ปริศนาอาถรรพ์ วังเปรต
-
เขียนโดย ไปรยาลน้อย
วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 13.05 น.
8 บท
0 วิจารณ์
10.17K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2560 17.42 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) วัดวังจะกะ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๗ วัดวังจะกะ
ช่วงค่ำรุ่งวันถัดมา พายุฝนสงบลงฝนยังคงตกลงมาปรอย ๆ อากาศยามเช้านี้ช่างหนาวเหน็บ ด้วยอากาศบนเขาช่วงหน้าหนาว ผมต้องตื่นลืมตาขึ้นมา เพราะผ้าห่มและเสื้อผ้าใด ๆ ก็ไม่อาจทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นได้เลย ผมยังคงนอนเบิกตาขึ้นเพื่อดูบรรยากาศก่อน
ผมมองไปรอบ ๆ บรรยากาศเงียบสงัด ชายโอบมือข้ามเข้ามากอดผมไว้ คงเป็นเพราะด้วยอากาศที่หนาวเย็น มองเลยไปเป็นป้าหวีนอนหลับอย่างหมดแรง คงเป็นเพราะร้องไห้มาทั้งคืน ผมหยิบนาฬิกาของป้าหวีขึ้นมาดู ก็เห็นว่าเข็มเกือบจะชี้ถึงเลขหกแล้ว
เปรี้ยง ๆ ! ฟ้าผ่าขึ้นมาโครม แสงจ้าจากฟ้าผ่าเป็นเหมือนแสงไฟพอให้เห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้นมาบ้าง ผมสังเกตเห็นแสงจากฟ้าผ่า ลอดออกมาทางปลายเท้าของผมสว่างมากผิดปกติและมีลมพัดผ่านเท้าของผมเย็นเฉียบ ผมเอามือของชายออกจากตัวไปก่อน และชันเอวขึ้นมาเพื่อดูแสงที่เล็ดลอดออกมา เห็นว่าที่ประตูกุฏิถูกเปิดทิ้งเอาไว้
ผมกลัวจะเป็นอันตรายที่เปิดประตูเอาไว้แบบนั้น และทำให้อากาศในนี้ช่างแสนหนาวเย็น ผมลุกขึ้นเพื่อจะเดินไปปิดประตูนั่น เมื่อไร้แสงจากฟ้าผ่าทุกอย่างก็มืดลงอีกครั้งหนึ่ง ผมยังเดินตรงไปที่ประตู
เปรี้ยง ! ฟ้าผ่าขึ้นมาอีกครั้งนึง ผมเดินมาจนพอจะเห็นบรรยากาศด้านนอกชัดเจนมากขึ้น และได้ยินเสียงตะกุกตะกักมาจากทางด้านนอก เหมือนเสียงของหนูที่วิ่งไต่ไปมาที่ชานไม้ด้านนอก แสงจากฟ้าผ่า ดับลงไปทุกอย่างกลับมามืดลงอีกครั้ง
เปรี้ยง ! ผมเห็นภาพข้างนอกประตู มีเงาของแมวตัวหนึ่งโผล่ออกมา มันยืนมองผมอยู่อย่างนั้น มีดวงตาสีแดงก่ำสะท้อนแสงออกมาให้เห็น และความมืดก็กลับมาบดบังอีกครั้งหนึ่ง
ผมรีบเดินใกล้ประตู และมองเห็นข้างนอกได้ชัดขึ้นมาบ้างในความมืด แต่ทุกอย่างมันช่างแสนมืดมัว ผมมองอะไรไม่เห็นเลย ผมเดินจนถึงประตู ต้องเอื้อมมือออกไปข้างนอก เพราะบานประตูเปิดออกไปด้านนอกกุฏิ
เปรี้ยง ๆ ! ผมเดินมาถึงที่ประตูแล้ว มองไปอีกครั้งก็ไม่เห็นเจ้าแมวตัวนั้นอีก ผมเริ่มรู้สึกไม่ดี ผมต้องยื่นตัวออกไปข้างนอกเพื่อคว้าบานประตูเข้ามาปิดทั้งสองบาน ผมเอื้อมไปบานทางขวาก่อน
ความมืดกลับมาอีกครั้ง ผมคลำหา กลอนประตูบานขวา
แอร็ดดด.. เสียงบานประตูเลื่อนดังมาจากทางฝั่งซ้าย
ผมจับกลอนประตูบานฝั่งขวาได้แล้ว และดึงประตูเข้ามาเพื่อปิด แล้วหันไปทางฝั่งซ้าย และชะโงกหน้าไปด้วยเพื่อ หา กลอนประตู
เปรี้ยง ๆ ! ฟ้าผ่าอีกครั้งขณะที่ผมชะโงกหน้าออกไปอยู่ บานทางซ้ายนี้อยู่ชิดกับบันไดทางขึ้นลงกุฏิ ผมเห็นเงาช่วงขา ของคนยืนอยู่ที่ปลายบันได ผมกำลังเลื่อนตาขึ้นมา เพื่อดูหน้าว่าเป็นใคร ความมืดก็กลับมาบดบังเอาไว้อีกครั้ง
ผมตัดสินใจ รีบควานหากลอนประตูบานซ้าย จับไปก็ไปสัมผัสกับราวชานระเบียงติดกับบันไดเข้า ผมเลยเลื่อนมือกลับเข้ามา ก็ไปถูกผิวสัมผัสที่มีขน เป็นขนสัตว์สาก ๆ ที่มีขนแห้งกรอบ ผมมองไปทางที่มือผมสัมผัสอยู่ เห็นเป็นดวงตาสีแดงก่ำ เหมือนของแมวตัวนั้นอีกครั้ง มันควั่นมาที่มือผม แต่ผมสะดุ้งชักมือหลบทัน
เปรี้ยง ๆ ! ดวงตาและสิ่งนั้นหายไปอีกครั้ง ผมเห็นกลอนประตูแล้วผมคว้ามันเข้ามา ชั่วครู่หนึ่งผมเห็นเงาคนตรงบันไดอีกครั้ง แต่ขยับเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นเกือบขึ้นมาสุดทางบันได และมันก็กลับมามืดลงอีกครั้ง
ผมดึงบานประตูด้านซ้ายกลับเข้ามาเพื่อปิด มืออีกข้างก็จับบานประตูทางขวาเพราะจะต้องปิดมันเข้าพร้อม ๆ กัน
เปรี้ยง ๆ ! ขณะที่กำลังปิดบานประตูทั้งสองเข้ามาพร้อม ๆ กันนั้น ข้างหน้าก็เห็นเงาของคนคนนั้นชัดเจนอีกครั้ง เขายืนอยู่ที่ด้านหน้าของผม เป็นร่างเงาที่ไร้หัว ผมตกใจรีบปิดประตูเข้ามาและปิดกลอนแน่น
ผมไม่แน่ใจว่านั่นคืออะไร ผมคิดว่าอาจเป็นวิญญาณของปุณหรือเปล่า ผมก็ไม่ได้ตัดสินใจกลับไปนอน ผมเดินไปหาตะเกียงและเอาไม้ขีดของป้าหวีมาจุดไฟตะเกียงขึ้น และเข้าไปดูป้าหวีกับชายอีกครั้งว่าสองคนปลอดภัยดีกันหรือไม่
เห็นป้าหวีห่มผ้าแค่ชั้นเดียวกลัวจะหนาว ผมเอาผ้าห่มของผมห่มให้ป้าหวี ส่วนชายก็เห็นว่าคงนอนถีบผ้าห่มลงไปกองอยู่ปลายขา ผมก็ดึงขึ้นมาห่มให้ชาย
ฟ้ายังผ่าที่ด้านนอกพร้อมฝนพรำ ผมนึกได้ว่าวัดแห่งนี้ ชื่อ วัดวังจะกะ คงเคยเป็นวัดประจำหมูบ้านร้างนั่นแน่ ๆ ที่นี่ก็เป็นกุฏิพระลูกวัดทั้งหลาย อาจจะพอมีอะไรที่ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้านแห่งนั้นได้บ้าง
ผมเดินไปที่โต๊ะทำงาน ก็เห็นเอกสารวางทิ้งเอาไว้มีฝุ่นเกาะเต็ม มีกระดาษหนึ่งแผ่นที่ไม่ได้วางอยู่ในกองเอกสาร เหมือนมันถูกอ่านเป็นแผ่นสุดท้าย ก่อนที่ ๆ แห่งนี้จะถูกทิ้งร้าง เป็นข้อความขีดเขียนด้วยลายมือธรรมดา มีข้อความว่า
“ วันนี้ ชาวบ้านเขานิมนต์ เจ้าอาวาสไปสวดไล่ผีสิงยายขีด ที่หมู่บ้านฉันกับพระลูกวัดก็ไปกันหมดนะท่าน ส่วนพวกเณรมันก็ดื้อขอไปดูให้ได้ ถ้าท่านกลับมาแล้วบ่เจอใคร เขาไปอยู่ที่หมู่บ้านกันหมดเด้อ ”
ผมตกใจกับข้อความที่เห็นนั้นพูดถึง ยายขีด ว่าถูกผีสิง นี่มันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับยายขีดในวันนั้นกันแน่ พระทั้งวัดไปอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนั้นกันจนหมด และมันจะบังเอิญที่เหตุการณ์ภัยพิบัติสยองนั้นเกิดขึ้นในวันเดียวกันหรือเปล่า พระวัดนี้มรณภาพกันจนเกือบหมดในเหตุการณ์อย่างนั้นงั้นเหรอ งั้นเสื้อผ้าที่พวกเราใส่อยู่ล่ะ ผมปะติดปะต่อเรื่องราวอยู่ชั่วครู่
ผมเปิดหาในกองเอกสารว่าจะมีอะไรพูดถึงเหตุการณ์ในช่วงก่อนหน้านี้ไว้หรือเปล่า ก็เห็นซองเอกสาร ในใบมีใบขอเชิญชวนชาวบ้านวังจะกะ บริจาคอาหารให้ชาวบ้านเขาจะกะในเหตุน้ำท่วมเพราะน้ำป่าไหลหลาก อยู่ที่เหลือก็เป็นเอกสารกิจการงานบุญต่าง ๆ
ปุณ ! เสียงป้าหวี ดังขึ้นมา ผมหันไปเห็นป้าหวีลุกตื่นขึ้นมา ป้าหวีดูสะลึมสะลือ ผมเดินเข้าไปหาป้าหวี ป้าหวีหันมาเห็น พอดีที่ผมเดินเข้าไป
“ตื่นแล้วเหรอโรจน์” ป้าหวีพูดขึ้น
“ครับ” ผมตอบกลับ
“ปุณมันมาที่นี่ไหม” ป้าหวีถามผม
“ไม่นี่ครับ ป้าหวีปุณมันตายไปแล้ว” ผมตอบกลับไป
“ฉันฝันว่ามันมาหาฉัน มันบอกว่า ให้ช่วยมันด้วย มันดูทรมานมากเลยโรจน์” ป้าหวีพูดขึ้น
“ป้าหวีคิดไปเองหรือเปล่า” ผมถาม
“ฉันไม่รู้ แต่ฉันรู้สึกไม่ดีเลย” ป้าหวีพูดขึ้นมาก่อนพูดต่อ “ในฝันฉันเห็นมันไร้หัว แต่มีเสียงพูดดังก้อง มันบอกมีอะไรไม่รู้รั้งมันเอาไว้ มันไปเกิดไม่ได้ จากนั้นมันก็ร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน แล้วมันก็ขอให้ฉันช่วย”
“พวกเราลองไปถามจากพระท่านดีไหม ว่ามันเป็นอะไรหรือเปล่า”ป้าหวีถามผม
“ครับป้า พรุ่งนี้ผมก็มีอะไรจะถามพระท่านเหมือนกัน” ผมตอบ
“ตอนนี้กี่โมงแล้ว นาฬิกาฉันไปไหน” ป้าหวีถามขึ้น
“น่าจะ ๖ โมงกว่าแล้วล่ะมั้งครับ ส่วนนาฬิกาผมเอามาดูเองครับ ผมวางไว้แถวผมนอน” ผมตอบ
“ปลุกชายไหม” ป้าหวีถามขึ้น
“ไม่ต้องหรอกครับ ปล่อยให้ชายนอนพักเถอะ” ผมตอบ
“แล้วนี่ จะอาบน้ำยังไง” ป้าหวีถามขึ้น
“ผมไม่รู้ แต่เดี๋ยวผมจะลองไปหาเดินดูครับ” หลังจากผมตอบผมก็เดินออกไปเปิดประตู ตอนนี้ข้างนอกเริ่มสว่างแล้ว แต่ข้างนอกก็เงียบสงบอากาศเย็นสบาย ด้วยไอลมเย็นจากเขา
“ข้างนอกอากาศดีนะครับ” ผมพูดต่อป้าหวี แล้วก็เดินออกไปด้านนอก ที่ด้านหน้าผมก็ต้องตกใจ ที่ตรงพื้นด้านหน้าประตูมีรอยเท้าปรากฏขึ้นเป็นรอยบนฝุ่น นี่รอยเท้าของใครผมนึกในใจ ผมหันไปทางซ้ายที่ราวระเบียง ก็มีรอยเท้าเหมือนรอยเท้าของแมวอยู่ มองลงไปที่บันได ก็เห็นรอยคนเดินขึ้นมาเป็นรอยรองเท้าเปล่า ๆ ต่างจากรอยเท้าพวกผมที่เป็นรอยของรองเท้า
ผมกลัวป้าหวีกับชายจะตกใจกลัว และคิดว่าป้าหวีอาจจะคิดว่าเป็นรอยเท้าปุณมาหา กลัวป้าหวีแกจะกังวล ผมเอาเท้าเขี่ยลบรอยเท้าพวกนั้นออกไปก่อน ผมเห็นที่ด้านหน้า พระรูปนั้น กำลังกวาดลานพระอุโบสถอยู่แต่ไกล
“เดี๋ยวผมไปถาม พระท่านนะครับ ว่าจะอาบน้ำได้แถวไหน” ผมหันกลับไปพูดต่อป้าหวี
ตอนที่ผมหันกลับไปพูดตอบป้าหวี เงยหน้าขึ้นไปที่ด้านบนของประตู มีผ้ายันต์สีแดงแปะเอาไว้ ผมตกใจขึ้นมา
“แก เป็นอะไรหรือเปล่า” ป้าหวีถามผม เพราะเห็นผมมีสีหน้าตกใจ
“เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร” ผมพูดตอบกลับไปยังป้าหวี
มานึก ๆ เมื่อคืนเราก็รีบเข้าไปกันมากจนไม่น่าจะทันสังเกตว่ามีผ้ายันต์พวกนี้แปะเอาไว้ ผมคิดว่าน่าจะลองถามพระท่านนั้นดู
ผมเดินไปทางพระท่านที่กำลังกวาดลานวัดอยู่ เมื่อถึงจึงถามพระท่านว่า “ท่านครับ เราจะอาบน้ำกันได้ที่ไหนครับ”
“โยม ลองไปทางด้านหลังกุฏิน่ะโยม ปกติ อาตมาก็อาบแถวนั้นแหละ”
“อ่อ ผมมีเรื่องจะถามอีกอย่างครับ ทำไมที่กุฏิ มีผ้ายันต์ติดไว้”
“ไม่มีอะไรหรอกโยม เขาติดเอาไว้นานแล้ว ตอนอาตมานอนกุฏินั้นแหละ อาตมาโดนผีหลอกบ่อยหลังหมู่บ้านอาตมาร้างไป ชาวบ้านเขาจะกะ เขาสงสารเลยเอายันต์มาแปะไว้ให้อาตมาอยู่ได้” พระท่านพูดตอบ
“อาตมานอนกุฏินั้นเหรอครับ แล้วตอนนี้อาตมานอนที่ไหน”
“เดี๋ยวนี้ อาตมาปฏิบัติธรรมอยู่อุโบสถทุกคืนโยม และก็นอนที่นั่นเลย”
“เอ แล้วคนอื่นในวัดเขาไปดีกันหมดแล้ว ท่านอยู่คนเดียวเหรอครับ”
“อาตมาก็อยู่คนเดียวนี่แหละ ชาวบ้านเขาจะกะ เขาก็เอาอาหารมาถวายอาตมาตลอด เขาคงสงสารอาตมากระมัง” พระท่านตอบ
“แล้วยายขีด ล่ะครับ” ผมถาม
“ยายขีด แกมาหาอาตมาทุกวันช่วงไม่กี่เดือนมานี้ แกเอาอาหารมาถวายอาตมาประจำ แต่จะแปลก ๆ ตอนแกถวายแกจะเอาปิ่นโตใส่อาหารมาวางไว้ และก็เขียนโน้ตไว้ให้อาตมาตลอดเลย” พระท่านตอบ
หลังจากที่ผมสนทนากับพระท่านเสร็จ ก็เดินกลับไปบอกป้าหวี ตกลงกัน ป้าหวีจะไปอาบน้ำก่อน ผมกับชายอาบกันทีหลัง ถัดมาป้าหวีก็ลงไปอาบน้ำ เสร็จป้าหวีก็ขึ้นมาแต่งหน้า
“ตื่น ๆ” ผมปลุกชาย
ชายตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย
“ไปอาบน้ำ เช้าแล้ว” ผมพูด
“อือ อือ”ชายตอบ ผมกับชายลงไปอาบน้ำ ผมก็หยิบเอาผ้าขาวม้าเก่าลงไปอาบกัน ช่วงที่อาบชายเจ็บแผล ผมเลยเปิดแผลขึ้นมาดู แผลของชายเป็นรอยดำม่วง ผมกลัวว่าชายจะมีแผลติดเชื้อหรือเป็นอันตรายหรือเปล่า ผมล้างแผลให้ชาย
โอ้ย ! ผมล้างแผลไป พร้อมบอกว่า “เป็นผู้ชายอะไร ทำไมเจ็บอะไรง่ายจังว่ะ” และดึงมือมาล้างแผลให้สะอาด
จากนั้นผมก็ไปอาบน้ำ และก็สังเกตว่าชายมองดูผมอาบน้ำตลอดเวลา ผมถาม”มองอะไรชาย”
“เปล่า ชายตอบพร้อมทำหน้าเขินอาย” ผมรู้สึกแปลก ๆ กับชาย ผมว่าชายมีอะไรแปลก ๆ
อาบน้ำเสร็จ เรากลับขึ้นไปแต่งตัวป้าหวีก็ออกไปน่าจะแต่งตัวเสร็จแล้ว ออกไปทำอะไรซักอย่าง เมื่อแต่งตัวเสร็จโดยพวกเราใส่ชุดข้าราชการดังเดิม เดินออกมาที่ชานกุฏิ เห็นป้าหวียืนพูดอยู่คนเดียว คุยกับใครก็ไม่รู้
พวกเราเห็นแบบนั้น พวกเราเดินเข้าไปถามป้าหวี ป้าหวีก็เดินกลับมาพอดี
ป้าหวีพูดขึ้นมาก่อนว่า “พวกเราไม่น่าจะกลับไปได้แล้วล่ะ ชาย”
“ทำไมครับ” ผมถาม
“พวกเราไม่มีใครขับรถเป็นเลย” ป้าหวีพูดขึ้น
“ลองไปถาม ที่หมู่บ้านเขาจะกะ เขาน่าจะช่วยเรา” ผมพูดขึ้น
“พระท่านบอกป้ามาเมื่อกี้ว่า ฝนตกน้ำมันท่วมถนนทางเข้ามิดเลย” ป้าหวีพูดขึ้น
ผมกับชายหันมามองหน้ากัน เพราะเมื่อกี้ เราเห็นป้าหวีพูดคนเดียว
“เมื่อกี้ ป้าคุยกับพระท่านเหรอป้า” ผมถาม
“ใช่ ฉันพึ่งคุยมา” ป้าหวีพูดขึ้น
ผมละความสนใจเรื่องนี้ไปก่อน และถามป้าว่า “พวกเราน่าจะรีบไปแจ้งเรื่องกับผู้ใหญ่บ้านกันก่อนไหม”
“อืม เอาสิ เขาจะได้จับยายขีด ให้มันชดใช้ที่มันทำกับปุณไว้ ถ้าเขาไปจับตัวมันจะได้รู้กันไปเลยว่ามันเป็นตัวอะไร” ป้าหวีพูดขึ้น
“เราน่าจะไปไหว้ลา พระท่านกันก่อนดีไหม” ป้าหวีพูดขึ้นต่อ
ผมกับชายตอบขึ้นมาพร้อมกัน “ครับป้า"
พวกเราเดินจะเข้าไปอุโบสถ ประตูพระอุโบสถถูกปิดเอาไว้ พวกเราเข้าไปเคาะประตูพระอุโบสถ
จู่ ๆ ประตู่ก็ค่อย ๆ เปิดขึ้นเอง
เมื่อพวกเราเดินเข้าไปก็ต้องผงะ กับภาพด้านหน้า ที่เป็นภาพของร่างพระท่านนั้นนอนมรณภาพอย่างแน่นิ่ง ร่างกายเขียวช้ำและขึ้นอืด เป็นศพ ที่ปากเป็นสีดำสนิทมีลิ้นโผล่ขึ้นมาแทบจุกปาก และมีกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่ว…
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ