สามี...ท่านมียางอายบ้างหรือไม่!

7.0

เขียนโดย สาวเพ้อฝัน

วันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เวลา 15.17 น.

  9 ตอน
  0 วิจารณ์
  11.66K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 15.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) ประสาน4.2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ภายในห้องนอนที่เงียบสงัดมีเพียงเสียงสายลมที่ปะทะเข้ากับหน้าต่างไม้แกะสลักฉลุลายสวยงาม ผ้าม่านบนเตียงสีแดงพริ้วตามแรงลมอ่อนๆ เผยให้เห็นร่างสองร่างของชายหญิงคู่หนึ่งที่ยังคงนั่งใช้ความคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆอยู่บนเตียง ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างก็สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยหมดแล้วทั้งคู่กำลังนั่งคุยกันถึงสาเหตุของเรื่องราวต่างๆ และนั่นทำให้นางต้องเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง เขาและนางต่างฝ่ายต่างก็มองจ้องกันในสายตาที่ส่งผ่านมีแต่ความสับสน ตื่นตระหนก ประหลาดใจ เรื่องราวที่ไม่น่าเป็นไปได้มันกลับเกิดขึ้นจริงๆ เหม่ยถิงกำลังมีความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนได้ยินหากแต่มันได้เกิดขึ้นกับตัวนางเองแล้วถึงจะบอกว่าไม่เชื่ออีกก็คงไม่ทันแล้ว

“ท่านกำลังบอกว่าที่จับตามองข้าจนกระทั่งวางแผนลวง พนันกับข้าก็เพื่อดึงข้ามาไว้ข้างกายเพื่อให้ท่านสืบหา'กงล้อเวลา'อะไรนั่นหรือ?”ตอนนี้นางรู้สึกว่าตัวเองจะกล่าวอะไรก็ยากไปหมดความฝื่นที่อยู่ในลำคอและยังรู้สึกว่ามีจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กๆที่ยังคงกระจัดกระจายอยู่ในหัวของนาง

“ใช่"เขาพยักหน้ากล่าวรับคำนาง

“ทำไมท่านถึงมาตามหาของสิ่งนั้นที่ข้าล่ะ? ท่านไม่รู้หรือว่าข้าไม่มีมัน"นางขมวดคิ้วมองหน้าพลางจ้องตาเขาถามอย่างไม่เข้าใจ

“ไม่เจ้ามีมัน”

“อะไรทำให้ท่านแน่ใจเช่นนั้น"

“เพราะข้ารู้จักกับบุคคลที่ต้องการจะปกป้องมันยังไงล่ะ”

“…..”นางเงียบพลางทำหน้าสงสัยในขณะที่เขาเองก็เข้าใจว่านางสงสัยในเรื่องใด

“กงล้อเวลาสามารถใช้ข้ามเวลาไปยังอดีตและอนาคตได้ นั่นทำให้มีผู้คนมากมายต้องการมันทั้งคนดีและคนเลว ผู้ที่สร้างมันขึ้นมาเพื่อต้องการใช้มันเปลี่ยนแปลงบางสิ่งเท่านั้นถึงแม้เขาจะใช้มันในทางที่ดีแต่การข้ามเวลาไปทำสิ่งที่นอกเหนือจากเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วก็ยังเป็นสิ่งที่ผิดอยู่ดีจึงต้องมีกลุ่มคนที่คอยปกป้องมันกับความลับของมัน สกุลฉีตั้งแต่ต้นบรรพบุรุษจนรุ่นปัจจุบันก็คือคนกลุ่มนั้นยังไงละ

สกุลฉีต้องทำหน้าที่พิทักษ์รักษาและคอยติดตามมัน แต่เมื่อฉีเทียนประมุขของสกุลฉีเมื่อสองร้อยกว่าปีที่แล้วส่งมอบ'กงล้อเวลา'ให้กับ ฉีหลี่ซื่อ ภรรยาของเขาก็ดันเกิดเรื่องน่าเศร้าขึ้นมาอยู่ๆวันหนึ่งฮูหยินฉีก็หายสาบสูญไปพร้อมกับกงล้อเวลา ฉีเทียนจึงต้องออกตามหานางทั้งชีวิตแต่ก็ไร้วี่แววของนางจนเมื่อเขาตายไปลูกหลานสกุลฉีก็ยังต้องรับหน้าที่ตามหากงล้อเวลาต่อไปเพื่อนำมันกลับมาไว้ยังที่ๆมันควรอยู่ ซึ่งประมุขของสกุลฉีคนปัจจุบันคือคนที่ข้ารู้จักเป็นอย่างดี เขาบอกกับข้าว่าพบเบาะแสของฮูหยินฉีแล้วและคาดว่ากงล้อเวลาก็ยังอยู่กับนางเช่นกัน”เขาอธิบายกับนางด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เคร่งเครียดจริงจังอย่างยิ่ง

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า”นางขมวดคิ้วหัวคิ้วตาม

“เบาะแสชี้ไปยังสกุลเหม่ยของเจ้า พวกเขาพบปิ่นหยกประจำตัวของฮูหยินสกุลฉีที่คนในสกุลของพวกเจ้าเอามาปล่อยขายยังมีอีกเรือนแม่สื่อหมื่นบุปผาของเจ้าเองก็ใช้ตราสัญญาลักษณ์ประจำตัวของนาง ผีเสื้อเล่นดอกเหมย”

“ผีเสื้อเล่นดอกเหมย"นางเผลอพูดตามเขาออกมา ความรู้สึกที่คุ้นเคยโลดแล่นขึ้นมาจากในอกภาพของผีเสื้อที่โอบล้อมอยู่รอบๆดอกเหมยแล่นเขามาในสมองจู่ๆนางก็รู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรงจนต้องยกสองมือขึ้นมากุมไว้ที่หัว เหงื่อเม็ดใสๆที่ผุดขึ้นมาจากใบหน้าและฝ่ามือทำให้นางรู้สึกได้ว่าร่างกายกำลังผิดปกติ เขาที่นั่งอยู่เบื้องหน้านางก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสีหน้าขาวซีดของคนตรงหน้าและอาการที่ผิดปกติของนาง เขาค่อยๆเขยิบเข้ามาโอบประคองนางไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“เจ้าเป็นอะไรไป สีหน้าไม่ดีเลย"

“ข้าปวดหัว ปวดมาก"

“เมื่อนี้เจ้ายังดีๆอยู่เลยมิใช่หรือ ทำไมจู่ๆถึงได้ปวดหัวละ"เขาขมวดคิ้วถาม

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนที่ท่านกล่าวถึง ผีเสื้อโอบดอกเหมย จู่ๆข้าก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา"นางเงยหน้าสบตากับเขา นัยน์ตามีแต่ความสับสน บนใบหน้านอกจากสีขาวซีดนั่นแล้วก็ไม่มีสีใดแซมขึ้นมาอีก

“หรือเป็นเพราะเมื่อวานที่เจ้ากลับมาจากข้างนอกก็เข้านอนเลย ข้าวปลาก็ไม่ได้กินก็เลยเกิดหน้ามืดขึ้นมา”

“สงสัยคงจะเป็นเช่นนั้น"ตั้งแต่เขาเข้ามาโอบเธอเอาไว้ความเจ็บปวดก็เบาบางลงไปมากแล้ว สีหน้าดีขึ้นมาจากเดิมนิดหน่อย

“งั้นเจ้าควรที่จะดูแลตัวเองให้ดีเป็นฮูหยินสกุลหูอยู่ดีกินดีขนาดนี้ อย่าให้ชาวบ้านมาครหาข้าเอาได้ว่าเพิ่งจะแต่งภรรยาเข้าบ้านก็ไม่ใส่ใจดูแลจนภรรยาล้มป่วย”เขาขมวดคิ้วในขณะที่ริมฝีปากบางก็เอ่ยตักเตือนนางไปด้วย

“เฮอะ คนอย่างท่านก็สมควรจะโดนเช่นนั้นจริงๆมิใช่หรือ ข้ายินดีล้มป่วยนะถ้ามันจะทำให้คนอย่างท่านอับอายที่จะทนฟังคำเหล่านั้นไม่ได้” แหมฉันพึ่งจะรู้นะว่าคนอย่างนายก็อายเป็น เธอค่อนขอดเขาในใจ

“หึ เจ้าเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ”

“ข้าทำไม"เธอถามเขาอย่างเอาเรื่อง

“เอาเถิดๆ ข้าไม่อยากจะทะเลาะกับเจ้าหรอกนะ ลุกไปทานอะไรก่อนเป็นลมเป็นเเล้งขึ้นมาอีกมันจะไม่ดี"

“แล้วเรื่องนั้น ที่เราคุยค้างกันอยู่"

“ค่อยคุยต่อก็ได้เจ้าควรไปทานข้าว ข้าเองก็หิวแล้วเหมือนกัน"

 เขาผลักนางผละออกจากอ้อมกอดเบาๆก่อนจะเดินออกจากห้องเรียกบ่าวรับใช้ให้เข้ามาปรนนิบัตินาง นางและเขาจึงล้างหน้าล้างตาทำธุระส่วนตัวให้เสร็จก่อนจะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ในขณะที่เขาเองก็สั่งให้อี๋เอ๋อตั้งสำรับกับข้าวไว้ที่ห้องอาหาร รอจนพวกเขาทานข้าวเสร็จแล้ว เขาก็หันไปสั่งบางอย่างกับบ่าวคนนึง หลังจากนั้นจึงพานางเดินไปยังห้องหนังสือ ม่านลูกปัดสีและผนังห้องที่สีสันไม่ฉูดฉาด

บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของเขาบนนั้นมีแจกันที่ถูกพู่กันหลายๆด้ามเสียบประดับเอาไว้ทั้งยังมีแท่งฝนหมึกและถาดหมึกชั้นดีที่ให้กลิ่นอายของบัณฑิต ยังมีกองหนังสือ และม้วนภาพวางอยู่ ชั้นหนังสือเองก็ทำจากไม้สลักอย่างดี ทุกอย่างในที่นี้ล้วนถูกคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน

 

รสนิยมหมอนี่ก็ไม่เลวนี่นา

 

“นั่งสิ เจ้าคงจะไม่เดินวนไปมาในขณะที่ข้านั่งทำงานอยู่หรอกนะ น่าปวดหัวจะตาย"เขาเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ไม้หลังโต๊ะทำงานตัวนั้น กล่าวจะผายมือชี้ไปยังเก้าอี้รับรองข้างผนังห้องซ้ายมือบอกกับนางให้นั่งลง

“…”นางไม่พูดอะไรแค่นั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆผนังห้องที่มีโต๊ะเตี้ยตัวนึงวางไว้ด้านข้างบนโต๊ะมีขนมโก๋หิมะและป้านน้ำชาวางเอาไว้ซึ่งบ่าวในเรือนเป็นคนจัดเตรียมรอไว้นานแล้วตามคำสั่งของเขา

“เอ่อ ท่านจะทำงานหรือ"

“ตาเจ้าเห็นข้าทำอะไรละ"กระหม่อมนางเต้นตุบๆเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น แต่ก็ยังคงข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ก่อนกล่าวถามเขาต่อไปว่า

“ข้าเห็นท่านกำลังจะทำงาน ข้าจึงถามเดี๋ยวจะหาว่าข้ามารบกวนท่านอีก"

“ไม่หรอกข้าเป็นคนพาเจ้ามา"เขายักคิ้วหนึ่งที

“ท่านจะพาข้ามาทำไมล่ะ"

“เจ้าจะไม่ฟังเรื่องนั้นต่อแล้วหรือ?”เขาเลิกคิ้วใส่นางก่อนถาม

“เรื่องนั้น อ่อ…งั้นท่านก็เล่าต่อสิข้ารอฟัง"

นางพูดก่อนหยิบขนมโก๋หิมะขึ้นมากัดเข้าไปหนึ่งคำผลัดกับการดื่มน้ำชา ความหวานละมุนของใส่ขนมที่ละลายอยู่ในปากทำให้นางต้องแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากอย่างอดไม่ได้ โดยไม่รู้เลยว่ากิริยาแบบนั้นของนางอยู่ในสายตาคู่นั้นของเขาแล้วมีเสน่ห์มากเพียงใด เขาจับจ้องนางที่กำลังกินขนมอย่างเอร็ดอร่อยในขณะที่ปากก็กล่าวถามเขาถึงเรื่องที่ยังค้างคาใจอีกด้วย

“ท่านบอกข้าว่าเบาะแสชี้มาที่...ตัวข้า"

“ใช่"

“เพียงเพราะตราสัญลักกษ์แค่นั้นหรือ?”

“แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว อย่างน้อยสกุลฉีก็เจอเบาะแสแรกในรอบสองร้อยปี”

“สกุลฉีจึงจับตาดูความเคลื่อนไหวของข้า?”เขาพยักหน้าเป็นการตอบคำถามของนาง

“แล้วเรื่องของสกุลฉีมันเกี่ยวกับท่านตรงไหน? ทำไมท่านเองก็ต้องมาคอยจับตาดูข้า"นางสับสนกับเขาเหลือเกินถ้าเป็นอย่างที่เขาว่าทำไมสกุลฉีไม่มาวุ่นวายกับนางแทนที่จะเป็นเขาล่ะ

“เพราะว่ามีคนต้องการวงล้อเวลานะสิ"

“หือ…”นางเลิกคิ้ว เขาระบายลมหายใจหนึ่งทีก่อนจะตอบต่อไปว่า

“ข้าบอกกับเจ้าแล้วว่าก่อนหน้านี้เจ้าติดต่อกังองค์ชายสาม"

“แล้วยังไง? หรือว่าองค์ชายสามต้องการ…มัน?”

“ใช่ องค์ชายสามต้องการกงล้อเวลาเขาเองก็สืบข่าวคราวของสกุลฉีและส่งคนออกตามหาเช่นเดียวกัน จนกระทั่งเขาสืบได้เรื่องของเจ้าจากสกุลฉี เขาจึงเข้ามาข้องแวะกับเจ้าอย่างไรล่ะ"

“เขาต้องการมันเพื่ออะไร?”นางยิ่งขมวดคิ้วด้วยความสงสัยขึ้นไปอีก

“เขาต้องการใช้มันเพื่อย้อนเวลาไปในอดีตอย่างไรล่ะ"

“แล้วการที่เขาต้องการเกี่ยวอะไรกับท่าน? หรือว่าท่านเองก็ต้องการมัน”นางหยิบขนมขึ้นมาอีกชิ้นนึงก่อนจะส่งมันเข้าปากไปอีกในขณะที่กินมันอย่างเอร็ดอร่อย

เขาจ้องมองนางพลางส่ายหน้าเป็นเชิงปฎิเสธก่อนตอบต่อไปอีกว่า"ข้าไม่ได้ต้องการมันแต่ข้าไม่ต้องการให้องค์ชายสามได้มันไป"

“เพราะอะไร?”

“องค์ชายสามจะใช้มันย้อนเวลากลับไปในอดีต เพื่อเปลี่ยนปัจจุบันในตอนนี้”

“ถ้าเขาจะทำเช่นนั้นแล้วทำไมท่านต้องขัดขวางเขา?”

“เพราะสิ่งที่เขากำลังทำมันผิด”

“ผิดเช่นไร?”

“สนมหยางซูเฟยพระมารดาแท้ๆขององค์ชายสามคิดขบถจึงต้องโทษประหาร”

เธอได้ฟังเช่นนั้นมือที่กำลังจะหยิบขนมชิ้นต่อไปก็ต้องหยุดค้างไว้แทน ในขณะที่สมองเองก็ตื้อเช่นกัน นะ…นี่มันองค์ชายสามคิดจะย้อนเวลาไปช่วยพระมารดางั้นหรือ แต่ว่า…

เขาที่จ้องนางอยู่ตลอดก็ต้องหยักยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นอาการตระหนกของนาง

“องค์ชายสามคิดจะย้อนเวลาไปช่วยพระมารดาในขณะที่เขาเองก็เตรียมซ่องสุมกำลังเอาไว้ เพื่อรอเวลานั้นเช่นกันอย่างไรละ"เขาจ้องใบหน้าของนางที่กำลังซีดเผือดนั้น

“แล้วทะ...ท่านทำไมถึงไปยุ่งกับเรื่องนั้นได้ละ”นางกล่าวถามเขาด้วยความสงสัยด้วยน้ำเสียงติดขัด แต่มือที่ค้างไว้เมื่อกี้กลับหยิบขนมขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่งก่อนจะส่งมันเข้าปากต่อไป

“ตระกูลข้ามีอำนาจทางการค้าและผูกสิทธิ์ขาดในอีกหลายๆด้านในเมืองลั่วหยางและราชสำนักเองก็รู้ดีอีกทั้งพ่อของข้ายังเป็นสหายกับองค์จักรพรรดิ ท่านแม่ของข้าเองก็มีศักดิ์เป็นท่านหญิง ราชนัดดาในองค์จักรพรรดิรัชกาลปัจจุบันอย่างไรล่ะ"เขายิ้มตอบนาง นางอ้าปากค้างไปอีกแล้ว

“ทะ…ท่านพ่อ...ท่านแม่?”เขาเลิกคิ้วยกไหล่เป็นเชิงตอบนางว่าถูกต้อง

“ถ้านับตามศักดิ์ข้าก็มีฐานะเป็นราชปนัดดาของเขาตระกูลข้าทำงานในราชสำนักมาหลายชั่วอายุคนและยังทำการค้าอีกด้วยจนมาถึงยุคของ

      ข้าซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวข้าจึงเลือกที่จะทำการค้าแต่องค์จักรพรรดิเองก็ยังคงต้องการความช่วยเหลือจากข้า ข้าก็แค่ทำงานเบื้องหลังไปเท่านั้นเอง"

“แล้ว…ทำไมท่านต้องแต่งงานกับข้าด้วยการพนันเรื่องของคุณหนูสกุลซือด้วยละ?”

“องค์ชายสามคิดจะผูกสัมพันธ์กับสกุลซือ นอกจากสกุลข้าแล้วสกุลซือก็มีอำนาจรองลงมาทั้งยังเป็นเจ้าของประสาทจันทราใหญ่ติดอันดับหนึ่งในห้าของยุทธภพ เจ้าคิดว่าเช่นใด เป้าหมายโจ่งแจ้งขนาดนี้ พอจะเรียกได้ว่าวางแผนการได้ดีหรือไม่?”

เขาหยักยิ้มจ้องมองปฏิกิริยาของนางโดยไม่มีการละสายตา ตอนนี้นางรู้สึกว่ากำลังจะจับต้นชนปลายเรื่องราวเหล่านี้ได้บ้างแล้ว สรุปก็คือเพราะองค์ชายสามต้องการกงล้อเวลาในการกลับไปแก้ไขเหตุการณ์ในอดีตทั้งยังต้องการรวบอำนาจตั้งตัวเองขึ้นมาจึงต้องการการสนับสนุนจากฝ่ายสกุลซือแล้วที่ทุกอย่างนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับนางเพราะตระกูลฉีที่ทำหน้าที่พิทักษ์รักษากงล้อเวลาพบเบาะแสที่เรือนแม่สื่อของฉันและองค์ชายสามก็รู้เรื่องนี้เหมือนกันจึงเกิดการจับตาดูฉันจากทุกๆฝ่ายงั้นสินะ

เธอกำลังใช้ความคิดในการทบทวนเรียบเรียงเหตุการณ์ต่างๆ แต่การที่เขาจ้องมาแบบนั้นทำให้นางประหม่าเหลือเกินจนต้องรีบหยิบขนมขึ้นมากัดเต็มแรงอีกชิ้นเพื่อแก้อาการอึกอักของตัวเอง แล้วจึงหยิบถ้วยชาขึ้นมาจรดริมฝีปากอิ่มเอิบนั่นก่อนจะดื่มมันอย่างรีบร้อน เขาลุกออกจากโต๊ะทำงานย่างสามขุมเข้ามาใกล้ก่อนโน้มตัวลงไปหยิบถ้วยชาในมือนางออกมาวางไว้ที่โต๊ะเตี้ยข้างๆ ในขณะที่นางเองก็เงยหน้าจ้องมองเขาด้วยความงุนงงตกใจ เขายิ้มน้อยๆก่อนถามนางขึ้นอีกว่า

“เจ้ายังสงสัยสิ่งใดหรือไม่"

“ขะ…ข้า ข้าอยากถามท่านว่าแล้วทำไมท่านไม่แต่งกับคุณหนูนั่นขัดขวางเขาไปเสียเลยล่ะ”นางประหม่าจนไม่รู้จะแสดงสีหน้าออกไปอย่างไร จึงทำแค่ก้มหน้าลงเล็กน้อยกล่าวถามคำถามต่อไปอย่างลวกๆ

“เพราะว่าข้าสืบมาแล้ว”

“สืบ?”เขายิ้มที่มุมปากสีหน้าแววตาที่ใช้มองนางเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์แสนกล

“คุณหนูซือเองก็ปฎิเสธการทาบทามขององค์ชายสาม”

“ชะ..เช่นนั้นก็ดีสิ"น้ำเสียงของนางตะกุกตะกัก ลมหายใจก็ไม่ค่อยเป็นจังหวะเพราะเขาเริ่มเขยิบใบหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้น ในขณะที่สองมือก็จับอยู่ที่พนักวางแขนของเก้าอี้ที่นางนั่งอยู่

“หึ"เขายิ้ม"ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นสกุลซือก็ยังให้ความร่วมมืออยู่ดี"

“แล้ว…เกี่ยวอะไรกับข้า"นางถามวนซ้ำๆ

“เกี่ยวสิเพราะองค์ชายสามได้ฝ่ายนั้นเป็นพันธมิตรด้วยข้อเสนอน่าสนใจเชียวละ"

“ข้อเสนอหรือ?”เธอเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องผงะเล็กน้อยเพราะตอนนี้ใบหน้าของเขาอยู่ห่างนางแค่คืบเดียวเท่านั้นเอง

“เขาจะช่วยองค์ชายสามเมื่อองค์ชายสามได้กงล้อเวลามาและเมื่อองค์ชายใช้มันเพื่อบรรลุสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วก็ต้องยกมันให้กับประสาทจันทราอย่างไรเล่า"

“แล้วเช่นนั้นท่านไม่คุยกับคุณหนูสกุลซือเองละ ขอนางแต่งงานเสียสิท่านจะได้รวบอำนาจไว้เสียเองเลย"

ตอนนี้นางกำลังรู้สึกว่าตัวเองกำลังถามคำถามที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยจริงๆคำถามที่วกไปวนมากับอาการลนลานทำอะไรไม่ถูกของนางยิ่งทำให้คนตรงหน้ายิ่งอยากแกล้งเข้าไปใหญ่ เขายกมือเชยคางนางขึ้นมาก่อนเขยิบใบหน้าเข้าไปใกล้นางก่อนที่จะแลบลิ้นเลียเศษขนมขาวๆที่ริมฝีปากอวบอิ่มแล้วเอ่ยตอบนางเบาๆ

“เพราะข้าชอบผู้หญิงแต่คุณหนูสามไม่ใช่นะสิ"เขากล่าวจบก็ค่อยๆขยับริมฝีปากของเขาลงมาทาบทับริมฝีปากอิ่มเอิบของนางก่อนที่จะกลืนกินมันลงไป เฮ้อสาวน้อยกลายเป็นหินไปเสียแล้ว….

*มาแว้วๆตอนใหม่ ตกหล่นคำไหนขออภัยด้วยนะค้า*

**นิยายที่แอดแต่ง จะกล่าวอ้างแค่รัชสมัยนั้นๆและหยิบยืมพระนามและตำแหน่งในประวัติศาสตร์ช่วงนั้นๆมาเท่านั้นนะคะ แต่ไม่มีการอิงประวัติศาสตร์ใดๆในรัชสมัยนั้นทั้งสิ้น ไรท์เขียนจากจินตนาการล้วนๆค่ะ แจ้งแถลงไขไว้ก่อนเลย**

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา