Arachne VII ( บท สายเลือดปลอมที่ 7 )

7.3

เขียนโดย ชิโร่

วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เวลา 18.52 น.

  12 ตอน
  2 วิจารณ์
  13.73K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 18.53 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) บทที่สิบเอ็ด พ่อค้าหน้าเลือด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
เมือง ลุกเซียลี่
 
เหมืองแร่ ที่เอาไว้ผลิตเฟรมเทียม...
 
     เมืองแห่งหนึ่งที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนเดินดิน เป็นเมืองที่ค่อนข้างธรรมดา มันเป็นเมืองที่ไม่ค่อยเจริญก็จริง แต่ก็ไม่ได้แย่ถึงขนาดนั้น มีผู้คนมากมายกำลังค้าขาย จะว่าเป็นตลาดก็ไม่ใช่ จะว่าแถวนี้มีคนอาศัยเยอะก็ไม่เชิง เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่คอนข้างวุ่นวาย หรือก็คือเมืองเกือบเถื่อน ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือรอบนอกของเมืองประกอบไปด้วยความแห้งแล้ง มีเพียงแม่น้ำไม่กี่สายและป่าไม่กี่แห่งเท่านั้น
 
ผู้คนส่วนใหญ่แต่งตัวกันด้วยผ้าหนาๆเต็มร่างกาย
นั่นเป็นเพราะเมืองนี้เป็นเมืองที่ร้อนมาก แต่ตอนกลางคืนกลับหนาวดั่งน้ำแข็ง
 
และ ใจกลางเมืองแห่งนี้......
 
     ชายคนหนึ่งซึ่งมีผมสีน้ำตาล แต่งตัวไปด้วยผ้าหนาทั่วทั้งตัว ส่วนหัวก็โพกผ้าเอาไว้ เรียกได้ว่าแต่งตัวเหมือนกับคนที่กำลังจะเดินไปในทะเลทรายก็คงไม่ผิด มือขวาและไหล่ของเขากำลังแบกถุงอะไรซักอย่างที่มีน้ำหนักมหาศาล ก่อนที่เขาจะทุ่มลงใส่เกวียนของตัวเอง แถมยังมีม้าของเขาที่ดูจะทรงพลังอีกต่างหาก
 
เขาลูบไปที่ม้าของตัวเองเบาๆด้วยความเอ็นดู
 
     ''นี่... ถามจริงนะ จะไปจริงๆน่ะเหรอ ?''
 
     หญิงสาวคนหนึ่ง เธอมีผมสีน้ำตาลสั้น ตาสีแดงฉานเฉียบคม ผิวขาวและหน้าตาและรูปร่างค่อนข้างดี เธอใส่เสื้อกาวน์ที่ดูเหมือนนักวิจัยของที่ไหนซักแห่ง เธอเป็นผู้หญิงที่ดูอายุน้อยแต่ตัวค่อนข้างสูงพอๆกับผู้ชาย แถมยังสูบบุหรี่อีกต่างหาก บุคลิกของเธอหากดูจากภายนอก ก็อาจจะบอกได้ว่าเป็นคนที่มีนิสัยใจคอค่อนข้างดุร้าย
 
     ''เอลซ่า ก็ขอบคุณที่เธอเป็นห่วงนะ แต่ถ้าไม่เอาไปขายก็ไม่มีเงินใช้น่ะสิ''
เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลยิ้มอ่อนๆ
 
     ''แร่สำหรับสร้างเฟรมเทียม ขอแค่มีเฟรมเทียม ใครๆก็เป็นจอมเวทย์ได้... ฟังแล้วดูตลกดีนะ''
เอลซ่าพูดไปด้วยพลางหัวเราะหน่อยๆ
 
     ''เมืองนี้คงเป็นเมืองที่รวยนะ ถ้าไม่ต้องเสียภาษีโหดไปให้ราชาขว้างทิ้งเล่น''
เด็กชายผมสีน้ำตาลถอนหายใจเบาๆ
 
     ''นี่ เชน... นอกจากเมืองอพานเต้แล้ว คิดจะเอาแร่ไปขายที่เมืองไหนต่อ ?''
 
     ''จะขายที่ไหนมันก็เรื่องของฉันไม่ใช่รึไง''
 
     ''ก็แค่ถามเป็นความรู้ ไม่เห็นจะต้องเหวี่ยงเลยนี่นา''
 
     ''ไปขายที่อพานเต้ที่เดียวนั่นแหละ แต่พูดถึงเมืองอพานเต้แล้ว อิจฉาเมืองนั้นจริงๆ มีแต่คนรวยๆ แถมราชาก็บริหารบ้านเมืองเก่งอีก รู้รึยัง ที่นั่นเสียภาษีนำเข้าน้อยมากๆ การที่เอาแร่ 'ซิลเลี่ยม' ไปขายนี่ กำไรสุดๆไปเลย''
 
     ''พูดอย่างกับฉันไม่รู้''
 
     ''ใช่ เธอไม่รู้แน่ๆ เพราะเมื่อไม่กี่วัน อพานเต้ลดภาษีอีกแล้ว แน่นอนว่าภาษีนำเข้าก็ด้วย''
 
     ''เอาจริงสิ ?''
 
     ''ก็จริงน่ะสิ''
 
     ''งั้นเหรอ ช่างเถอะ แต่นายน่ะ รู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่''
 
     ''หือ พูดอะไรของเธอ''
 
     ''ราชาของเราไม่ถูกกับราชาอพานเต้น่ะสิ การเอาสินค้าของเมืองเราไปขายให้กับอพานเต้ โทษคือประหาร เพราะนายเห็นตรงนั้นเป็นช่องโหว่ เลยเอาแร่ ซิลเลี่ยมไปขายสินะ ราคามันเลยพุ่งสูงเกือบเทียบเท่าอัญมณี ยังไงก็ขอเตือนนะ ว่าอย่าให้ถูกจับได้ เพราะฉันจะซวยไปด้วย บอกไว้ก่อนนะ ถ้านายโดนจับ ฉันไม่เกี่ยวด้วย''
 
     ''เอาเถอะ ฉันไม่โดนง่ายๆหรอก แต่อพานเต้ยังไม่มีการใช้เฟรมเทียมอย่างเป็นทางการ เมืองนั้นยังมีแบบทดลองอยู่ แถมยังขาดวัสดุอย่างแร่ซิลเลี่ยมและยังไม่เผยแพร่ต่อสารธารณะ ฉนั้นพวกนั้นกำลังรอกลุ่มพ่อค้าผิดกฎหมายอย่างฉันไปเจรจาด้วย ฟังดูไม่เลวสินะ เดี๋ยวอีกหน่อยพอวัสดุมีเพียงพอ ราชาอพานเต้คงให้มีการออกแบบเฟรมเทียมต่อสารธารณะ แต่พอฝ่ายนั้นมีกำลังทหารมากพอล่ะก็ คงยกทักมาตีเมืองนี้จนแตกแน่''
 
     ''นายเนี่ยนะ... ถ้ารู้เรื่องการเมืองขนาดนั้นทำไมถึงยังทำอีก''
 
     ''เอลซ่า เธอเองก็เกลียดเมืองนี้เหมือนกันใช่รึเปล่า''
 
     ''จะราชาที่ไหนฉันก็เกลียดหมดนั่นแหละนะ''
 
     ''งั้นเหรอ ฉันน่ะ ขอได้แค่เงินก็ไม่เกี่ยงวิธีการหรอกนะ''
 
     ''แต่... นั่นสิ ยังไงก็ระวังพวกพาราดินด้วยแล้วกันนะ''
 
     ''ทำไมฉันต้องไประวังพวกนั้นด้วย ฉันเป็นพ่อค้าคนสำคัญของอพานเต้นะ''
 
 
ไม่ได้จะบอกให้นายระวังเรื่องการเป็นพ่อค้า
 
ขอโทษนะ เชน แต่นายลืมอะไรไปรึเปล่า
 
ว่าแท้จริงแล้วน่ะ นายเป็นร่างอวตารของเทียแมทนะ.....
 
     ''เรื่องนั้นเองเหรอ... ช่างเถอะ งั้นฉันไปก่อนนะ โชคดี เอลซ่า''
 
     ''ขอให้รวยๆแล้วกันนะ เชน''
 
 
*****************************************
 
 
     เชน... ขี่ม้าพร้อมกับเกวียนของเขาออกจากเมืองลุเซียรี่ ทางออกตรงประตูใหญ่นั้น มีหทารหลายนายคอยตรวจตาความผิดปกติอยู่ มีพ่อค้าหลายคนถูกตรวจสินค้าเป็นอย่างดี บางคนก็ได้เข้าเมือง บางคนก็ถูกไล่ออกจากเมืองตามระเบียบ เพราะที่นี่ยังไงก็เข้มงวดเรื่องนี้เป็นพิเศษอยู่แล้ว
 
ขณะที่เชนไปถึงหน้าประตูและได้รับการตรวจสินค้า
 
ดวงตาของเชนมีสีแดงแถมมีนัยต์เหมือนเนตรมังกรเทียแมท
 
ผลคือสะกดจิตเหล่าทหารพวกนั้น ทำให้ทหารพวกนั้นปล่อยผ่านเชน
 
ง่ายซะจริง... ฉันก็ทำจนชินแล้วล่ะ เรื่องสินค้าผิดกฎหมาย
 
     ''เอาล่ะ ได้เวลาออกเดิ..... ''
 
     ขณะที่เชนออกจากเมืองมาได้ระยะไกลพอสมควร เขากำลังพึมพำด้วยความอารมณ์ดีก่อนที่จะมีนักรบสาวคนหนึ่งอยู่ต่อหน้าเขา ไม่สิ นักรับสาวคนนั้น มายืนรอเชนอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว โดยนักรบสาวคนนั้นมีผมสีทอง มีโล่ใบใหญ่ติดอยู่ที่แผ่นเอวช่วงล่างทางด้านหลัง มือขวาถือหอกสีขาวเรืองแสงอันใหญ่เป้ง ผมสีทองสลวย นัยต์ตาสีฟ้าสวยงามเหมือนกับเทพไม่มีผิด แถมยังมีปีกสีขาวอันสวยงามอีกต่างหาก
 
ใช่แล้ว เธอคือ วาลคีรี่นั่นเอง
 
     '' เล่นเอาวาลคีรี่มาต้อนรับฉันเลยเหรอเนี่ย''
 
     ''สวัสดีพ่อค้าผิดกฎหมาย ข้าจะนำทางเจ้าไปยังอพานเต้ให้เอง''
 
     ''ราชาอพานเต้เห็นฉันเป็น VIP แล้วสินะ''
 
     ''ช่วงนี้ระหว่างทางมีกลุ่มโจรระบาดที่กำลังเป็นข่าวใหญ่ ราชาจึงส่งข้ามา เพื่อรับประกันความปลอดภัยของสินค้า เจ้าคงไม่ขัดข้องนะ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ราชาเสนอไว้ว่าจะขอซื้อในราคาที่สูงกว่าปกติ''
 
     ''คงอยากได้แร่ซิลเลี่ยมใจจะขาดเลยสินะ''
 
     ''ระวังคำพูดหน่อย พ่อค้า''
 
     ''เรื่องนั้นก็ขอโทษด้วยแล้วกัน แต่ถูกใจจริงๆ ส่งคนคุ้มกันมาให้พร้อมกับเสนอราคาสูง''
 
     ''ก็เป็นเช่นนั้น ว่าแต่เจ้า จำนวนสินค้าล่ะ ?''
 
     ''เชิญตรวจสอบที่เกวียนได้เลย''
 
วาลคีรี่ผมสีทองคนนั้น เริ่มเช็คสินค้าที่หลังเกวียน ก่อนจะออกมาด้วยท่าทีปกติ
 
     ''สินค้าใช้ได้และถูกต้อง ยินดีที่ได้ร่วมทางกับเจ้า พ่อค้า''
 
     ''ฉันชื่อเชน เรียกเชนเฉยๆเถอะ''
 
     ''ข้ามีนามว่า เอลเรน่า อย่างที่เห็นว่าข้าเป็นวาลคีรี่ผู้ทรงเกียรติ''
 
     ''ทรงเกียรติ... เหรอ''
 
     ''เจ้าจะบอกอะไร ?''
 
     ''ไม่มีอะไรหรอก งั้นเริ่มเดินทางกันเลยไหม ?''
 
 
 
******************************************
 
 
     หอพักของเซซิเลีย ในช่วงเย็น
     ท้องฟ้าสีส้มพร้อมกับข้างคาวบินว่อนโรงเรียน
     วันนี้เป็นวันหยุดของเหล่านักเรียนจอมเวทย์ จึงไม่แปลกที่บริเวณโดยรอบจะเงียบงัน เพราะเหล่านักเรียนขุนนางก็กลับบ้านไปหาพ่อหาแม่กัน ส่วนเซซิเลีย เธอเองก็ไม่ได้กลับไปบ้าน แต่กลับนั่งฝึกการใช้เฟรมอยู่ที่หอพัก
 
     ตอนนี้เธอใส่เสื้อกล้ามกางเกงขายาว พร้อมกับนั่งขัดสมาธิ หลับตาด้วยด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย
     ก่อนที่จะค่อยๆแบมือขวา พร้อมกับเรียกจิตวิญญาณไฟสีแดงของตัวเองลงบนฝ่ามือ ก่อนที่ดวงไฟวิญญาณบนฝ่ามือจะค่อยๆลุกโชนและแปรเปลี่ยนเป็นธนูไฟออร่าสีแดง ดั่งเช่นเดียวกับในห้องเรียนที่เธอเรียกใช้มันเป็นครั้งแรก แต่ครั้งนี้ดวงไฟสีแดงของเธอค่อนข้างจะสเถียรมากกว่าเดิมหลายเท่า นั่นคือผลจากการฝึก
 
ทางด้านคิท ที่เป็นอาวุธวิญญาณในรูปแบบกำไรข้อมูล เขากลายกลับมาเป็นร่างเดิม
และยืนต่อหน้าเซซิเลีย
คิทนั้นรูปร่างของเขาก็เป็นปีศาจสีคราม ดวงตาสีแดงดุร้าย มีปีกสีดำที่แสนน่ากลัว และกรงเล็บก็ยาวเหมือนเดิม รูปลักษณ์ปีศาจอันน่ากลัวของเขาไม่ต่างอะไรกับตอนที่เจอแบล็คเป็นครั้งแรกเลยนั่นเอง
 
     ''ขอบคุณน่ะคิท ^^ ''
 
     ''ตอนฉันแปลงร่างเป็นกำไรข้อมือให้เธอ ทำให้วงจรเวทย์ในร่างกายของเธอไม่ฟุ้งซ่าน คงจะเป็นเหตุผลที่เธอสามารถใช้เฟรมครั้งแรกได้อย่างรวดเร็วในการฝึกฝนครั้งแรก แต่ก็ต้องชมที่ความสามารถของเธอด้วย เธอมีพรสวรรค์จริงนะ เซซิเลีย ต่อจากนี้ก็ใช้เฟรมได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งฉันดูนะ''
 
     ''อืม... ตอนนี้ดูเหมือนจะสเถียรขึ้นมาแล้วล่ะ คิท''
 
     หลังจากที่คิทกลับร่างเดิม นั่นทำให้การควบคุมเฟรมของเซซิเลียดูจะอ่อนลงไปบ้าง แต่คงคงสภาพธนูสีแดงเพลิงเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ทางด้านคิทที่เห็นแบบนั้นก็เดินไปทางด้านหลังของเซซิเลีย แล้วเอามือแนบไปที่แผ่นหลัง ก่อนจะส่งถ่ายพลังเวทย์ของเขาใส่ไปในร่างกายของเซซิเลีย และเริ่มปรับวงจรเวทย์ในร่างกาย
 
     ''การปรับวงจรเวทย์ก็สำคัญนะ ถึงอาจารย์ของเธอจะยังไม่ได้สอนก็เถอะ''
 
     ''= = ช่วยไม่ได้นี่นา ตามหลักสูตรแล้วต้องรอปีหน้าเลยนะ''
 
     ''งั้นก็ถือว่าฉันเป็นอาจารย์ไปก่อนก็ได้ ''
 
     ''ฉันควรจะฝึกเองมากกว่าไม่ใช่เหรอ คิท''
 
     ''เอาน่า ฉันจะค่อยๆปรับวงจรเวทย์ให้เธอ จนกว่าเธอจะปลดเฟรมขั้นสามได้เลยแล้วกัน''
 
     ''ขั้นสาม... นั่นมันที่พวกทหารระดับสูงเชียวนะ''
 
     ''ก็ใช่ว่าเธอจะทำไม่ได้นี่ อีกอย่าง ด้วยพรสวรรค์ของเธอ เธอต้องทำได้แน่''
 
     ''แต่.... จะปลดเฟรมขั้นสามได้ก็ต้องมีคนที่คอยให้ทดสอบพลังนะ''
 
     ''งั้นไปลานต่อสู้กันเลยไหม ตอนนี้คงไม่มีนักเรียนหรืออาจารย์อยู่หรอก ฉันจะเป็นคู่ซ้อมให้เธอเอง''
 
     ''แต่ก็เสี่ยงให้คนมาเห็นอยู่ดีน่ะสิคิท''
 
     ''คงไม่ใช่ว่าจะไปขอร้องไปเจ้าแบล็คอะไรนั่นหรอกนะ แมงมุมยังอยู่ในท้องของเธออยู่เลย''
 
     ''ฉันไม่รบกวนคุณแบล็คหรอก ฉันคงไม่เหมาะสมน่ะ งั้นช่วยหน่อยนะ คิท ^^''
 
     ''เข้าใจแล้ว ยังไงการดูแลเธอก็เป็นงานของฉันล่ะนะ''
 
 
*************************************
 
ณ ลานประลอง
 
     เซซิเลียเดินมาถึงลานประลอง พร้อมกับคิท โดยที่คิทนั้นสามารถคงรูปร่างมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน โดยคิทนั้นมีรูปร่างเป็นผู้ชายตัวสูงที่มีกล้ามพอสมวร ส่วนผมของเขามีสีน้ำเงิน แต่งตัวด้วยชุดเสื้อยืดสีดำและกางเกงขายาวที่เหมาะกับการต่อสู้ โดยรูปลักษณ์และเสื้อผ้าก็ถูกสร้างมาจากเวทย์มนต์ของคิทเองล้วนๆ
 
ทั้งนี้ก็เพื่อกันคนไม่ให้มาเห็นร่างที่แท้จริงของคิทนั่นเอง
และรูปร่างมนุษย์ก็ไม่ใช่ร่างจริงของเขาแต่อย่างใด เป็นร่างที่สมมติขึ้นมาเท่านั้น
 
     แต่... เซซิเลียกับคิทที่พึ่งมาถึงลานประลองได้ไม่นาน ก็พบกับเอมิเลียที่กำลังนั่งซึมอยู่ข้างสนามด้วยเช่นกัน โดยที่มีลิลลี่เคยปลอบให้เอมิเลียสงบ ทางด้านเซซิเลียที่บังเอิญพบเอมิเลีย จึงเดินเข้าไปคุยด้วยทันที หลังจากที่เดินเข้าไปไกล้ๆก็พบว่า เอมิเลียนั้นร้องไห้อยู่นั่นเอง ไม่ใช่นั่งซึมแต่อย่างใด
 
     ''ท- ท่านเอมิเลียคะ อย่าร้องไห้สิคะ !''
 
     ''ฮือ.... ฮือ T^T ฉันจะทำยังไงดี ลิลลี่''
 
     ''กลับบ้ากันเถอะนะคะ วันหยุดทั้งที พวกคุณนายท่านคงไม่ดุท่านเอมิเลียหรอกค่ะ''
 
     ''ไม่ ฮือ... ฮือ ท่านพ่อกับทื่านแม่ต้องดุฉันแน่ๆเลย ที่ไปแพ้ให้กับสามัญชน T^T''
 
ตอนนั้นเอง...
 
     ''ค... คุณเอมมิเลีย มาทำอะไรที่ลานประลองเหรอคะ ?''
 
     ''ค-คุณ เซซิเลีย''
 
เอมิเลียนั้นรีบเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็วพร้อมกับทำสีหน้าเข้ม
ทั้งๆที่เบ้าตานั้นดวงกร่ำ แต่ทำท่าเหมือนคนไม่ได้ร้องไห้ 
จะแก้ตัวตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วนะ
 
     ''ทะ- ทำไมมานั่งร้องไห้ตรงนี้เหรอคะ ?''
เซซิเลียกล่าวถามด้วยความเป็นห่วง
 
     ''ดิฉันไม่ได้ร้องไห้ซักหน่อย ! ฉันเป็นถึงผู้สืบทอดตระกูล 'คาสเตร่า' เชียวนะ !''
เอมิเลียทำหน้าเข้ม
 
     ''ท่านเอมิเลียตั้งแต่แพ้ผู้ชายที่ชื่อแบล็คมา ก็เป็นอย่างนี้ตลอดเลยค่ะ''
ลิลลี่พูดออกมาพร้อมก้มหน้า
 
     ''ลิลลี่ ไปบอกคนอื่นทำไม !''
 
     ''ข.. ขอโทษค๊าาาา !!''
 
     ''อ่... อืม ท-ทั้งสองคนอย่าทะเลาะกันเลยนะคะ''
 
คุยกันมาตั้งนานเอมิเลียก็มองคิทด้วยท่าทีแปลกๆ
ก่อนจะทำหน้าสงสัยและพูดออกไป
 
     ''แล้วใครน่ะ ผู้ชายคนนี้''
 
     ''พ... พี่ชายของฉันเองค่ะ เขาจะมาช่วยฉันซ้อมการใช้เฟรมที่ลานประลองแห่งนี้''
 
     ''ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณเอมิเลีย''
คิทเองก็ดูท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนกัน
 
     ''ค... ค่ะ''
 
 
***************************************
 
 
ณ หอหนังสือ ของโรงเรียน
 
     ที่นั่นเป็นหอหนังสือขนาดใหญ่ หลังคาแพดานสูงมาก และมีชั้นวางหนังสืออันแน่นเต็มห้องไปหมด รวมถึงที่นั่งสำหรับอ่านก็ประกอบมาจากไม้ชั้นดีสวยงามเพลินตา ที่นี่รวบรวมหนังสือหลากหลายและเป็นคลังความรู้ส่วนหนึ่งของโรงเรียนนี้ ตามปกติแล้วนักเรียนส่วนหนึ่งจะใช้เวลาว่างมาอ่านหนังสือที่นี่กันจนถึงช่วงดึก แต่ก็เพราะวันนี้คือวันหยุด ทำให้หอหนังสือแห่งนี้ไม่มีใครเลย
 
เอ็ดเวริ์ดและเมดูซ่ากำลังอยู่ในหอหนังสือแห่งนี้
 
     ''ตายจริง... ~ ที่นี่มีหนังสือที่ฉันชอบเต็มไปหมด''
 
     ''เลือกเอาไปอ่านได้ตามสบายเลยนะ อล้วอย่าลืมเอามาคืนที่นี่ด้วยล่ะ''
 
     ''รู้อยู่แล้วน่ะน่า ~ ว่าแต่ นายนี่ตามใจฉันจริงๆเลยนะ ชักชอบแล้วสิ''
 
     ''เธออารมณ์ดีก็พูดไปเรื่อย วันก่อนยังด่าฉันเป็นคนแม่อยู่เลย''
 
     ''♪ ~ ฮืมมม ฮืมมมม ~ นี่ หนังสือเล่มนี้เป็นยังไง ?''
 
     ''เอ่อ นั่นมันหนังสือประวัติเกี่ยวกับตัวเธอนี่ ?''
 
     ''ไม่อยากเชื่อ ว่ามนุษย์เขียนหนังสือเกี่ยวกับตัวฉันด้วย''
 
     เมดูซ่านั้น สามารถเปิดอ่านหนังสือได้อย่างรวดเร็วเหนือมนุษย์ เพียงเธอเปิดหน้าหนังสือเพียงไม่กี่วินาที เธอสามารถจดจำอักษรหรือรูปภาพได้อย่างรวดเร็ว เธอใช้เวลาเพียง 30 วิ อ่านหนังสือเล่มนนั้นจนจบ เธอปิดหนังสือเล่มนั้นพร้อมกับหลุดปากเบาๆ ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
 
     ''ฮ่าๆ ฮ่าๆ ฮ่าๆ ก๊ากกกกกก ~ ฮ่าๆ ♪ ♥ ☺  ☻''
 
     ''หัวเราะอะไรของเธอเนี่ย สยองชะมัด''
 
     ''ฮ่ะๆ ขอโทษที แต่มนุษย์ที่มันน่าสนใจไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ''
 
     ''อะไรทีเ่ธอสนใจในตัวมนุษย์หล่ะ ?''
 
     ''นอกจากตัวนาย ก็มีหนังสือเล่มนี้แหละ''
 
     ''หนังสือเล่มนั้นมันทำไมกันละ ?''
 
     ''เอ็ดเวริ์ด ทำไมมนุษย์ถึงระบุประวัติของฉันตรงเป๊ะขนาดนี้ เกือบ 100% เป็นเรื่องจริง ?''
เมดูว่าจู่ๆก็ทำหน้าจริงจังขึ้นมา
 
     ''จะไปรู้ได้ยังไง ฉันไม่ใช่คนเขียนหนังสือเล่มนี้นะ''
 
     ''งั้นก็ช่างเถอะ แล้วทำไมหอหนังสือนี้ถึงได้มีกลิ่นเลือดล่ะ ?''
 
     ''เธอพูดเรื่องอะไร ?''
 
     ''ตู้เก็บหนังสือเก่าของตรงมุมห้องแห่งนี้ มีศพที่พึ่งตายไปได้เพียง 7 ชั่วโมงอยู่นะ''
 
     เอ็ดเวริ์ดทำหน้าตกใจ ก่อนจะวิ่งไปยังมุมห้องของหอหนังสอแห่งนี้ แล้วเดินเข้าไปหาตู้หนังสือเก่าๆตรงนั้น พร้อมกับเปิดตู้หนังสือนั้นดู ผลปรากฎว่าเจอศพของอาจารย์เมโทร่านอนตายอยู่ตรงนั้น... ไม่สิ จะเรียกว่านอนตายก็คงผิด เพราะแขน ขา คอ ของเธอหักไม่มีชิ้นดี เลือดก็นองไปทั้งตัว ส่งกลิ่นเหม็นคลาวเลือดไปทั่วบริเวณ
 
     ''อาจารย์เมโทร่า.... เกิดอะไรขึ้น ใครฆ่าเธอกัน ?''
 
เอ็ดเวริ์ดมองไปที่เมดูซ่า
 
     ''ขอโทษด้วย แต่ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าใครฆ่า''
 
จากนั้นเอ็ดเวิร์ดก็ใช้มือสัมผัสที่ร่างของศพเบาๆ
ก่อนจะพบว่า วงจรเวทย์ในร่างกายนั้นหายไป
หรือก็คือ เธอโดนสูบหลังเวทย์จนหมดแล้วถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมนั้นเอง
 
 
 
 
เฮ้อ... มีเรื่องให้ปวดหัวอีกแล้วสิ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา