My wonder girl มหัศจรรย์เรียกรัก

9.3

เขียนโดย ฤดูฝนพรำ

วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 17.34 น.

  7 ตอน
  7 วิจารณ์
  18.38K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) พบปะ(ทะ)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          

อคิราภ์ก้าวลงจากรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ก่อนจะควักเงินจ่ายตามจำนวนราคาที่ต้องเสีย พลางดูนาฬิกาข้อมือบอกเวลาเที่ยงตรง จากนั้นเธอก็ยืนอยู่ตรงนั้น มองเข้าไปในบ้านหลังเล็กชั้นเดียว มีสนามหญ้าอยู่บริเวณหน้าบ้าน พร้อมทางเดินแผ่นหินที่มีหญ้าขึ้นแซมเล็กน้อย และมีต้นไม้พุ่มให้ร่มเงาตรงบริเวณหน้าบ้าน รั้วไม้สีขาวสูงราวสองเมตรดูเข้ากับธรรมชาติ แม้ว่าสภาพแวดล้อมในหมู่บ้านจัดสรรจะเป็นบ้านแบบสไตล์ไฮโซของเมืองกรุงเทพ บ้านหลังนี้ก็ยังสามารถที่จะดึงดูสายตาให้กับใครก็ตามที่ขับรถผ่านไปมา

          ร่างบางในเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนรัดรูปโชว์เรียวขายาวสมส่วนกับความสูงเพียงแค่ 158 เซนติเมตร เปิดประตูรั้วจากกุญแจที่ได้จากแพรวรินทร์เข้าไป ฝนตกพึ่งจะหยุดไปได้พักใหญ่ พื้นหญ้าเลยแฉะและมีหญ้าแห้งสีน้ำตาลติดตามรองเท้าผ้าใบสีดำของอคิราภ์จนเลอะ ไม่น่ามองนัก

          เมื่อเข้าไปในบ้านเธอก็ควานหาสวิทซ์ไฟกดเปิดเพื่อเพิ่มแสงสว่างให้กับภายในบ้าน บ้านถูกแบ่งออกเป็นสัดส่วน มีมุมห้องครัวเชื่อมต่อกับโถงของห้องนั่งเล่น โซฟาสีแดงกำมหยี่วางทับพรมผืนใหญ่สีขาวขุ่น พื้นเป็นพื้นไม้สีเข้ม โต๊ะอาหารทรงกลมขนาด 4 คนตั้งอยู่ใกล้กับมุมห้องครัว ห้องถัดไปจากห้องครัวก็มีห้องที่มีโต๊ะเขียนหนังสือหรือโต๊ะทำงานตั้งอยู่กลางห้อง ห้องไม่ใหญ่แต่ก็ไม่แออัด สิ่งที่ตระการตาสำหรับอคิราภ์ก็คือหนังสือมากมายบนชั้นหนังสือของห้องนั้น

          มีห้องที่เธอเดินเลยผ่านอีกสองห้อง ล้วนแต่เป็นห้องนอนทั้งสิ้น เธอเดาได้ว่าห้องไหนเป็นห้องของเจ้าของบ้าน นั่นก็คือห้องที่มีผ้าม่านสีครีมกับเตียงนอนขนาด 6 ฟุต ผ้าปูของเตียงกับผ้าห่มนวมเป็นสีเดียวกันคือเขียวเข้ม ทำเอาเธออดไม่ได้ที่จะแอบนั่งลงบนเตียงที่แสนนุ่มสบาย ตู้เสื้อผ้าใหญ่หลายชั้นอยู่ถัดไปจากเตียง และประตูเข้าไปในห้องน้ำ

          ‘บ้านก็เรียบร้อยดีนี่ แล้วจะให้เรามาทำความสะอาดอีกเหรอ’ อคิราภ์คิดในใจ ก่อนจะเริ่มเดินหาไม้กวาดกับผ้าถู เพื่อเริ่มทำความสะอาดบ้านหลังเล็กที่น่าอยู่หลังนี้ ยอมรับเต็มอกเลยว่านี่เป็นบ้านในฝันของเธอ ที่เธออยากได้ อยากมีสักหลัง บ้านที่เธออยากจะนอนแช่ตัวอยู่ในนี้ เลี้ยงสุนัขเป็นเพื่อนสักตัวสองตัว แค่นี้ก็ไม่เหงาแล้ว

          จนกระทั่งถึงเวลาบ่าย 3 โมง เธอก็เดินตรวจเช็คความเรียบร้อยของบ้านอีกครั้ง ไม่มีกระดาษคำสั่งอะไรวางบนโต๊ะอาหาร อาจเป็นเพราะเจ้านายของเธอยังไม่ได้กลับเข้าบ้านก็เป็นได้

อคิราภ์มีงานทำต่อจนถึงหกโมงเย็น นั่นก็คือ เธอเป็นครูศิลปะ ไม่ใช่ศิลปะวาดรูป แต่เป็นศิลปะป้องกันตัว ไม่ว่าจะเป็นต่อยมวย เทคอนโด ฟันดาบ แต่เป็นในฐานะครูผู้ช่วยสอนเท่านั้นเพราะเธอยังไม่ได้เรียนถึงขั้นสูง และวันนี้เธอสอนฟันดาบ โดยนักเรียนของเธอล้วนแต่เป็นเด็กจนถึงวัยรุ่น ราวสิบกว่าคน ที่น่าขำก็คือทุกคนจะเรียนครบทุกอย่างที่เธอสอนทั้งสามวิชา ต่างสามสถานที่ คล้ายกับว่าทุกคนตามไปเรียนกับเธออย่างนั้นแหล่ะ

          “สวัสดีค่ะ/ครับ ครูคิรา” นักเรียนในห้องเรียนต่างทักทายเมื่อเธอเดินเข้าไป

          “สวัสดีครับ คุณครูคิราคนสวย” รวมทั้งครูที่อคิราภ์เป็นผู้ช่วยสอน อย่างธนากร ครูหนุ่มที่มากความสามารถที่เรียนทักษะการฟันดาบมาจากประเทศอังกฤษ ก่อนจะกลับมาเปิดโรงเรียนสอนที่ไทยได้เกือบห้าปีแล้ว

          “สวัสดีค่ะ ครูกร” เขาเคยสอนเธอตอนที่เธอมาเริ่มเรียนใหม่ๆ เรียกได้ว่า อคิราภ์นั้นเป็นนักเรียนรุ่นแรกของเขาที่มักอาสาขอช่วยงานที่โรงเรียนเล็กๆแห่งนี้เป็นประจำเพื่อทดแทนค่าเล่าเรียน ซึ่งธนากรก็รู้สึกเอ็นดูและประทับใจกับความสามารถในการเรียนรู้อย่างรวดเร็วของอคิราภ์ จนกระทั่งเธอเรียนจบหลักสูตรการฟันดาบขั้นพื้นฐาน เขาก็ชักชวนให้เธอมาเป็นผู้ช่วยสอนของเขา ซึ่งเธอก็ตอบรับโดยทันทีด้วยเหตุผลทางการเงินเช่นเดิม

          “ทำไมวันนี้มาสายจังเลยล่ะ” เขาถามระหว่างที่เธอเริ่มบิดซ้ายบิดขวาเพื่อวอร์มอัพร่างกายให้พร้อมกับการออกกำลังกาย

          “ราไปทำงานอื่นมาค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้ครูกรรอสอนจนเลยเวลาแบบนี้”

          “งานอื่นเหรอ” ธนากรถามกลับอย่างสงสัยว่าเธอนั้นทำงานอะไรเพิ่มอีก

          อคิราภ์พยักหน้าให้กับเด็กนักเรียนที่รอสัญญาณให้เริ่มฝึกฟันดาบกัน และเธอก็ตอบธนากรไปด้วย “ค่ะ ช่วงนี้ราต้องรีบเก็บเงินให้ได้มากพอที่จะไปเรียนต่อที่กรีซ แถมยังต้องเร่งอ่านหนังสือให้ทันสอบในเดือนหน้าอีก รวมๆแล้ว รามีเวลาแค่สามเดือนเท่านั้นในการเตรียมตัว หากว่ารามาสายอีก ก็ต้องขอโทษครูกรไว้ล่วงหน้าเลยนะคะ”

          ธนากรส่ายหัวกับความมุ่งมั่น ช่างทะเยอทะยานของอดีตนักเรียนคนโปรด น่าเสียดายและเสียใจ เพราะในความจริงแล้ว เขานั้นเอ็นดูและรักเธอมากกว่านักเรียนคนหนึ่ง มากกว่าคำว่าน้องสาวหรือคนในครอบครัว หากว่าเขาไม่กลัวคำตินินทาจากผู้คนรอบข้าง เขาก็จะขอเธอแต่งงานเสียเดี๋ยวนี้เลย โชคร้ายของเขาที่เขาดันเป็นคนไม่ค่อยกล้าในเรื่องแบบนี้เลย

          อคิราภ์เป็นผู้หญิงที่น่ารัก ยิ้มเก่ง เป็นกันเอง คุยสนุก ไม่มีคำว่าเบื่อ สำหรับเขา เธอสวยจนเลยคำว่างดงามไปแล้ว จะเปรียบกับนางฟ้าก็ดูนางฟ้าจะสวยน้อยกว่าเสียอีก เธองดงามทั้งใบหน้า ทุกมุมองศา แถมยังใจบุญสายธรรมมะอีกต่างหาก เห็นได้ชัดเลยว่า ธนากรนั้นตกหลุมรักอคิราภ์เข้าอย่างจัง จนถอนตัวไม่ขึ้น

          ไม่น่าแปลก เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ใครอยู่ด้วยแล้วต่างก็ต้องตกหลุมรักกันทั้งนั้น ไม่ใช่แค่ความสวยอย่างเดียวที่เป็นปัจจัย แต่ด้วยอะไรหลายๆอย่างที่คนอยู่ใกล้จะค่อยๆเรียนรู้จากเธอ และก็ค่อยๆรักเธอทีละเล็ก ทีละน้อย จนสุดท้าย รู้ตัวอีกที หัวใจทั้งดวงก็ไปอยู่ที่เธอเสียแล้ว

          เผลอครู่เดียว เวลาในห้องเรียนก็เลื่อนไปเป็นหกโมงเย็นแล้ว นักเรียนแต่ละคนเริ่มทยอยกลับบ้านหลังจากอาบน้ำชำระคราบเหงื่อออก รวมทั้งอคิราภ์ด้วย

          “กลับก่อนนะคะครูกร ฝันดีค่ะ”

          “ฝันดีครับ” ธนากรมองตามหลังเล็กไปอย่างเสียดาย เขาอยากจะเอ่ยความในใจกับเธอเหลือเกิน แต่ก็ทำได้แค่มองหลังบางเล็กๆนั่นดั่งเช่นทุกครั้งไป ต้องมีสักครั้งสิน่า ที่เขาจะกล้าบอกเธอบ้าง

 

 

วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่อคิราภ์ได้เป็นผู้ช่วยของนักเขียนคอลัมน์ แต่เธอยังไม่เห็นแม้แต่เงาของ “เขา” ผู้เป็นเจ้านายของเธอเลยสักกะนิดเดียว ข่าวล่าสุดที่เจ๊จุ๋มบอกเมื่อสองวันก่อนคือ “เขา” ออกทริปไปที่อุทยานแถวกำแพงเพชร จนป่านนี้แล้ว “เขา” ก็ยังไม่กลับมา

          หญิงสาวใช้เวลาตั้งแต่ 8 โมงเช้า จนถึง บ่าย 3 โมง เพื่ออยู่ที่บ้านหลังเล็กนี้ เธอขลุกตัวอยู่ในห้องทำงานข้างห้องครัวเพื่อคอยรอรับโทรศัพท์บ้านที่เป็นเหมือนสำนักงานเจ้านาย รอแล้วรอเล่า ก็ยังไม่มีโทรศัพท์โทรมาเลยแม้แต่สายเดียว เธอจึงหยิบหนังสือประวัติศาสตร์โรมันที่เอามาด้วยจากคอนโดขึ้นมาอ่านคร่าเวลาที่เสียไป

          เมื่อนาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาบ่ายสามโมง เธอก็จัดการเก็บข้าวของเพื่อไปทำงานอื่นของวันนี้ ซึ่งก็คือไปสอนต่อยมวยให้กับเด็กสิบกว่าคนที่ค่ายมวยแห่งหนึ่งในตัวเมืองกรุงเทพ เจ้ากลุ่มเด็กนักเรียนที่ดูเหมือนโรคจิตตามไปเรียนทุกที่ที่เธอสอน บางครั้งเธอก็กลับกลัวเจ้าเด็กพวกนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

          เธอนัดกับมอเตอร์ไซค์รับจ้างเจ้าประจำว่าให้มารับที่หน้าหมู่บ้านในเวลาบ่ายสามโมง หากเกินเวลาไปสิบห้านาทีก็ให้ไปได้เลยโดยที่ไม่ต้องรออีก และตอนนี้เธอต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นก่อนที่มันจะกลายเป็นบ่ายสามสิบนาที ช่วยไม่ได้ ก็บ้านของเจ้านายเธอดันตั้งอยู่ด้านในสุดลึกของหมู่บ้าน เธอก็เลยต้องเดินไกลหน่อย

          เดินมาได้เกือบครึ่งทาง เธอก็อยากจะจับหัวตัวเองโขกกับกำแพงแรงๆ เพราะเธอดันลืมหนังสือประวัติศาสตร์โรมันไว้ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น เธอทิ้งมันไปไม่ได้ เพราะมันเป็นเล่มฉบับภาษาอังกฤษที่หาซื้อได้ยากมาก แถมยังอ่านได้ไม่ถึงไหนเลย จึงต้องเดินกลับไปเอา

          ซ่า...ซ่า

          ถ้ามันจะซวย มันก็ต้องซวยซ้ำซ้อนให้ถึงที่สุด เพราะฝนดันเทกระหน่ำลงมาซะยิ่งกว่าคนเปิดน้ำก๊อก เธอวิ่งเปียกฝนเข้ามาในบ้าน จัดการถอดรองเท้าผ้าใบเพื่อเทน้ำออกก่อนจะตั้งเอาไว้ข้างๆประตูบ้านทางด้านนอก มือบางล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายเพื่อควานหากุญแจบ้าน แต่แล้วเธอก็พบว่าในกระเป๋าของเธอนั้นมีน้ำอยู่ จึงรีบเททุกอย่างออกมา โดยเฉพาะโทรศัพท์ที่....เปียกน้ำจนเครื่องดับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยังดีที่กระเป๋าสตางค์ยังไม่เป็นอะไรมาก

          และแล้วเธอก็เกิดความคิดพิสดาร ในเมื่อเจ้านายของเธอคงยังไม่กลับมาบ้านง่ายๆแน่ บ้านหลังนี้ก็ยังคงอยู่ในความดูแลของเธอ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เธอก็จัดการถอดเสื้อผ้าที่เปียก ทุกตัว ย้ำว่าทุกตัวจริงๆ ออกมาตากไว้ที่ระเบียงร่มด้านนอกทางหลังบ้าน ที่มีเปลม้านั่ง กับโต๊ะไม้สีขาวตั้งอยู่

          สภาพของเธอตอนนี้จึงมีแค่ผ้าเช็ดตัวสีเทาเข้มพันตัวปกปิดเรือนร่างอยู่ผืนเดียว ก็บ้านหลังนี้มีเธอคนอยู่คนเดียวนี่หน่า เธอจะกลัวอะไรได้นอกจากว่า เจ้านายที่เธอไม่เคยพบหน้าจะกลับมาในตอนนี้ เธอคงไม่ซวยขนาดนั้นหรอก

          สองมือบางประคองผ้าเช็ดตัวเพื่อกันไม่ให้มันหลุด และเดินไปเปิดประตูเข้าไปในบ้านมาก็จะเจอกับโต๊ะอาหารและมุมห้องครัว จากนั้นสองเท้าก็หยุดกึกอัตโนมัติ เมื่อสองตานั้นจับความเคลื่อนไหวบางอย่างได้ที่ตรงโซฟาสีแดงในมุมห้องนั่งเล่น

          เธอถลึงตามองอย่างตกใจเมื่อได้สบตากับเจ้าของดวงตาโตคมสีเข้มที่นั่งอยู่บนโซฟานั่น “เขา” เองก็ดูจะตกใจไม่ต่างจากเธอนัก เพราะต่างอ้าปากค้างกันทั้งคู่

          ก็อย่างว่าแหล่ะ ใครจะไม่ตกใจบ้างล่ะ ในเมื่อเธอนั้นดันนุ่งผ้าเช็ดอยู่ผืนเดียว และดูเหมือนว่าผ้าเช็ดตัวที่เธอนุ่งอยู่จะเป็นของเจ้าของบ้านหลังนี้ คำถามก็คือ “เขา” คือชายคนที่เป็นเจ้านายของเธอและเจ้าของบ้านหลังนี้รึเปล่า

          “เฮ้ย!! นี่เธอ!!! มาทำบ้าอะไรที่นี่เนี่ย!!!” คล้ายว่าเขาจะตั้งสติได้ก่อนเธอ จึงรีบลุกขึ้นเต็มความสูงพร้อมกับก้าวขายาวๆพุ่งเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว ด้วยความที่อคิราภ์นั้นมีสัญชาตญาณการเอาตัวรอดสูง จึงวิ่งหนีรอดผ่านเขาไปก่อนที่เขาจะคว้าตัวเธอไว้ไปอย่างเฉียดฉิว

          เธอวิ่งเข้าไปในห้องนอนที่มีเตียงผ้าปูสีเขียวและจัดการปิดประตูกดล็อกอย่างรอบคอบ จากนั้นก็พยายามตั้งสติให้หายตกใจ

          เสียงปึงปังทุบประตูบวกกับเสียโวยวายของชายที่อยู่หน้าห้องยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาเธอกลัวขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

          ปังๆๆ!!!!

          “นี่!! ยายบ้า!!! ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!! กล้าดียังไงมาเข้าห้องนอนของฉันน่ะ!!! ถ้าเธอไม่ออกมาในตอนนี้ ฉันจะแจ้งตำรวจล่ะนะ!!!!!” เสียงจากฝั่งนั้นฟังดูหัวเสียมาก และพร้อมที่จะระเบิดตูมในทันทีที่เธอเปิดประตู ดังนั้นคงจะยากถ้าเธอจะเปิดประตูออกไปในตอนนี้

          ‘เอ๊ะ เมื่อกี้เขาบอกว่าห้องนอนของเขาเหรอ’ อคิราภ์คิดกับตัวเองอย่างต้องการทบทวน ‘เฮ้ย!! อย่าบอกนะว่า อีตาเลือดร้อนนี่...คือเจ้านายของเรา...ไม่จริง!!!!’

          “ฉันไม่ใช่โจรนะคะ” เธอพูดเสียงสั่น ก่อนจะสูดหายใจทำใจเมื่อไม่ได้ยินเสียงจากทางฝั่งนั้น “ฉันเป็นผู้ช่วยคนใหม่ค่ะ”

          ร่างบางพยายามเงี่ยงหูฟังแต่ก็พบกับความเงียบ จึงคิดว่า ฝั่งนั้นอาจใจเย็นลงแล้ว เลยจะเอื้อมมือไปปลดล็อกประตู และเธอก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่ออยู่ดีๆก็มีวงแขนใหญ่เพียงแค่ข้างเดียวเอื้อมเข้ามาล็อกเข้าที่คอของเธอจากทางด้านหลัง

          “ผู้ช่วยเหรอ? หึ น่าขำสิ้นดี” เสียงทุ้มต่ำกระซิบลงที่ข้างหูชวนเธอขนลุกไปทั้งตัว กระตุกให้ทักษะเทคอนโดพุ่งพล่านเข้ามาทางสติสัมปชัญญะ ชั่วพริบตา เธอก็ทุ่มตัวของชายหนุ่มโดยใช้แรงจากหลังเหวี่ยงมาหงายท้องที่ด้านหน้าอย่างรวดเร็วโดยที่เขาเองก็ตั้งตัวไม่ทัน

          ‘เขาเข้ามาทางหน้าต่างของห้องนอน’ เธอคิดและมองไปยังหน้าต่างที่เปิดอ้าไว้ ตอนนี้สติของเธอกลับมาแล้ว และก็พร้อมสู้ด้วย แต่ดูเหมือนคู่ต่อสู้ของเธอจะยังคงนอนจุกอยู่ บางทีเธออาจทำเกินไป

          ร่างสูงใหญ่ค่อยๆยันตัวลุกขึ้นจากพื้นด้วยความเจ็บใจและด้วยอาการจุกทำให้เขาทำได้แค่ลุกขึ้นไปนั่งที่ปลายเตียง ใครจะไปรู้กันล่ะว่า แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนเดียวจะสามารถทำให้เขาจุกได้ยิ่งกว่าโดนเตะเข้าที่จุดยุทธศาสตร์เสียอีก

          “ฉันเป็นผู้ช่วยคนใหม่ของคุณจริงๆนะคะ ไม่ได้โกหก” เธอพูดย้ำ

          ดวงตาโตคมสีเข้มของชายหนุ่มจ้องมองมาที่เธอ คล้ายกับแววตาของเสือที่กำลังรอจังหวะเข้าจู่โจมศัตรูตอนเผลอ ก่อนจะแสร้งมองไปทางตู้เสื้อผ้าโดยไม่พูดอะไร

          อคิราภ์ไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไร ร่างกายอันเปลือยเปล่าของเธอมีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียวที่ปกปิดไว้ ซึ่งเธอมีลางสังหรณ์พิกลว่ามันจะหลุดในเร็วนี้ สองมือบางจึงกำชับผ้าเช็ดตัวแน่นและกลั้นใจถามไปอย่างสิ้นหวังและไร้ความคิด “จะเป็นอะไรไหม ถ้าฉันจะขอยืมเสื้อผ้าของคุณใส่ก่อนน่ะค่ะ”

          เขาหันกลับมามองเธอด้วยสีหน้าที่ถามกลับมาว่า ‘จริงเหรอ? ยายบ้า’ ก่อนจะส่งเสียง “หึ” เบาๆในลำคอและลุกขึ้นยืน เธอเลยเห็นว่าเขาตัวสูงใหญ่กว่าเธอมาก จึงอดแอบทึ่งตัวเองไม่ได้ ที่สามารถทุ่มชายหนุ่มลงบนพื้นได้

          เธอหยุดคิดเมื่อเห็นว่าเขาเดินเข้ามาหาเธอ ใครจะรู้กันล่ะ ว่าเขาจะเข้ามาดึงผ้าเช็ดตัวรึเปล่า จับไว้ให้แน่นนั่นแหล่ะดีที่สุดแล้วในตอนนี้

          “แต่ถ้าไม่ได้ ก็...ก็ไม่เป็นไรค่ะ” และเขาก็พยายามดึงผ้าเช็ดตัวออกไปจริงๆ โชคดีที่เธอดึงรั้งไว้แล้ว ไม่อย่างนั้น งานนี้มีเปลือยต่อหน้าจริงๆแน่

          “เฮ้ย! นี่คุณ ทำอะไรน่ะ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” เธอทั้งดึงทั้งกระชากชายผ้าออกจากมือใหญ่ แต่ดูเหมือนมือเขาจะเหนียวเป็นพิเศษ

          “ใช้ผ้าเช็ดตัวคนอื่นแล้วยังมีหน้ามาสั่งให้ปล่อยอีกเหรอ” เขาเริ่มพูดเป็นครั้งแรกนับจากที่โดนเธอทุ่มจนจุก “ฉันจะเอาผ้าเช็ดตัวฉันคืน นังบ้า”

          อคิราภ์ตะลึงตาค้าง นับตั้งแต่เกิดมา เธอไม่เคยโดนผู้ชายคนไหน ยกเว้นเจ๊จุ๋ม ด่าว่าบ้าต่อหน้าแบบนี้เลย ผู้ชายคนนี้ช่างหยาบคายเสียจริง

          “คุณนั่นแหล่ะบ้า! ไม่เห็นเหรอว่าฉันใช้อยู่ จะคืนให้ตอนนี้ได้ยังไง” อารมณ์ของเธอปะทุจนเผลอตะคอกกลับไป และก็ต้องเดือดยิ่งกว่าเดิม เมื่อเขาด่ากลับอีก

          “นี่เธอ หน้าเนี่ย โบกทับด้วยปูนสูตรพิเศษเหรอ ถึงได้แข็งคงทนมาก จนถึงขนาดนี้แล้ว ยังไม่ยอมรับอีกว่าเป็นโจรน่ะ” เธอหน้าชากับคำด่าที่หมายถึงว่าเธอนั้นหน้าด้าน ยัง ยังไม่หมดแค่นี้ “หึ เฝ้ามองบ้านฉันมากี่วันแล้วล่ะ ถึงได้รู้ว่าฉันมีผู้ช่วยคนใหม่และไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน คงกะว่าถ้าโดนจับได้ก็จะตีเนียนทำเป็นผู้ช่วยล่ะสิ ฉันไม่หลงกลเธอหรอก เอามานี่!!”

          เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว ทำไมเขาถึงได้มองโลกในแง่ร้ายขนาดนี้ เกิดมาไม่เคยพบเคยเจอ

          “โอ้ย...นี่!! ฉันโป๊อยู่นะโว้ย!! โจรบ้าโจรบออะไรล่ะ ฉันเป็นผู้ช่วยของคุณจริงๆ ฉันแค่กลับมาเอาของที่ลืมไว้และฝนดันตกใส่จนเปียก ก็เลยกะว่าจะตากเสื้อผ้าให้แห้งก่อนแล้วค่อยกลับ นี่...หยุดดึงก่อนได้ไหม มันจะหลุดแล้วเนี่ย”

          “แถเก่งนะ สีข้างนี่ถลอกไปหมดแล้ว” เธอทนปล่อยให้เขาดึงผ้าไม่ไหวอีกต่อไป จึงตัดสินใจเข่าไปที่จุดกลางลำตัวของชายหนุ่มจนเข้าร้องลั่นและปล่อยชายผ้าในที่สุด

          “โอ้ย!!!...นังโจรบ้า นี่เธอกล้าดียังไง” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราเขียวมีความเจ็บปวดเผยออกมาอย่างเห็นได้ชัดว่าจุกจนไม่มีคำบรรยายใดมาเปรียบเปรยได้กับความรู้สึกของชายหนุ่มในตอนนี้

          “ฉันไม่ได้แถค่ะ เจ๊จุ๋มเป็นคนส่งฉันมา ฉันเข้ามาทำหน้าที่ผู้ช่วยคนใหม่ได้วันนี้วันที่สามแล้ว กุญแจบ้านฉันก็ได้มาจากเจ๊จุ๋ม ถ้าคุณไม่เชื่อก็โทรหาเจ๊จุ๋มได้เลยค่ะ” เธอพูดใส่เขาที่นอนตัวขดเจ็บปวดอยู่ตรงพื้น(อีกครั้ง) ก่อนจะเดินไปเปิดประตูออก ไปหยิบเสื้อผ้าที่ยังหมาดไม่ค่อยแห้งดีมาใส่พลางๆไปก่อน เพราะขืนเธอยังอยู่ต่อไป เธอจะต้องก่อเรื่องทำร้ายร่างกายเขาอีกแน่

          หญิงสาวใช้ห้องนอนอีกห้องหนึ่งในการเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ถึง 5 นาทีก็เสร็จ แต่ที่ยังเดินวนอยู่ในห้องนอนต่อ เพราะเธอไม่กล้าออกไป บอกตรงๆเลยว่ากลัว ไม่กล้าสู้หน้าผู้ชายคนนั้น และไม่อยากจะเชื่อด้วยว่าเขาจะเป็นเจ้านายของเธอจริงๆ

          เขาคือโภคิน วิหคไตรภพ อดีตพระเอกชื่อดังเมื่อราวสองปีก่อน แถมยังเป็นพี่ชายของแพรวรินทร์อีกต่างหาก เรื่องนี้ต้องโทษแพรวรินทร์คนเดียว ที่บอกให้เธอมารับงานนี้ แต่ไม่ยอมบอกว่า นักเขียนคอลัมน์คนนั้นคือโภคิน

          ‘ยายแพรวนะยายแพรว นี่ถ้าโทรศัพท์ฉันไม่เปียกนะ แม่จะด่าให้ยับเลย’

          อคิราภ์พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เธอไม่กล้าออกไปข้างนอกและพบกับชายที่เธอถึงทำร้ายร่างกายไป อย่างน้อยก็ขอเวลาทำใจก่อน ไม่รู้ว่าเขาจะไล่เธอออกรึเปล่า แล้วที่ผ่านมาตั้งสามวันล่ะ เธอยังจะได้เงินอยู่ไหม

          ‘โอ้ย!! อยากจะบ้าชักตายไปตรงนี้ จะทำยังดีวะเนี่ย’

          และแล้ว เธอก็เกิดความคิดขึ้นมา เธอนึกถึงที่โภคินเข้ามาในห้องนอนจากทางหน้าต่าง แถมบ้านหลังนี้ก็ยังเป็นบ้านชั้นเดียว ว่าแล้ว หญิงสาวก็วิ่งไปที่หน้าต่าง ภายนอกเป็นพุ่มดอกไม้ไม่สูงมาก เธอกระโดดข้ามมันไปได้

          ‘สติเราต้องหลุดไปแล้วแน่ๆ’ จากนั้นเธอก็กระโดดข้ามหน้าต่างไป ฝนตกปรอยๆกระทบจนชื้นไปทั้งตัว ประตูรั้วทางออกจากบ้านอยู่ตรงนั้น ห่างไปอีกแค่นิดเดียว เธอก็จะออกไปได้แล้ว

          สองขาหยุดวิ่งกะทันหัน เมื่อเห็นร่างสูงเดินออกมาจากตัวบ้านและขวางหญิงสาวไว้ระหว่างเธอกับประตูรั้ว

          แสงสว่างตกกระทบกับใบหน้าหล่อเหลาใต้เคราเขียวนั่น มือหน้ายกขึ้นมาเสยผมชื้น เสื้อยืดสีขาวเปียกแนบติดกายแกร่งที่เต็มไปด้วยลอนกล้ามเนื้อ เชื่อเลยว่าหากใครได้มาเห็นเขาในตอนนี้จะต้องเป็นกริ๊ดสลบกับความหล่อเกินบรรยายของชายหนุ่มอย่างแน่นอน

          แต่ไม่ใช่กับเธอ หากเธอจะกริ๊ดสลบก็ต้องเป็นตอนที่เขาจะฆ่าเธอเท่านั้น ซึ่งเธอคิดว่า เขาน่าจะยังไม่ฆ่าเธอ ไม่ใช่ตอนนี้ ดูได้จากสีหน้าเอาเรื่อง เอาเรื่องเฉยๆแต่ไม่ได้จะฆ่าแกงกัน

          “หลายคดีแบบนี้ คิดว่าจะหนีไปได้เหรอ ไม่มีทางหรอก” โภคินเดินพุ่งเข้ามาคว้าแขนของอคิราภ์ด้วยความรวดเร็วจนเธอตั้งตัวไม่ทัน “แสบนักนะ ทำฉันจุกถึงสองครั้งติดกัน กินยาชูกำลังเป็นอาหารรึไง อ้อ...รึว่าเป็นช้างในร่างหญิงสาว ถึงได้มีแรงเยอะขนาดนี้น่ะ”

          เขายังคงด่าว่าเธอต่อไป แต่ละคำที่ออกมาจากปากช่างเสียดสีได้เจ็บปวดจนแสบไปทั้งทรวง

          “ถามจริง อายุเท่าไหร่ คิดว่าจะหลอกว่าเป็นผู้ช่วยของฉันได้หรอ ให้ฉันเดา อายุไม่สำคัญเพราะว่าลูกสองแล้ว ถึงได้ยืนเปลือยต่อหน้าผู้ชายอย่างไร้การเขินอายน่ะ” เธอหน้าแดงขึ้นมาด้วยความโกรธและอาย นี่เขาจะว่าเธอเกินไปแล้ว

          “มากไปแล้วนะ ฉันจะอายุเท่าไหร่ จะมีลูกกี่คนแล้วมันใช่เรื่องที่คุณจะเอามาว่าฉันไหม” แขนเล็กใต้มือหนาพยายามสะบัดออก แต่ก็ไม่เป็นผล เขาจับแขนเธอแน่นกว่าเดิมจนเธอรู้สึกได้ว่า มันจะต้องเกิดเป็นรอยช้ำตามมา “ก็บอกแล้วไง ว่าฉันไม่ได้โกหก จะให้ยืนยันยังไง คุณถึงจะเชื่อกัน อะนี่ กุญแจบ้านของคุณ ฉันไม่ได้งัดเห็นไหม”

          เธอจัดการควักกระเป๋ากางเกงหยิบกุญแจบ้านออกมายื่นให้เขา วูบหนึ่ง เธอเห็นความลังเลออกมาจากแววตาของชายหนุ่ม เขากำลังสับสน

          เผลอแป๊บเดียว อคิราภ์ก็โดนลากให้เขามาในบ้านอีกครั้ง เธอถูกจับให้นั่งลงตรงเก้าอี้ของโต๊ะอาหาร โดยมีโภคินนั่งจ้องหน้าอยู่ฝั่งตรงข้าม

          อาการตัวสั่น ไม่ได้มาจากการกลัวหรืออย่างใด แต่มาจากการที่เสื้อผ้าและเนื้อตัวของเธอเปียกน้ำฝน ขืนปล่อยไว้มีหวังเธอได้เป็นปอดบวมตายก่อนที่เขาจะฆ่าเธอเสียอีก

          ไม่เข้าใจเลย ทั้งที่เขาก็เปียกเหมือนกับเธอ แต่ทำไมถึงไม่แสดงอาการหนาวออกมาบ้าง ทำไมสวรรค์ถึงได้ลำเอียงทำให้ผู้ชายแข็งแกร่งกว่าผู้หญิง ไม่ยุติธรรมเลย

          “เอาโทรศัพท์ของเธอมา” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นพร้อมกับยื่นมือขอสิ่งที่เขาต้องการ

          หญิงสาวเลยยื่นให้ทั้งกระเป๋าสะพาย เพื่อพิสูจน์ว่าเธอบริสุทธิ์ใจจริง แม้ว่าลึกๆแล้วเธอจะประชดประชันก็ตาม

          เขาง่วนอยู่กับการกดปุ่มเปิดโทรศัพท์อยู่นาน แต่ก็ไม่มีสิ่งใดแสดงผลออกมาจากทางหน้าจอ “เปิดไม่ติด”

          ‘คงจะเปิดได้อยู่หรอก ก็มันเปียกฝนจนพังไปแล้ว นี่โง่จริงหรือหรือโง่มากกันเนี่ย’ ทำได้แค่คิดด่าทอในใจ เพราะเธอนึกข้อบัญญัติทั้ง 8 ประการ ที่เผอิญฉีกไปหลายข้อแล้ว จึงคิดจะกลับตัวในตอนนี้ น่าจะยังทัน ถ้าเขาให้โอกาสเธอนะ

          ดูเหมือนเขาจะรู้สาเหตุทันทีเมื่อได้เปิดฝากรอบของโทรศัพท์ หยดน้ำไหลออกมาจากช่องใส่แบตเตอรี่ เลอะเต็มโต๊ะ หญิงสาวคิดว่า เขาจะโยนโทรศัพท์ของเธอทิ้งในทันที แต่ไม่ เขากลับคว่ำมันไว้ให้น้ำไหลออก ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์ของตนเองมากดยิกๆและยื่นให้เธอเอามาแนบหู

          เสียงแหลมบาดหูดังออกมาจากโทรศัพท์จนเธอแทบจะเอาออกจากหูไม่ทัน นี่เขาเปิดลำโพงแต่ไม่บอกเธอ มันแกล้งกันชัดๆ

          “คร้า...ว่าไงคะคุณโภคิน” เป็นเสียงของเจ๊จุ๋ม เสียงแบบนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น เธอจำได้

          “เจ๊ ฉันเองนะ” ปลายสายเงียบไปเหมือนจะงงว่าใคร ก่อนจะถามกลับ

          “ฉันนี่คือใครยะ แล้วทำไมถึงใช้เบอร์คุณโภคินโทรมาได้” เธอเหลือบขึ้นไปมองสบตากับโภคินผู้เป็นเจ้าของโทรศัพท์ เขายังคงทำหน้านิ่ง ไม่บ่งบอกสิ่งที่คิดออกมาทางแววตาเลยแม้แต่น้อย

          “ราเองเจ๊จุ๋ม” การจ้องตาของเขาพร้อมกับพูดอย่างมั่นใจ คือสิ่งที่เธอทำในตอนนี้ เขาจะต้องหน้าแตกยับเยินจนต้องรีบคลานมาขอโทษเธอแน่ “พอดีโทรศัพท์ของฉันมันเปียกฝนเปิดไม่ติด เลยเอาของคุณโภคินโทร”

          “อ้อ...แล้วมีอะไรปัญหาอะไรรึเปล่า คุณคินกลับมานานรึยัง” โภคินขยับตัวเล็กน้อย เมื่อได้ยินว่าตนอยู่ในบทสนทนานั้น

          “เปล่าเจ๊ ไม่มีอะไร ฉันแค่อยากบอกว่าคุณโภคินเขากลับมาแล้ว อยากให้ยายแพรวได้รู้ด้วยน่ะ” เธอแหย่ชายหนุ่มได้ผลทันทีเมื่อเอ่ยถึงชื่อน้องสาวของเขาอย่างสนิทสนม

          โทรศัพท์ถูกคว้าออกไปจากมือบางและกดวางสายไปโดยไม่บอกกล่าว เชื่อเลยว่า ตอนนี้เจ๊จุ๋มแกต้องฉุนขาดอยู่แน่กับการกระทำอันไร้มารยาทเช่นนี้

          “รู้จักกับแพรวรินทร์เหรอ” น้ำเสียงนิ่งสุขุม ผิดกับที่คุยกับเธอในตอนแรก

          “ยาย....คุณแพรวรินทร์เป็นคนแนะนำงานผู้ช่วยให้กับฉันค่ะ” ลืมไปว่า เธอต้องใช้ศัพท์ทางการและมีหางเสียงกับโภคินเสมอตามกฎข้อที่ 8 สุภาพให้มากที่สุด แม้ว่ามันจะฝืนตัวเองมากแค่ไหนก็ตาม

          “เป็นเพื่อน?” เขาถามกลับสั้นๆอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนของตนเอง และก็หายยาวไปนานมาก ทิ้งให้อคิราภ์ต้องนั่งหนาวอยู่ที่เดิม ไม่กล้าที่จะขยับไปไหน

          อาทิตย์อับแสง นภาหม่นหมอง นาฬิกาตรงข้อมือบอกเวลาเกือบหกโมงเย็น เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน พวกที่ค่ายมวยคงสงสัยว่าเธอหายไปไหน ทำไมถึงไม่ไปทำงาน ต่อให้โทรหาก็ไม่ติด เพราะโทรศัพท์เธอเปียกชุ่มขนาดนั้น

          ว่าแล้ว เธอเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาดู สะบัดให้น้ำออก แต่ดูเหมือนว่าเธอจะสะบัดมันแรงไปหน่อย เลยหลุดมือกระเด็นสไลด์ไปหยุดอยู่ตรงปลายเท้าของชายหนุ่มที่พึ่งออกมาจากห้องนอน

          ‘ให้ตายเถอะ นี่เขาหนีไปอาบน้ำเหรอเนี่ย โคตรจะดีเลย’

          และยิ่งดีเข้าไปใหญ่เมื่อเขาเดินข้ามมันไปอย่างไม่ใยดี นับเป็นบุญของเธอแล้วที่เขาไม่เหยียบมัน

          “เธอกลับไปได้ละ” พูดจบ โภคินก็เดินหายเข้าไปในห้องทำงานโดยไร้เหตุผลว่าเขาให้เธอนั่งรอเขาอาบน้ำจนเสร็จทำไม แทนที่จะปล่อยไปตั้งแต่ที่รู้ว่าเธอคือผู้ช่วยคนใหม่ของชายหนุ่มจริงๆ

          วันนี้หญิงสาวจึงขาดรายได้จากโรงเรียนค่ายมวยไปหนึ่งวัน คิดเป็นเงินก็สามร้อยบาทถ้วน โทรศัพท์ก็พัง ต้องเสียค่าซ่อมอีก เพราะเธอไม่มีงบที่จะซื้อใหม่

          ‘หมดกันชีวิตเรา’

 

 

นิ้วเรียวกดคลิกปุ่มเมาส์อย่างเป็นจังหวะ เพื่อที่การทำงานของระบบการมองเห็นจะได้ประสานพร้อมกัน รูปภาพที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอเป็นภาพเกี่ยวกับธรรมชาติที่โภคินพึ่งไปถ่ายมาล่าสุด มีต้นไม้หลายหลายสายพันธุ์กับวิวน้ำตกสวยที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว น่าเสียดายที่เขาไม่ได้เข้าไปในส่วนที่ลึกของอุทยานซึ่งเป็นจุดที่ไม่ค่อยมีผู้คน เพราะเจ้าตัวดันลืมเอาอุปกรณ์เกี่ยวกับกล้องถ่ายรูปไปด้วย

          จากนั้นร่างสูงก็ลุกขึ้นเดินไปบริเวณห้องนั่งเล่น เพื่อหยิบสมุดจดบันทึกจากกระเป๋าสะพายของตน ครั้นดวงตาโตคมคู่สวยเหลือบไปเห็นสันหนังสือเล่มหนาที่วางอยู่ในซอกขอบโซฟา จึงเอื้อมคว้ามันขึ้นมาดู ก็พบว่ามันเป็นหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์แถบยุโรป แต่เท่าที่จำได้ เขายังไม่เคยซื้อหนังสือเล่มนี้

          ‘ถ้าอย่างนั้นเป็นของใคร’ เขาครุ่นคิดกับตัวเอง ก่อนจะวางมันไว้ตรงโต๊ะกาแฟเล็กหน้าโซฟา

          สองขาหยุดเดินทันทีเมื่อมีใบหน้าหนึ่งปรากฏเข้ามาในหัว ยายโจรบ้าคนนั้น ไม่สิ ยายผู้ช่วยพลังช้างนั่น กล้าดียังไงถึงเข้ามาในหัวของเขาตอนนี้

          หนังสือเล่มนั้นอาจเป็นของเจ้าหล่อน ไม่น่าเชื่อ ว่าหน้าอย่างนั้นจะสามารถอินเตอร์อ่านหนังสือฉบับภาษาอังกฤษได้ เขาควรจะเก็บทิ้งออกไปด้านนอกมากกว่าที่จะเก็บเอาไว้ให้ คนอะไรขนาดของของตัวเองยังลืมแล้วนับประสาอะไรจะมาเป็นผู้ช่วยของเขา

          คงต้องรอดูต่อไปว่าเจ้าหล่อนจะทนไปได้สักกี่ย่างก้าว ไม่แน่ พรุ่งนี้อาจจะไม่กล้ามาแล้วก็ได้

          เพราะวีรกรรมที่หล่อนได้ทำกับเขานั้นสุดแสบมาก ชายหนุ่มได้โทรไปโวยกับแพรวรินทร์ผู้เป็นน้องสาวของเขาแล้วก็ได้เรื่องมาว่า แม่ผู้ช่วยพลังช้างนี่กำลังต้องการงานและเงินด่วนเพื่อเป็นค่าเล่าเรียนที่ต่างประเทศ ด้วยความที่เป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่แพรวรินทร์สนิทด้วยมาก จึงได้แนะนำให้มาเป็นผู้ช่วยคนใหม่ของโภคิน

          ชายหนุ่มไม่ได้โมโหเรื่องนั้น แต่เรื่องที่เขาโมโหก็คือ เมื่อราวสัปดาห์ก่อน เขาได้ไปที่ปาร์ตี้สละโสดของมัสยา เพื่อนรุ่นพี่อีกคนของแพรวรินทร์เพื่อไปรับแพรวรินทร์กลับบ้านตามที่ได้ถูกขอไว้ เดินเข้าไปในงานยังไม่ถึงห้านาที ก็มีผู้หญิงขี้เมาคนหนึ่งพุ่งมาใส่เขา ไม่ได้พุ่งมาตัวเปล่าด้วย แต่มาพร้อมกับอาเจียนราดใส่เสื้อยีนตัวเก่งของเขาเต็มๆ จากนั้นก็สลบไปเฉย โดยที่ไม่ได้กล่าวคำขอโทษใดๆ

          เขานึกหน้ายายผู้ช่วยพลังช้างนี่อยู่นานระหว่างอาบน้ำว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ปรากฏว่าเจ้าหล่อนคือผู้หญิงขี้เมาคนนั้นที่เคยมาอาเจียนราดใส่เขา แล้วอย่างนี้ ยายน้องสาวตัวแสบยังจะแนะนำให้มาทำงานกับเขาอีก

          คิดแล้วเขาก็อยากจะเอาคืนเสียให้สาสม คงต้องรอให้เจ้าหล่อนโผล่มาก่อน และเขาจะทำให้หล่อนทนไม่ได้จนลาออกไปเลยคอยดู

 

 

“ฉันนึกว่าแกไปทำงานแล้วซะอีก” เสียงทุ้มต่ำปลุกเรียกสติของอคิราภ์ให้กลับมาจากความคิดที่เตลิดไปไกล ถ้งแม้ท่าทางของเธอจะทำเป็นว่ากำลังอ่านหนังสือ แต่สายตากลับเหม่อไม่อยู่กับล่องกับลอย

          เธอหมุนเก้าอี้หันไปมองบุคคลที่ถามเธออยู่หน้าประตูห้องนอน ชายร่างสูงในชุดนักศึกษาผูกเนคไทเรียบร้อยทุกระเบียบนิ้ว ใบหน้าหล่อเหลาไร้หนวดเคราหรือสิวเสี้ยนใดๆ หน้าของเขาใสกว่าเธอเสียอีก

          “ไป...แต่อยากไปสายๆหน่อย” หญิงสาวตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงท้อแท้เหนื่อยใจ จนคนฟังต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย

          “นี่ฉันฟังผิดไปรึเปล่า แกเนี่ยนะคิรา จะอยากไปทำงานสาย เมื่อวานตากฝนจนเพี้ยนไปแล้วรึไง” เขาเดินเข้ามาใช้ฝ่ามือจับไปที่หน้าผากของหญิงสาว ก่อนจะผลักหัวเรียกสติของเธอจนเธอแทบจะหงายตกเก้าอี้

          อดิรุจหรือแมน ลูกพี่ลูกน้องผู้แก่กว่าอคิราภ์หนึ่งปี นักศึกษาแพทย์ปีสุดท้าย ที่อคิราภ์มาอาศัยอยู่ในคอนโดด้วยตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย จนกระทั่งเธอจบแล้วก็ยังขออยู่ต่ออีกพักหนึ่งจนกว่าจะได้ไปเรียนที่กรีซ ทั้งสองคนสนิทกันมากจนไม่ต้องเรียกพี่เรียกน้องให้เป็นพิธีรีตอง ดั่งบทสนทนาและการกระทำที่พึ่งแสดงออกไป

          เหตุผลที่อดิรุจแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองก็คือ จากที่เขารู้จักเธอมาตั้งแต่เด็ก ผู้หญิงคนนี้จะเป็นคนที่เข้มงวดกับเวลามาก มักจะจัดตารางเวลาชีวิตของตนเอง ว่าในเวลาหนึ่งวันเธอจะทำอะไรบ้าง ตรงต่อเวลาเสมอไม่เคยสาย แล้วทำไมเธอถึงได้เกิดความคิดเพี้ยนๆแบบนี้ขึ้นมาได้

          “ก็เมื่อวานน่ะ ฉันได้เจอกับเจ้านายคนใหม่ของฉัน และก็เกิดเหตุการณ์...ที่มันไม่ค่อยดีสำหรับเขา ฉันเลยคิดว่าจะเข้าไปสายๆเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเจอเขา”

          “มองหน้าไม่ติด ว่างั้นเหอะ” อดรุจพูดถูก เขามักทันความคิดของเธอเสมอ “แล้วทำแบบนี้ เขาจะไม่ไล่แกออกเหรอ หรืออาจโดนหักเงินก็ได้นะ แล้วเงินก้อนที่แกวาดฝันจะเอาไปเรียนล่ะ จะเหลือเหรอ”

          อคิราภ์ทึ้งหัวตัวเองจนผมยาวสีน้ำตาลอ่อนกระเซิงยุ่งเหยิง แต่ก็ยังไม่ยุ่งเท่ากับความคิดอันสับสนอลหม่านของเธอเลยแม้แต่น้อย

          “โอย! ฉันอยากจะบ้า แล้วแกล่ะ ไม่มีเรียนหรือไง ถึงได้มาเสือกเรื่องฉันเนี่ย” คิดแล้วก็อดพาลใส่คนรอบข้างไม่ได้ นี่ถ้าโทรศัพท์ของเธอไม่ได้อยู่ที่ร้านซ่อม ก็จะโทรไปโวยใส่แพรวรินทร์ด้วยอีกคนหนึ่ง

          “อ้าว ยายนี่ พาลกันนี่หว่า คนเขาอุตส่าห์หวังดีเป็นห่วง ไปก็ได้วะ” พูดจบชายหนุ่มก็ผลักศีรษะของอคิราภ์ส่งท้ายก่อนจะเดินออกไปจากห้องเพื่อไปเรียน

          เธอหมุนเก้าอี้เอาหัวโขกกับโต๊ะหนังสือทีหนึ่ง เผื่อว่าสมองอันตีบตันของเธอในตอนนี้จะคิดอะไรออกบ้าง ตั้งแต่กลับมาจากบ้านของโภคิน เธอก็ไม่มีสมาธิอ่านหนังสือเลย แถมเธอยังลืมหนังสือไว้ที่เดิมทั้งที่ตั้งใจว่าจะกลับไปเอา ป่านนี้นายโภคินเลือดร้อนปากจัดนั่น คงจับโยนออกนอกบ้านไปแล้ว

          นาฬิกาบนโต๊ะบอกว่าขนาดนี้ 9 โมงกว่า หากไปตอนนี้ก็ขอให้โภคินคงออกจากบ้านไปแล้ว เธอจะได้ทำงานของตนเองโดยที่ไม่ต้องสติแตกเจอหน้าเขาอีก

          ว่าแล้วเธอก็ลุกขึ้นไปหวีผมเตรียมตัวออกไปเผชิญกับชะตาที่รอคอยอยู่ข้างหน้า ว่าเธอจะได้ไปต่อ หรือว่าจะต้องหางานอื่นทำกันแน่

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา