THE HIDDEN SCENE

-

เขียนโดย Pukkie

วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เวลา 11.50 น.

  8 chapter
  0 วิจารณ์
  9,192 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 12.26 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) 4.1 I'm in love with the...of you! NC++

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     ฉันตื่นนอนในสภาพเหมือนซอมบี้ ผ้าม่านสีน้ำเงินยังรูดปิดบานหน้าต่างและช่วยป้องกันแสงแดดได้ดีอยู่แม้มันจะเก่าซีดลงไปมาก ฉันอุตส่าห์ลืมความอายแล้วขอมันมาจากเพื่อนเก่าที่มหาวิทยาลัยเมื่อปีก่อน แน่นอนว่าเธอยกให้โดยไม่คิดมากแถมยังเอาพวกแจกันและของตกแต่งอื่นๆให้ด้วย ฉันคิดว่าเป็นโอกาสดีที่จะรับของพวกนั้นไว้เพราะราคามันไม่ใช่ถูกๆ เมื่อไหร่ที่หมดเงินฉันก็จะเอามันออกขาย อย่างภาพวาดสีน้ำมันที่เธอออกปากว่าเกลียดและโยนให้ฉันอย่างไม่เสียดายนั่นก็เหมือนกัน ฉันเอามาแขวนปิดรอยโปสเตอร์ทุเรศๆจากผู้เช่าคนก่อนถึงมันจะดูขัดกับสภาพห้องนี้เป็นอย่างมาก แต่ก็ช่างเถอะ ห้องนี้ไม่ต้องการความอภิรมย์อะไรหรอก

ปี๊บ ปิ๊บ

เสียงเตือนข้อความทำให้ฉันต้องวางเสื้อผ้าลงและเดินไปหยิบมันขึ้นมาดูด้วยความรำคาญใจ

เย็นนี้เริ่มงาน อย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อมนะจ๊ะ-พี่แคท

ข้อความแสดงความหวังดีจากเจ้าของร้านนั่นเอง จำได้ว่าตอนฉันไปสมัครเธอตื่นเต้นแทบตาย เพราะคลับของเธอเป็นสถานที่รวมพวกคนรวยเงินเหลือหรือเด็กวัยรุ่นทำตัวเหลือขอที่อยากให้ตัวเองยังคงความมีระดับและเฮโลมาคลายเครียดกันที่นั่น เพราะฉะนั้นเธอเลยคัดเลือกทั้งนักร้อง นักดนตรี ดีเจ เด็กเสิร์ฟรวมไปถึงคนครัวและคนทำความสะอาดอย่างพิถีพิถัน ยิ่งเธอเห็นฉันและจำได้โดยไม่ต้องเสียเวลาแนะนำตัวเธอก็รีบลากฉันเข้าไปหลังร้าน เสนอให้เป็นนักร้องและโบกสัญญาไปมาตรงหน้า

แต่ฉันไม่ตกลงเพราะฉันไม่อยากร้องเพลง ที่นั่นมีใครมาเพื่อฟังเพลงจริงๆบ้าง พวกเขาก็แค่มาชุมนุมกัน เต้นยึกๆยือๆไม่ก็ทำตัวไร้สาระขณะที่มีคนๆหนึ่งยืนแหกปากหน้าตาเบื่อโลกร้องเพลงอยู่บนเวทีแต่ไม่มีใครสนใจฟัง ฉันเลยเลือกที่จะเป็นแค่เด็กเสิร์ฟ แอบหวังเล็กๆว่าคงไม่มีใครจำได้เพราะคนพวกนี้เกลียดแม่สาวผู้มากับความหวังอย่างฉันนักล่ะ

โทรศัพท์สั่นอีกรอบ ฉันกดเลื่อนเพื่อดูข้อความก่อนจะเห็นประโยคสั้นๆบนหน้าจอที่อ่านแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร

ออกมาเจอกันหน่อย หวังว่าเธอคงจะไม่เลท

ฉันแสยะยิ้ม สวมชุดที่ดีที่สุดแล้วแต่งหน้าให้โดดเด่นเหมือนเคนดัล เจนเนอร์ก่อนจะยัดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงและหยิบกุญแจ กดล็อกห้องให้เรียบร้อยแล้วรีบออกไปตามนัด

     พ่อของเวอร์จิลน่ะ ถ้าจะเรียกแบบให้ความเคารพสักหน่อยก็คือคุณอาของฉันเองที่ส่งข้อความมา เอ๊ะ คุณอาที่อยากฝังกลบหลานสาวเอาไว้ใต้ดินเพื่อให้ลูกของตัวเองอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าตระกูลอย่างมั่นคงนี่จะสามารถเรียกว่าเป็นอาได้หรือเปล่านะ ฉันเองก็ยังลังเลอยู่เลย

     ฉันมาถึงช้ากว่าเวลาห้านาทีและรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเขาจะไปรออยู่ร้านไหน พวกออร์ซินีชอบอะไรแค่ไม่กี่อย่างหรอก เพราะแบบนั้นฉันเลยเดินหาเขาได้อย่างไม่อยากเย็นและเห็นเขาในระยะไม่ใกล้ไม่ไกลกำลังนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ในร้านหรู เมื่อฉันไปถึงเขาก็เงยหน้ามาสั่งด้วยน้ำเสียงติดจะหยิ่งๆ

“นั่งลงสิ”

“ค่ะ”

“กินอะไรหรือยัง”

“ยังค่ะ” ฉันนั่งตรงข้ามและนิ่งไม่ขยับ

“มองฉันแบบนั้นหมายความว่าไง”

“แบบไหนคะ” ฉันยิ้มกวนประสาท สะบัดผมไปด้านหลังก่อนจะโคลงหัว “ฉันคงลืมไปว่ามารยาทในการพบญาติผู้ใหญ่ต้องทำยังไง พอดีไม่ค่อยมีญาติน่ะค่ะ”

“โอ้ ตอนนี้เธอก็มีแล้ว นี่ไง ฉันเป็นคุณอาของเธอ” เขาเอนตัวออกไป อ้าแขนกว้างด้วยท่าทางกวนโมโห พ่อของเวอร์จิลไม่ค่อยจะดูแก่เท่าไหร่ เขาหวีผมสีน้ำตาลแซมเทาอย่างเรียบร้อยและมีความเป็นออร์ซินี่โดยแท้แม้แต่ท่านั่งและคิ้วเข้มที่ขมวดเป็นปมตลอดเวลาอย่างคนขี้รำคาญ อันที่จริงถ้าฉันกับเวอร์จิลไม่เกิดมาเขาก็จะได้เป็นหัวหน้าตระกูลถัดจากพ่อของฉันและได้รับการนับถือเพราะบุคลิกเสแสร้งที่ตัวเองสร้างมา

แต่ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีหรือร้ายเมื่อเด็กชายเวอร์จิลกลับโผล่ออกมาจากท้องภรรยาของเขาทั้งที่คนทั้งคู่หมดหวังไปนานแล้ว

“คุณมีธุระอะไรสำคัญกับหลานคนนี้ล่ะคะ”

“ฉันแค่อยากจะเตือนเธอ” เขาสะบัดมือเรียกบริกร สั่งอาหารที่ฉันไม่ชอบไปสองสามอย่าง เขาจงใจน่ะ ยิ่งรู้ว่าฉันไม่ชอบอะไรก็ยิ่งทำแบบนั้น

“เตือน?”

“เธอกำลังพยายามจะทำแบบตอนนั้นใช่ไหม”

“ตอนไหนคะ”

“ตอนก่อนที่จะลงมือฆ่าฌากส์ เดวิยงไง”

ฉันบีบมือเข้าหากันแน่น โชคดีที่วางมือเอาไว้บนหน้าตักไม่อย่างนั้นฉันอาจจะใช้มันยกแก้วน้ำสาดใส่หน้าเขาก็ได้ “ฉันไม่ได้จะฆ่าฌากส์หรอก คุณคงเข้าใจผิด”

“หึ บางทีฉันก็แปลกใจนะว่าเธอได้เลือดของออร์ซินีหรือเดวิยงไปกันแน่ ความหยิ่งผยองแบบนั้นไปเอามาจากไหนนักหนา”

“ถ้าเป็นไปได้ฉันไม่อยากข้องแวะกับทั้งสองตระกูลนี้เลย” ฉันเหยียดปากเป็นรอยยิ้ม “แต่พวกคุณมายุ่งกับเราก่อน”

“เราเหรอ ตอนนี้เธอเหลือตัวคนเดียวแล้วนี่นา” ดวงตาของเขาเป็นประกายวาววับภายใต้ใบหน้าเจ้าเล่ห์ เขาคงภูมิใจที่สามารถทำให้ฉันรู้สึกแย่ได้โดยง่ายเพียงแค่ตอกย้ำว่าฉันมันหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่มีพ่อแล้วแม่ยังตายจากไปอีก

“ฉันไม่ได้เหลือตัวคนเดียวหรอก ลองมองไปรอบๆสิ คนทั้งเมืองรักฉันจะตาย”

เขาหุบยิ้มทันที “การพยายามทำให้ทุกคนสงสารและรักเธอมันไม่ช่วยอะไรหรอกนะ”

“เหรอคะ” ฉันมองจานตับห่านที่บริกรเอามาเสิร์ฟด้วยความขุ่นเคืองใจ ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าคนเรากินไอ้ก้อนสีน้ำตาลน่าเกลียดนี่เข้าไปได้ยังไง “ฉันแทบไม่ต้องพยายามทำอะไรพวกเขาก็รักฉันอยู่แล้ว สามตระกูลผูกขาดอำนาจทุกอย่างในเมืองมาตั้งนาน ตักตวงผลประโยชน์จากทุกคน ใช้เส้นสายและความเป็นเครือญาติทำให้ตัวเองมั่งคั่งขึ้น ไม่คิดเหรอคะว่าพวกเขาจะเบื่อ” ฉันจิ้มตับห่านเข้าปากเพื่อให้เขารู้ว่าเขาไม่อาจทำให้ฉันหงุดหงิดใจได้ แม้ในความเป็นจริงฉันจะโคตรหงุดหงิดเลยก็ตาม

“เบื่อเหรอ? เราทำให้เมืองห่วยๆนี่ดีขึ้นตั้งเยอะ ถ้าไม่มีสามตระกูล ไม่มีเครือข่ายโฮปเมืองนี้จะได้เป็นอย่างทุกวันนี้ไหม เราเป็นคนสร้างเมืองนี้จากเถ้าถ่านและผืนดินแห้งแล้งและให้ชีวิตคนพวกนั้น ฉันจะบอกว่าที่เธอทำมันไม่สำเร็จหรอก ยังไงผู้คนก็จะเลือกความอยู่รอด ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอย่างการทวงหาความยุติธรรมของเด็กน้อยพ่อไม่รัก”

ฉันเกลียดเขาจริงๆ

“หัดมองไปรอบๆบ้างนะเชลซี ทั้งทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ในเมืองและและข้างนอกนั่นล้วนเป็นคนจากตระกูลเดวิยง เจ้าของห้างสรรพสินค้า เหมืองเพชรพลอยและสินค้าฟุ่มเฟือยล้วนเป็นของเกรแฮม ออร์ซินีก็เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์หลายอย่างในเมืองนี้ แล้วเธอล่ะ เธอมีอะไร” เขามองฉันกินตับห่านเยาะๆแล้วก็ตักอาหารชื่อเรียกยากเข้าปากด้วยท่าทางของคนเป็นต่อ

“คุณจะลองดูก็ได้ เดี๋ยวก็รู้ว่าฉันมีอะไร” ฉันลุกขึ้นยืน “อ้อ อีกไม่นานคงถึงเวลาที่ฉันจะกลับไปเป็นหัวหน้าตระกูลของเราแล้วนะคะ อย่าลืมบอกลูกชายของคุณให้เตรียมตัวลงจากตำแหน่งเสียแต่เนิ่นๆ”

“นี่เธอ!” เขาแทบจะขว้างช้อนใส่หน้าฉันเลยทีเดียว

“ฉันแทบจะทนรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหวเลย คุณอาที่รัก” ฉันยิ้มอย่างผู้ชนะก่อนจะหมุนตัวเดินออกมา

การสูญเสียตำแหน่งเป็นสิ่งที่รับได้ยากที่สุด เขาสูญเสียมันให้ลูกชาย นั่นยังพอทน แต่การสูญเสียให้หญิงสาวอย่างฉันล่ะ แบบนั้นเขาทนไม่ได้หรอก และฉันนี่แหละจะทำให้เขาเป็นบ้าตายไปเลย รอดูไปก็แล้วกัน!

 

     ฉันกลับมาถึงห้องด้วยความสบายใจที่ได้ตอกหน้าอาของตัวเอง แต่พอก้าวแรกที่เหยียบเข้ามาเท่านั้น ฉันก็รู้ว่ามีคนอื่นอยู่ในนี้ ไฟถูกเปิดทิ้งไว้ มีกลิ่นอาหารบางอย่างเจือจางอยู่ในอากาศ ฉันมองลงไปที่พื้นข้างประตูก่อนจะพบรองเท้าโลฟเฟอร์ถอดวางเอาไว้

“กลับมาแล้วเหรอ” อาร์ซี่โผล่ออกมาจากหลังชั้นหนังสือ เขาสวมเสื้อคอปกที่อกปักตราประจำตระกูลกับกางเกงพับขาสีน้ำตาลอ่อน เพียงชุดง่ายๆแค่นี้ก็ทำให้เขาดูดีจนน่าหมั่นไส้

“นายมาทำอะไรที่นี่”

“ฉันแค่อยากมาดูว่าคนแบบเธอมีความเป็นอยู่ยังไง” เขายักไหล่ ในมือถือนิยายเล่มที่ฌากส์ให้มาเมื่อวาน “รวมถึงการอ่านหนังสือภาษาฝรั่งเศสของเธอด้วย รสนิยมดีใช้ได้นะ”

“หนังสือเล่มนั้นเป็นของฉัน นายไม่มีสิทธิ์แตะต้อง”

“ฉันรู้ว่าฌากส์เป็นคนให้เธอ” เขาโบกมันไปมาตรงหน้าฉันด้วยอารมณ์โกรธจวนจะปะทุออกมา “ฌากส์ให้มันกับเธอเมื่อวานนี้ เธอแอบไปหาเขา”

“แล้วทำไมฉันจะไปหาเขาไม่ได้”

“เพราะเธอมันเป็นงูพิษไง เธอเกลียดพวกเราทุกคน แค้นเรา วางแผนหลอกเราให้ตายใจแต่สุดท้ายก็ทรยศ”

“ฉันไม่ได้...”

“ไม่ได้อะไร” เขาขว้างหนังสือลงบนพื้น นั่นแหละอาร์ซี่ตัวจริง ฉากหน้าแห่งความสงบนิ่งมันซ่อนไว้ด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยวที่เขาทำให้พ่อกับแม่เห็นไม่ได้ มันเลยกลายเป็นอาการเก็บกดที่เอามาลงที่ฉัน ฉันคนเดียวที่ได้เห็นว่าเขาเป็นยังไง

“ก็ได้ ฉันยอมรับว่าแค้นพวกนายทุกคน ฉันสอบชิงทุนเข้าเรียนมัธยมปลายที่เดียวกับพวกนายเพื่อเข้าไปแก้แค้น แล้วมันยังไงล่ะ สรุปแล้วฉันก็ยังคงรักเมดิสัน ถึงแม้เวอร์จิลจะเป็นออร์ซินีแต่ฉันก็ไม่เคยทำร้ายเขา ฉันรักฌากส์ คอยดูแลเขาอย่างดีมาตลอด นายก็รู้อยู่แก่ใจว่าเราเหมาะสมกันแค่ไหน ฉันไม่เคยทำร้ายพวกเขาเลยแม้แต่นิดและฉันก็รัก...” ฉันอ้าปาก หุบลงและรีบหันหน้าหนี ฉันจะบอกเขายังไงล่ะ ในเมื่อตอนนี้ระหว่างเรามันไม่เหมือนเดิมแล้ว “เอาเถอะ สรุปว่าจุดประสงค์แรกของฉันมันฟังดูเลวแต่สุดท้ายฉันก็ไม่เลวพอจะฆ่าฌากส์ได้หรอก ฉันรักเขา นายก็รู้”

“คนอย่างเธอมันจะรักใครเป็น” เขาขึ้นเสียง มือกำแนบลำตัวเหมือนพยายามระงับอารมณ์ “คนแบบเธอมันจะรักใครได้เชลซี เธอมันทุเรศ หลอกเอาความไว้ใจของทุกคนไปย่ำยี เธอหักหลังฌากส์ เธอหลอกใช้เขา”

เราหักหลังฌากส์ อย่ามาโทษแต่ฉันเลย” ฉันกล้ำกลืนความปวดแปลบที่แล่นมาตามกระดูกสันหลัง “เราทั้งคู่สวมเขาให้ฌากส์ นายเองก็รู้อยู่แก่ใจ”

เขานิ่งไปเพราะมันเป็นความจริง หลังจากที่ฉันทำเป็นดีกับฌากส์ ไปตีสนิทเขา ใช้เวลาเป็นปีๆให้เขาไว้ใจก่อนที่เราจะตกลงเป็นแฟนกัน แต่ฉันมันดันใจอ่อนรักเขาจริงๆขึ้นมา มันเป็นความรักแบบพี่ชาย น้องสาวที่เราเองก็รู้ดี ฌากส์เข้าใจฉันทุกอย่างแม้แต่ความแค้นที่ฝังอยู่ในใจ เขายินดีให้ฉันใช้เป็นเครื่องมือในการแก้แค้น คิดดูสิว่าเขาจิตใจดีขนาดไหน

ฌากส์ไม่เคยได้รับความสนใจจากพ่อแม่เนื่องจากอาร์ซี่แย่งมันไปหมด เขาเลยคบกันฉันได้ถึงแม้พ่อแม่ของเขาจะขัดใจในเรื่องนี้อยู่ทุกวัน แต่นานวันเข้าเมื่อฉันอยู่ใกล้พี่น้องเดวิยงมากขึ้น เป็นตัวของตัวเองมากขึ้นอาร์ซี่หลงก็รักฉันเหมือนกัน ฟังดูงี่เง่าเหลือเกิน แต่ฉันก็ดันชอบเขามาก ใครจะอดใจไปกับผู้ชายฉลาดเฉลียว มีเสียงหัวเราะที่สดใสและยิ้มสวยเหมือนรูปปั้นแบบนั้นได้ มันเหมือนกับเราหลงลืมว่าตัวเองเป็นใครมาก่อน มีจุดประสงค์เพื่ออะไรและกำลังถลำลึกอยู่กับเรื่องยุ่งยาก เพราะแบบนั้นกว่าจะแก้ไขอะไรทันมันก็สายไปแล้ว

วันที่ฌากส์รู้เขาเหมือนถูกน็อค แต่ด้วยความเป็นคนดี เขากลับให้เราคบกันต่อไปและใช้ตัวเองเป็นฉากหน้าไม่ให้พ่อแม่สงสัยว่าอาร์ซี่ ว่าที่หัวหน้าตระกูลกำลังคบกับสาวน้อยสายเลือดต่ำต้อยอยู่

“เราสองคนนี่แหละทรยศเขา ที่นายโยนทุกอย่างมาให้ฉันเพราะนายรู้สึกผิด การโดนลอบฆ่าของฌากส์ก็ทำให้นายรู้สึกผิด นายไม่รู้ว่าใครอยากฆ่าเขา ไม่รู้อะไรเลยเหมือนคนโง่ และการเป็นคนโง่ก็ไม่ใช่สิ่งที่อาร์ซี่คนเก่งคุ้นเคย นายโมโหและโยนทุกความผิดมาให้ฉัน ไอ้คนขี้ขลาด” ฉันเดินวนรอบตัวเขา กดดันด้วยความจริงก่อนจะหยิบหนังสือบนพื้นขึ้นมา “ทั้งที่ทุกคนเอาแต่โทษฉัน มีแค่ฌากส์เท่านั้นที่อยู่เคียงข้าง ในเมื่อเขาดีขนาดนั้นฉันจะฆ่าเขาไปทำไม”

“เพราะเธอเกลียดเดวิยงไง” เขาตอบคำถามฉันด้วยเสียงแน่นิ่ง มันเป็นปฏิกิริยาที่ฉันเกลียดนัก ไอ้การทำเป็นไม่แยแสอย่างนี้

“แล้วทำไมฉันถึงรักนายได้” ฉันถามเสียงเบา หวังเหลือเกินว่าเขาจะตอบอะไรที่ดีไปกว่าคำว่าเพราะฉันหลอกใช้เขา ได้โปรดเถอะ อาร์ซี่ ได้โปรด

“เธอเคยรักฉันต่างหาก”

“แล้วนายล่ะ”

“ฉันเองก็เคยรักเธอเหมือนกัน” เขาหันกลับมา แววตาที่เย็นชาและห่างเหินดูมืดมิดยิ่งกว่าเดิมเข้าไปอีก “แต่ตอนนี้ไม่แล้ว”

ฉันน้ำตาไหล เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ฉันร้องไห้ด้วยความรู้สึกหมดหวัง “อาร์ซี่”

“ฉันเคยบอกแล้วไงว่าอย่าทำตัวน่าสมเพชแบบนี้ ถ้าเธอเป็นโฮปและแสดงให้ใครๆเห็นว่าเข้มแข็งก็ต้องทำมันไปให้ได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะโลกที่เธออยู่มันเลวร้ายขนาดไหนเธอเองก็เจอมันมากับตัวแล้ว”

“อาร์ซี่ ได้โปรด” ฉันยืนตัวสั่นอยู่ตรงหน้าเขา เม้มปากแน่นแบบคนอับจนหนทางและพยายามขอร้องให้เขาเห็นใจผ่านม่านน้ำตา

“บ้าเอ๊ย” เจ้าตัวสบถก่อนจะกระชากฉันเข้าไปกอดอย่างแรง “บ้าเอ๊ย ฉันนี่มันโง่จริงๆ ไอ้โงเอ๊ย ให้มันได้อย่างนี้สิวะ” แล้วเขาก็กอดกระชับแน่นขึ้นไปอีก เฝ้าพูดพร่ำว่าตัวเองมันโง่ก่อนจะหัวเราะออกมาเหมือนคนไร้สติ เรายืนกันอยู่แบบนั้นนานมากก่อนที่เขาจะดันตัวฉันออก กระชากไปนั่งบนโซฟาหน้าตาน่าเกลียดและถามถึงช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาเหมือนเรื่องขุ่นเคืองระหว่างเรามันไม่เคยเกิดขึ้น

เยื่อใยระหว่างเราตัดยังไงก็ไม่ขาดซักที

“ที่นั่นเป็นยังไง เธอยุ่งมากหรือเปล่า” เขานั่งขัดสมาธิบนโซฟา ถ้าแม่เห็นเขาโดนดุแน่

“ฉันไม่มีอะไรให้ทำมากหรอกโคล้ด เวลาแต่ละวันต้องเอาไปคิดว่าจะทำยังไงให้ตัวเองอยู่รอด” ฉันลุกไปเปิดตู้เย็น คุ้ยหาโค้กสองกระป๋องกับคุกกี้ลูกเกดเย็นชืดมากิน “มีแค่งานกับเรียนเท่านั้น”

“ข้อหนึ่งนะ อย่าเรียกฉันว่าโคล้ด ข้อสองเธอไม่ควรกินโค้ก”

“นายยังเกลียดชื่อนั้นอยู่อีกเหรอ” ฉันหมายถึงชื่อกลาง โคล้ด-ฟรองซัวส์ ที่พ่อกับแม่ใช้เรียกเวลาเขาทำผิด

“มันตอกย้ำว่าฉันเคยผิดพลาดมากขนาดไหน”

“การลืมใช้มีดตัดเนยแข็งไม่ใช่ความผิดพลาดหรอกนะ นายก็แค่เด็กผู้ชายซนๆที่ใช้มือหยิบอาหาร อีกอย่าง ตอนที่นายลืมทำการบ้านให้เสร็จก่อนออกไปเล่นมันก็เป็นเรื่องปกติของเด็กเจ็ดขวบ บางทีพวกเขาก็ใช้เหตุผลกับลูกตัวเองมากเกินไป” ฉันเปิดโค้กแล้วยื่นไปหาคนข้างๆ ไม่สนใจว่าเขาจะอยากดื่มหรือไม่ “ดื่มนี่ นายจะรู้สึกดีขึ้น”

“มันทำเราปวดท้องได้นะ”

“และนี่คุกกี้” ฉันยัดคุกกี้ราคาถูกใส่ปากเขาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย อาร์ซี่เกือบสำลักแต่ก็ยังอุตส่าห์กระเดือกมันลงคออย่างยากลำบาก “ดื่มโค้กตามไป นายจะรู้ว่าสวรรค์มีจริง”

“ขอบคุณ!”

เขากำลังประชดฉันค่ะ พ่อหนุ่มมารยาทงามกำลังส่งค้อนให้ฉัน เป็นเกียรติประวัติอะไรอย่างนี้ 

“อร่อยไหม”

“อือ” เขาครางตอบเสียงอ่อยก่อนจะเอาหัวพิงพนักโซฟาและกลอกตามองเพดานไปมา “ที่นี่สงบดี”

“ที่คฤหาสน์นายก็มีที่สงบๆ” ฉันตอบไปด้วยกินไปด้วย เริ่มจะรู้สึกผ่อนคลายจริงๆจังๆในรอบหลายเดือน “สวนไง เงียบดีนะ”

“นั่นเป็นที่ของฌากส์” เขาขยับเข้ามาใกล้ “ฉันมาที่นี่ได้มั้ย”

“หืม”

“เวลาต้องกลับจากงานน่าเบื่อพวกนั้น” เขาทำไม้ทำมือ ย่นจมูกเวลาพูดถึงอะไรที่ไม่ชอบใจ

“รู้มั้ย ฉันเคยพูดกับเวอร์จิลด้วยนะว่านายไม่เคยย่นจมูกเลย”

“ทำไม”

“เวอร์จิลบอกว่านายไม่อยากฉีดโบท็อกซ์ตอนแก่ เห็นทีตอนนี้จะไม่ใช่แล้ว” ฉันยิ้มล้อเลียน

“หุบยิ้มเลย เห็นแล้วอารมณ์เสีย” เขาย่นจมูกอีกครั้งแบบไม่รู้ตัว

“:))”

“ยัยประสาท” เขาหลุดยิ้มก่อนจะผลักหัวฉันแทบทิ่ม

“โอ๊ะ อย่านะ”

“อย่าอะไร”

“อย่าแกล้งฉันระหว่างกินอาหาร นายไร้มารยาทแล้วนะ” ฉันเลียนเสียงแม่ของเขาก่อนจะแลบลิ้น เพราะอาร์ซี่ไม่เคยได้ทำอะไรพิเรนท์ๆหรือก๋ากั่นเวลาอยู่บ้าน เขาเลยหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นท่าทางเพี้ยนๆของฉัน

“หัวเราะมากๆฉันคงไม่มีรอยตีนกาใช่ไหม” เขาปิดปากกลั้นหัวเราะเหมือนเด็ก

“การหัวเราะช่วยให้นายดูเด็กขึ้น” ฉันแตะมือกับแก้มเขา

อาร์ซี่ทาบมือบนฉันและบีบเบาๆ “บางทีถ้าเราเป็นคนธรรมดา อะไรๆมันคงง่ายกว่านี้”

“ฉันเป็นคนธรรมดา นายเองก็เหมือนกัน”

“หืม”

“เราบินไม่ได้” ฉันหยอกให้เขายิ้มและมันก็ได้ผล ปากรูปกระจับของเขาจะสวยมากขึ้นเมื่อยิ้ม ฉันจำรายละเอียดทุกอย่างที่เป็นอาร์ซี่ได้ดีจนแทบจะรู้ล่วงหน้าว่าเขาจะมีท่าทางแบบไหนเวลามีเรื่องต่างๆเกิดขึ้น

“รู้อะไรมั้ยเชล”

“อะไร”

“ฉันคิดถึงเธอจริงๆ”

ชั่วขณะนั้น อาร์ซี่คนเดิมก็กลับมา คนที่อบอุ่นอ่อนโยน หัวเราะกับเรื่อง่ายๆและมีรอยยิ้มที่ฉันยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้เห็น และเพราะแบบนั้นฉันเลยโน้มหน้าเข้าไปใกล้ รอสิ่งที่โหยหามาตลอดหลายเดือน

................................................................................

**ง่อวววว ตอนหน้าแซ่บมากเด้ออ อยากอัพรัวๆแต่ไม่มีกำลังใจ เม้น ไลค์ด้วยนะค้า**

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา