ณ ที่ที่รักพร่างกลางใจ
เขียนโดย จอมนางค์
วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 19.50 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มกราคม พ.ศ. 2561 20.23 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) บทที่ 3 (100%)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ‘พระเอก’ พอแวะส่ง ‘ตัวแสบ’ ที่สะพานข้ามน้ำดำตรงหมู่บ้านชุมชนแออัดแล้วก็เบนเส้นทางเข้าสู่กลางเมืองซึ่งแออัดเหมือนกัน ด้วยตึกสูงของอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารหรู มือใหญ่บังคับทิศทางอย่างชำนาญ ถึงกระนั้นก็ยังกินเวลามากเพราะพอเข้าสู่ถนนด้านในรถก็ติดเป็นแพ กว่าจะถึงจุดหมายก็ทำเอาเมื่อย พรรคพวกที่รออยู่แล้วยังโห่
“ถ้ามึงช้ากว่านี้อีกนิดกูจะแทะเก้าอี้กินรองท้องรอมึง” คนบ่นละสายตาจากนักดนตรีบนเวที ค่ำแล้ว ร้านใจกลางแหล่งท่องเที่ยวซึ่งเป็นที่นัดหมายประจำคลาคล่ำไปด้วยนักท่องราตรี ‘ที่นี่’ ไม่อึกทึกเท่าร้านอื่นๆ โดยรอบเพราะกันบริเวณไว้กว้างกับปลูกต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาในตอนกลางวันที่นี่จะเปิดเป็นร้านกาแฟให้นั่งเป็นส่วนตัวได้ ตอนกลางคืนจึงเปิดเป็นร้านเหล้าให้นั่งดื่มสบายๆ กับฟังเพลงซึ่งเจ้าของร้านจะขึ้นเองบ้าง ก็เป็นร้านของ ‘พวกๆ กัน’ เตมินทร์คุ้นเคยกับที่นี่เพราะเป็นร้านที่นัดกันมานั่งประจำตั้งแต่สมัยเรียน ที่นัดกันมาก็มีแต่หน้าเดิมๆ แหละ โดยเฉพาะคนบ่นซึ่งหายากที่จะมีช่วงเวลา ‘สบอารมณ์’ วันนี้ยิ่งดูจะ ‘บูด’ กว่าวันไหนๆ
“ก็ทำไมไม่แทะ ทำหน้าที่แทนปลวกเสียหน่อย” คนมาช้าหัวเราะเป็นเรื่องสนุก ‘มหาสมุทร’ ที่ทำหน้ายุ่งยกแก้วในมือกระดกพรวดแทนการต่อคำ ขณะเพื่อนอีกคนที่นั่งวางหน้าเฉยเพิ่งจะมีรอยยิ้ม เสียงที่พูดก็ปนหัวเราะหน่อยๆ
“อย่าไปยุ่งกับมัน” คนที่ปกติทำหน้าเฉยเมยเป็นนิจเพิ่งหัวเราะ “ทำตัวเองแล้วมาพาลเพื่อน” ‘ปุราณะ’ ฉวยแก้วตรงหน้ายกขึ้นทันก่อนคนพาลจะแกล้งเทเหล้าในขวดใส่เติมลงมาอีก
“อ้อ” เสียงขานรับจากเตมินทร์แปลว่า เรื่องที่ทำให้มหาสมุทรหงุดหงิดได้มีเพียงไม่กี่เรื่อง และที่ทำให้หงุดหงิดมากจนพาลก็มีเรื่องเดียว และเป็นเรื่องที่ ‘รู้กัน’
“หึ” เสียงสุดท้ายสั้น หาก มีรอยเยาะชัดเจน กระตุกต่อมเดือดเสียยิ่งกว่าสองเสียงแรกคือ ‘คิรากร’ ผู้ไร้เทียมทาน โดยเฉพาะริ้วรอยเจ้าเล่ห์ในดวงตาบอกนิสัย จึงไม่ค่อยจะ... มีใคร กล้าตีฝีปากด้วย
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกน่า” คนขี้หงุดหงิดพึมพำดุจจะแก้ต่างให้ความ ‘หาเรื่องใส่ตัว’ ของตัวเอง หากประโยคต่อมาแสดงความจำนงอันทำให้คนอื่นๆ เข้าใจว่า เรื่องที่พูดกันมาก่อนหน้าคงไม่ผิดปากเสียเท่าไร “พรุ่งนี้จะขึ้นเหนือ มีใครจะใช้บ้านหรือเปล่า?”
‘บ้าน’ ที่พูดถึงคือเรือนไม้ขาวหลังเล็กที่โดยปกติจะว่างเพราะไม่มีคนอาศัยอยู่เป็นประจำ เดิมเป็นบ้านที่ทั้งขโยงออกเงินเก็บมาร่วมกันซื้อไว้ เป็นที่ดวดเหล้าหรือทำอะไรๆ ร่วมกันได้สมัยเรียน ทั้งคณะที่นั่งอยู่รวมสี่คนไม่มีความอัตคัดในด้านเงินทอง แม้จะไม่รวยติดอันดับแต่ไม่ต้องจุนเจือครอบครัวจึงมีเงินเหลือเก็บ บ้านที่ซื้อไว้ครั้งแรกเป็นแบบสตูดิโอ กว้างแค่พอเมาก็ซุนหัวลงกอง หลับเค้เก้ร่วมกันได้ แต่เพราะอยู่ในที่ห่างไกลจึงราคาถูก ครั้นต่อมาราคาที่ดินทั้งแถบขึ้นราคาเหมือนทอง และแต่ละคนมีรายได้จากการทำงานจึงช่วยกันต่อเติม ขยายออกไปทีละส่วน ตอนนี้บ้านที่แค่พอซุกหัว นอนเกยกันหลับได้ กลายเป็นบ้านสองชั้นสีขาวบนเนินราบ สวย สะอาดตา เจ้าของบ้านทั้งสี่นอกจากจะปลื้มปลิ่ม เวลาที่ต้องการหลบหนีจากความวุ่นวาย จำเจ ก็ยังได้พากันไปหลบพัก แม้ระยะหลังๆ จะทอดเวลาห่างออกไปเรื่อยๆ เพราะเมื่ออายุมากขึ้น หน้าที่การงานรัดตัว ทำให้การจะพักแต่ละครั้งเต็มไปด้วยขั้นตอนยุ่งยาก จะมีก็แต่มหาสมุทรที่ทำงานอิสระจึงจะแวะไปบ่อยกว่าคนอื่น
“เอาเถอะ” คนมีธุระคนแรกคือปุราณะ “ช่วงนี้คงไม่ว่างไปอีกสักพักหรอก ต้องไปทำงาน” งานของเจ้าตัวคืองานคุ้มกันบุคคลสำคัญ รายล่าสุดนี้ก็ ‘สำคัญ’ เหมือนกัน และน่าจะต้องปวดหัวไปอีกพักใหญ่ๆ เพราะที่ว่าสำคัญคือเป็นตัวแสบตัวสำคัญ ชายหนุ่มไม่คิดหรอก วันหนึ่งจะต้องมาคุ้มครอง เด็ก... เด็กแสบด้วย!
“นานหรือไง” คำถามจากคิรากร
“ก็... นาน” เจ้าตัวตอบ และไม่เติมว่า นานมากเสียด้วย
ถัดจากนี้ คนอื่นๆ นอกจากปุราณะก็ดูจะยุ่งกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะเตมินทร์ซึ่งเพิ่งจะได้ฤกษ์กลับมาทำงานหลังจากถูกหามเข้าโรงพยาบาลเพราะอาการกระสุนฝังใน เรื่องที่คุยกันต่อจากนั้นคือเรื่องคดีฆาตกรรมซึ่งเป็นงานสุดท้ายก่อนเตมินทร์จะต้องย้ายไป ‘ที่ใหม่’
“ฟังดูยุ่งๆ นะ” งานของปุราณะคาบเกี่ยวกับงานของเตมินทร์จึงคุยกันรู้เรื่องกว่าคนอื่น
“ยุ่ง... ก็เพราะจู่ๆ ตัวยุ่งมาหายไปน่ะแหละ” คนพูดเหม่อลอย คิดถึงหน้า ‘ตัวยุ่ง’ ซึ่งได้เห็นเพียงครั้งเดียว ดวงหน้าเยาว์ สวยซึ้ง อมรอยโศก กระนั้นดวงตาดำ ยาวใหญ่มองตรง ราวจะสะกดให้งงงัน อยู่ในภวังค์จนมิอาจถอน
เมื่อพบกันเขาคิดว่าตนเองผู้ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบหาตัวคนที่ทำร้ายหล่อนและครอบครัวมาลงโทษ แต่ก็เพราะมีเหตุ คดีในมือจึงต้องเปลี่ยนไปตกอยู่ในมือของคนอื่น ขณะผู้รับผิดชอบก็เปลี่ยนให้ ‘ข้างในกรม’ เข้ามามีบทบาทเองเหมือนกัน
ในแวดวงตำรวจ หากเกิดคดีใหญ่และเป็นที่จับตามอง ยิ่งผู้ประสบเหตุเป็นคน ‘มีหน้ามีตา’ แล้ว ‘ข้างบน’ จะสั่งให้ระดับผู้บัญชาการออกรับหน้า แต่คนทำงานก็ยังเป็นนายตำรวจผู้น้อยอยู่ดี ผู้บัญชาการน่ะมีหน้าที่คือคอย ‘บัญชาการ’ กับคอยรับหน้า ตอบคำถามนักข่าว ข้อมูลที่นำมาตอบคือข้อรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งอาจได้หน้าหน่อยๆ คือได้ยืนอยู่ด้านหลัง เข้ากล้องด้วยในวันแถลงข่าว และเพราะกระบวนการเป็นไปดังนั้น ผู้บังคับบัญชาที่มีหน้าที่บัญชาจริงๆ และคอยรับผิด-ชอบ จึงต้องตอบได้ทุกครั้งที่มีคำถาม ที่ต้องวุ่นวายคือนายตำรวจชั้นล่างๆ
ก็ใครจะอยากรับ ’ผิด’ ล่ะ มีแต่คนอยากรับ ‘ชอบ’ แต่ทั้งนั้น
นายตำรวจที่ถูกเลือกมาทำหน้าที่ในชั้นปฏิบัติการจึงต้องเลือกคนมีฝีมือ ทำงานเร็วและลุยได้ทุกที่ เตมินทร์เคยเป็นคนที่ถูกเลือกนั้น ทว่า ‘เหตุ’ ทำให้หน้าที่หยุดชะงัก และคดีเปลี่ยนมือ คนที่เข้ามาทำงานแทนคือรุ่นพี่ซึ่งไว้ใจได้ว่าตงฉิน แต่ก็อีก ระหว่างช่องชั้นจากผู้ปฎิบัติการไปจนถึงผู้รับผิดชอบ ยังมีผู้บังคับบัญชาอีกหลายทอด
หนึ่งในนั้นอาจเป็นผู้ที่ฟ้าพร่างดาวเคยกังวลใจว่า เป็นคน ‘มีสี’ ที่ซื้อได้ด้วยเงิน และหรือ อำนาจ
เขาถูกเปลี่ยนให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในชุมชนแออัด ห่างไกล ก็เพราะ ‘เหตุ’ อีกเช่นเดียวกัน
ฟ้าพร่างดาวอาจเคลือบแคลงใจ หรือรอบข้างหล่อนไม่มีใครที่เห็นว่าพอจะพึ่งพาได้หล่อนจึงหลีกเร้น หลบซ่อน สำคัญคือ
หล่อนหายไปหลบซ่อน ณ ที่ใด?
หนึ่งในสวัสดิการของผู้ประกอบอาชีพตำรวจคือบ้านพักฟรี ถ้าเป็นในเมืองจะมีตึกสูง แบ่งเป็นห้องๆ เรียกว่าแฟลตตำรวจซึ่งบางทีก็เหมือนตึกร้าง เพราะประตูไม้แหว่งเว้า บางบานหลุดหายแล้วก็อยู่อย่างนั้น ไม่ได้ซ่อมจนกว่าจะมีผู้มาอยู่ใหม่ บานเกร็ดขาดๆ เกินๆ ยากจะบอกได้ว่าแตกหักพังไปหรือหลุดหายไปอยู่แต่ไหน แต่โดยรวมแล้วสภาพ ‘ยอดแย่’ ทำให้นายตำรวจหลายนายเลือกจะไม่รับสวัสดิการเสียดื้อๆ และยอมเสียเงินเช่าที่อยู่ใหม่แทน ที่ชุมชนศิลานี้ไม่มีแฟลตตำรวจอย่างในเมือง ที่มีคือ ‘บ้านร้าง’ ซึ่งเมื่อแรกมีหญ้าขึ้นคลุมจนแทบไม่เห็นหลังคา หนำซ้ำยังมีเลียงเล่าลือว่า วันดีคืนดีจะมีนายตำรวจมายืนโบกเรียกรถสองแถวอยู่หน้าบ้าน เป็นเรื่องเล่าขนหัวลุกที่พอใครฟังจะทำท่าสยดสยอง เรื่องนี้จ่าสงวนคนเก่าแก่เล่าประวัติไปคนละทางว่า
‘ที่เคยมาอยู่ก็มีคนเดียวแหละครับ เป็นนายเก่าผม ท่านทำเรื่องย้ายไปขอรับตำแหน่งที่บ้านเดิมท่าน ตอนนี้เมียสามลูกหก’
น่าสยองแย่ไหมล่ะ?
ฉะนั้น เมื่อวันที่ผู้กองคนใหม่ย้ายเข้ามาอยู่แทน ‘บ้านผีสิง’ เจ้าของเดิมเมียสามลูกหก จึงถูกรื้อ ทำความสะอาดขนานใหญ่จึงได้เห็นบ้านจริงๆ เป็นบ้านไม้ชั้นชั้นเดียวยกพื้นสูง เหมือนๆ บ้านพักข้าราชการแบบเก่าทั่วๆ ไป จะมีสีหลุดร่อน และไม้กระดานบางตอนผุบ้าง ต้องซ่อมแซม แต่โดยรวมแล้วถ้าทำความสะอาดเสียก็สามารถอยู่ได้ เตมินทร์จึงไม่เดือดเนื้อร้อนใจเพราะอยู่ตัวคนเดียว เผลอๆ อาจได้เจริญรอยตามคนเก่าที่เป็นตำนาน เมียสามลูกหก
ตอนนี้ต้องหาคนแรกให้ได้เสียก่อน
เจ้าตัวคิดขำๆ ก่อนจะเดินครึ้มอกครึ้มใจก้าวขึ้นบันไดบ้านพัก บนบ่ามีผ้าขาวชื้นเหงื่อที่เจ้าตัวจะคล้องไว้เสมอยามออกวิ่งเหยาะๆ ตอนเช้า เป็นกิจวัตร จากขาออกยังสลัว พอกลับถึงบ้านพักก็สว่างจ้า เริ่มมีแดดนิดๆ เสียงบีบแตรแหลมๆ ดังอยู่ทางข้างหลังทำให้ต้องหันไปมอง
ในชั้นแรก เตมินทร์ประหลาดใจ คนตัวเล็ก รูปร่างคุ้นตาปั่นจักรยาน ข้างหลังพ่วงเอากระบะขาวๆ ติดมาด้วย ข้างกระบะมีตัวหนังสือเขียนด้วยมือ โย้เย้ อ่านแล้วจึงรู้ว่าเป็นคำประกาศขาย
‘น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ชุดละยี่สิบบาท ไม่ต้องถามครับ ตอบไม่ได้ ผมเป็นใบ้’
นายตำรวจหนุ่มงันไปนิดหนึ่งในชั้นแรก จากนั้นจึงหัวเราะเบาๆ
เออ เข้าท่า ไอ้หมอนี่มันเข้าใจทำมาหากิน!
ไอ้เจ้าใบ้ ‘ตัวแสบ’ ที่เขาวิ่งไล่แทบตายเมื่อวานนี้เองแหละ
เร็วเท่าความคิด มือใหญ่ยกขึ้นโบกเรียก แถมส่งเสียงก้องเรียกให้หยุด น่าแปลก พอเขาเรียก ไอ้เจ้าใบ้ที่ปั่นจักรยานลอยชายเมื่อครู่กลับเร่งเท้าเหยง ทำอย่างกับจะจ้ำอ้าว!
หรือมันจะไม่ได้ยิน?
เจ้าตัวไม่รู้ว่าก็เพราะได้ยินเต็มสองรูหูแหละ ไอ้ใบ้จึงทำกริยาคล้ายจะ ‘แน่บ’ จากไปโดยไว หากคนขายาวกลับรู้แกว เดินมาดักหน้าเสียนี่ นอกจากนั้นยังมีหน้าถาม
“ลื้อไม่ได้ยินอั๊วเรียกหรือ? นอกจากพูดไม่ได้ลื๊อหูไม่ดีอีกหรือยังไง?” คำถามข้องใจเป็นที่ยิ่ง เพราะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าใบ้พยายามจ้ำหนี
“...” ไอ้ใบ้จะทำไรได้ดีกว่าส่ายหัว กรอกตาไปตามเรื่อง หากก็ยังคงก้มหน้าก้มตาคล้ายจะหลบกันอยู่ดี เตมินทร์มองแล้วหงุดหงิดกับกริยาก้มหน้าก้มตาจึงใช้นิ้วเรียวแตะที่ปลายคางเล็ก ดันขึ้นให้สบตากัน
ในความเงียบ คนมองใช้วิธีเขม้น จดจ้อง ดวงหน้าเล็กเหยเกนิดๆ ดวงตาดำมันในเบ้าลึกอย่างผู้ชายที่เขาคุ้นเคยนักแต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน ไรหนวดเขียวๆ เป็นปื้นดูแล้วขัดตา หาก ก็ไม่ใช่จะแปลก ผู้ชายคนไหนๆ ก็มีหนวดมีเครา ไอ้หนูมันคงเคราดกสักหน่อยถึงโกนไม่เกลี้ยงจึงเหลือเป็นตอเขียวๆ ไม่เข้ากับหน้า แต่ก็อีก มันก็ใบหน้าผู้ชาย... ยังเด็ก เป็นเด็กหนุ่ม เตมินทร์บอกไม่ได้และก็ยังมองไม่ชัดว่า อะไรกันแน่ที่ทำให้ขัดตา ขัดใจ ขณะคนถูกมองใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
ปัดโถ่! จะไปที่ไหนก็เจอ ชาติก่อนเราคงไปเหยียบหางไว้ ชาตินี้ถึงตามกัดเราไม่ปล่อย
อาชีพปั่นจักรยานขายน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ นอกจากจะได้เงิน ได้อิ่ม แล้วก็ยังได้ร่อนเร่ไปทั่วชุมชนโดยคนอื่นๆ ไม่สงสัย การเป็นไอ้ใบ้ก็ดีคือ ไม่ต้องพูด ถึงบางทีจะยุ่งยาก แต่เสียงแหลมเล็กของผู้หญิงกับเสียงผู้ชายทุ้มลึก พูดเมื่อไร คนฟังจะจับพิรุธได้ทันที การแต่งหน้าเพื่อพรางเพศสภาพนั้นง่าย แต่การดัดเสียงให้เหมือนผู้ชายก็เป็นอีกเรื่อง ก่อนหน้านี้ไอ้ใบ้ท่องไปทั่วชุมชนโดยไม่เป็นที่สังเกต ตอนนี้กลับมีอุปสรรคใหญ่ ที่ว่าใหญ่คือผู้กองตัวโต ไปไหนๆ ก็เจอทุกที!
คราวก่อนน้ำคลองดำๆ พอจะช่วยพรางไปได้ คราวนี้เขาจ้องมองชัดๆ ถึงจะมีเครื่องสำอางปกปิด แต่ถ้าเกิดเขาจำได้ขึ้นมาล่ะ...
ฟ้าพร่างดาวหลับตาปี๋ หล่อนไม่อยากจะคิด
“เออ” ผู้กองพูดเสียงดัง มือใหญ่ แข็งแรง ปัดๆ กลุ่มผมฟูฟ่อง ยุ่งเหยิง ‘น่าเกลียด’ บางคราวปลายนิ้วยังลูบผ่านจมูกเล็กๆ ทำเอาเย็นสันหลังวาบ “หัดโกนหนวดให้เกลี้ยงเสียบ้างลื้อคงดูได้หรอก” คนพูด พูดแล้วก็หันเหความสนใจจากเจ้าใบ้ตัวเล็ก หันไปรื้อกระบะที่มีถุงน้ำเต้าหู้กองรวมกับปาท่องโก๋ ไอ้ใบ้โล่งหัวอกไปเปราะหนึ่งพลางคิดอย่างลิงโลด
จำเราไม่ได้จริงๆ ด้วย!
กับที่ค่อนขอดในใจคือ ตัวเองหน้าเกลี้ยงตายแหละ หยั่งก๊ะมหาโจร อย่างนี้ขืนซี๊ซั้วไปยืนมุมตึกคงมีคนหัวใจวายตาย!
วันนี้ผู้กองคนใหม่ครึ้มอกครึ้มใจ เจ้าตัวเดินฮัมเพลงหงุงหงิง กับสองมือหิ้วถุงปาท่องโก๋เดินมาหยุด วางที่โต๊ะร้อยเวรพลางร้องแจกจ่ายคนทั้งโรงพักก่อนจะเดินเข้าที่ทำงานซึ่งมีเอกสารวางสุม จากนั้นจึงเริ่มต้นทำงานเงียบๆ ทุกอย่างเป็นปกติดีจนถึงช่วงบ่ายที่โต๊ะร้อยเวรรับแจ้งเหตุทางโทรศัพท์ สีหน้าคนรับแจ้งดูจะ เอือมระอาหน่อยๆ เสียด้วยซ้ำ
“มีอะไร?” เตมินทร์สังเกตเห็นเป็นคนแรกขณะนายตำรวจรุ่นน้องวางโทรศัพท์ ดวงหน้าซีดเซียว
“เรื่องเดิมครับพี่” อีกฝ่ายรายงานเนือยๆ
เรื่องเดิม คือปัญหาบ่อนเถื่อนและเล้าเถื่อน
ที่ชุมชนบ้านศิลาอันเป็นแหล่งรวมอบายมุขทั้งหลายทั้งปวง วันดีคืนดีจะมีแหล่งข่าวไม่ประสงค์ออกนาม แจ้งมาอย่างหวังดียิ่งว่า ‘มีบ่อนเถื่อนนะคะคุณตำรวจ’ และบางวันก็ ‘มีซ่องค่ะ กุหรี่เดินกันให้ควั่ก’ เรื่องมันก็เริ่มจากบริหารเวลาไม่ตรงกันน่ะแหละ เจ้าของซ่องน่ะเปิดกลางคืน ส่วนเจ้าของบ่อนเปิดกลางวัน แล้วก็ยังอุตส่าห์เปิดอยู่ข้างๆ กัน กลางคืนเจ้าของบ่อนไม่ได้หลับนอนก็ร้อนอารมณ์ ส่วนเจ้าของซ่องอาศัยนอนกลางวัน จึงมีการหวังดีประสงค์ร้ายกันด้วยประการฉะนี้ ตำรวจน่ะรับแจ้ง ไปจับแล้วจับอีกก็ต้องปล่อยเพราะขาดหลักฐานบ้าง หรือบางทีมีหลักฐาน โทษของคดีเหล่านี้ก็น้อยนิด คนเล่นกับคนขายเนื้อก็อยู่ในชุมชนน่ะแหละ บางทีมีแม่แก่ มีลูกมีหลานต้องเลี้ยง จับเอามานานนักทางบ้านก็จะอดจึงให้เสียค่าปรับบ้าง นอนคุกสักคืนสองคืนก็ค่อยปล่อยไป ไม่ได้ส่งฟ้อง การเป็นตำรวจยุ่งยากเหมือนกัน ถ้าใจดีมักถูกมองว่าหมิ่นเหม่ต่อการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ แต่พอจริงจังเข้าหน่อยก็จะถูกมองเป็นคนใจร้าย ดีที่สุดคือถ้าไม่มีคนทำผิดกฎหมาย แต่... นั่นแหละ เพราะเป็นไปไม่ได้จึงต้องมีอาชีพตำรวจ จับๆ ปล่อยๆ อยู่นั่น
ผู้กองหนุ่มมาใหม่ยังไม่ค่อยชินกับกิจที่ตำรวจท้องที่เห็นเป็นเรื่องปกติ พอได้รับคำสั่งให้จัดชุดปฏิบัติหน้าที่ เจ้าตัวก็อาสาโดดขึ้นกระบะไปกับเขาด้วย กว่าจะไปถึงชุมชนริมคลองน้ำดำผมหยักศกก็เป็นกระเซิง หมดมาด ‘พระเอก’
บ่อนชั่วคราวก็ตั้งอยู่ในห้องแถวผนังโหว่แถวๆ นั้นแหละ กับนักพนันทั้งหลายก็ล่วงเข้าสู่วัยไม้ใกล้ฝั่ง จะนับผมที่ดำอยู่บนศีรษะก็คงเรียงเส้นได้ บางคนมาจากบ้านใกล้ๆ บางคนข้ามมาจากอีกฝั่งของคลองน้ำดำ แต่ทั้งหมดพอลงนั่งได้ก็ ‘ตั้งวง’ เจ้าของห้องเช่ามีหน้าที่เก็บ ‘ค่าต๊อง’ ซึ่งคล้ายๆ ค่าธรรมเนียมขอให้สถานที่ กับเป็นค่าจ้างคนดูต้นทางซึ่งก็คือหลานเจ้าของบ้านเช่า เป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนชนิดหนึ่ง ไอ้โต้ง หลานยายช่วง เจ้าของห้องเช่าและเป็นเด็กดูต้นทางเคยคุยโอ่ว่า
‘มันเป็นศ... ศะ... ศิล... ศิลปะอย่างหน... หนะ... หนึ่ง’ ไอ้โต้งชอบคุยกับไอ้ใบ้นักเพราะในยามปกติ อาการติดอ่างทำให้สนทนากับใครไม่ได้นานเนื่องจาก พูดไม่ทันชาวบ้าน! ‘เลาต้องชะ... ใช้ก... กะ... กึ๋น’ คนพูดตบหัวเหม่งของตัวเองดังแปะๆ ‘ถ้าเลาต... ตะโกน... ต...ตำรวจจาลู้ว่าข...ข้างในทำเลื่องผิดกฎหม... หมะ... หมาย เลาเลยต้องใช้ว... วิธีสั่นกะดิ่ง อะ... เอา ทีนี้ค...ใคจะลู้ว่าข้างในล... เล่นไพ่’ กว่าจะพูดจบ ทั้งคนพูดและคนฟังก็เหนื่อยพอกัน ไม่เหมือนยายช่วงที่ยามลับหลังจะพูดรำคาญๆ ว่า
‘โฮ้ย! ขืนรอให้มันตะโกนจบประโยค ข้างในคงโดนรวบหมดแล้ว ให้มันสั่นกระดิ่งแหละดี’ ก็เป็นอันรู้เรื่องว่า ไอ้โต้งจะคอยเฝ้าหน้าห้องเช่า คอยสั่นกระดิ่งในมือหากเห็นมีเรื่องผิดสังเกต
ไอ้ใบ้ได้เข้าร่วมสมาคมวงไพ่เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง เพราะลำพังตัวมันก็เล่นอะไรไม่เป็นหรอก แต่ที่แย่งตัวกันนักเพราะ
‘มันมือขึ้น’ ยายช่วงเจ้ามือจับสังเกตได้คนแรก ‘ถ้าให้มันถือไพ่ละมึงเอ๊ย รวยไม่รู้เรื่อง’ และก็เป็นจริงดังนั้น ไอ้ใบ้ไม่เคยรู้เรื่องว่าตัวเองถือไพ่แบบไหนอยู่ แต่เพราะเจ้าของไพ่คอยดูอยู่เสมอ เวลาที่ไพ่ขึ้นมือก็ค่อยฉวย กินเอาๆ รวยไม่รู้เรื่อง นับจากนั้น เวลาจะเล่นไพ่ต้องมีขาใดขาหนึ่งมาคอยตะโกนเรียก อาชีพใหม่ทำเงินของไอ้ใบ้คือรับจ้างถือไพ่อยู่ในบ่อน โดยไม่มีใครรู้ ความมาดหมายแท้จริงของเด็กหนุ่มใบ้ที่วันๆ เอาแต่ปรูดไปทางนั้นที ทางนี้ที
วงไพ่เป็นแหล่งข้อมูลชั้นเลิศเหมือนกัน
ชั้นแรก ฟ้าพร่างดาวหลงเข้ามาเพราะถูกชวน และก็เพราะพูดไม่ได้ การปฏิเสธจึงลำบาก แต่พอมาแล้วกลับได้รู้ เรื่องที่พูดๆ กันในวงไพ่ หลายครั้งเป็นการชี้ทางสว่างให้หล่อน
หญิงสาวในคราบ ‘ไอ้ใบ้’ มีจักรยานอยู่คันหนึ่ง คอยส่งน้ำเต้าหู้ในตอนเช้า และเพราะเสียงนินทาในบ่อนไพ่ หล่อนจึงได้ช่องว่า ตรงไหนมีอะไรอยู่บ้าง นักเลงพวกไหนหากินอยู่หลังตลาด และบ่อนเปิดใหม่มีแก๊ง ‘กังหันลม’ คอยคุมอยู่
เมื่อแรก คำกังหันลมสะดุดหู จากนั้น เจ้าตัวพยายามนึกถึงภาพรอยสักใบโคลเว่อร์สี่แฉกในความทรงจำ หญิงสาวบอกตัวเองว่า อาจ... อาจจะมีความเป็นไปได้ ครั้นต่อมาพอลองไปป้วนเปี้ยนอยู่แถวบ่อนเปิดใหม่ หล่อนได้เห็น คนที่มีรอยสักเป็นสัญลักษณ์... จะกังหันลมหรือใบโคลเว่อร์ก็ไม่แน่ หาก เหมือนกับในความทรงจำหล่อนทุกระเบียด
หล่อนพบแล้ว!
ฟ้าพร่างดาวมือสั่น ใจสั่น ริมฝีปากระริกหล่อนแทบจะร้องไห้ อย่างน้อย... หล่อนรู้แล้ว... คนพวกนั้นมีตัวตนมิใช่เป็นเงาที่ลอยลำอยู่เหนือกฎหมาย หล่อนจะพยายามตามหาคนที่มันทำกับครอบครัวของหล่อนจนได้ ฟ้าพร่างดาวจะแก้แค้น!
หลังจากนั้น นอกจากจะคอยวนเวียนอยู่แถวบ่อนเปิดใหม่แล้ว หญิงสาวก็ยังได้ยินว่าจะมีเล้าจน์เข้ามาอีก คนในบ่อนไพ่เหมือนกันคอยเป็นข้อมูล จากเสียงนินทา หล่อนทราบว่าตัวหัวโจกอ้วนผอม นานๆ จะเข้ามาดูแลกิจการแทนนายสักที คนหนึ่งสักใบโคลเว่อร์ไว้ที่หลังมือ!
หล่อนจะคอย และไม่มีวันพลาด!
วันนี้ บ้านเช่ายายช่วงเปิดบ่อนตั้งแต่เช้า ไอ้ใบ้ซึ่งกลับจากส่งน้ำเต้าหู้จะถือว่าเป็น ‘นัด’ ประจำ ที่ขากลับต้องแวะมาวงไพ่ก่อน คอยฟัง เก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ ถึงจะมีบางเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันนัก หาก... ก็พอรับฟังเอาไว้เป็นข้อมูลได้
“...ไอ้ที่วนเวียนอยู่แถวโต๊ะสนุ้กนั่นเหรอ” เสียงนินทาแหม่บๆ ไม่หยุดปากตั้งแต่เช้า จากเรื่องนั้นกระโดดไปเรื่องนี้ ฟ้าพร่างดาวชักจะเมาๆ ข้อมูลเหมือนกัน
“เออ... เห็นว่ามาใหม่ คนที่มีรอยใต้ตานั่นยังไงล่ะ มันต้องเป็นคนของเฮียจ๋า ไม่อย่างนั้นมันจะเข้าออกโต๊ะเขาได้ยังไง ที่นั่นเขาให้เข้าแต่สมาชิก”
“ให้มันจริงเถอะว้า มีเงินหนาๆ หน่อย เดินเข้าไปใครจะห้าม ขี้คร้านจะรีบมาเชิญ” คนเถียงตายังมองไพ่ในมือ สลับกับไพ่ที่ทิ้งลงกลางกอง
“แกจะบ้า! โต๊ะนั้นทำอะไรบ้างรู้ไหม ขืนเขาให้เข้าดะไปหมดตำรวจคงรวบไปนานแล้ว นี่ข้ายังกลัวอยู่ ลำพังไอ้พวกดมกาวมันมาคอยดักขอเงินข้าก็ว่าน่ากลัวแล้ว ถ้ามีพวกมาไถกันเป็นล่ำเป็นสันอย่างนี้อีกหน่อยมันจะอยู่ไม่ได้เอานา” เจ้าของเรื่องยกผ้าถุงเช็ดขอบปากซึ่งน้ำลายแทบจะย้อย ไอ้ใบ้กำลังง่วงเหงาหาวนอน ฟังคนโน้นทีคนนี้ที ในมือยังถือไพ่รำแพนเป็นพัด ข้างหลังคือขาไพ่ที่คอยชะเง้อมอง รอว่าเมื่อไรจะถึงตาตนเอง
ครั้นแล้ว เสียง
กริ๊ง... กริ๊ง... เบาๆ ก็ทำเอาทั้งโขยงหวีดลั่น! ต่างคนต่างกระโจนขึ้นทั้งขด เสียงผ้าถุงสะบัดพึ่บพั่บ
เสียงสัญญาณจากไอ้โต้งแน่แล้ว!
ประดาขาไพ่ซึ่งคุ้นเคยกระโดดโผลง หนีหายไปก่อนพวก คนหนึ่งโจนข้ามไหล่ไอ้ใบ้ด้วยมาดนักกรีฑาทีมชาติ ที่สะดุดกันล้มจนผ้าถุงหลุดลุ่ย พอตั้งท่าได้ก็ลืมผ้าถุง วิ่งโทงๆ ออกไปทั้งอย่างนั้นก็มี เสียงตะโกน
“เจ้าข้าเอ๊ย! เจ้าข้าเอ๊ย!” อย่างเสียจริตกับบางคนมุดเข้ามุ้ง พอไปเจอพวกๆ กันที่หลบอยู่ก่อนหน้าแล้วก็เกิดแย่งที่หลบภัย เกี่ยงกันว่าใครจะไปทางไหน
เสียงดังตึงตังอึกกะทึก ดังอยู่แวบเดียวแล้วก็เงียบหาย ไอ้ใบ้กระพริบตาอีกทีก็เหลือแต่ตัวคนเดียวกับกองไพ่ แถมผ้าถุงขาดๆ ของใครก็ไม่รู้อีกผืนหนึ่ง!
ไอ้โต้งจะได้ยินเสียงข้างในหรือไม่ก็แล้วแต่ มันเดินยิ้มแต้ชะโงกเข้ามามอง ชูไอติมแท่งละห้าบาทให้ดูพลางถาม
“ค... ใคซื้อไอต... ติมมั่ง อ้าว... ห... หายไปไหนหมด”
จากนั้นเสียงสั่นกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งเจือเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากของเด็กดังแว่วมาจากด้านนอก คนขายไอติมถังยังมีหน้าร้องถาม
“ไอติมไหมครับไอติม หวานเย็นชื่นใจขายหมดๆ” ตามด้วยเสียง
กริ๊ง... กริ๊ง... ของกระดิ่งเรียกแขกที่ติดมากับถังแช่ไอติม!
ถึงจะเสียเส้นไปนิดๆ แต่ ‘ขา’ ทั้งหมดก็กลับมารวมกันตั้งวงอีกจนได้
“ดู๊ ดูมันนะ กำลังมือขึ้นอยู่เมื่อตะกี๊นี้” เจ้าของผ้าถุงที่อ้าวออกทางหลังบ้านไปแต่แรกกระแทกชายผ้าถุงปัดๆ อย่างหงุดหงิด จะมือขึ้นจริงหรือเปล่าไม่แน่ แต่การวิ่งโทงๆ ออกไปทั้งๆ นุ่งกางเกงในตัวเดียวก็น่าจะอายเหมือนกัน จะอารมณ์เสียก็คงไม่แปลก
“เถอะน่า” ยายช่วงเจ้าของบ่อนไกล่เกลี่ย มือเหี่ยวย่นแจกไพ่คล่องแคล่ว “ข้าให้ไอ้โต้งไล่ไปแล้ว เอา เล่นๆ ไปเถอะ”
“แหม! มันอุตริมาสั่นกระดิ่งแถวนี้”
ถึงจะยังมีเสียงบ่นงึมงำดังอยู่บ้าง แต่ที่สุดวงไพ่ก็กลับมาเข้าขา นั่งลุ้นนั่งจั่วกันได้ตามเดิม แม้ไอ้ใบ้ก็ออกจะโล่งๆ หัวอกอยู่เหมือนกัน
ถ้าถูกจับขึ้นมาจริงๆ ละแย่เลย
ครั้นแล้ว วงไพ่ที่เพิ่งจะลงนั่งลุ้น ก้นยังไม่ทันร้อน เสียง กริ๊ง... กริ๊ง... ก็ดังมาอีกระรอก ยายช่วงถอนฉุนก่อนพวกคงเพราะกำลังเสียไพ่
“วะ!” แล้วตะโกนบอกหลานชาย “ไอ้โต้ง! มึงไล่มันไปเลยนะ บอกมันไปขายที่อื่น!”
แต่เสียง กริ๊ง... กริ๊ง... ก็ยังไม่หยุด ‘ขา’ เริ่มบ่นกระปอดกระแปดว่าเสียสมาธิ กับบางคนกล่าวอาฆาต
“คอยดู๊ กูจะไปเผาโรงงานมันทิ้ง”
คราวนี้ เสียงสั่นกระดิ่งเร่งเร้า กริ๊งๆๆๆ
ไอ้ใบ้มองไพ่จนตาลาย ตอนนี้ชักจะปวดหูด้วย ถ้าพูดได้ก็อยากจะบ่นอยู่เหมือนกัน เจ้าตัวเงยมองไปทางประตู ครั้นแล้ว พอสบตาเข้ากับคนที่ยืนจังก้าอยู่ปากประตู มือไม้ก็พาลอ่อนเสียดื้อๆ เจ้าตัววางไพ่ลงเงียบๆ บรรพบุรุษจะเป็นคนจีนหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้ฟ้าพร่างดาวสมมติตัวเองเป็นแม่นางแซ่ ‘ลี้’
เจ้าตัวแผ่นแผล็วไปกระชากประตูหลังบ้านที่เปิดออกสู่ตรอกแคบๆ ได้และเพราะผู้มาเยือนยัง ‘วางกำลัง’ มาไม่ถึงด้านนี้ ไอ้ใบ้จึงได้โอกาสเล็ดรอดไปทางชานบ้านของห้องเช่าข้างๆ กันโดยไม่ถูกรวบเสียก่อน หาก... ก็ไม่ใช่ว่าจะสบาย เพราะคนที่อ้อมมาทางด้านหลัง พอเห็นหลังไวๆ เล็ดรอดออกจากบ้านหลังที่ได้รับแจ้งว่าเปิดบ่อนการพนัน เจ้าตัวก็ตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า
“เฮ้ย! หยุดก่อน!” ประจวบเหมาะกับที่ข้างในเริ่มจะแตกฮือ ประดาขาไพ่กรี๊ดกร๊าด วิ่งออกไปคนละทิศละทาง ไอ้ใบ้ไม่เหลียวมองเพื่อนร่วมชะตากรรม ตอนนี้ขาเล็กๆ ซอยยิก อาการวิ่งฮ่อคล้ายๆ จะทำให้ตัวปลิวได้
ชีวิตหนอ ทำไมต้องมาทำแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้!
เตมินทร์รู้สึกว่าเขาคุ้นเคยกับแผ่นหลังที่ฮ่อเต็มเหยียดอยู่ข้างหน้าอย่างประหลาด หาก เจ้าตัวไม่มีเวลามามัวนั่งพิจารณานักก็ต้องเบรกจนตัวโก่งเนื่องจาก อีกแล้ว! มันโจนตูมลงไปในคลองน้ำดำ ไม่รู้จะผูกพันอะไรกันนักกันหนา!
และเพราะเป็นคลองน้ำดำที่เดิม ข้างสะพานไม้ไผ่เส้นเดิม ชายหนุ่มจึงรู้แกว วิ่งฮ่อข้ามสะพานหวังจะไปดักหน้า พอเขาสับเท้าเร็ว หัวดำๆ ในน้ำก็ยิ่งดำผุดดำว่ายเร็วขึ้น มันจ้วงน้ำวับ... วับ อย่างกับนักว่ายน้ำทีมชาติ
อย่างกับเดจาวู!
ผู้กองวิ่งตามหลังเล็กๆ ดำๆ เหนอะไปด้วยน้ำคลอง พอตามไปถึงกำแพงวัดก็ชักปืนขึ้นยิงขู่
ปัง! พร้อมออกคำสั่ง
“อย่าขยับ! ชูมือขึ้นเหนือหัว ไม่งั้นผมยิง”
คนได้ยินเสียงปืนที่ยืนแข็งค้าง เกาะกำแพงค่อยๆ หันกลับมาเผชิญหน้า สองมือชูขึ้นเหนือศีรษะ
อย่างกับถุงขยะใบโต
ชัดเจน!
“ปัดโถ่!” ผู้กองหัวเสีย แทบจะเขวี้ยงปืนหลวงในมือทิ้ง “ลื้ออีกแล้วหรือวะ! ทำไม คราวนี้ลื้อถูกขาไพ่ไถตังอีกรึไง?”
ไอ้ใบ้ยิ้มแหย ทั้งๆ ในอกถอนสะอื้น
คิดว่าใครเขาอยากจะเจอนายนักนี่!
**********************************************************************************************************************
มาต่อแล้วจ้า^-^
ประกาศตัวโตๆ สำหรับใครที่สนใจอ่าน ณ ที่ที่รักพร่างกลางใจแบบเต็มๆ สามารถดาวน์โหลดหมวดเต-หนูพร่างได้ในรูปแบบอีบุค คลิกลิ้งค์ด้านล่างได้เลยจ้ะ
พรุ่งนี่พบกันค่ะ ^-^//
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ