เพชรเปื้อนดิน
เขียนโดย วาฬดิน
วันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.42 น.
แก้ไขเมื่อ 8 มกราคม พ.ศ. 2561 04.55 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) Flashback
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความสายลมเย็นยะเยือก ถูกพัดพามาปะทะกับร่างอันกำยำของชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ ร่างนั้นไหวเอนไปมาด้วยแรงลม และสั่นน้อยๆด้วยความหนาวเหน็บ ถึงแม้ร่างกายจะถูกห่อหุ้มมิดชิดด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์หลายชิ้นตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็มิอาจต้านทานความหนาวจับขั้วหัวใจในยามนี้ได้ ผิวหน้าของเขาซีดเผือดไม่ปรากฎสีเลือดและหยาบกร้านแตกระแหงเป็นเกล็ด พิชิตยืนพิงเบาะรถมอเตอร์ไซค์วิบากคู่ใจของเขาที่จอดไว้อย่างหมิ่นเหม่ริมหน้าผาตอนหนึ่งของยอดเขาโกรก มันเป็นรถ ฮุสวาน่า เอฟอี 350 สี่จังหวะสัญชาติสวีเดนคันเดิมของเขา คันเดียวกับที่เขาเคยควบมันบุกป่าฝ่าดงมาที่นี่เมื่อ 4 ปีก่อน เขาเหม่อลอยทอดสายตาออกไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย นานๆทีก็หยิบบุหรี่ที่คีบอยู่ระหว่างร่องนิ้วขึ้นมาดีดเอาขี้เถ้าออก แต่แล้วก็ถือเอาไว้อย่างนั้นปล่อยให้มันค่อยๆไหม้ลามจนจวนเจียนจะหมดมวน จะว่าเขากำลังดื่มด่ำเพลิดเพลินอยู่กับความงดงามของทัศนียภาพก็เห็นทีจะไม่ใช่ เพราะสายตาคู่นั้นไม่ได้ปรากฎถึงความพึงพอใจต่อความสวยงามเบื้องหน้าแม้แต่น้อย หากแต่เป็นการเหม่อลอยอย่างปราศจากความหมาย วินาทีนี้เขากำลังจมดิ่งอยู่กับภาพความทรงจำในอดีต ภาพที่เขากับบรรดาพรรคพวกได้บุกบั่นเดินทางขึ้นมาสำรวจยังยอดเขาแห่งนี้ ที่ได้ชื่อว่ามีทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดที่น้อยคนนักจะมีโอกาสได้เห็น และเป็นเส้นทางที่โหดหินที่สุด อันตรายที่สุด ที่ที่ความทรงจำทั้งหมดได้ถูกประทับตราตรึงอย่างแน่นหนาในใจของเขาและผู้ร่วมคณะทุกคน ภาพเหล่านั้นได้หลั่งไหลพรั่งพรูออกมาในมโนคติของเขา มันช่างมากมายสับสนแต่ก็ชัดเจนแจ่มแจ้งเสียจนราวกับว่ามันพึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง
จะนานสักเท่าใดก็มิอาจทราบได้ ระหว่างที่เขากำลังเข้าสู่ภวังค์อยู่นั้น ก็พลันคืนสติเนื่องจากเสียงแปร๋นของแตรรถยนต์ที่ดังขึ้น 2 ครั้งท่ามกล่างความเงียบ พิชิตหันหลังขวับไปยังทิศทางของเสียงในทันที จึงได้เห็นรถกระบะโฟร์วีลไดรฟ์สีขาวคันหนึ่งค่อยๆเคลื่อนตัวใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ เสียงเครื่องยนต์รอบสูงครางหึ่งด้วยระบบเกียร์โฟร์-โลว์ เสียงล้อรถตะกุยตะกายพื้นผิวที่เป็นหินกรวดดังครืดคราด ตัวรถนั้นโคลงเคลงไปมาทำให้บังเกิดอาการน่าเวียนหัว และเสียงช่วงล่างที่ดังเอี๊ยดอ๊าดบ่งบอกถึงความทุเรศทุรังของเส้นทางที่รถคันนี้เพิ่งเผชิญมา มันหยุดนิ่งสนิทที่บริเวณลานโล่งเตียนด้านหนึ่งที่ปรากฎมีรอยดำๆของกองไฟเก่ากระจายเป็นหย่อมๆ จากนั้นไม่นานประตูรถฝั่งคนขับก็เปิดออก เป็นวินาทีเดียวกับที่พิชิตเดินเข้ามาสมทบ
“สวัสดีครับ พี่พิชิต” ชายร่างท้วม ผิวคล้ำ ใบหน้าเหี้ยมเกรียม ยกมือขึ้นไหว้ด้วยอาการยิ้มแย้ม บุคลิกของเขาดูเป็นคนสุขุมเยือกเย็น แต่นัยน์ตาก็แฝงความทะลึ่งทะเล้นไว้อย่างกลมกลืน นัย หรือ ดนัย คือชื่อของเขา
“สวัสดีครับ ไม่เจอกันนานเลย” พิชิตยกมือขึ้นรับไหว้ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน น้ำเสียงของเขานุ่มนวล และสุภาพตามปกตินิสัย
“นี่ชวนผมมารำลึกความหลังหรือไงพี่” ดนัยฉีกยิ้มกว้างขณะที่กล่าวเชิงสัพยอกกับชายผู้ที่มาถึงก่อน ส่วนพิชิตไม่ได้ตอบว่ากระไร เพียงแต่ยิ้มให้เขาอย่างเข้าใจในอุปนิสัยใจคอ
“สวัสดีค่ะ คุณพิชิต!” เสียงเจื้อยแจ้วอันเป็นลักษณะของสตรีดังขึ้นหลังจากที่ประตูรถอีกฝั่งเปิดออก เจ้าของเสียงเป็นสตรีรูปร่างอวบอั๋น ผิวสีน้ำผึ้ง ไว้ผมหางม้ายาวปรกไหล่ บุคลิกท่าทางเป็นคนร่าเริง เปิดเผย แต่ก็แฝงลักษณะบางอย่างที่เหมือนจะขัดกับบุคลิกอย่างแรกโดยสิ้นเชิง เธอชื่อแวว เป็นภรรยาของดนัย เสียงอันเล็กแหลมของหล่อนทำให้พิชิตสะดุ้ง และขมวดคิ้วด้วยความพิศวง แต่แล้วเมื่อปรับสายตาจนมองเห็นชัดเจนได้ว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร จึงได้คลายความสงสัยลง และปรับอาการให้ลงมาเป็นปกติ
“โอ้โห คุณแววกล้ามากับเขาด้วยหรือเนี่ย นับถือๆ ...ไม่กลัวเลยเหรอครับ” พิชิตแสร้งทำสีหน้าประหลาดใจ พร้อมกับยกนิ้วโป้งชูให้หล่อนเพื่อเป็นการยกย่องอย่างเอาใจ
“ใครบอกล่ะ ชั้นนั่งเกร็งมาตลอดทางเลย ยิ่งช่วงเนินสุดท้ายนี่นะ ชั้นอยากจะขาดใจตายให้ได้เลย มันน่ากลัวมาก” หญิงสาวทำหน้าเจื่อน หดคอลงทำท่าเหมือนสะบัดร้อนสะบัดหนาว
“นี่ทางมันดีขึ้นมากแล้วนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเนี่ย จ้างก็ไม่พามาหรอก” ดนัยกล่าวพลางหันกลับไปพิจารณาเส้นทางที่เขาเพิ่งจะขับรถผ่านขึ้นมา ก่อนจะส่ายหัวดิกๆ
“ก็แน่ล่ะสิ มีน้องคนนั้นมาด้วยแล้ว จะพาแววมาทำไม ใช่มั้ยล่ะ” ครั้งนี้เจ้าหล่อนทำหน้างอ เริ่มแสดงอาการพาลพะโลอันเป็นลักษณะอีกประการของหล่อน ส่วนสองชายหนุ่มมองหน้ากันแล้วหัวเราะลั่น เพราะต่างเข้าใจในอุปนิสัยใจคอของหล่อนเป็นอย่างดี หล่อนเป็นคนอย่างนี้เอง ขี้น้อยใจก็เท่านั้น ยิ่งถ้าเรื่องไหนมีผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว เป็นอันต้องมีการผิดใจกันทุกครั้งไป
“เอ้าๆ อย่ามัวแต่พาล มาดูอะไรนี่ อุตส่าห์พามาตั้งไกล” ดนัยฉุดข้อมือภรรยาให้ออกเดินตามเขาไปยังบริเวณที่พิชิตยืนอยู่ก่อนในครั้งแรก เจ้าหล่อนทำแง่งอนจะปฏิเสธ แต่ก็สู้แรงฉุดของสามีไม่ไหว ได้แต่เดินบิดไปบิดมาทำหน้างองุ้มไม่มองฟ้าไม่มองดิน แต่เมื่อเดินมาถึงบริเวณหน้าผาที่มีรถของพิชิตจอดขวางอยู่ หล่อนก็ถึงกับอ้าปากค้าง และร้องออกมาอย่างลืมตัวพร้อมกับทำตาโต ยกมือขึ้นทาบอก
“โห... คุณดูสิ!!” หล่อนบีบแขนอันอวบอ้วนสามีไว้แน่นแล้วเขย่าเต็มแรงทั้งสองมือด้วยอาการตื่นเต้นขีดสุด ลืมเรื่องราวขุ่นเคืองเมื่อครู่ไปเสียจนหมดสิ้น
มันเป็นภาพของชะง่อนผาปลายแหลมยื่นออกไปกลางอากาศ ถูกปกคลุมด้วยทุ่งหญ้าระบัดที่แข่งกันชูดอกสีขาวบริสุทธิ์ที่เอนเอียงแกว่งไกวไปตามแรงลม ละอองเกสรหลุดลอยปลิดปลิวไปในอากาศ ซึ่งในยามที่ต้องกระทบแสงของอาทิตย์อัสดง ทำให้เหล่าบุปผชาติที่ถูกลืมเหล่านี้เปล่งประกายเรืองรองระยิบระยับราวกับต้องเวทย์มนต์ เบื้องล่างเป็นหุบเหวเวิ้งว้าง เบื้องหน้าเป็นทิวเขากว้างไพศาล ถูกคลุมทับด้วยผืนผ้ากำมะหยี่สีเขียวของพฤกษานานาพันธุ์ ลำแสงอำไพที่ลอดผ่านผืนเมฆมหึมา สาดตรงมายังปลายสุดของชะง่อนผา ดูราวกับทวารของสรวงสวรรค์กำลังเปิดออกต้อนรับผู้มาเยือน ซึ่งหากแม้นว่าจิตรกรเอกของโลกได้มาพบเห็นภาพของสถานที่นี้เข้า และสามารถที่จะถ่ายทอดองค์ประกอบทั้งหมดลงสู่ผืนผ้าใบได้แล้วล่ะก็ เห็นทีชาวโลกคงจะมีโอกาสได้ยลผลงานระดับมาสเตอร์พีซชิ้นใหม่อย่างแน่นอน
“แววไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย เหมือนอย่างกับภาพในจินตนาการอย่างนั้นแหละ” หล่อนกระพริบตาถี่ๆเหมือนไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง สีหน้าอาการเต็มไปด้วยความตื่นเต้นซาบซึ้ง คว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพยายามจะถ่ายภาพเก็บไว้ แต่แล้วก็ต้องส่ายหัวด้วยความผิดหวัง
“จะต้องใช้กล้องถ่ายรูปอะไรนะ ถึงจะเก็บรายละเอียดของที่นี่ได้หมด แววอยากให้เพื่อนๆได้เห็นภาพนี้บ้างจัง”
“กล้องสองตาที่มีเมมโมรี่เป็นสมองนี่ไง” ดนัยเผยรอยยิ้มกว้าง เคาะนิ้วไปที่ศีรษะของตัวเอง
“แล้วแบบนั้นคนอื่นจะเห็นภาพได้ยังไงล่ะ คุณก็..!!” หล่อนทำคิ้วขมวด ใช้กำปั้นทุบเบาๆไปที่ไหล่ของสามี ออกจะฉุนที่สามีคอยแต่จะชักใบให้เรือเสียอยู่เรื่อย
“ของดีๆ อยากเห็นก็ต้องมาดูเอง” เขายังคงยืนกราน
“ถ้างั้นเค้าก็น่าจะทำทางขึ้นให้มันดีๆหน่อย โปรโมทสถานที่อีกนิด รับรองได้ว่าจะต้องติดท็อปฮิตไม่แพ้ที่อื่นๆเลย” หล่อนยังคงไม่ลดราวาศอก แต่น้ำเสียงนั้นอ่อนลง
“ปล่อยให้มันเป็นอย่างที่มันเป็นอยู่นี่แหละ ดีที่สุดแล้ว...” เสียงของดนัยแผ่วเบาลงเหมือนกับจะพูดกับตัวเอง จากนั้นทั้งสองจึงเงียบงันไปชั่วขณะหนึ่ง
“เสียดายจัง อีกเดี๋ยวเดียวฟ้าก็จะมืดแล้ว” หญิงสาวกล่าวขึ้นเบาๆพร้อมกับไขว้มือทั้งสองข้างถูกับต้นแขนของตัวเอง เนื้อตัวสั่นเทาเป็นลูกนก
“ใช่... และนอกจากจะมืดแล้ว มันยังหนาวมากด้วย เราควรจะเริ่มตั้งแคมป์ได้แล้ว” ดนัยหันขวับแล้วเดินลิ่วกลับมาที่รถอย่างไม่ลังเลโดยคว้าข้อมือภรรยาให้ตามมาด้วย ดนัยเป็นคนตัดสินใจเฉียบขาดเสมอ ซึ่งคุณลักษณะนี้แสดงออกถึงความเป็นผู้นำของเขา และได้ช่วยให้เขาและคนอื่นๆผ่านอุปสรรคใหญ่หลวงมานักต่อนัก
สองสามีภรรยาช่วยกันหอบเอาสัมภาระที่อยู่ท้ายรถลงมาวางกองไว้ที่พื้น เพื่อเตรียมการสำหรับตั้งแคมป์และหุงหาอาหาร โดยมากเป็นข้าวของที่ภรรยาจอมจุ้นร่ำร้องจะนำติดมาด้วย มีทั้งที่นอน หมอนข้าง ผ้านวม หรือแม้แต่พัดลมไฟฟ้า พิชิตปลีกตัวออกไปเข็นรถของเขากลับมาจอดไว้ข้างๆกัน ก่อนจะปลดสัมภาระที่ถูกมัดไว้อย่างแน่นหนาบนตะแกรงท้ายรถลงมา แล้วจัดแจงสร้างปางพักของตัวเองอย่างรวดเร็วและเรียบง่ายอย่างคนที่คุ้นชิ้นกับกิจกรรมภาคสนาม แต่ก็ยังเห็นหนุ่มสาวทั้งสองยังคงมะงุมมะงาหราอยู่กับข้าวของสัมภาระกองพะเนินที่วางระเกะระกะ ยังไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน ดนัยบอกกับตัวเองว่า พิชิตคนนี้ช่างดูเจนจัดทะมัดทะแมง ราวกับเป็นคนละคนกับพิชิตที่เขาเคยรู้จักเมื่อ 4 ปี ก่อน ครั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะปล่อยหัวเราะออกมา เมื่อนึกขำกับเหตุการณ์เก่าๆที่พวกเขาเคยประสบมาร่วมกัน พิชิตซึ่งสังเกตอาการอยู่ก็จับพิรุธได้ ทั้งสองหัวเราะออกมาทั้งๆที่ไม่ได้เจรจากันแม้แต่คำเดียว
ใช่แล้ว วันเดียวกันนี้เมื่อ 4 ปีก่อน เขายังคงเป็นทายาทเศรษฐีพันล้านวัย 34 ปี ที่ไม่เคยรู้จักความลำบาก ชีวิตที่เกิดมาบนกองเงินกองทองที่พร้อมจะเนรมิตทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาประสงค์เพียงแค่กระดิกปลายนิ้ว ทำให้เขาไม่เคยต้องดิ้นรนขวนขวายกับเรื่องใดๆทั้งสิ้น อีกทั้งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชีวิตนี้ได้เกิดมาเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับใคร หรืออะไร เขาเพียงแต่หาความสุขใส่ตัวไปวันๆจากทรัพย์สินที่มีมากมายจนใช้ไม่หมดเหล่านั้น และแล้ววันที่จะทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปก็มาถึง มันคือวันนี้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว วันที่เขาตื่นมาตั้งแต่เช้าตรู่ นั่งไขว่ห้างจิบกาแฟถ้วยโปรดอยู่ที่โต๊ะหน้าบ้าน เฝ้ารอการมาถึงของรถตู้สีขาวคันหนึ่งที่กำลังขนเอา "ของเล่นชิ้นใหม่" มาส่งให้เขาตามนัดหมาย เขามองมันเคลื่อนตัวผ่านรั้วอัลลอยสีน้ำเงินทางทิศตะวันตกของสนามหญ้า แล้วค่อยๆชะลอความเร็วลงจนหยุดนิ่งสนิทที่หน้าประตูรั้วบานใหญ่ขนาดพอๆกับทางเข้าสวนสัตว์ เขาละมือจากถ้วยกาแฟผุดลุกขึ้นยืนในทันที พร้อมกับกดรีโมทเปิดประตูรั้ว แทบจะเป็นวินาทีเดียวกับที่คนขับรถตู้ลงจากรถและกำลังจะกดกริ่งที่หน้าประตู…
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ