T AND ANGEL นักศึกษาฝึกรักกับไอ้หนุ่มมืดมน

-

เขียนโดย shotaro

วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 01.31 น.

  2 ตอน
  0 วิจารณ์
  4,269 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560 01.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

บทนำ

เว็บขีดเขียน

T AND Angel นักศึกษาฝึกรักกับไอ้หนุ่มมืดมน

บทนำ : มหา(วิทยา)ลัย

          ผมเกลียดมหาวิทยาลัย มันใหญ่เกินไปสำหรับผมอะไรก็ตามที่ขึ้นชื่อว่า ‘มหา’ มันมักใหญ่เสมอ และแน่นอนนั่นคือความจริง ถึงผมจะไม่ได้เกลียดเพราะมันใหญ่ก็ตามแต่ผมก็เกลียดมัน ผมเกลียดสังคมที่นั่นเกลียดสาขาวิชาเอก เกลียดเพื่อน เกลียดครูอาจารย์ เกลียดมันไปหมดนั่นแหละ และผมก็เกลียดตัวเองที่ครั้งหนึ่งเคยรักมันด้วยเช่นกัน

          ผมทนอยู่กับความรู้สึกเกลียดชังนี้มาจะสามปีแล้ว และอย่างที่รู้ๆ ว่าอีกแค่ปีเดียวผมก็จะหลุดพ้นจากสังคมเฮงซวยนี่เสียที่ เหอะ แต่ก็ตลกร้ายที่ในความรู้สึกของผมมันช่างยาวนานเหลือเกิน อยากรู้ไหมล่ะทำไมผมถึงเกลียดมัน ผมจะสาธยายให้แต่มันก็คงไม่หมดในเร็วๆ นี้หรอก

          มหาวิทยาลัยสวยงามใหญ่โตโอ่อ่าติดริมทะเล มีรุ่นพี่มากมายที่เรียนจบจากที่แห่งนี้แล้วประสบความสำเร็จ อันดับต้นๆ มหาวิทยาลัยดีเด่นของประเทศ ทุกคนอยู่กันเป็นครอบครัวรักใคร่ปรองดองกันอย่างดี เมื่อมีรุ่นน้องมาสอบสัมภาษณ์รุ่นพี่ก็จะคอยประคบประหงมไปรับไปส่งดูแลอย่างกับเราเป็นเด็กอนุบาล อาจารย์ที่นี่ก็อัธยาศัยดีทุกคนพูดคุยเชิญชวนยึดมั่นว่าตัวเองจะสอนเด็กๆ ให้พัฒนาสู่ความยิ่งใหญ่ เพื่อนๆ ทุกคนเปิดฉากการสนทนาด้วยรอยยิ้มและพร้อมจะมอบความรักให้แก่เพื่อนใหม่

          ตอแหล!

          นี่คือคำที่ผมสบถและก่นด่ามันอยู่ทุกครั้งที่นึกถึงสิ่งเหล่านั้น ผมจะบอกความจริงให้ฟัง ผมเคยรักทะเลแต่ตอนนี้เกลียดมันอย่างกับอะไรดี ทั้งเหม็นคาวและหยาบคาย เน่าเฟะเละยิ่งกว่าซากแมว น้ำทะเลสีดำเขรอะเลอะยิ่งกว่าท่อระบายน้ำ ถึงกลางคืนทีไรความสวยงามของพระจันทร์ที่ไร้ตึกรามมาบดบังก็ยังพ่ายต่อความมึนเมาและโสเภณี เหอะ โสเภณี สำหรับผมมันไม่ใช่คำดูถูกนักหรอกแต่ผมจะใช้แทนพวกผู้หญิงหรือแม้กระทั่งชายก็ตามที่มันจ้องจะหากินภายใต้ความมึนเมานั้น

          รุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จ อย่าได้เอามาอ้างเชียวเพราะสุดท้ายคุณก็จะพูดถึงแต่ความสำเร็จใครบ้างล่ะจะกล่าวถึงความผิดพลาดและอับอายของตนเอง หนำซ้ำรุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จนี่แหละที่อาจเหยียบย่ำพวกผิดพลาดให้จมดิน หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมแต่วางมันไว้ก่อนเพราะนั่นยังไม่ใช่เรื่องที่ผมจะกล่าวถึง

          รุ่นพี่ รอยยิ้ม น้ำใจ ความเมตตา “มาเป็นครอบครัวเดียวกันนะ” คำพูดสวยหรูนั่นแม้แต่คนคุกหรือฆาตกรมันก็ยังพูดได้ และอาจพูดได้ดีกว่าด้วยซ้ำ สิ่งที่อยู่เบื้องหลังคืออะไรงั้นเหรอ นรกไงล่ะ ไอ้ภาพลักษณ์ครอบครัวหวานชื่นนั่นแหละประตูสู่ขุมนรก สิ่งที่พวกเขาจะทำกับคุณก็คือมอบความสนุกในช่วงแรกของรับน้อง ก่อนจะตัดหางปล่อยวัดและก่นด่านินทาอยู่ลับหลัง คุณคืออะไรงั้นเหรอ ของเล่นไงล่ะ พวกเขาจะเล่นคุณเล่นจนเบื่อก่อนจะถึงเวลาโยนทิ้งแล้วสมเพชในความรักที่คุณมอบให้

          เพื่อนฝูง อย่าไว้ใจใครในเอกไม่ใช่แค่รุ่นพี่หรอกที่คุณจะต้องระวัง เพราะที่ร้ายกว่าก็คือเพื่อนไงล่ะ คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าพวกเขาจะคิดอย่างไรกับคุณ หึ คุณอาจมีเพื่อนที่รักสุดหัวใจสมัยมัธยม แต่กับในโลกที่ชื่อมหาวิทยาลัยแล้ว เพื่อนที่คุณพร้อมจะเปิดใจ เล่าและทำทุกอย่างให้กับเขา ไปไหนไปกันร่วมกันฟันฝ่า เหอะ ฝังสิ่งสวยหรูพวกนั้นได้เลย พวกเขาจะนินทาเมื่อคุณห่างไป พวกเขาจะมองและจับผิดคุณทุกย่างก้าว และพวกเขาจะหัวเราะให้กับความผิดพลาดนั้นมากกว่าที่จะเตือนคุณ ทุกคนจะแย่งกันชิงดีชิงเด่นสวมหน้ากากว่าฉันไม่ได้ต้องการชนะ แต่ในใจลึกๆ ก็ยังหวังจะเหยียบมิตรภาพขึ้นไป

          อย่าได้เอาเพื่อนมหาวิทยาลัยมาเทียบกับสมัยโรงเรียน เพราะพวกเขาไม่รู้จักคุณจริงๆ หรอก ไม่รู้ว่าแท้จริงคุณเป็นคนอย่างไร ไม่รู้ว่าคุณจะทำอะไรได้ดีแค่ไหน หรือถึงรู้พวกเขาก็คงไม่พูดถึงมัน ทำไมนะเหรอ เพราะเขาสนแค่หน้ากากที่คุณสวมไงล่ะ

            โลกนี้มันโหดร้าย แต่ที่ร้ายยิ่งกว่าคือต้องขอบคุณมหาลัยนี้ที่เปลี่ยนผมให้ตาสว่างเสียที ใช่ อย่างน้อยมันก็สอนให้รู้ว่าโลกนี้มันโหดร้าย

            ผมอาจจะเคยเป็นอย่างเด็กคนอื่น แต่หลายๆ อย่างมันสอนผมให้ก้าวออกมา และหลายครั้งแล้วที่ผมเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนจนผมจวนจะลืมว่าตัวเองเป็นใคร ครั้งนี้เช่นกันที่ผมเปลี่ยนตัวเองเพื่อเข้าสู่สังคมมหาวิทยาลัย

             เคยมีคนบอกผมว่าคุณต้องทำมันซ้ำๆ กัน เกินกว่ายี่สิบเอ็ดวัน สิ่งนั้นมันจึงจะกลายเป็นนิสัย โรงเรียนเก่าของผมอยู่ใจกลางเมืองหลวง ตลอดหกปีที่นั่นสอนให้ผมเป็นสุภาพบุรุษ มีความอดทน มีความรัก และพัฒนาชีวิตเพื่อความสำเร็จ ความสำเร็จในที่นี้คือการเป็นประโยชน์เพื่อคนอื่นและตนเอง ผมรักความคิดนี้นั่นเป็นเหตุผลให้ตลอดหกปีผมทำทุกอย่างเพื่อเป็นสุภาพบุรุษ

            แต่มันก็พังแค่เพราะหนึ่งปีแรกที่เข้ามหาวิทยาลัยนี้ พังแบบไม่เหลือซากทั้งกายทั้งใจ ทั้งต่อตนเอง ครอบครัว ส่วนรวม ต่อวิชาที่รักเท่าดวงจิต มันตายไปแล้วครับ ‘สุภาพบุรุษ’ ตายไปจากหัวใจของผม

            กริ๊ง!

            หืม โทรศัพท์ดังเตือนขณะที่ผมนอนเหม่อมองเพดานอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก เตียงกว้างขนาดนอนได้สามคน แต่ถึงผมนอนคนเดียวสภาพมันก็ยับเยินไม่ต่างจากชีวิตอยู่ดี ความจริงเมื่อสองปีก่อนผมอยู่กับรูมเมทแต่เพราะเหตุผลบางอย่างผมเลยแยกออกมาอยู่คนเดียว ความจริงแบบนี้ก็ไม่แย่นักหรอก หมายถึงวันแรกที่ย้ายมาอยู่น่ะนะ มันสวยหรูอย่างกับโรงแรมทั้งโคมไฟ แอร์ ทีวี ตู้เย็น อ่าง ครัว เรียกได้ว่าคอนโดเลยทีเดียว แต่ผมจะบอกให้ว่าในตอนนี้ทุกๆ ที่มันเต็มไปด้วยกางเกงในใช้แล้วกับกองหนังสือ ใบงาน ถ้วยชามที่ทานค้างไว้ กะละมังเสื้อผ้าใช้แล้ว และถุงขยะ ยินดีต้อนรับสู่วันเดอร์แลนด์

            อา... ขี้เกียจชะมัด

            ผมเรียนมนุษยศาสตร์วิชาเอกภาษาญี่ปุ่น อืม วิชาที่ใครๆ ก็อยากเรียนและชื่นชอบนั่นแหละ วิชาที่ผมเทิดทูนไว้บนหิ้งและผมรักครูคนแรกที่สอนผมมาก แต่ตอนนี้มันไปอยู่ก้นถังขยะแล้วล่ะ ทุกวันนี้ผมเรียนด้วยคำถามที่ว่า จะเรียนไปทำไมไม่ได้อยากเป็นล่ามหรือนักธุรกิจสักหน่อย น่าเบื่อ และไม่ตื่นเต้นเอาเสียเลย อ่านเองเฉยๆ ก็ยังรู้เรื่อง แล้วทำไมต้องเสียเงินและเวลาสี่ปีไปอย่างไร้ค่าด้วย สู้เอาไปเรียนวิชาที่แค่อ่านมันไม่ช่วยให้พัฒนาอย่าง ดนตรี การแสดง ธุรกิจ หรือ วิชาจำพวกปฏิบัติไม่ดีกว่าเหรอ

            เอาจริงๆ ผมมันก็พาลเองแหละ อย่างที่ว่าไปมหาวิทยาลัยมันใหญ่ทุกอย่างมันก็กว้างขวางไปหมดจะสวนเล็กๆ มันก็ยังอยู่ในส่วนของมหาวิทยาลัย ก็คงไม่ต่างจากความเกลียดชังของผมที่แผ่ซ่านครอบคลุมไปทั่วหัวใจดวงนี้

           ผมค่อยๆ ปิดนาฬิกาปลุกในมือถือ แล้วถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะลุกขึ้นเกาหัวเกาตูดเดินไปส่องดูหน้าคนตายซากในกระจกยามเช้า

            “เคราขึ้นอีกแล้ว หืม เราเองก็หล่อเหมือนกันแฮะ” ผมภูมิใจกับใบหน้าที่เหมือนแม่ของตนเองมากๆ ราวกับฝาแฝดเลยทีเดียว ใช่และมันก็ค่อนข้างตรงกับค่านิยมชายสมัยใหม่ด้วย แต่มันก็ไม่ได้ดูดีนักหรอกเพราะสิ่งที่อยู่ภายใต้ใบหน้าของผมก็คือพุงพลุ้ยๆ กับแขนใหญ่ๆ ที่เดี๋ยวมันก็ลดเดี๋ยวมันก็เพิ่ม ผมเคยออกกำลังกายเป็นบ้าเป็นหลังช่วงฝึกวิชาทหาร แต่มันไม่ได้ทำให้หัวใจผมแกร่งขึ้นได้เลย และนั่นก็เป็นอีกเหตุผลที่ผมจะไม่ขอออกไปไหนเว้นเสียแต่ว่าจำเป็น

            เมื่อครู่ผมอยู่หน้ากระจกคิดว่าจะยังเก็บเคราไว้ก่อนถ้ามันเริ่มเข้มแล้วค่อยโกนพอรู้ตัวอีกทีก็อยู่หน้าฝักบัวแล้ว ผมชอบอาบน้ำร้อน นั่นล่ะชีวิตของผม ผมจะเปิดร้อนที่สุดเสมอ มันไม่ลวกเราพองหรอกครับคุณแค่ต้องค่อยๆ เข้าหามันทีละส่วนอย่างนุ่มนวลถัดจากนั้นคือสวรรค์มันจะคลายเส้นและความตึงเครียดทั้งหมดของคุณไป ความจริงถ้าผมขนอ่างน้ำร้อนไปเรียนได้ผมอาจจะมีความสุขมากขึ้น

            ผมก้าวออกมาจากห้องน้ำทั้งที่เปียกชุ่ม เดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวที่พาดบนเก้าอี้ ผมไม่จำเป็นต้องเอามันเข้าห้องน้ำไปด้วยเพราะไม่มีใครจะมามองผมเว้นเสียแต่จะมีการแอบติดกล้องไว้ “หึหึหึ” และผมก็จะขำให้กับมุขที่ตัวเองคิดได้ ใครจะทำไมล่ะ

            ผมคว้ากางเกงในที่ยังคาอยู่กับกางเกงสแลคตัวเมื่อวาน ผมใส่สัปดาห์ละตัวเว้นแต่ว่าจะมีวันที่เหงื่อชุ่มจริงๆ ถึงจะเปลี่ยน และผมจะซักมันก็ต่อเมื่อหมดตู้แล้วจริงๆ เท่านั้น เพราะผมคงไม่มีเวลาไปใส่ใจสักเท่าไหร่

            หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้วผมก็คว้ากระเป๋าเป้สีดำเดินไปเปิดประตู ก้าวแรกที่ออกจากห้องทึมๆ ผมต้องใช้มือปิดตาที่ปวดจี๊ดเมื่อสัมผัสแสงที่ลอดจากหน้าต่างทางเดิน ผมไม่ชอบแสงสว่างตอนกลางวันเอาเสียเลย ทั้งชีวิตที่อยู่ในห้องผมจะปิดม่านสีทึบสนิทและเปิดโคมไฟแสงอ่อนๆ อยู่แบบนั้นแม้จะกลางวันหรือกลางคืน ผมเกลียดพระอาทิตย์เวลามันขึ้นใหม่ๆ แต่จะรักเมื่อมันเจียนจะตกดิน ผมรักพระจันทร์เป็นชีวิตจิตใจเพราะมันไม่แยงตาและแผดเผา แถมยังสวยงามและให้แสงทึมๆ

            ผมลงลิฟท์จากชั้นหกมายังชั้นหนึ่ง แม้แต่ลิฟท์ในหอนี้ก็ยังติดกล้องวงจรปิดมันอาจฟังดูปลอดภัยและอุ่นใจก็เถอะ แต่คุณจะอึดอัดน่าดูเพราะตัวหน้าจอที่ฉายภาพน่ะมันดันอยู่หน้าลิฟท์ ไม่ใช่ในสำนักงานหรือห้องยามแต่ทุกคนที่ต่อคิวรอจะรู้ว่าคุณทำอะไร ไม่ว่าจะกดมือถือ เกาตูด หรือส่องกระจกก็ตาม และภาพที่เกิดขึ้นก็คือทุกคนในลิฟท์ที่รู้เรื่องนี้จะยืนแข็งทื่อเป็นโรบอท

            ผมเดินออกจากตัวหอพักมายังถนน หากใครวาดฝันจะเห็นผมขับมอเตอร์ไซค์เท่ๆ หรือปั่นจักรยานเป็นหนุ่มญี่ปุ่นแล้วล่ะก็อย่าได้หวังเลย เพราะสิ่งที่ผมจะทำก็คือ

            “ไปคณะมนุษย์ครับ” ผมบอกพี่วินมอเตอร์ไซค์ก่อนจะซ้อนท้ายขึ้นไป ข้อแรกที่ผมเลือกใช้บริการนี้คือ ผมขับรถไม่เป็น และมันยังไม่มีแรงบันดาลใจใดให้อยากไปฝึกขับด้วย สอง ผมมีจักรยานแต่ระยะหลังนี้ไม่ได้ปั่นแล้วปล่อยมันยางแฟบไว้อย่างนั้นถ้าสงสัยว่าทำไม คำตอบอยู่ข้อสาม ขณะนี้เวลาแปดโมงสี่สิบเก้านาทีและผมมีเรียนตอนเก้าโมงเช้าผมไม่ใช่นักปั่นทีมชาติหากปั่นไปคงใช้เวลายี่สิบนาทีแถมความขี้เกียจก็ไม่ยอมให้ผมทำเช่นนั้นด้วย ผลสรุปแล้วเวลาไปถึงห้องเรียนเป๊ะๆ ตอนเริ่มคาบก็ดีที่สุดเพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปฟังเรื่องที่ไม่อยากได้ยินจากพวกปีศาจ

             “ถึงแล้วครับ” เสียงจากพี่คนขับเรียกสติผมที่เหม่อลอยกลับมาก่อนจะลงจากรถแล้วจ่ายเงินไป

          ผมหันไปมองตึกคณะที่สูงลิ่วบริเวณโดยรอบรายล้อมไปด้วยคนแต่งชุดนิสิตนักศึกษา ให้กลิ่นอายแบบผู้ใหญ่กว่าสมัยมัธยม แต่ก็นั่นแหละคุณน่าจะเคยได้ยินมาว่าอย่าหวังหาแฟนในมหาวิทยาลัยเชียวเพราะคุณจะไม่ได้อะไรมากไปกว่างานและการเรียน เว้นแต่คุณจะโดดเด่น หรือมีเสน่ห์จริงๆ เท่านั้น ซึ่งแม้แต่คนเหล่านั้นเขาก็ยังหากินยากเลย ผมจะบอกให้ว่านั่นแหละความจริง

       ผมก้มหน้าก้มตาเดินเพื่อจะไม่พบกับใครที่รู้จักหรือเคยรู้จักก็ตาม มันยุ่งยากที่จะต้องยักคิ้วหลิ่วตายกมือทักทาย แถมออกจะฝืนๆ ด้วย

            “เฮ้อ” ผมถอนหายใจกับชีวิตเดิมๆ และคิวต่อแถวหน้าลิฟท์ที่ยาวจากในตึกออกมานอกคณะ ทำไมคิวมันยาวได้ขนาดนี้เหตุผลคงเพราะความงกล่ะมั้ง จำนวนนักศึกษากว่าพันคนกับลิฟท์ธรรมดาๆ สองตัว แถมตลกร้ายกว่าคือฝั่งตรงข้ามลิฟท์ก็เป็นบันไดเสียด้วย เอาจริงๆ นะ อย่างกับจะบอกผมว่า ‘ถ้าแกรีบนักก็ขึ้นบันไดเลยไป’ อย่างไรอย่างนั้นและเป็นอีกครั้งที่ความขี้เกียจชนะ ผมยอมรอลิฟท์ดีกว่าแม้จะต้องสายก็ตาม

            “เอ่อ...ขอโทษนะคะ” จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงผู้หญิงดังมาจากด้านหลัง คิดว่าน่าจะเป็นคนที่มาต่อคิว อืม สงสัยคงจะคุยกับเพื่อนหรือคนอื่นล่ะมั้ง ไอ้นิสัยของผมมันก็แย่ด้วยสิเพราะชอบแอบฟังเขาไปทั่ว ความจริงที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพื่อรับรู้ว่าอีกฝ่ายจะนินทาอะไรเราลับหลังรึเปล่าเพราะผมคงไม่อยากจะไว้ใจใครอีกแล้ว “เอ่อ...ขอโทษค่ะ”

          อืมย้ำจังแฮะยัยนี่หรือจะเรียกเรา หันไปดีมั้ย ไม่สิเกิดไม่ใช่เรานี่หน้าแตกได้ง่ายๆ เลยนะ อีกอย่างอยู่แค่ข้างหลังจะเรียกเราก็น่าจะสะกิดได้นี่นา

            “ขอโทษค่ะ”

          “ว่าไงครับ” แย่ล่ะดันเผลอหันไปตอบซะแล้ว

            ค...ใครวะ นี่คือคำแรกที่หลุดเข้ามาเมื่อผมเห็นหน้าผู้หญิงผิวขาวแก้มอมชมพูภายใต้ผมดำยาวสลวยหวา แต่ยัยนี่ใส่กระโปรงสั้นมากจนจะเลยขาอ่อนแล้วนะ และเฮ้อมันก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย เธอกำลังพูดกับโทรศัพท์อยู่นี่หว่า

            เธอมองผมอย่างงงๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกอับอายเกินจะทน จึงได้แต่หันกลับไปแล้วตั้งสติจ้องไปยังเส้นชัยซึ่งก็คือลิฟท์ที่อยู่หน้าแถวนั่นเอง “ค่ะ ขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆ นะคะ” ยัยนี่พูดเป็นอยู่แค่คำเดียวรึไงวะ

            “เอ่อ ขอโทษนะคะ” รำคาญโว้ย รำคาญชะมัดไอ้แถวบ้านี่รีบๆ เคลื่อนไปซักทีโว้ย

            “เอ่อ โทษนะคะ” เอ๊ะ ผมรู้สึกเหมือนอะไรมันสะกิดไหล่ หรือคราวนี้เธอจะเรียกผมจริงๆ ฮึ่ม ไม่ ไม่เอาอีกแล้วถ้าเจออีกทีนึงผมวิ่งขึ้นบันไดจริงๆ ด้วย พอได้แล้วรำคาญชะมัด “ขอโทษนะคะ”

          “รำคาญโว้ย” เฮือก นี่ผมหลุดปากหันไปอีกแล้วเรอะ

            อ...อ่าว คราวนี้ในมือเธอดันไม่มีโทรศัพท์ซะอย่างนั้น นี่มันเรื่องอะไรวะเนี่ย แล้วทำไมมองผมด้วยสายตาเศร้าๆ แบบนั้นกัน อ๊ะ จริงสิเมื่อกี้เราตะคอกไปนี่หว่า

          “ข...ขอโทษค่ะ” พอเห็นท่าทีเธอดูกลัวๆ แบบนั้นผมก็เริ่มห่วง แต่ที่ผมห่วงไม่ใช่หล่อนนะสายตาคนรอบข้างต่างหากตอนนี้ผมเด่นขึ้นมาซะงั้น ฟุ่บ! จู่ๆ เธอก็โค้งตัวลงมาจนผมปรกหน้า แต่เฮ้ยถ้าทำแบบนั้นส่วนที่ไม่ควรจะเห็นมัน...  “ขอโทษจริงๆ ค่ะ”

          “นี่เธอพูดเป็นคำเดียวรึไง!”

          “ขอโทษค่ะ เอ่อคือพี่ใช่พี่ทีรึเปล่าคะ” เฮ้ย เดี๋ยวนะ เธอรู้จักผมได้ไง ไม่ๆ ไม่มีทางผมไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อนเลยสักครั้งในชีวิต แถมจะว่าเป็นเพื่อนของเพื่อนก็ไม่น่าใช่เพราะผมไม่เคยมีสิ่งๆ นั้นในมหาวิทยาลัยนี้

            “เธอเป็นใคร” ขอยอมรับว่าผมประหม่าอย่างถึงที่สุดเพราะไม่ได้คุยกับใครมานานมากแล้ว แถมเบื้องหน้ายังเป็นผู้หญิงที่รวมเอาคำว่าสวยกับน่ารักมาเป็นคำๆ เดียวกันได้อีก

            “ใช่พี่จริงๆ ด้วย” จู่ๆ เธอก็ดูดีอกดีใจขึ้นมาซะอย่างนั้น

            “อ...อืม”

          “นี่พี่ไม่รู้จักหนูจริงอะ” เธอยังไม่ตอบฉันเลยนะ

          “ไม่รู้”

            “อะไรกัน” คราวนี้ทำหน้าผิดหวังแฮะ เออเฮ้ยยัยนี่น่าสนุกดี “พี่ไม่คุ้นๆ เลยหรือคะ”

            “ไม่เลย” ผมแถมการส่ายหน้าเป็นปฏิกิริยาตอบโต้ให้ด้วย

            “โธ่” คราวนี้บูดบึ้งใส่ งอนเหรอ เหอะๆ จำไม่ได้ว่าเคยเจอคนทำแบบนี้ใส่รึเปล่าสงสัยจะเป็นครั้งแรกแฮะ “หนูชื่อแองเจิ้ลค่ะ”

          “เหรอ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” ผมยื่นมือออกไปหวังทักทายแบบฝรั่ง

          “ค่ะ ยินดีที่รู้จั...ไม่ใช่! โธ่ พี่ทีอะ” เธอกระทืบเท้าดูไม่พอใจอย่างหนัก “หนูไม่รู้ด้วยแล้ว ไปนึกให้ออกเอาเองเลย แบร่” จากนั้นเธอก็แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ผมแล้วเดินหนีออกจากแถวขึ้นบันไดไปเฉยๆ อืม คนที่มีปฏิกิริยาตอบโต้แบบนี้ก็มีอยู่ในโลกด้วยแฮะ จะว่าไปแองเจิ้ลเหรอ เหมือนเคยได้ยินชื่อแฮะแต่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย       

          รอจนได้ขึ้นลิฟท์แล้วก้าวมาโผล่ถึงห้องเรียนในที่สุด อย่างที่เคยกล่าวไป สิ่งที่ผมจะทำในมหาลัยมีเพียงแค่เรียนเท่านั้น กิจกรรมหรือเทศกาลอะไรนั้นล้วนไร้ความน่าสนใจ ผมทำแบบนี้มาสามปีแล้วมันคงกลายเป็นสันดาน และใครสนล่ะเพราะอีกปีสองปีผมก็จะเรียนจบแล้ว

            “ไวยากรณ์บทนี้คล้ายๆ กับบทนั้น แต่ต่างกันแบบโน้น โดยจะใช้คำศัพท์นี่ แทนโน่น แล้วอ่านแบบนั่น” ไม่ว่าครูจะพูดหรือสอนอะไร นี่แหละคือสิ่งที่ผมได้ยิน อยากรู้ไหมว่าผมเอาอะไรไปสอบหรือทำการบ้าน ‘หนังสือไงล่ะ’

          “วันนี้ก็มาสายอีกแล้ว” “ดูทรงผมสินี่มันไม่มีไดร์รึไงวะ” “นี่ๆ เธอดูคนนี้สิ” “เฮ้ยตอนใหม่ออกแล้วเหรอวะ” “เอ็งอ่านนี่ยัง” และเมื่อเวลาพักไม่ว่าจะสิบนาทีหรือเลิกคาบเสียงขยะเหล่านี้ก็จะเข้ามารบกวนผม ถามว่าจะกำจัดมันอย่างไรงั้นเหรอ ผมก้มลงหยิบหูฟังขึ้นมาก่อนจะเปิดเพลงของวงดีลีเทอร์อัดใส่แก้วหูตลอดเวลาพัก

            ผมชอบเพลงของวงดีลีเทอร์เพราะมันไม่เคยโกหก ชีวิตไม่เคยโกหก เพลงของวงนี้มักมีเนื้อหาเสียดสีและทิ่มแทงความรู้สึกของผมอยู่เสมอ มีทั้ง ร็อค ป็อป และแจสอยู่ในอัลบั้มเดียวกันบอกเล่าในสิ่งที่ต่างกันทั้งเรื่องรัก การเรียน การงาน ไปจนถึงวงจรชีวิต ผมติดตามวงนี้ราวกับบูชาพระเจ้า รู้ตั้งแต่การรวมตัวกันของร็อคเกอร์หน้าใหม่ และชีวิตของคนในวง

            “ชาบูดีลีเทอร์” อนึ่งชาบูในที่นี้ก็คือบูชานั่นเอง ผมชอบพูดคำนี้ทุกครั้งที่เริ่มฟังเพลง

            เวลาผ่านไปจนเลิกคาบ ความจริงจะให้ผมเล่าชีวิตในห้องเรียนก็ได้ แต่ผมรับรองว่ามันไม่มีอะไรเลยและคุณคงจะเบื่อไม่ต่างกับผมดังนั้นข้ามมันไปเถอะ ทันทีที่คาบเรียนจนผมก็กลับมาหอในทันที ชีวิตนักศึกษาปีสามของผมนั้นมีเรียนแค่สัปดาห์ละห้าคาบ ดังนั้นผมเลยเรียนแค่วันละคาบน่าอิจฉาใช่ไหมล่ะ แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ง่ายนักหรอกเพราะการบ้านและความยากที่ต้องสอบทุกคาบนั้นจะคอยตามหลอกหลอนไม่สิ้นสุด

            เฮ้อ ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงในห้องๆ เดิมอีกครั้ง ความรู้สึกหมุนเวียนไปไวราวกับวาร์ปมา และมันไวเพราะว่าผมมีความสุขเหลือล้นที่ได้อยู่ในห้องนี้ และพูดคุยเล่นกับหมอนข้างใบโปรด

            “สวัสดีหมอนข้าง วันนี้ก็เหนื่อยมากๆ เลยแหละ” และถ้ามันตอบผมได้มันคงจะพูดว่า ‘ไปซักผ้าซะ’

            “วันนี้นะหมอนข้าง เราไปเจออะไรมาก็ไม่รู้เต็มไปหมด อาจารย์ก็จัดสอบอีกแล้วคะแนนเราก็แย่นะ แต่อาจารย์กลับยิ้มอย่างกับสมน้ำหน้าแหนะ แถมเพื่อนๆ ก็เอาแต่นินทาคิดว่าเราไม่ได้ยินรึไง ตอนเช้านะ” ตอนเช้า... จริงสิ ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกจะชื่อแองเจิ้ลนี่นา เอ เคยได้ยินที่ไหนนะ

            ผมลุกขึ้นแล้วเดินวนไปวนมาอยู่ปลายเตียง แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกเพราะเกือบทั้งชีวิตผมวนเวียนอยู่ในห้อง “แองเจิ้ล แองเจิ้ล แองเจิ้ล” หรือจะเป็นเพื่อนโรงเรียนเก่า เอ๊ะ แต่โรงเรียนเก่าเรามันชายล้วนนี่หว่า กะเทย? เฮ้ยไม่หรอกน่า มาเต็มทั้งรูปรสกลิ่นเสียงขนาดนั้นถ้ากะเทยละก็ยอมเลยจริงๆ

            “แองเจิ้ล” จู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนนึกบางอย่างออกขณะมองไปยังกองเศษกระดาษบนโต๊ะ ปากกา ดินสอ สีตกแต่ง การ์ดต่างๆ กองเกลื่อนจนผมรู้สึกนึกถึงสิ่งที่เคยทำไว้บนโต๊ะนี้ “จดหมาย” ผมรีบรื้อดูของที่กองอยู่ ทั้งหมดมีซากซองจดหมายและกองกระดาษที่เต็มไปด้วยลายมือประณีตขัดกับของผม

            “อา ไม่เคยจัดโต๊ะมานาน ดีนะที่ยังอยู่” สายตาผมจับจ้องไปยังชื่อใต้เนื้อความจดหมายที่ถูกส่งมา ‘แองเจิ้ล’ จริงอยู่ที่ทุกมหาวิทยาลัยมันต้องมีธรรมเนียมนี้แต่ผมเองก็ไม่เคยใส่ใจด้วยสิ สิ่งที่ผมทำก็แค่อ่านๆ จดหมาย เขียนตอบส่งๆ ไป แล้วก็หาของไปให้ ที่ต้องทำก็แค่เลี่ยงการมีปากเสียงกับเพื่อนหรือรุ่นพี่แค่นั้นแต่เธอกลับจริงจังขนาดนั้นนี่นะ

            “ยัยนั่น เป็นน้องรหัสหรอกเหรอ!?”

          บทนำ END

          โปรดติดตาม EP 1

                                             

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา