ภาพรักร้อยใจ
เขียนโดย Annakan
วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 23.23 น.
แก้ไขเมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2560 00.41 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ตอน 7-10
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 7
เมื่อวางสัมภาระเรียบร้อยเพลงนั้นก็จบลงพอดีและดุจดาวก็ได้ยินเสียงคลื่นกระทบหาดเสียงลมพัดผ่านจนใบไม้ปลิวไหวแต่เธอกลับไม่กลัวจนสติแตก ถ้าเป็นเมื่อก่อนแค่เห็นภาพจากรูปถ่ายเธอยังทนแทบไม่ได้แต่วันนี้อาการแบบนั้นกลับไม่เกิดขึ้น
“หนูดาว เป็นยังไงบ้าง” เพ็ญนภาไม่แน่ใจว่าที่ลูกสาวนิ่งไปเพราะกลัวหรืออะไร
“หนูสบายดีค่ะ พ่อกับแม่ได้ยินเพลงไหมคะ” ดุจดาวยังคงตกอยู่ในภวังค์ไม่หาย เธออยากรู้เหลือเกินว่าเจ้าของเสียงนุ่มๆ คนนั้นคือใครกันหน้าตาเป็นยังไงเขาจะเหมือนพี่โยของเธอไหม
“ได้ยินลูก” ทั้งคู่ตอบพร้อมกันสุทัศน์และเพ็ญนภารู้แค่วาโยเล่นกีตาร์เป็นแต่ไม่รู้ว่าเพลงที่ชายหนุ่มชอบเล่นให้ลูกสาวฟังคือเพลงที่ผ่านหูไปเมื่อสักครู่
“เข้าไปข้างในก่อนดีกว่าลูก ตอนนี้แดดแรงเหลือเกิน” สุทัศน์ยังไม่แน่ใจนักกับอาการของลูกสาว มันง่ายเกินไปจนไม่น่าไว้วางใจคนที่เคยกลัวหวาดระแวงมาเป็นปีๆ จะหายง่ายดายขนาดนี้ได้ยังไงมันเป็นไปได้หรือ
“พี่โยนอนอยู่ตรงนั้นค่ะ” ดุจดาวชี้พื้นด้านหลังสองโซฟา เพ็ญนภากับสุทัศน์หยุดเดินทันทีด้วยความตกใจ
“หนูดาว พ่อว่าเรากลับบ้านกันเถอะมันไม่ใช่ความคิดที่ดี พ่อไม่น่าพามาเลยจริงๆ”
“หนูแค่คิดถึงพี่โยเฉยๆ ค่ะ ถ้าหนูไม่อยู่แล้วพ่อกับแม่ก็จะคิดถึงหนูแบบนี้ไม่ใช่หรอคะ”
“คิดถึงสิลูก” เพ็ญนภารั้งตัวบางๆ ของลูกสาวเข้าไปกอด หรือเธอจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าการมาเยือนจุดเริ่มต้นของทุกอย่างจะทำให้พบจุดจบที่แสนสวยงาม เป็นเธอจะทำใจได้ไหมที่เห็นสถานที่เดิมๆ ที่คนรักจากไปเต็มๆ สองตา
“พ่อจะคิดถึงหนูสุดหัวใจเลยดุจดาว” สุทัศน์โอบกอดหญิงสาวทั้งสองคนไว้ในอ้อมแขน
“ขอบคุณค่ะ หนูรักคุณพ่อกับคุณแม่นะคะ”
“เราไปดูห้องนอนดีกว่าค่ะ” หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างและอีกครั้งที่สองคนต้องตกใจกับท่าทีแปลกประหลาดของลูกสาว ยิ้มที่แสนสดใสแบบนั้นสุทัศน์กับเพ็ญนภาไม่ได้เห็นมาตั้งนานแล้ว
“พ่อกับแม่นอนห้องพี่โยนะคะ”
“เอ่อ อ้อ…” สุทัศน์มีคำถามคาใจที่อยากถามนานแล้วแต่ก็ไม่กล้า
“ได้จ้ะ ไหนพาแม่ไปดูห้องของหนูดาวสิ” เพ็ญนภารีบจูงมือลูกสาวไปอีกทางเธอรู้ว่าสามีอยากถามอะไรและเธอคิดว่ามันไม่ใช่เวลาที่สมควรจะคุยกันเรื่องนี้
“พี่โยเขาทำตามที่สัญญาจริงๆ ค่ะคุณพ่อและหนูก็เป็นเด็กดีแบบที่พ่อกับแม่สอนมาเสมอ ถึงหนูกับพี่โยจะไปไหนมาไหนนอนค้างอ้างแรมด้วยกันแต่พี่โยไม่เคยล่วงเกินหนูเลยค่ะ”
“พ่อรักหนูนะลูกหนูดาวของพ่อ” สุทัศน์รู้ว่าเรื่องความสัมพันธ์ลึกซึ้งมันเลี่ยงไม่ได้ เขาเองไว้ใจลูกสาวแต่ก็ไม่มั่นใจในตัววาโยเพราะผู้ชายส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างกันคืออยากเป็นเจ้าของครอบครองตัวและหัวใจของคนรักแต่วันนี้เขารู้แล้วว่าคิดผิดมาตลอด ความรักของลูกกับวาโยมันช่างบริสุทธิ์เหลือเกินคำสัญญาที่วาโยให้ไว้ตั้งแต่มาบ้านครั้งแรก เด็กหนุ่มรักษามันได้อย่างดีเยี่ยมนั่นคือจะไม่ล่วงเกินดุจดาวให้เสียหาย
“คุณพ่อเข้าใจแล้วใช่ไหมคะว่าทำไมหนูถึงรักพี่โยมาก พี่โยเป็นคนดีเขารักหนูเหมือนที่พ่อกับแม่รักไม่มีผิดเลยค่ะ”
“เข้าใจแล้วลูก พ่อเพลียๆ ของีบหน่อยได้ไหม” อาจเป็นเพราะสุทัศน์ขับรถด้วยความเครียดมาตลอดทางและในตอนนี้ก็ยังคงไม่หายกังวลเขาจึงอยากจะพักสมองสักหน่อย
“ได้สิคะ คุณพ่อเหนื่อยใช่ไหมต้องตื่นเช้าแถมขับรถตั้งไกล” ดุจดาวเดินเข้าไปในห้องนอนแล้วเปิดเครื่องปรับอากาศ
“คุณแม่ขา มานอนด้วยกันสิคะเหมือนตอนหนูเป็นเด็กไง” พ่อกับแม่นอนขนาบข้างลูกสาวที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนเธอก็ยังคงเป็นเด็กตัวน้อยๆ อยู่เสมอ
ตอนที่ 8
สามคนพ่อแม่ลูกหลับไปด้วยความอ่อนเพลียคนที่เหนื่อยสุดก็คือสุทัศน์เพราะเมื่อคืนเขาแทบนอนไม่หลับเลยส่วนเพ็ญนภาพอได้อุณหภูมิเย็นๆ แถมได้นอนกอดลูกสาวก็หลับไม่รู้เรื่อง
“อูย ปวดฉี่จัง” ดุจดาวค่อยๆ ขยับตัวออกจากอ้อมกอดของมารดาแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำเมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จเธอก็ตาสว่างไม่อยากนอนแล้ว หญิงสาวทิ้งตัวลงที่โซฟาแล้วมองไปที่ทะเลสีฟ้าสดใส
“ทำไมเราไม่กลัวล่ะหรือที่ผ่านมาเราแค่หลอกตัวเอง” ดุจดาวรำพึงออกมาเป็นคำถามที่ใครก็ตอบไม่ได้ นั่งอยู่สักพักเธอก็ลุกเดินไปหน้าบ้านเพื่อฟังเสียงทะเลให้ชัดๆ และก็เหมือนเดิมเธอไม่มีอาการสติแตกเลย
ชิงช้ายังผูกอยู่ที่เก่าต่างกันแค่ตอนนี้ร่มเงาของต้นไม้ขยายความกว้างออกไปพอสมควรก็มันผ่านมาห้าปีกว่าแล้วต้นไม้ก็เติบโตแตกกิ่งก้านสาขาออกไปมากมาย ดุจดาวมองมันอยู่อย่างนั้นรู้สึกตัวอีกทีเธอก็ยืนอยู่ข้างชิงช้าแล้ว
มือเล็กๆ จับไปที่เชือกเก่าคร่ำคร่าแล้วความทรงจำทุกอย่างก็หวนคืน หากย้อนกลับไปเมื่อห้าปีก่อนได้ถ้าเธอไม่มานั่งชิงช้าตัวนี้เธออาจจะช่วยพี่โยได้ทันเวลา หญิงสาวลังเลว่าควรจะนั่งเจ้าชิงช้าแห่งความสูญเสียดีรึเปล่า
“นั่งสิดุจดาว คราวนี้เธอจะไม่สูญเสียเธอจะได้พบหัวใจดวงเก่า” สายลมกระซิบเบาๆ
อีกครั้งที่ดุจดาวรู้สึกตกอยู่ในมนต์สะกดร่างเพรียวระหงทิ้งตัวลงช้าๆ ที่แผ่นไม้สีซีดจาง สองมือจับกระชับไว้ที่เชือกจากนั้นร่างกายก็ทำงานประสานกันเพื่อแกว่งไกวชิงช้า
“รักเขาให้มากกว่าที่รักพี่นะครับน้องดาว” ดุจดาวนั่งหลับตาเพราะสู้แสงเจิดจ้าไม่ไหว แล้วอยู่ๆ เสียงของพี่โยก็ดังก้องขึ้นในหัว
“รักใครคะพี่โย…พี่โยกลับมาก่อน” แพขนตางอนหนากะพริบขึ้นๆ ลงๆ เพราะเจ้าตัวกำลังตื่นตระหนกกับเสียงที่ได้ยินเมื่อสักครู่ หยดน้ำตาใสๆ ไหลออกมาอาบแก้มเพราะความรู้สึกอันมากมายมันถาโถมเข้าใส่จนเธอตั้งรับไม่ทัน สิ่งที่เกิดขึ้นมันหมายความว่าอะไรเธอต้องรักใครให้มากกว่าพี่โย
“ขอโทษนะครับ” อาทิตย์เดินออกมาที่หน้าบ้านและเห็นหญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีเหลืองนั่งอยู่ที่ชิงช้า เขารีบวิ่งไปหยิบรูปถ่ายใบเก่ามาเทียบกับภาพตรงหน้า ชุดและรูปร่างของผู้หญิงในภาพเหมือนกับผู้หญิงที่เห็นตอนนี้ราวกับถ่ายสำเนา ชายหนุ่มรีบเดินจ้ำออกมาจากบ้านทันทีเพราะเมื่อห้าปีก่อนเขาตั้งใจจะมาทักทายแต่พ่อกับแม่ก็เรียกเสียก่อน
“คะ” ดุจดาวหันมาที่ต้นเสียงพร้อมสีหน้าที่แสนเศร้า ดวงตาคู่สวยยังคงหลั่งรินน้ำตาไม่ขาดสาย
“เอ่อ ขอโทษครับ ผม ผมจำคนผิด” คำพูดมากมายและความดีใจที่รอการระเบิดเหี่ยวเฉาลงภายในพริบตาเพราะเธอคนนั้นกำลังร้องไห้ อาทิตย์ไม่เคยเห็นใบหน้าที่แสนเศร้าแบบนี้มาก่อนเลยตั้งแต่เกิดมามันเหมือนร่างกายของเธอถูกความโศกเศร้าดูดกลืนไปทั้งตัว
“คุณคะ ฉันคุ้นรูปจัง” ผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นขอโทษแล้วเดินกลับไป เธอจึงเห็นรูปที่เขาถือมา
“อ้อ ครับ” อาทิตย์ไม่อยากก้าวเข้าไปในโลกส่วนตัวของเธอ เขาจึงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม หญิงสาวคนนั้นต้องมีเรื่องสะเทือนใจอย่างแสนสาหัสแน่ๆ เพราะถ้าเธอมีความสุขดีคงไม่ร้องไห้แบบนั้นหรอกเขาไม่รู้จะทำตัวยังไงให้ถูกให้ควรกับสถานการณ์ตอนนี้ ถ้าจะเข้าไปปลอบใจก็คงเกินพอดีหรือจะปล่อยผ่านไปก็ดูไร้หัวใจเหลือเกิน
“จะรังเกียจไหมคะ ถ้าฉันขอดูสักครู่”
“ไม่เลยครับ” อาทิตย์เดินกลับมาแล้วยื่นภาพถ่ายให้เธอ
“คือ มัน…” ดุจดาวค่อนข้างมั่นใจว่าผู้หญิงที่อยู่ในรูปเพียงเสี้ยวเดียวน่าจะเป็นตนเองแต่เธอคิดว่ามันบังเอิญเกินไปและผู้ชายคนนั้นอาจจะคิดว่าเธอสติไม่สมประกอบถ้าพูดออกไป ก็เธอมานั่งร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอยู่บนชิงช้าแบบนี้เป็นใครก็คงจะกลัวแน่นอน
“คุณเคยมาที่นี่ไหมครับ เคยนั่งชิงช้าตัวนี้ไหม”
“เคยค่ะ ฉันเคยมาเมื่อห้าปีก่อนกับคนรัก”
“อ้อ ครับ” คำตอบของหญิงสาวทำให้หัวใจของอาทิตย์เจ็บแปลบขึ้นมา เธอมีคนรักอยู่แล้วน้องดาวของเขามีคนรักแล้ว…ใช่เธอคือน้องดาวเพราะเขาจำหน้าเธอได้ จำสร้อยที่เธอใส่ได้ เขาจำทุกอย่างเกี่ยวกับน้องดาวได้ขึ้นใจ
“วันนั้นฉันใส่ชุดนี้นั่งรอเขาตรงนี้แล้วเขาก็ตาย” ดุจดาวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาดุจเสียงกระซิบแต่อาทิตย์ก็ได้ยินชัดเจน
“ผม ผมเสียใจด้วยนะครับ เสียใจจริงๆ” สายตาคมเอ่อคลอด้วยน้ำใสๆ อาทิตย์เข้าใจแล้วว่าทำไมน้องดาวถึงโศกเศร้าแบบนั้นเพราะหัวใจของเธอหายไปครึ่งดวง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าน้องดาวกับผู้ชายคนนั้นรักกันมากแค่ไหนเพราะสีหน้าอันแสนโศกเศร้าและชอกช้ำมันบอกทุกอย่างหมดแล้ว
“มันผ่านมาห้าปีแล้วค่ะฉันเริ่มทำใจได้แล้ว”
“ขอบคุณนะคะ” ดุจดาวยื่นรูปถ่ายคืนให้เจ้าของ
“แล้ววันนี้คุณมาคนเดียวหรอครับ”
“เปล่าค่ะ ฉันมากับคุณพ่อคุณแม่ท่านหลับอยู่เพราะเครียด”
“อ้อ ครับ” อาทิตย์มีคำถามมากมายอยากถามผู้หญิงตรงหน้าแต่เขาก็ต้องเก็บมันเอาไว้
“ท่านเครียดเพราะฉันค่ะ” ดุจดาวตอบให้ชายแปลกหน้าหายสงสัยเพราะคิ้วของเขาขมวดเป็นปมจนยุ่งไปหมด
“อ้อ ครับ”
“ฮ่าๆๆ คุณพูดคำอื่นไม่เป็นหรอคะ”
“ได้ครับแต่ผมไม่อยากเสียมารยาทละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัวของคุณ”
“ไม่หรอกค่ะ จริงๆ ฉันไม่ได้คุยกับใครเลยเกือบห้าปีได้กลับมาเป็นมนุษย์ปกติบ้างก็ดีเหมือนกันค่ะ”
“ทำไมล่ะครับ”
“พอพี่โยจากไปฉันก็เสียศูนย์ค่ะ คุณคงพอนึกออกใช่ไหมเวลาเสียคนรักไปมันทรมานแค่ไหนฉันเป็นโรคซึมเศร้าและก็รักษาเรียกว่าต่อสู้กับมันดีกว่าฉันต่อสู้ไม่ให้มันกลืนกินตัวตนและชีวิตของฉัน”
“คุณเข้มแข็งมากเลยครับ”
“ขอบคุณค่ะ มานั่งด้วยกันไหมคะ” ชิงช้าเป็นแผ่นไม้กว้างๆ นั่งกันสามสี่คนยังได้ ดุจดาวแทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปเธอชวนคนแปลกหน้าให้นั่งข้างๆ แถมยังเป็นผู้ชายด้วย แน่นอนว่าเธอไม่เคยพบเขามาก่อนแต่กลับคุ้นหน้ามากๆ และเธอรู้สึกว่าเขาเป็นคนดีไว้ใจได้
“ขอบคุณครับ” อาทิตย์นั่งลงให้ชิดริมที่สุดและบทสนทนาของคนแปลกหน้าสองคนก็ดำเนินต่อไป
ตอนที่ 9
“คุณ ลูกหาย” เพ็ญนภาควานมือไปทั่วเตียงก็ไม่เจอลูกสาว
“โอ๊ย หนูดาวลูก หนูไม่ได้คิดสั้นใช่ไหม” สุทัศน์ถลาไปที่ห้องนั่งเล่นก็ไม่พบแก้วตาดวงใจ เพ็ญนภาไปเปิดดูจนทั่วทุกห้องก็ไม่เจอใคร
“คุณ ลูกอยู่ที่ชิงช้า” สุทัศน์ตะโกนดังลั่น ทั้งคู่เดินจ้ำอ้าวไปด้วยความร้อนใจ
“หนูดาว” สุทัศน์เรียกลูกสาวตั้งแต่ไกลๆ
“ขา คุณพ่อ” ดุจดาวโบกไม้โบกมือให้พ่อกับแม่แล้วส่งยิ้มให้
“จะออกมาทำไมไม่ปลุกพ่อ” สุทัศน์กล่าวพร้อมหอบแฮ่กๆ เพราะเดินกึ่งวิ่งมาตลอดทาง
“หนูเห็นคุณพ่อคุณแม่หลับสบายเลยไม่อยากรบกวนค่ะ”
“คุณพ่อคุณแม่คะนี่พี่ซันค่ะ” ดุจดาวแนะนำเพื่อนใหม่ให้ท่านทั้งสองรู้จัก
“ดูสิคะบังเอิญมากเลยค่ะ ห้าปีก่อนพี่ซันก็มาเที่ยวที่นี่ค่ะมาวันเดียวกับหนูเลยแถมตอนพี่ซันถ่ายทะเลยังติดหนูไปอีกรูปเลยไม่สวย ฮ่าๆๆ”
“อ้อ จ้ะ” สุทัศน์กับเพ็ญนภาตอบพร้อมกัน ทั้งคู่กำลังงงกับความร่าเริงและรอยยิ้มของลูกสาว
“ฮ่าๆๆ คุณพ่อกับคุณแม่ติดเชื้ออ้อจากพี่ซันแล้ว”
“อะไรลูกหนูดาว” ครั้งนี้คือเพ็ญนภาที่ถามด้วยความกังวล นี่ลูกเธอปกติดีใช่ไหมทำดูแจ่มใสอารมณ์ดีเกินเหตุ
“เมื่อกี้พี่ซันก็พูดแต่ อ้อครับๆ ไม่ยอมพูดคำอื่นเลย”
“หรอจ๊ะ”
“ใช่ค่ะคุณแม่”
“มานั่งนานรึยังลูก” สุทัศน์ถามลูกสาว
“ก็ โอ้โหจะสองชั่วโมงแล้วค่ะคุณพ่อ พี่ซันเบื่อรึยังคะ” ดุจดาวไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองจะนั่งคุยกับคนแปลกหน้าได้นานขนาดนั้น
“เข้าบ้านไปดื่มน้ำดื่มท่าดีกว่าไหมลูก”
“ก็ดีค่ะคุณพ่อ” ดุจดาวลุกขึ้นยืนแล้วควงแขนบิดา
“มาด้วยกันไหมจ๊ะ” เพ็ญนภาเอ่ยชวนพ่อหนุ่ม เธอเริ่มกลับมาเชื่อมั่นอีกครั้งว่าการมาเที่ยวครั้งนี้จะนำพาสิ่งดีๆ มาให้ลูกสาว
“ขอบคุณครับ” อาทิตย์รีบลุกขึ้นทันทีแต่ก็พยายามรักษากิริยาให้สุภาพเข้าไว้เพราะใจจริงเขาอยากกระโดดโลดเต้นเป็นลิงเป็นค่าง ก็ได้คุยกับน้องดาวตั้งนานแถมได้เจอพ่อกับแม่ของเธออีก
อาทิตย์เดินตามหลังครอบครัวของหญิงสาวที่เฝ้าฝันหามาทั้งชีวิตด้วยความตื่นเต้นจนตอนนี้ก็ยังไม่อยากเชื่อว่านี่คือเรื่องจริงในที่สุดฟ้าก็พาน้องดาวกลับมาหาเขา
“นั่งเลยจ้ะทุกคน เดี๋ยวแม่เอาน้ำมาให้”
“บ้านพักของพี่ซันเหมือนของดาวไหมคะ”
“มะ เหมือนครับ” อาทิตย์ตอบด้วยน้ำเสียงติดขัดเพราะสายตาพิฆาตของคุณพ่อน้องดาวมันน่ากลัวมาก
“มีแต่โค้กกับน้ำเปล่านะ ซันจะดื่มอะไรเราเพิ่งมาเข้าพักยังไม่ได้ออกไปซื้อขนมนมเนยกันเลย”
“น้ำเปล่าครับ ขอบคุณครับ” คุณแม่น้องดาวมาทันเวลาพอดีเพราะอีกนิดเดียวเขาต้องไหม้เกรียมด้วยสายตาอันร้อนแรงของคุณพ่อแน่ๆ
“มาคนเดียวหรอ” สุทัศน์ถามเสียงแข็ง
“ครับ มาคนเดียวครับ”
“แล้วแฟนเฟิน ลูกเมียไม่มีรึไง” หนุ่มใหญ่หน้าเข้มยังคงซักถามต่อไป
“คุณ” เพ็ญนภาติงสามี
“ไม่มีครับ ผมโสดครับ” อาทิตย์ตอบ ใบหน้าและมือมีเหงื่อซึมออกมาเรื่อยๆ และถ้านั่งอยู่อีกสักห้านาทีตัวคงชุ่มเหมือนเพิ่งอาบน้ำแน่ๆ
“โสดเฉพาะตอนอยู่คนเดียวรึเปล่า” สุทัศน์ยังคงไม่เลิกซักไซ้
“คุณ ซันเขาจะโสดหรือจะมีครอบครัวมันก็ไม่ใช่ธุระอะไรของเรานะ” เพ็ญนภาจำใจต้องเสียมารยาทติงสามีต่อหน้าคนอื่นเพราะสามีของเธอก็ทำตัวไร้มารยาทเช่นกัน
“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดีตอบทุกคำถามครับผมบริสุทธิ์ใจ”
“คุณพ่อขา พี่ซันแค่มาคุยกับหนูเฉยๆ เองค่ะ ไปดุเขาทำไมคะ”
“พ่อขอโทษจ้ะหนูดาว” หนุ่มใหญ่พูดเสียงหวานจ๋อยกับลูกสาวแต่ส่งสายตาขุ่นเคืองไปให้อีกคน ถ้าเป็นไปได้สุทัศน์ไม่อยากให้ลูกมีใครเลยเพราะเขาไม่สามารถเห็นลูกทุกข์ทรมานได้อีกเขามั่นใจว่าไม่มีใครจะดีเท่าวาโย เกิดวันนึงลูกโดนทิ้งขึ้นมาก็ต้องกลับไปเสียใจแบบครั้งก่อน
“มากี่วันหรอซัน” เพ็ญนภาถามพร้อมยิ้มให้ พ่อหนุ่มน้อยกลัวจนหน้าซีดไปหมดแล้ว
“สามวันครับ”
“เหมือนกันเลยจ้ะ มาคนเดียวคงอยากอยู่คนเดียวใช่ไหมถ้าแม่ชวนมาทานมื้อเย็นด้วยกันจะรบกวนวันพักผ่อนรึเปล่า”
“มานะคะพี่ซัน” ดุจดาวพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่เจ้าตัวจะตอบ
“ถ้าคุณป้าชวนผมมาแน่ๆ ครับ ความจริงผมก็ไม่ได้อยากมาคนเดียวหรอกครับแต่มันจำเป็นเพราะผมไม่เหลือใครแล้วผมเป็นลูกคนเดียวพ่อกับแม่ท่านเพิ่งเสียไปเมื่อปีก่อนครับ”
“พี่ซัน ดาวเสียใจด้วยนะคะ” ดุจดาวเอื้อมไปบีบมือใหญ่ๆ ของเขาด้วยความลืมตัว
“ขอบคุณครับน้องดาว”
“งั้นมาเจอกันหน้าบ้านห้าโมงเย็นนะลูก”
“ขอบคุณครับคุณป้า ผมขอตัวก่อนนะครับจะได้อยู่กันเป็นส่วนตัวขอบคุณสำหรับน้ำมากๆ ครับ”
“ทำไมพูดจาแบบนั้นคะคุณ” เมื่อเด็กหนุ่มเดินพ้นไป ชายหนุ่มหน้าเข้มก็โดนสอบสวนทันที
“ก็มันไม่น่าไว้ใจ มาคุยกับลูกเราตั้งนานแถมมานั่งใกล้ๆ อีก”
“หนูชวนเขานั่งเองค่ะคุณพ่อแล้วก็มีแต่หนูที่คุยค่ะ พี่ซันเขาก็แค่เออๆ ออๆ”
“แล้วทำไมหนูไปคุยกับมัน”
“คุณพ่อไม่เรียกพี่ซันว่ามันได้ไหมคะ เขาคือเพื่อนคนแรกของหนูในรอบห้าปีนะคะ” ดุจดาวไม่ได้ตำหนิบิดาแต่เธอขอร้องด้วยความเสียใจนิดๆ ถ้าคนที่เธอรู้สึกดีด้วยแต่คุณพ่อกลับไม่ชอบเธอก็ลำบากใจเหมือนกัน
“ถ้าการที่หนูกลับไปเป็นมนุษย์ปกติ อยากมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นอีกครั้งทำให้คุณพ่อไม่สบายใจหนูก็จะไม่คุยกับพี่ซันอีกค่ะ”
“ไม่ใช่แบบนั้นหนูดาว พ่อขอโทษพ่อแค่เป็นห่วงหนู”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณพ่อ หนูเข้มแข็งพอสมควรนะคะหนูผ่านมันมาได้แล้วหนูรู้ว่าคุณพ่ออยากปกป้องหนูแต่ทั้งคุณพ่อแล้วก็คุณแม่ด้วยไม่สามารถอยู่กับหนูไปได้ตลอดกาล หนูต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตค่ะและถ้าหนูจะเจ็บอีกหนูว่าหนูก็น่าจะรับมือกับมันได้ดีกว่าครั้งแรก”
“ลูกเราเป็นผู้ใหญ่แล้วนะคุณ ซันเองก็ไม่ได้มีท่าทางหยาบคายอะไรอย่าเพิ่งไปอคติกับเขาเลย”
“พ่อขอโทษนะหนูดาวพ่อจะไม่พูดจาแบบนั้นอีกผมขอโทษคุณด้วยที่ทำให้คุณอับอาย เด็กมันคงคิดเนอะว่าผู้หญิงดีๆ สองคนทนอยู่กับผู้ชายปากหมาแบบนี้ได้ยังไง”
“หนูไม่อายหรอกค่ะ หนูรู้ว่าคุณพ่อรักหนูมากเลยกังวล”
“ฉันก็ไม่อายหรอกค่ะ คนเราต้องมีพลั้งพลาดกันบ้าง” สามคนพ่อแม่ลูกกอดกันกลม มันเป็นอ้อมกอดที่อบอวลไปด้วยไอรักที่แสนอบอุ่น
ตอนที่ 10
การเดินทางไปหัวหินครั้งนี้ไม่เสียเที่ยวจริงๆ เพราะดุจดาวกลับมายิ้มแย้มและมีชีวิตชีวาอีกครั้ง หลุมดำแห่งความเศร้าโศกดูจะตื้นขึ้นเมื่อยามที่อาทิตย์อยู่ใกล้ๆ ถ้าพี่โยคือสายลมของความรักพี่ซันก็คือแสงอาทิตย์อันอบอุ่น เธอไม่เคยรู้สึกไว้ใจคนแปลกหน้าแบบนี้มาก่อนเลยและดุจดาวไม่อยากจะยอมรับว่าพี่ซันมีหลายๆ อย่างคล้ายพี่โย ทั้งมุกตลกแบบแป้กๆ รอยยิ้มที่แสนใจดีและอีกมากมายมันเหมือนกับว่าพี่โยมาสิงอยู่ในร่างของพี่ซัน
“ไปก่อนนะจ๊ะสาวๆ” สุทัศน์เอ่ยลาลูกกับภรรยาตอนเช้าของวันใหม่ เขาไปทำงานส่วนลูกดาวมีนัดบำบัดและแน่นอนที่แม่ต้องตามไปด้วยทุกครั้ง เพ็ญนภาไม่ยอมปล่อยให้ลูกคลาดสายตาอีกเลยตั้งแต่วาโยจากไปเพราะเธอกลัวว่าลูกจะคิดสั้น
“เจอกันตอนเย็นนะคะคุณพ่อ” ดุจดาวกอดบิดาแล้วหอมแก้มไปอีกข้างละที สองแม่ลูกติดรถคุณพ่อมาลงปากซอยแล้วนั่งรถไฟฟ้าไปที่จุดหมายปลายทาง
“แม่ไปรอที่เดิมนะหนูดาว” เพ็ญนภาแยกไปทางด้านข้างของตัวอาคารที่มีร้านกาแฟเล็กๆ ส่วนดุจดาวเดินเข้าไปในตึก วันนี้เธอมีนัดบำบัดด้วยดนตรี คนป่วยแบบเธอจะต้องได้รับการดูแลต่อเนื่องถึงแม้จะหยุดยาแล้วก็ตามเพราะโรคนี้มันไว้ใจไม่ได้คนที่เคยเป็นแล้วมีโอกาสจะกลับมาเป็นอีก
การรักษาโรคซึมเศร้าแน่นอนว่าต้องพบแพทย์และได้รับยาควบคู่กันไป อาการของดุจดาวตอนนี้คืองดยามาเกือบปีและเธอเริ่มรู้สึกว่าตัวตนเก่าๆ เริ่มกลับมาหลุมดำแห่งความโศกเศร้าลดขนาดลงไปเรื่อยๆ สิ่งที่คุณหมอแนะนำคือให้หาอะไรที่ชอบหรืออยู่ด้วยแล้วสบายใจสิ่งนั้นสำหรับดุจดาวคือเสียงเพลงเธอจึงเลือกมาที่นี่สัปดาห์ละสามครั้ง ส่วนตอนอยู่ที่บ้านก็จะเปิดเพลงคลอเบาๆ ไว้ทั้งวัน อีกสิ่งที่ดุจดาวชอบไม่แพ้กันก็คือวาดรูป
“เชิญด้านในเลยค่ะ วันนี้เรามีมือกีตาร์คนใหม่” พนักงานที่คุ้นเคยกับผู้บำบัดเป็นอย่างดีทักทายและแจ้งข้อมูลด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ดุจดาวมองไปรอบห้องๆ ก็พบว่าวันนี้ห้องบำบัดกลายเป็นทะเลไปเสียแล้ว ผนังทั้งสี่ด้านมีสติ๊กเกอร์กุ้งหอยปูปลาติดอยู่เต็มไปหมด ที่พื้นก็มีกระดาษสีฟ้าไล่ระดับกันวางไว้
“วันนี้จัดห้องซะสวยเชียวนะคะคุณส้ม” ดุจดาวคุยกับเจ้าหน้าที่
“อ้อ เราไม่ได้ทำค่ะแต่พนักงานใหม่ทำก็มือกีตาร์แหละค่ะมาตั้งแต่เช้าเลยหอบของมาเยอะแยะเชียวค่ะ”
“หรอคะ สวยดีนะคะ”
“ใช่ค่ะ เห็นเขานั่งติดนั่งแปะอยู่ตั้งสองชั่วโมงเราจะมาช่วยก็บอกไม่เป็นไรบอกแต่ว่าเกรงใจ”
“อ้าว มาแล้วค่ะ” พนักงานมองไปที่ด้านหน้าของห้องเล็กๆ ดุจดาวจึงมองตามไป
“พี่ซัน” ดุจดาวอุทานอยู่ในใจ โลกมันจะกลมเกินไปไหมเธอรู้แค่ว่าเขาจะไปเริ่มงานใหม่แต่ก็ไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรมากเพราะเพิ่งรู้จักกัน
“สวัสดีครับ ผมชื่ออาทิตย์เรียกว่าซันก็ได้ครับ วันนี้ผมจะพาทุกคนไปเที่ยวทะเลครับ” ชายหนุ่มแนะนำตนเอง อาทิตย์สวมเสื้อเชิ้ตลายดอกสีฟ้าสดใสแถมยังมีพวงมาลัยคล้องคอ
“เพลงวันนี้จะเป็นแนวบอสซ่านะครับ” แล้วนักดนตรีบำบัดก็เริ่มเล่นเพลงที่มีกีตาร์เป็นพระเอก
“เพราะจังเลยนะเหมือนนั่งอยู่ริมทะเลจริงๆ เลย” ผู้บำบัดคนนึงหันมาคุยกับดุจดาว
“ใช่ค่ะ เพราะมากๆ”
“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยกันร้อง หวังว่าทุกคนจะสนุกเพราะผมสนุกมาก” เวลาหนึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็วสองเพลงสุดท้ายอาทิตย์ให้ผู้บำบัดช่วยกันร้องด้วย
“ผมจะมาเล่นแทนคุณแก้วที่ลาออกไปนะครับ ตารางก็ตามเดิมของคุณแก้วเลย” กอแก้วคือนักดนตรีหญิงที่ขอลาออกกลับไปดูแลมารดาที่ป่วยเป็นมะเร็ง
“สวัสดีค่ะ” ดุจดาวรอจนทุกคนออกไปก่อนจึงเดินไปหาอาทิตย์
“ครับ มีอะไรแนะ…อ้าว น้องดาว” อาทิตย์คิดว่าผู้บำบัดจะมาแนะนำหรือมีอะไรสอบถามแต่ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะเป็นน้องดาว
“โลกกลมจังเลยนะคะ” ดุจดาวพูดแล้วยิ้มแป้น
“ครับ กลมมาก เอ่อ น้องดาวมาบ่อยหรอครับ”
“มาได้เกือบปีแล้วค่ะ ดาวไม่แน่ใจว่าตัวเองจะอาการกำเริบอีกเมื่อไหร่เลยบำบัดกันไว้ก่อน” หญิงสาวตอบพร้อมหัวเราะร่วน การดำเนินชีวิตที่ดีคือมีสมดุลในทุกด้านและแน่นอนว่าควรลดความเครียดให้น้อยที่สุดแต่ผู้ป่วยแบบเธอต้องเคร่งครัดกับความเครียดและความวิตกกังวลมากกว่าคนอื่นหลายเท่านักเพราะมันหมายถึงความเป็นความตายได้เลย
“น้องดาวมาคนเดียวหรอครับ”
“มากับคุณแม่ค่ะนั่งรออยู่ข้างล่าง พี่ซันมีธุระที่ไหนอีกไหมคะ”
“ไม่มีแล้วครับ”
“งั้นไปทานข้าวด้วยกันไหมคะ”
“ด้วยความเต็มใจเลยขอบคุณนะครับน้องดาว พี่ช่วยถือไหม” อาทิตย์ตอบตกลงแล้วถามไถ่ถึงกระเป๋าใบโตบนไหล่เล็กๆ ของเธอ
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ซันก็ของเยอะแล้ว”
“พี่ถือได้ พี่ถือให้ดีกว่ามันน่าจะหนัก”
“งั้นก็ ขอบคุณค่ะ” ดุจดาวยื่นกระเป๋าไปให้แบบเขินๆ พี่โยก็ใจดีแบบนี้เลยเขาจะถือกระเป๋าและสัมภาระของเธอให้ทุกครั้งเวลาไปไหนด้วยกัน
“คุณแม่ขา ดูสิคะว่าหนูเจอใคร” ดุจดาวยิ้มยิงฟันให้มารดาที่นั่งรออยู่
“อ้าว ซัน มายังไงลูก” เพ็ญนภาถามด้วยความประหลาดใจ
“ผมมาทำงานวันแรกครับ”
“อ้อ งานที่ว่าเพิ่งได้นะหรอบังเอิญจังเลยนะ นี่แม่ยังคิดอยู่ว่าใครจะมาแทนคุณแก้ว”
“หนูชวนพี่ซันไปกินข้าวด้วยค่ะ ไปกันเลยไหมคะคุณแม่”
“เอ่อ คือ…” เพ็ญนภาอึกอักไม่รู้จะพูดยังไง
“ถ้าคุณป้าไม่สะดวกผมไม่รบกวนดีกว่าครับ กระเป๋าครับน้องดาว”
“คือแม่หมักหมูทิ้งไว้จ้ะว่าจะกลับไปทอดเป็นมื้อเที่ยง แม่ไม่รู้ว่าซันจะกินกับข้าวธรรมดาแบบนั้นได้รึเปล่า”
“ผมชอบหมูทอดกับข้าวสวยร้อนๆ ครับ แม่ผมทำให้กินบ่อยๆ” เสี้ยวนาทีนึงแววตาของอาทิตย์ก็หมองลง การต้องสูญเสียพ่อกับแม่ไปพร้อมกันมันเลวร้ายมากและเขาก็ยังคงฝันร้ายอยู่บ่อยๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้
“ไปนะคะพี่ซัน แม่ของดาวก็ทำอร่อยค่ะ” ดุจดาวจับแขนของอาทิตย์ไว้ เธอเข้าใจดีว่าการเสียคนรักมันทุกข์ทรมานแค่ไหน
ทั้งสามคนเดินทางมาถึงบ้านของดุจดาวด้วยความปลอดภัย อาทิตย์เริ่มเกร็งขึ้นมาอีกครั้งเพราะทำตัวไม่ถูกเขารอคอยน้องดาวมาหลายสิบปีแล้วอยู่ๆ โชคชะตาก็เหวี่ยงน้องดาวกลับมาหาแบบรัวๆ จนตั้งรับไม่ทันแค่ได้เจอกันที่ทะเลแลกเบอร์โทรกันไว้มันก็เหลือเชื่อมากๆ แล้ว นี่ยังได้มาบ้านของเธออีก
“วางของเลยซันแล้วไปล้างไม้ล้างมือ หนูดาวพาพี่ซันไปสิลูก” เพ็ญนภาบอกเด็กหนุ่มและลูกสาวในคราวเดียวกัน
ดุจดาวเดินนำไปที่ห้องน้ำแล้วปล่อยให้อาทิตย์ทำธุระส่วนตัว ส่วนเธอกลับมาช่วยมารดาเตรียมมื้อกลางวันเพราะท้องมันร้องขออาหารแล้ว
“ให้ผมช่วยอะไรดีครับ”
“ซันไปตั้งโต๊ะแล้วกัน หนูดาวไปช่วยพี่เขาเถอะตรงนี้แม่ทำเอง”
“จานนี้ของดาวค่ะจานนี้ของคุณแม่ส่วนของคุณพ่ออันนี้แต่คุณพ่อไม่อยู่ พี่ซันชอบสีไหนคะ” ดุจดาววางจานสีชมพูของตัวเองกับสีขาวของคุณแม่ลงบนโต๊ะ
“สีฟ้าครับ”
“พระอาทิตย์สีฟ้า” ดุจดาววางจานใบสุดท้ายลงไป
“นี่ก็ดวงดาวสีชมพู” อาทิตย์พูดแล้วมองจานข้าวสีหวานแหววของเธอแล้วทั้งคู่ก็ยิ้มให้กัน และแน่นอนที่เพ็ญนภาเห็นทุกอย่างชัดเจน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ