บ่วงแค้น บ่วงรัก
เขียนโดย sunflower_
วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 19.55 น.
แก้ไขเมื่อ 6 มกราคม พ.ศ. 2561 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) กลับไทย 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ตอนที่ 2 กลับไทย
“มะลิ ถึงนู่นแล้วโทรบอกอาทันทีเลยนะคะ”
“แล้วเอาของสำคัญไปครบหรือยัง”
“ที่ไทยช่วงนี้อากาศร้อน บางวันฝนก็ตก ระวังป่วยนะ”
“อาโรสคะ” มัลลิกาเรียกอาสาวด้วยรอยยิ้ม เหมือนว่าอาโรสของเธอจะกังวลมากกว่าตัวเธอเองเสียอีก “มะลิเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เมื่อคืนอาเป็นคนมาเช็กเองหนิคะ”
รสสุคนธ์ถอนหายใจ 7 ปีมานี้เธออยู่กับมัลลิกาทุกวัน รักหลานคนนี้เหมือนลูกแท้ ๆ พอต้องมาจากกันโดยไม่มีกำหนดว่าจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกเมื่อไหร่แบบนี้มันก็ใจหาย เธอกังวลไปเสียทุกอย่าง
มัลลิการั้งร่างของอาแท้ ๆ เข้ามากอด เธอรู้ว่ารสสุคนธ์รักและเป็นห่วงเธอแค่ไหน แต่ถ้าเธอยังไม่กลับไปจัดการสิ่งที่ยังค้างคาใจ คงไม่มีวันไหนที่เธอนอนหลับได้เต็มตา
“มะลิคะ” รสสุคนธ์ยกมือขึ้นลูบหลังบอบบางเบา ๆ “อารู้ว่ามะลิกลับไปไทยทำไม อารู้ แต่อาไม่อยากขัดมะลิ การที่ต้องเห็นมะลิฝืนยิ้มในทุก ๆ วันแบบนี้ อาเองก็ไม่สบายใจ”
รสสุคนธ์ดันร่างของหลานสาวออกห่างกาย ดวงตาสวยเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา “ถ้าการกลับไทยจะทำให้มะลิของอากลับมายิ้มได้เหมือนเดิม เหมือนก่อนที่เราจะสูญเสีย อาก็ขออวยพรให้หนูโชคดี ไม่ว่าจะทำอะไร อาขอให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีนะคะ”
“ขอบคุณมากนะคะ” มัลลิกาไหว้ลงบนอกบางของผู้เป็นอา ไม่ว่าเมื่อไหร่รสสุคนธ์ก็หวังดีกับเธอเสมอ “มะลิฝากแม่ด้วยนะคะ แล้วมะลิจะรีบกลับมา”
“ค่ะ”
“อาแดเนียล ฝากอาโรสกับแม่ด้วยด้วยนะ มะลิจะโทรหาบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ”
“วางใจเถอะ อาจะดูแลโรสและลินเป็นอย่างดี” แดเนียลพูดพลางยกมือขึ้นโอบไหล่บางของผู้เป็นภรรยา เพื่อให้มัลลิกามั่นใจว่าสามารถฝากคนสำคัญของเธอไว้กับเขาได้
“มะลิลานะคะ” มัลลิกกายกมือไหว้อาทั้ง 2 เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตัดใจหันหลังเดินเข้าเกทไป เธอไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง แต่เธอจะไม่เสียใจ เพราะมันเป็นทางที่เธอเลือกเดินเอง
กรุงเทพฯ ประเทศไทย
“วันนี้เหลืองานที่ไหนบ้างคุณวัน” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นโดยที่ไม่ได้หันมามองคนถูกถามแม้แต่นิด ขายาวก้าวเร็วจนคนตามแทบก้าวตามไม่ทัน แต่กระนั้นทั้งคู่ก็ได้เข้ามายืนในลิฟท์ตัวเดียวกันจนได้
“งานวันนี้หมดแล้วค่ะ”
“โอเค” พลาธิปรับคำก่อนหันไปสนใจไอแพดในมือต่อ ตาคมอ่านข้อความในนั้นไปมาหลายรอบจนมั่นใจแล้วจึงหันไปคุยกับเลขาส่วนตัวอีกครั้ง
“ที่ดินที่เชียงราย เจ้าของว่ายังไงบ้าง”
“ยังไม่ยอมขายเลยค่ะ ขนาดทางเราเสนอเงินไปเยอะกว่าเจ้าอื่นเกือบเท่าตัวยังไม่สนใจเลยค่ะ”
“งั้นไม่ต้องตื้อละ คนแบบนี้ยิ่งตื้อยิ่งได้ใจ เดี๋ยวเราหายไปขี้คร้านจะติดต่อมาเอง ดูท่าอยากขายขนาดนั้น ลีลาจะโก่งราคาล่ะสิ” พลาธิปอ่านเกมขาดเสมอ ช่วงเวลาแค่ 2 เดือนที่เข้ามารับตำแหน่งรองประธาน พลาธิปก็พิสูจน์ฝีมือให้ผู้ถือหุ้นและพนักงานเห็นว่าเขามีประสิทธิภาพพอที่จะรับตำแหน่งนี้ ไม่ใช่เพราะแค่เป็นทายาทของทากาฮาชิ “แต่ถ้าภายใน 3 วันยังไม่ติดต่อมา ก็หาที่ใหม่มาเสนอผมนะ ทำเลไม่ดีเท่าก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมเลือกอีกที”
ติ๊ง!
พลาธิปพูดจบประตูลิฟท์ก็เปิดพอดี ขายาวรีบก้าวไว ๆ ออกไปจนวันวิสาแทบจะวิ่งตาม เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องสำคัญที่ไม่ได้บอกอีกหนึ่งเรื่อง
“คุณพลาธิปคะ!” ร่างสูงชะงัก ก่อนจะหันกลับมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “วันนี้เลขาคนใหม่จะมาถึงไทย จะให้คนไปรับไหมคะ”
“เขามาเองไม่ได้หรือไง”
“คือ เป็นเลขาที่คุณเอมม่าเสนอมาโดยตรง และเธอไม่ได้กลับไทยมานานมาแล้ว ดิฉันเกรงว่า…” พลาธิปถอนหายใจ เขาเบื่อเด็กเส้นแบบนี้ที่สุด แต่บริษัทของคุณเอมม่าก็เป็นพันธมิตรที่ดี เขาส่งมาให้แบบนี้ก็ต้องรับไว้ แต่ไม่คิดเลยว่าแค่วันแรกยังเรื่องมากได้ขนาดนี้
“ส่งคนไปรับแล้วกัน คุณก็ไปด้วยนะ แล้วรายงานผมทีว่าคุณคิดเห็นยังไง เขาดูท่าทางโอเคไหม”
“ได้ค่ะ”
สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ
มัลลิกาตื่นเต้นจนมือเย็น เธอได้รับข้อความจากคนของทากาฮาชิทันทีที่เปิดมือถือว่าจะมีคนมารับ ซึ่งข้อนี้เธอแอบขอบคุณในใจ เพราะตอนที่ไปนิวยอร์กเธออายุเพียงแค่ 15 ปี พอได้กลับมาบ้านเกิดตอนอายุ 22 ก็อดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้ หลาย ๆ อย่างปลี่ยนไป อีกทั้งถนนหนทางเธอก็จำไม่ค่อยได้ โชคดีที่บริษัทยังเข้าใจและส่งคนมารับเธอ
หรือเพราะว่าเธอมีชื่อเอมม่า คุณแม่ของอาแดเนียลหนุนหลังอยู่ก็ไม่รู้
หญิงสาวพยายามมองหาป้ายที่เป็นชื่อตัวเองหรือชื่อบริษัท ซึ่งหาได้ไม่ยากนักเพราะวันนี้คนไม่ได้เยอะเท่าไหร่ ขาเรียวก้าวตรงเข้าไปหาหญิงสาวในชุดสูทเข้ารูปที่ถือป้ายชื่อเธออยู่อย่างไม่ลังเล
“สวัสดีค่ะ” มัลลิกาแจกรอยยิ้มหวาน ๆ ที่เธอซ้อมมาตั้งแต่ที่นิวยอร์กให้คนตรงหน้า หญิงสาววัยไม่เกิน 35 เบิกตากว้างราวกับตกใจ เล่นเอาคนที่แจกยิ้มหวานหุบยิ้มแทบไม่ทัน
มีอะไรน่าตกใจนักหนากัน
“สะ สะ หวัดดีค่ะ คุณมัลลิกา?”
“สวัสดีค่ะ ฉัน มัลลิกา เบเกอร์”
บรรยากาศบนรถเงียบกริบ
มัลลิกาขยับตัวด้วยความอึดอัด ไม่ใช่เพราะรถแคบไป แต่เธอไม่ เข้าใจว่าทำไมหญิงสาวที่มารับเธอถึงนั่งเสียชิดประตูอีกด้าน ทำเหมือนเธอเป็นเชื้อโรคไม่ควรเข้าใกล้ ไหนจะคนขับรถที่ลอบมองเธอหลายครั้ง พอเธอมองก็กลับก็ทำท่าตกใจเหมือนหนูเห็นแมว คนบริษัทนี้แปลกแบบนี้ทุกคนเลยหรืออย่างไร
“ขอโทษนะคะ” มัลลิกาตัดสินใจเอ่ยทำลายความเงียบ ใบหน้าสวยระบายยิ้มหวาน “ไม่ทราบว่าชื่ออะไรหรอคะ มินจะได้เรียกถูก”
วันวิสาสะดุ้งเมื่อถูกถาม ยิ่งทำให้คนมองแอบรู้สึกไม่พอใจเข้าไปอีก เห็นเธอเป็นอะไรกัน ทำไมต้องทำท่าทีแบบนั้นด้วย
“วันวิสาค่ะ เรียกวันก็ได้ค่ะ
“งั้นมินเรียกพี่วันนะคะ เอ่อ มินเรียกแบบนี้ได้ไหมคะ”
“ดะ ได้ค่ะ แต่จะดีหรือคะ”
“ดีสิคะ ดีจัง มาถึงกรุงเทพแปปเดียวก็มีพี่สาวเลย” มัลลิกาเอ่ยพร้อมยิ้มกว้าง วันวิสาที่เห็นท่าทีเป็นกันเองของหญิงสาวก็เริ่มขยับตัวคลายความเกร็ง บอกตรง ๆ ว่าเกร็งมาก เธอไม่เคยเจอคนสวยขนาดนี้มาก่อน ตอนเห็นรูปว่าสวยมากแล้ว พอเจอตัวจริง ในรูปดูธรรมดาไปเลย
มัลลิกาเป็นผู้หญิงหุ่นดีมาก ถ้าบอกว่าเป็นนางแบบก็เชื่อ ส่วนสูงน่าจะ168ขึ้นไป ขาเรียว รับกับสะโพกที่พายสวยกำลังดี เอวคอดเล็กแบบที่วันวิสาพนันได้เลยว่าไม่ถึง23นิ้วแน่ ๆ ใบหน้ารูปไข่ ตาโตแต่คมเฉี่ยว จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากอิ่มที่ทาลิปสติกสีแดงอมน้ำตาลเพิ่มความเก๋ให้ใบหน้า ผิวขาวเนียนละเอียด รูปร่างบอบบางแต่ไม่ผอมแห้งเกินไปจนเก้งก้าง การแต่งกายที่เหมาะสมกับหุ่นและสีผิวยิ่งขับให้ดูดีขึ้นไปอีก ตอนที่มัลลิกาเดินออกจากเกทมา วันวิสาไม่คิดว่าจะเป็นคนที่เธอต้องมารับด้วยซ้ำ ออร่าจับเสียจนเธอคิดว่าเป็นซุปเปอร์สตาร์ แต่เธอสาบานได้เลยว่าไม่เคยเจอผู้หญิงที่สวยและมีเสน่ห์ดึงดูดมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต แม้แต่ดาราก็เถอะ!
“พี่วัน พี่วันคะ”
“ค่ะ...คะ?”
“มินถามพี่วันแหนะค่ะ ว่าพี่วันคือคนที่จะสอนงานมินใช่หรือเปล่าคะ”
“ใช่ค่ะ” วันวิสาพยักหน้ารับ ก่อนจะสังเกตว่าสีหน้าของมัลลิกาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะท่าทีของเธอที่ทำให้หญิงสาวอึดอัด “คุณมัลลิกาคะ คือดิฉันขอโทษที่ปฏิบัติกับคุณไม่ดี ดูไม่มืออาชีพเอาเสียเลย แต่ เอ่อ…”
“คะ?”
“คือคุณมัลลิกาสวย สวยมาก ๆ เลยค่ะ ดิฉันไม่เคยเจอคนสวยขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ไม่รู้จะปฏิบัติตัวกับคุณยังไง ยิ่งคุณยิ้ม ดิฉันยิ่งใจสั่น นี่สาบานเลยนะคะว่าดิฉันชอบผู้ชาย มีลูกมีสามีแล้วด้วย”
วันวิสาอธิบายไปทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ไป ทำเอาคนฟังอึ้งไปสักพัก ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ
“โธ่พี่วัน ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“ไม่เลยค่ะ คุณมัลลิกาสวยมากจริง ๆ”
“มินค่ะ”
“คะ?”
“เรียกมินเถอะนะคะ ต่อไปเราต้องทำงานด้วยกัน มินไม่อยากให้เราเหินห่าง” มัลลิกาเอื้อมมือไปจับมือของวันวิสา ริมฝีปากอิ่มยื่นนิด ๆ ราวกับอ้อน เล่นเอาคนมองใจอ่อนยวบ
“ค่ะน้องมิน มีน้องสาวสวยขนาดนี้ พี่คงไม่ให้ออกจากบ้านแน่ ๆ หวงค่ะ” เมื่อบรรยากาศเริ่มผ่อนคลาย วันวิสาก็เริ่มพูดเยอะขึ้น บางครั้งก็มีนายเดชที่เป็นคนขับรถร่วมแจม มัลลิกามองวันวิสาด้วยแววตาครุ่นคิด จากที่คุยกันมาสักพักทำให้รู้ว่าวันวิสาเคยเป็นเลขาของไดอิจิมาก่อน ทำงานกับทากาฮาชิมาตั้งแต่เรียนจบปีแรก ระยะเวลาก็ 10 กว่าปีมาแล้ว ก่อนจะลงมาดูแลพลาธิประหว่างที่หาเลขาใหม่ ถ้าเธออยากรู้ความลับอะไรของไดอิจิหรือทากาฮาชิ วันวิสาคงเป็นตัวเลือกที่ดี
แต่ดู ๆ แล้ว คนแบบวันวิสาคงไม่ใช่คนที่จะพูดความลับของเจ้านายง่าย ๆ อาจจะต้องใช้เวลาสนิทสนมกันมากกว่านี้
มัลลิกาเอ่ยขอโทษวันวิสาในใจล่วงหน้า ที่คิดจะใช้หญิงสาวเป็นเครื่องมือ
ทางเลือกของเธอมีไม่มากนักหรอก
100% แล้วค่ะ สำหรับตอนที่ 2 นั้นนางเอกเราไปอยู่อเมริกาแวบนึง ท้ายตอนกลับมาไทยแล้ว ตอนนี้โตเป็นสาวสวยสะพรั่งแล้วค่ะ ส่วนพระเอกของเราน้านนนนน ในที่สุดก็มีบทแล้วค่ะ5555555 ตั้งแต่ตอนหน้าเป็นต้นไปพระเอกจะมีบทมากขึ้น และบทสวีทกุ๊กกิ๊กจะมีมาเรื่อย ๆ เพราะ....ไม่บอกดีกว่า แต่ตอนหน้าเป็นต้นไปจะหวานนะคะ
ขอบคุณทุกวิวที่เข้ามาอ่านนิยายตะวัน ถึงไม่มีเมนต์ แต่เห็นยอดวิว ก็ยังเติมพลังให้ตะวันได้บ้าง ถึงแม้จะไม่เยอะ แต่ตะวันจะเขียนเรื่องนี้ให้จบแน่ ๆ ค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านนิยายของตะวันนะคะ
ช่องทางติดต่อตะวัน
Facebook : Sunflower
https://web.facebook.com/Sunflower-268692590198513/
Twitter : @sunflower_np
https://twitter.com/sunflower_np
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ