาจจะเป็นเพราะแอลกอฮอล์จากไวน์รสชาติยอดเยี่ยมสมราคานั้นออกฤทธิ์ ฟ้าใสจึงปริปากกึ่งแซวกึ่งปรารภถึงสิ่งที่อยู่ในใจออกมาอย่างยิ้มหัวว่า
“รู้ไหมคะว่าตอนฟ้าเห็นกล่องกำมะหยี่ที่พี่วินให้ ฟ้าแอบนึกว่าพี่วินจะซื้อแหวนแล้วขอฟ้าแต่งงานเสียอีก”
กวินท์ชะงัก วางแก้วไวน์ลงแล้วพูดขึ้นมาเรียบ ๆ ว่า
“ฟ้านึกยังไงถึงเอาเรื่องนี้มาพูดอีก... พี่เคยบอกกับฟ้าแล้วใช่ไหมว่าพี่ยังไม่พร้อม...”
ใช่... หญิงสาวเคยถามเขาครั้งหนึ่งเมื่อปีที่แล้วหลังจากที่หลาย ๆ คนรอบตัวเริ่มทักและถามถึงเรื่องอนาคตระหว่างเธอกับกวินท์ วันนั้นฟ้าใสยังพอทำความเข้าใจได้ แต่ในเมื่อเวลาผ่านมาครบปีแล้วกวินท์ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะทำให้ความสัมพันธ์ก้าวหน้าไปกว่าที่เป็นอยู่ ความที่เป็นผู้หญิงก็ทำให้เริ่มหมดความมั่นใจ โดยเฉพาะเมื่อมีหลายเสียงคอยเพียรถามเป็นเสียงเดียวกันว่า “คบกันมาตั้งนาน เมื่อไหร่จะแต่งงานกันเสียที” และเธอก็ให้คำตอบกับคนเหล่านั้นไม่ได้
“แล้วเมื่อไหร่พี่วินจะพร้อมคะ... นี่เราคบกันมาห้าปีแล้วนะคะ... รู้จักกันมาก็หกปี... หรือว่าพี่วินจะปล่อยให้มันเป็นไปตามบุญตามกรรมอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ... ถามจริง ๆ เถอะค่ะ พี่วินเคยคิดจะขอฟ้าแต่งงานไหม” ยิ่งพูดก็ยิ่งหยุดไม่ได้... หญิงสาวไม่ควรดื่มไวน์มากขนาดนี้เลย
กวินท์จ้องแฟนสาวแล้วยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง น้ำเสียงเป็นงานเป็นการราวกับเจ้านายกำลังคุยเรื่องรายงานความประพฤติกับลูกน้อง
“ใช่... พี่ไม่พร้อม... แล้วฟ้าล่ะ ฟ้ามีความพร้อมเป็นผู้ใหญ่เพียงพอแล้วเหรอ ฟ้ายังอยากเป็นนักเขียน ยังเสียเวลาเขียนนิยายเพ้อเจ้ออยู่ใช่ไหม งานสอนภาษาก็เป็นงานกับสถาบันสอนภาษาเล็ก ๆ แถมยังไม่ใช่งานเต็มเวลา พี่เคยบอกแล้วไงว่าถ้าอยากทำอาชีพครูจริง ๆ ก็ให้ไปเรียนต่อปริญญาโทแล้วหางานสอนตามมหาวิทยาลัย ฟ้าเคยฟังพี่สักคำไหม”
“พี่วินหมายความว่าฟ้าต้องเชื่อฟังที่พี่วินพูดทุกอย่าง พี่วินถึงจะคิดจริงจังกับฟ้าเหรอคะ” ฟ้าใสเอะอะ ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้จริง ๆ
“นี่ไง... ก็ฟ้าพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้ไง คิดอะไรพูดอะไรเหมือนเด็กไม่รู้จักโต” กวินท์ขึ้นเสียงแต่แล้วก็สามารถระงับอารมณ์ได้จึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบขึ้นว่า “แล้วถ้าพี่ไม่จริงจังกับฟ้านะ พี่ก็คงเลิกกับฟ้าไปนานแล้ว”
“บางทีพี่วินน่าจะขอเลิกกับฟ้านะ เพราะฟ้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าฟ้าจะเปลี่ยนความคิดหรือนิสัยตัวเองให้เป็นไปตามความต้องการของพี่วินได้ทุกประการหรือเปล่า” ฟ้าใสกระแทกเสียง
คนทั้งคู่นั่งเงียบกันไปตลอดเส้นทางที่กวินท์พาแฟนสาวกลับไปส่งที่บ้าน กวินท์ออกรถกลับไปแล้ว เหลือฟ้าใสที่ยืนอยู่หน้าบ้านตัวเอง ตัวบ้านมืดสนิท หญิงสาวยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา ใกล้สี่ทุ่มแล้ว... บิดาของเธอยังไม่กลับบ้าน... หญิงสาวก้าวเข้าไปในบ้านอย่างหงอย ๆ แล้วเปิดไฟในบ้านทุกดวงจนสว่างจ้า เปิดโทรทัศน์เสียงดังแล้วนั่งดูอยู่อย่างนั้นทั้ง ๆ ที่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจกับรายการบนจอเลย ฟ้าใสคิดถึงน้องชายคนเดียวของตัวเองขึ้นมาตงิด ๆ สามปีกว่าแล้วที่บ้านเงียบขึ้นอย่างน่าใจหายหลังจากที่เมฆ น้องชายของเธอ เดินทางไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ประเทศอังกฤษ สมัยที่เมฆยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ถึงแม้ว่าจะเป็นคนติดเพื่อนอย่างเด็กผู้ชายทั่วไป แต่เขามักที่จะกลับบ้านมากินข้าวเย็นพร้อมกับเธออยู่เสมอ บ่อยครั้งที่เธอเองต่างหากที่กลับบ้านดึกกว่าน้องเพราะมีกิจกรรมมากมายที่ต้องทำตอนเรียนมหาวิทยาลัย และการที่มีเมฆอยู่ด้วยในตอนนั้นก็ช่วยทำให้บ้านไม่เงียบเหงามากมายเท่าตอนนี้
และเมื่อรู้สึกว่าโทรทัศน์ไม่ได้ช่วยบรรเทาความเหงาได้เลย ฟ้าใสก็เดินขึ้นชั้นบนโดยไม่ลืมที่จะปิดโทรทัศน์และปิดไฟทุกดวงในบ้าน เหลือเพียงไฟด้านนอกที่เปิดทิ้งไว้สำหรับตอนบิดากลับบ้านเท่านั้น เสร็จจากการอาบน้ำชำระร่างกายแล้ว ฟ้าใสก็กลับมานั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ นิยายที่เธอเขียนค้างไว้เปิดหราอยู่บนโต๊ะ นักเขียนมือใหม่คนนี้ยังนิยมที่จะเขียนนิยายด้วยปากกาและกระดาษมากกว่าพิมพ์ตรงลงคอมพิวเตอร์ อย่างน้อยก็ในการเขียนขั้นแรกก่อนขัดเกลา จริง ๆ เธอยังเป็นสาวที่ค่อนข้างจะโลเทคกว่าคนทั่วไป ขนาดโทรศัพท์มือถือที่ใช้อยู่นั้นก็มีใช้เพราะแฟนหนุ่มเป็นคนคะยั้นคะยอให้ใช้มากเสียกว่าเจ้าตัวจะต้องการเอง ฟ้าใสหยิบแผ่นกระดาษของย่อหน้าที่เขียนค้างไว้มาอ่านทวนอีกครั้ง
มุกธิดาพยายามข่มใจไม่เหลียวหลังกลับไปมอง แต่แล้วหล่อนก็ต้องพ่ายแพ้แก่ใจตัวเอง บอกกับตัวเองว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่หล่อนจะอ่อนแอ... ต่อไปนี้หล่อนจะเข้มแข็ง... ขอมองหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหล่อนกับเขาจะขาดกัน ทว่าเมื่อหล่อนหันกลับไป หล่อนเห็นเพียงความมืดมิดของราตรี มีเพียงแสงไฟรีบหรี่จากริมทางส่องสีขาวนวลฝ่ากระแสนํ้าฝนที่หลั่งลงมาจากฟ้า ไม่มีเขาที่ตรงนั้น... บัดนี้ สายฝนกับหยาดนํ้าตาของหญิงสาวรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกัน และร่วงลงสู่พื้นพสุธา
“โอ๊ย... เขียนอะไรห่วยแตกอย่างนี้... ไม่โรแมนติกเล้ย” หญิงสาวด่าตัวเองออกมาดัง ๆ ฝ่าความเงียบสงัดของยามดึก ขยุ้มแผ่นกระดาษจนยับยู่ยี่เป็นก้อนแล้วโยนมันลงถังขยะ หน้าตาหงิกงอด้วยความท้อแท้และไม่ได้ดั่งใจ ช่วยไม่ได้เลยที่คำประณามว่า “นิยายเพ้อเจ้อ” ของกวินท์จะดังก้องในหัวในวินาทีนั้น ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ความมั่นใจในการเขียนนิยายของตัวเองยิ่งสั่นคลอนมากขึ้นไปอีกอย่างที่กวินท์ได้ว่าไว้... ฟ้าใสอยากเป็นนักเขียน... ทว่าเธอยังไม่ประสบความสำเร็จเลยเสียทีเดียวทั้ง ๆ ที่ก็มีผลงานที่ได้รับตีพิมพ์แล้วถึงสองเรื่องด้วยกัน และในขณะนี้ นักเขียนหน้าใหม่คนนี้ก็กําลังขมักเขม้นเขียนตอนจบบริบูรณ์ของนิยายแนวรักโรแมนติกเพื่อที่จะส่งให้สำนักพิมพ์พิจารณา ฟ้าใสกำลังพยายามเขียนให้นิยายจบลงด้วยความไม่สมหวังเพราะเธอเชื่อว่านวนิยายที่เป็นอมตะนั้น ส่วนมากจะเป็นโศกนาฎกรรมด้วยกันทั้งสิ้น ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น โรมิโอกับจูเลียตของเชกสเปียร์ หรือคู่กรรมของทมยันตีนั่นอย่างไร
แต่ก็เถอะ... ฟ้าใสเป็นนักเขียนหน้าใหม่ จะเอาผลงานของเธอไปเปรียบเทียบกับนักเขียนมืออาชีพระดับชาติหรือระดับโลกคงไม่ได้ หญิงสาวเพิ่งเริ่มเขียนหนังสือจริง ๆ จัง ๆ ราวสองปีก่อน เมื่อตอนจบอักษรศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมาใหม่ ๆ นั้น เธอก็คิดจะหางานบริษัทแบบคนอื่นเขา แต่เมื่อเรื่องสั้นเรื่องแรกที่ลองส่งไปที่นิตยสารวัยรุ่นฉบับหนึ่งได้ถูกตีพิมพ์ เธอก็เลิกคิดที่จะสมัครเข้าทํางานในบริษัทแล้วหันมามุ่งมั่นที่จะเป็นนักเขียนมืออาชีพ แน่นอนว่าฟ้าใสยังไม่มีชื่อเสียงมากพอที่จะยังชีพด้วยการเป็นนักเขียนอย่างเดียว หญิงสาวจึงหาอาชีพเสริมด้วยการทํางานพิเศษเป็นอาจารย์สอนภาษาไทยให้กับชาวต่างชาติ และก็ยังเอาเวลาว่างมาใช้ให้เป็นประโยชน์ด้วยการทํางานฝีมือจำพวกเครื่องประดับ เช่น สร้อยคอ แหวน และ กําไล ส่งขายแก่เพื่อนสนิทที่เปิดร้านขายเครื่องประดับและงานฝีมือต่าง ๆ อยู่ที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง ส่วนนามปากกาที่เธอใช้ก็คือ ฟ้าใส ชื่อจริงของตัวเอง
ฟ้าใสผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ บิดขี้เกียจสองสามที แล้วเดินไปที่ตู้หนังสือขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของห้องนอน หญิงสาวหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาเปิดดูผ่าน ๆ ไม่ทันไรเสียงโทรศัพท์ก็ดังแผดฝ่าความเงียบขึ้นมา
“ฮัลโหล”
“พี่ฟ้าหรือแฟนคนใหม่ของพ่อล่ะ” เสียงห้าวของผู้ชายดังสะท้อนมาตามสาย
“นายเมฆ... จะบ้าเหรอ... พี่สิ... แล้วนี่นึกยังไงถึงได้โทรมาดึก ๆ ดื่น ๆ อย่างนี้” ฟ้าใสบ่นใส่น้องชายคนเดียว
“ที่โน่นดึกแต่ที่นี่แค่สองทุ่มเองนี่พี่ฟ้า แฟนรูมเมทเพิ่งทําข้าวเย็นให้กินเสร็จ แกงเขียวหวานกับหมูทอดกระเทียมพริกไทย... อร่อยด้วยน้า...” น้องชายลากเสียง
“เออ... ไม่มีแฟนเป็นของตัวเองแท้ ๆ ยังผลพลอยได้” ฟ้าใสนึกขัน “แล้วนี่ทำไมไม่โทรเข้ามือถือ”
“โทรแล้วแต่ไม่มีสัญญาณ พี่ฟ้าไม่ได้จ่ายค่าโทรศัพท์ล่ะสิ ตังค์หมดหรือแค่ลืม” น้องชายปากดีค่อนแคะ
ฟ้าใสหยิบมือถือที่วางอยู่บนหัวเตียงมาดู
“จริงด้วย สงสัยแบตหมด” ว่าพลางหญิงสาวก็วางมือถือลงบนเครื่องชาร์จแบตเตอรี่ทันที “แล้วมีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าถึงได้โทรมาเวลานี้... นี่ถ้าพี่นอนหลับไปแล้ว แล้วพ่อเป็นคนรับสายเอง เมฆจะทํายังไง” ฟ้าใสแกล้งถามพลางล้มตัวลงนอน นิยายที่ยังเขียนไม่เสร็จคงต้องดองเอาไว้ก่อน คิดได้อย่างนั้นแล้วก็เอื้อมมือไปปิดไฟที่หัวเตียงแล้วดึงผ้าห่มเนื้อนุ่มหนาขึ้นมาคลุมถึงคอ
“แหม... พี่ฟ้า... ทำอย่างกับเมฆไม่รู้ว่าฟ้าไม่สางพ่อไม่ยอมกลับบ้านยังงั้นแหละ... นี่เพิ่งตีสองกว่าเองนี่... แต่ถึงพ่อรับสายนะ เมฆก็แค่วางสายใส่ แต่เมฆรู้ว่าพี่ฟ้ายังไม่นอนหรอก” เมฆพูดประโยคหลังด้วยนํ้าเสียงที่ฟ้าใสเห็นภาพชัดว่ากําลังยิ้มหน้าเป็นตามแบบฉบับของเขาอยู่ “เพราะตอนนี้พี่ฟ้าคงกําลังนั่งกุมขมับหรือทึ้งผมตัวเองเพราะคิดพล็อตเรื่องนิยายรักนํ้าเน่าอะไรไม่ออกอยู่ใช่ไหม” นํ้าเสียงนั้นฟังชัดว่า... รู้สิ... ไม่ผิดไปได้หรอก
“รู้ทันพี่สาวไปหมดเลยนะ” ฟ้าใสประชดยิ้ม ๆ “แล้วไง ตังค์หมดแล้วหรือไงถึงได้โทรมา หรือว่าคิดถึงพี่สาวคนสวยมาก”
มีเสียงกระแอมไอมาตามสายก่อนเสียงห้าวดังขึ้นว่า
“โน... โน... แค่จะโทรมากวนพี่ฟ้าเล่นเท่านั้นแหละ อ้อ... อีกอย่างคือ... ปิดเทอมช่วงคริสต์มาสปีนี้เมฆไม่กลับเมืองไทยนะ”
“อ้าว... ทําไมล่ะ... ก็ตอนแรกบอกจะกลับนี่”
“เปลี่ยนใจแล้วล่ะ ไหน ๆ ก็จะเรียนจบอยู่แล้ว เลยคิดว่าปิดเทอมคราวนี้จะเที่ยวให้หนำใจ ว่าจะโบกรถหรือนั่งรถไฟจากนี่ลงใต้ไปเรื่อย ๆ ให้ถึงลอนดอนแล้วกลับ” น้องชายตัวแสบพูดหน้าตาเฉย
“แหม... น้องชายสุดที่รักของพี่นี่อิสระเสรีดีจริงนะ ใช้ตังค์พ่อไปเรียนถึงอังกฤษแต่ปิดเทอมทีไม่ยอมกลับบ้านมาให้เห็นหน้าเห็นตานะจ๊ะ”
“ไม่แคร์... ถึงเมฆจะกลับบ้าน พ่อก็ไม่ค่อยอยู่บ้านอยู่แล้ว ออกไปเที่ยวกับสาวๆ บางทีไม่กลับบ้านด้วยซ้ำ หรือ ถ้ากลับก็แอบหอบผู้หญิงเข้าบ้านด้วยแล้วค่อยแอบส่งผู้หญิงกลับบ้านตอนเช้ามืด พี่ฟ้าก็รู้... เมฆสิ... ไม่รู้ว่าพี่ฟ้าทนอยู่บ้านเดียวกับพ่อได้ไง” เมฆพูดด้วยนํ้าเสียงเย็นชา แต่ฟ้าใสรู้ว่าน้องชายสะเทือนใจกับเรื่องนี้แค่ไหน ฟ้าใสถอนหายใจก่อนพูดขึ้นด้วยนํ้าเสียงนุ่มนวลว่า
“เมฆ... ถึงยังไงพ่อก็ยังเป็นพ่อของเรานะ ถึงพ่อจะเหลวไหลยังไง เมฆก็ไม่น่าที่จะมีอคติกับพ่อมากขนาดนี้”
เมฆทําเสียงฮึดฮัดขึ้นจมูกก่อนเปลี่ยนเรื่องด้วยนํ้าเสียงที่รื่นเริงขึ้นว่า
“พี่ฟ้าล่ะ... ปีใหม่นี้มีแผนการอะไรหรือเปล่า”
“ตอนนี้พี่ยังไม่แน่ใจเลย ที่จริงพี่มีเวลาหยุดเยอะนะ โรงเรียนสอนภาษาปิดตั้งหนึ่งเดือนเพราะนักเรียนส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกันหรือไม่ก็ออสเตรเลีย ส่วนใหญ่เขาจะกลับบ้านไปเฉลิมฉลองคริสต์มาสกับครอบครัวกันทั้งนั้น ความจริงตอนนี้พี่ก็กําลังคิดอยู่เลยว่าจะไปเที่ยวออสเตรเลียสักอาทิตย์สองอาทิตย์ พอดีพี่มีเพื่อนอยู่ที่นั่นคนหนึ่ง แถมประเทศนี้พี่ก็ยังไม่เคยไป”
“โธ่เอ๊ย... ที่แท้พี่ฟ้าก็ไม่อยากอยู่บ้านเหมือนกันแหละ เห็นตะลอนไปโน่นไปนี่เรื่อยเลย” น้องชายว่าพี่สาวเข้าให้
“ตะลอนอะไรกันนายเมฆ พี่ไปไหนทีนี่ ส่วนมากพี่ไปเยี่ยมเพื่อนนะจ๊ะ” พี่สาวแก้ตัว
“ก็พี่ฟ้าขยันหาเพื่อนต่างชาติหรือเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศ เวลาอยากไปเที่ยวหรือไม่อยากอยู่บ้านก็อ้างว่าไปหาเพื่อน แถมจะได้ไม่ต้องเสียตังค์ค่าโรงแรมด้วยใช่ไหมล่ะ”
“เออ... ใช่... พี่ไม่รวยนี่ ประหยัดตรงไหนได้ก็ต้องประหยัดล่ะ” ฟ้าใสยอมรับเฉพาะประโยคหลังเท่านั้น
“ว่าแต่ไอ้พี่วินจะยอมให้พี่ฟ้าหนีออกจากกรงเร้อ... คราวที่แล้วตอนพี่ฟ้าไปหาเพื่อนที่อเมริกาพี่ฟ้ายังเล่าว่าไอ้พี่วินโกรธพี่ฟ้าแทบตายเลยนี่ โทษฐานไปนานกว่ากำหนดที่เขาให้ไว้ถึงสามวัน”
เมฆใช้คำเจ็บแสบเสมอเมื่อพูดถึงกวินท์ นี่ก็อีกคน...ถ้าการที่เมฆเกลียดบิดาคือการเกลียดเข้าไส้ การเกลียดกวินท์ของเมฆก็คงเรียกได้ว่าเกลียดเข้ากระดูกดำ และเมฆก็จะพยายามหาโอกาสที่จะหาเรื่องมาแขวะกวินท์ทุกครั้งไป
“กรงบ้าอะไรเมฆ... พูดเกินไปหน่อยแล้ว”
“ก็มันจริงนี่... เมฆเห็นไอ้พี่วินมันคอยกดหัวพี่ฟ้าตลอด เมื่อไหร่พี่ฟ้าจะเลิกกับมันเสียทีล่ะ”
“นี่... พี่ไม่อยากนั่งทะเลาะกับนายตอนตีสองนะ... ตกลงจะให้พี่บอกพ่อเรื่องที่นายจะไม่กลับบ้านใช่ไหม”
“แล้วแต่พี่ฟ้าสิ... เมฆโทรมาบอกพี่ฟ้า ไม่ใช่พ่อ... แต่ถ้าพี่ฟ้าอยากบอกพ่อก็เชิญ”
ฟ้าใสถอนหายใจกับการวางฟอร์มของเมฆ ผู้เป็นพี่สาวคิดว่าตัวเองรู้... ว่าที่จริงแล้วเมฆก็เกรงใจพ่ออยู่หรอกเพราะในช่วงปิดเทอมช่วงคริสต์มาสเมฆจะกลับมาเยี่ยมบ้านทุกปี หญิงสาวแน่ใจว่าในความ “เกลียด” พ่อของเมฆ เขายังมีความ “รัก” พ่ออยู่ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ยอมรับหรือยอมให้ตัวเองกล้าแสดงออกก็ตาม
“โอเค... ยังไงก็ตั้งใจเรียนหน่อยนะนายเมฆ อีกสองสามอาทิตย์ก็จะสอบไฟนัลแล้วนี่” ฟ้าใสสั่งสอนน้องชาย
ก่อนวางสาย เธอยิ้มนิดหนึ่งเมื่อนึกถึงน้องชายตัวดี ฟ้าใสกับเมฆอายุห่างกันสามปีแต่ก็สนิทสนมรักใคร่กันดี นั่นคงเป็นเพราะมีกันอยู่เพียงแค่สองคนพี่น้อง มารดาของทั้งสองเสียไปเมื่อสิบเอ็ดปีก่อนด้วยโรคร้ายเมื่ออายุเพียง 36 ปีเท่านั้น ขณะนั้นฟ้าใสอายุสิบสามปีและเมฆมีอายุเพียงสิบปี หลังจากที่แม่เสียเมฆก็ยึดเอาพี่สาวคนเดียวไว้เป็นหลักยึดเหนี่ยวเพราะพ่อก็แทบที่จะไม่ได้ทําหน้าที่ของพ่อเลย ความจริงพ่อก็เป็นแบบที่พ่อเป็นมาตั้งแต่สมัยที่แม่มีชีวิตอยู่ คือปล่อยลูกให้อยู่ในการเลี้ยงดูของแม่ หน้าที่หลักของพ่อคือทํางานหาเงินมาให้ครอบครัว และตั้งแต่แม่จากไป หน้าที่ของแม่ทั้งการหุงหาอาหาร งานบ้านงานเรือนต่าง ๆ การดูแลน้องก็ตกมาเป็นของพี่สาวไปโดยปริยาย
ณรงค์ บิดาของสองพี่น้องเศร้าโศกเสียใจอยู่ไม่ทันข้ามปี พ่อก็เริ่มทำสิ่งที่สองพี่น้องไม่เคยคิดมาก่อนว่าพ่อจะทำได้... พ่อพาผู้หญิงเข้าบ้าน... ความจริงในตอนนั้นพ่อก็ยังไม่แก่ คือมีอายุเพียง 37 ปีแถมยังเป็นคนที่หน้าตาดีทีเดียว ความจริงถ้าพ่อจะคบหากับใครอย่างจริงจังและแต่งงานใหม่ ฟ้าใสกับเมฆก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่นี่พ่อกลับทำตัวเป็นวัยรุ่นใจแตก เที่ยวกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า แค่นั้นอาจจะยังไม่เท่าไหร่ แต่พ่อก็ชอบหนีบผู้หญิงกลับเข้าบ้านด้วยโดยไม่เกรงใจลูก ๆ ของตัวเองเลย ฟ้าใสเคยขอร้องพ่อไม่ให้เอาผู้หญิงเข้าบ้าน เพราะเมฆก็เป็นเด็กผู้ชายที่เริ่มเข้าช่วงวัยรุ่นพอดี การคบผู้หญิงไม่เลือกหน้าคงจะเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีนักสำหรับเด็กผู้ชายวัยรุ่น แต่พ่อก็ไม่ฟัง... อ้างเสมอว่าเป็นเรื่องของพ่อ ลูกๆไม่เกี่ยว จนกระทั่งวันที่สองพี่น้องเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินกระหยิ่มยิ้มย่องลงมาจากข้างบนหลังจากที่ค้างคืนกับพ่อที่บ้าน บนลำคอของผู้หญิงคนนั้นมีสร้อยคอทับทิมเม็ดโตล้อมด้วยเพชรเม็ดเล็ก ๆ ซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของมารดาผู้ล่วงลับไปแล้ว
ฟ้าใสจำเหตุการ์ณวันนั้นได้แม่น สองพี่น้องนั่งเล่นวีดีโอเกมกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นและถึงกับช็อคชั่วขณะเมื่อเห็นสาวนางนั้นเดินระนวยระนาดลงมาจากชั้นบนคู่มากับณรงค์พร้อมสร้อยเส้นนั้น เมฆในตอนนั้นอายุ 14 ปี ผุดลุกขึ้นยืน ใบหน้าซีดเผือด มือกำหมัดแน่น ตะโกนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงก้าวร้าวว่า
“นั่นสร้อยของแม่ฉัน แกเอามาใส่ทำไม”
บิดาและแฟนสาวหยุดชะงัก ตัวผู้หญิงหน้าเสีย คลำสร้อยคออย่างไม่แน่ใจแล้วมองไปที่พ่อม่ายลูกสองด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ
“พ่อแค่ให้เขายืมใส่ออกงาน เดี๋ยวเขาก็คืน” บิดาพยายามอธิบายอย่างใจเย็น
“เมฆไม่ให้ เอาของแม่ฉันคืนมา” เมฆตะคอกแล้วกระโจนเข้าไปพยายามจะดึงสร้อยออกจากคอของผู้สวมใส่ แฟนของพ่อร้องกรี๊ดแล้วหมุนตัวหนีจากเอื้อมมือของเมฆเป็นพัลวัน พ่อรีบเข้ามาขวางแล้วผลักตัวลูกชาย ณรงค์ไม่ได้เจตนาผลักให้แรงนัก แต่เมฆก็เซล้มจนหัวกระแทกขอบโต๊ะเตี้ย ๆ ที่อยู่หน้าโซฟาอย่างจัง
“เมฆ!” ฟ้าใสร้องขึ้นมาอย่างตกใจสุดขีด ผู้เป็นบิดาเองก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ แต่พอเห็นว่าเมฆไม่เป็นอะไรมาก ยังพอพยุงตัวเองขึ้นมาจากพื้นได้ ก็ไม่พูดอะไรแล้วพาแฟนสาวเดินออกจากบ้านไป หลังจากเหตุการ์ณวันนั้น เมฆก็เริ่มโกรธและเกลียดผู้เป็นบิดา ไม่ยอมปริปากพูดคุยกับพ่ออีกเลยถึงแม้ว่าพ่อจะพยายามขอโทษลูกชายเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น
และในเมื่อเมฆไม่ยอมอ่อนข้อให้กับบิดา ณรงค์ก็เหมือนจะจนใจ ไม่คอยง้อลูกชายให้เสียเวลา ฟ้าใสเองก็ได้แต่คอยว่าคงจะมีสักวันหนึ่ง... ที่เมฆจะยอมลดทิฐิแล้วหันมาปรับความเข้าใจกับบิดาเสียที...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ