angelic ภาค หัวใจสีขี้เถ้า

9.3

เขียนโดย zusuran

วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 20.50 น.

  15 ตอน
  0 วิจารณ์
  15.73K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.46 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) เพื่อนร่วมทางคนใหม่

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ค่ำคืนยามรัตติกาลอันมืดมิด บางอย่างที่แอบแฝงอยู่ในความมืดได้เผยตัวตนให้ได้ยล ริมฝีปากเข้มมุมตกบวกกับใบหน้าครึ่งซีกที่ออกจะถมึงทึงเหมือนโกรธใครมาเป็นชาติ นัยน์ตาสีเงินวาวโรจน์ท่ามกลางความมืดที่แผ่อาณาเขตทั่วเขตคาม มีเพียงแสงจันทร์เสี้ยวสาดส่องทะลุต้นไม่ที่ไร้ใบให้เห็นเพียงเงาเลือนรางของร่างๆหนึ่งที่โซซัดโซเซไปบนทางเดินรกร้างที่ถูกปกคลุมด้วยใบไม้แห้งเกิดเสียงดังแสกสาก

“แฮ่กๆ…กลิ่นแบบนี้ คงอยู่ข้างหน้านี้สินะ”

เสียงแสกสากปลุกให้ตื่นจากห้วงนิทรากะทันหัน ดวงตาสีพระจันทร์กลอกกลิ้งหาต้นตอของเสียงอยู่ซักพักจึงรู้ว่านั่นคือเสียงฝีเท้าของเทพหนุ่มผมสีม่วงอ่อนที่กำลังเดินตรงเข้าไปในป่าตามลำพัง

ตลอดการเดินทางเขาไม่เคยเปิดปากพูดกับใครเกินห้าประโยค ปกปิดใบหน้าและทำตัวเยี่ยงคนจรเดินดินทั่วไป แต่ว่านั่นไม่ได้ทำให้เฮเลียสรู้สึกสบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพราะโทรเฟ่นเป็นถึงเทพและไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย ตรงกันข้ามเธอกลับรู้สึกสงสัยจนเริ่มอยู่ไม่สุข

เฮเลียสลุกเดินตามออกไปเงียบๆโดยไม่ทำให้พวกที่เหลือตื่น เธอติดตามโทรเฟ่นไปด้วยความเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งถึงริมแม่น้ำที่อยู่ด้านนอกชายป่าอีกด้าน เทพผมสีม่วงอ่อนกำลังร่ายเวทเรียกลูกไฟสีประหลาดออกมาจากฝ่ามือ กลุ่มก้อนสีแดงถูกล้อมด้วยสายฟ้าสีดำทวีความใหญ่ขึ้นจากเท่ากำปั้นได้ค่อยๆขยายจนมีขนาดเท่าฟักทองลูกมหึมาและ…

บึ้ม! ครืนนนนนนนนน!!!!

เทพผมสีม่วงอ่อนขว้างลูกบอลสีประหลาดไปยังอีกฟากฝั่งของชายป่า และผลที่ตามมาก็คือสถานที่แห่งนั้นกลายเป็นสมรภูมิแห่งกองเพลิงในพริบตา สายลมร้อนๆผสมฝุ่นควันและเศษหินหลายขนาดกระจายไปรอบทิศแม้ที่ๆเฮเลียสหลบซ่อนตัวอยู่ก็ไม่เว้น เฮเลียสยกแขนตั้งฉากปกป้องเพียงใบหน้า ขณะที่ส่วนอื่นของร่างกายได้ถูกเศษหินบาดเป็นริ้วแผลจนเลือดไหลซิบ สร้างความเจ็บปวดจนต้องหลุดปากร้องออกมาอย่างลืมตัว

“โอ๊ย!”

“ใคร!”

จู่ๆโทรเฟ่นก็หันกลับมาพร้อมกับสีหน้าถมึงทึง ทั้งที่รู้ว่าถูกจับได้แต่เฮเลียสก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม จนกระทั่ง

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

ดวงตาสีทองคู่นั้นวาวโรจน์ดุจสัตว์ร้าย ยิ่งได้มองใกล้ๆก็ยิ่งรู้สึกถึงความน่ากลัวที่ทรงพลังกว่าเจ้าชายปีศาจ ถ้าหากเขาคิดอยากจะหักเธอเป็นสองท่อนตอนนี้ก็คงทำได้ทันทีโดยปราศจากความลังเล แต่ว่า…

“ข้าคิดว่าเจ้าหลับไปแล้ว ตามข้าออกมามีธุระอะไรหรือเปล่า”

“ท่านทำอะไรอยู่”

เมื่อความพรั่นพรึงจางหายเฮเลียสก็ยิงคำถามออกไปอย่างไม่รั้งรอ แสงสีทองวาวโรจน์จากดวงตาของเทพหนุ่มค่อยๆอ่อนลงพร้อมกับสีหน้าที่ผ่อนคลาย ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากเล่าความจริงให้เธอฟังอย่างง่ายดายพร้อมกับบาดแผลบนร่างกายเธอที่กำลังสมานกันเอง

“ข้าคือเทพแห่งสงคราม ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ท่ามกลางสนามรบ ข้าจำเป็นต้องปลดปล่อยพลังบางส่วนเพื่อไม่ให้ตัวเองคุ้มคลั่งและทำร้ายคนอื่น”

“เพราะอย่างนี้ท่านถึงต้องแอบออกมาอยู่คนเดียวทุกคืนสินะ”

“แต่ข้าก็เกือบทำร้ายเจ้า ไม่สิ…ทำไปแล้วต่างหาก”

โทรเฟ่นมองบาดแผลที่กำลังสมานกันของหญิงสาวด้วยสายตาระริกไหว เฮเลียสยกมือลูบคลำต้นแขนเพื่อปกปิดบาดแผลจากสายตาของเทพหนุ่ม นอกจากใบหน้าแล้วส่วนอื่นของร่างกายก็ยังเต็มไปด้วยริ้วแผล

“ข้า…ขอ…อภัย”

คำพูดเหล่านี้ยากเย็นเหลือเกินกว่าจะกล่าวออกมาได้ถูกต้อง เพราะอยู่ท่ามกลางสงครามและการฆ่าฟันคำพูดเหล่านี้จึงห่างไกลสำหรับเขามากมาย

“ข้าไม่ถือโทษโกรธท่านหรอก โทรเฟ่น เพราะบาดแผลเพียงเท่านี้ไม่ได้ทำให้ข้าถึงตาย”

“เจ้าแข็งแกร่งจริงๆด้วยสินะ”

“แต่ถึงจะแข็งแกร่งแค่ไหน พื้นเพของข้าก็คือมนุษย์”

คำพูดสุดท้ายมาพร้อมกับดวงตาระริกไหว โทรเฟ่นกลั้นก้อนสะอึกเอาไว้พลางมองไปทั่วเรือนร่างของเธอที่ยังคงมีร่องรอยบาดแผล ถึงบาดแผลจะหายไปแต่ร่องรอยและคราบเลือดก็ยังประทับอยู่ให้ได้ยล เทพหนุ่มผมสีม่วงอ่อนขยับมือเอื้อมไปแตะ แต่ก่อนที่ปลายนิ้วจะแตะถึงก็ต้องหยุดชะงักและชักมือกลับ เพราะรู้ดีว่าภายในตัวยังคงเหลือความเดือดพล่านที่พร้อมจะทะลักออกมาได้ทุกเมื่อ

‘ถึงจะแข็งแกร่งขนาดไหนแต่พื้นเพก็ยังคงเป็นมนุษย์’

สำหรับโทรเฟ่นแล้วมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่แสนสั้นและเปราะบางเกินกว่าเทพเจ้าผู้กระหายสงครามจะไปแตะต้อง

“เจ้ากลับที่พักไปซะเถอะ อีกเดี๋ยวก็จะเช้าแล้ว”

“โทรเฟ่น ข้ามีเรื่องอยากถามท่าน”

“หือ”

“หากท่านมีคนที่รักมากๆ ท่านจะทำอย่างไรหรือ”

“ยังไง”

ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจในความหมาย แต่ก่อนที่จะได้ซักไซ้ให้กระจ่างสาวเจ้าก็เดินจากไปไกลจนกู่ไม่กลับเสียแล้ว

“ถ้าหาก…มีคนที่รักมากๆ…อย่างนั้นรึ”

แล้วคนรักที่ว่ามันหมายความว่ายังไงกันล่ะ…

หาวววววว~กรรรรร!..

เสียงหาวหวอดๆดังคละเคล้ากับเสียงคำรามของพยัคฆ์หนุ่มตลอดการเดินทางที่สุดแสนจะเบื่อหน่าย ไลน์ยังคงรั้งท้ายอยู่หลังสุดเคียงคู่กับลิกไนต์พี่สาวที่ยังคงรักษาความเงียบได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย

เฮเลียสต้องอยู่ตรงกลาง เบื้องหน้าคือโทรเฟ่นที่ยังคงเงียบและทำหน้าที่ผู้นำทางที่ดี คำถามที่เธอไม่คาดหวังคำตอบจากเขาเมื่อคืนจะทำให้เทพผมสีม่วงอ่อนผู้นี้ระคายได้หรือเปล่าอยากจะรู้นัก

หรือว่าบางทีเขาอาจจะไม่เข้าใจความหมายของมันเลยด้วยซ้ำ…

แซ่กๆ…ซ่า!!!

ฮี้!!!!!!!!!~

“อ๊ะ!”

“เป็นอะไรไป”

“ไม่รู้ จู่ๆม้ามันก็…กรี๊ดดดดดดดด!!!!”

จู่ๆอาชาสีหมอกที่เฮเลียสนั่งอยู่ก็เกิดคลั่งและกระโดดโลดโผนจนร่างหญิงสาวหล่นก้นจ้ำเบ้า มิหนำซ้ำยังจะถูกกีบเท้าแสนงามของมันเหยียบซ้ำสอง

“อ๊า!”

พรึ่บ!

เหมือนเฉียดเส้นตายไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด กีบเท้าแสนงามของอาชาสีหมอกหยุดชะงักอยู่กลางอากาศห่างจากใบหน้าของเฮเลียสเพียงคืบ สิ่งที่ทำให้มันหยุดชะงักได้ก็คือเกราะเวทโปร่งแสงของโทรเฟ่น

“บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” เทพหนุ่มถามเสียงเครียด

เฮเลียสพูดไม่ออกนอกจากส่ายหน้า แต่ก็ไม่ได้ทำให้ทุกคนมีสีหน้าดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ไลน์กระโดดลงจากหลังม้าและคว้าอานที่อยู่บนหลังของมันขว้างไปที่พุ่มไม่ทึบด้วยพละกำลังที่มหาศาล

โครม!

“อ๊าก!”

“กะแล้วเชียว”

พยัคฆ์หนุ่มคำรามเสียงต่ำ เสียงที่ดังมาจากหลังพุ่มไม้พลันเงียบลงพร้อมๆกับความเงียบสงัดอย่างผิดวิสัยของป่า และคนที่รู้ตัวก่อนใครเพื่อนก็คือผู้ที่มีสัมผัสไวอย่างลิกไนต์

“ข้างบน!”

ทันทีที่พยัคฆ์สาวสบถออกมา หอกหลายชนิดและหลายขนาดก็พุ่งหลาวลงมาและเข้าโจมตีพวกเขาจากทุกทิศทุกทาง สองพยัคฆ์พี่น้องเปี่ยมไปด้วยพลังและความว่องไวสามารถหลบการโจมตีได้พร้อมๆกับทำลายอาวุธที่พุ่งเข้าจนแหลกเป็นผุยผงระยิบระยับร่วงกราวลงสู่พื้นแทน ทว่ายังมีลูกธนูอีกห่าใหญ่ที่พุ่งเข้าโจมตีจากรอบทิศ แบบนี้คงหลบไม่พ้นทุกดอก ทั้งสองจึงใช้ร่างกายตัวเองเข้าเป็นโล่ให้กับหญิงสาวที่ดูจะเป็นเป้าหมายของอาวุธสุดร้ายกาจ ไลน์ถึงกับชักดาบสั้นจากซองหนังที่คาดไว้ต้นขาออกมาปัดป้องลูกธนูที่พุ่งหลาวเข้ามาด้านหลังเฮเลียสรวดเดียวสิบดอก แต่ดูท่าว่าการปัดป้องเพียงเท่านี้จะไม่ทั่วถึงและได้ผลมากมาย

“ทำไงดีพี่ แบบนี้เอาไม่อยู่แน่”

พรึ่บ!

เสียงผ้าคลุมเสียดสีกับอากาศดังพอที่จะเป็นจุดสนใจ ที่มาของเสียงนั้นคือโทรเฟ่นที่สะบัดผ้าคลุมสีรัตติกาลของตนเป็นวงกลม สร้างพายุคลั่งสะท้อนลูกธนูออกไปจนหมดสิ้นในพริบตา

ฉึก!...

“อ๊าก!”

เหมือนลูกธนูหลงทางดอกหนึ่งจะย้อนกลับไปเล่นงานเจ้านายของมันเข้าให้แล้ว ไลน์ไม่รอช้าที่จะเข้าไปกระชากตัวบงการออกมาจากที่ซ่อน และตัวบงการที่ว่าก็คือเด็กผู้ชายตัวกระจ้อยสวมชุดคลุมสีดำยาวเฟื้อยถือไม้เท้ารูปร่างประหลาด

“ปล่อยข้านะ ถือสิทธิ์อะไรมาจับข้า!”

“เด็กรึ?”

สายตาทุกคู่ต่างมองไปที่ร่างกะเปี๊ยกที่ถูกห้อยต่องแต่งออกมาจากที่ซ่อน เส้นผมสีเขียวสดใสเช่นเดียวกับดวงตากลมโตบ้องแบ๊วแต่แอบดุดันโดดเด่นมาแต่ไกล แถมเสียงเจ้าตัวยังแหลมปรี๊ดจนแสบแก้วหู

“ปล่อยข้า!”

“จัดให้”

ตุ้บ!

“โอ๊ย! เจ็บบบบบ!!!!!!!!!!”

อีกครั้งสำหรับลมหายใจที่ถอนทิ้งของลิกไนต์ ท่าทางของเธอเหมือนจะละเหี่ยใจกับนิสัยของน้องชายเต็มแก่ และเมื่อรู้สึกถึงสายตาสงสัยของเฮเลียสเจ้าตัวจึงลอบถอนหายใจเสียอีกรอบและตอบกลายๆว่า

“ไลน์ไม่ถูกกับเด็ก”

เมื่อได้รับคำตอบเฮเลียสก็หันกลับไปมองเจ้าของเสียงวุ่นวาย และเหมือนคำพูดของพยัคฆ์สาวจะถูกต้องเหมือนจับวางเมื่อไลน์กำลังแยกเขี้ยวจะงับหัวเด็กที่เอาแต่ร้องโวยวาย

“เจ้าเล่นงานพวกข้าทำไม บอกมา!”

“ข้าเปล่านะ!”

“โกหก! เดี๋ยวพ่อก็เขมือบไม่ให้เหลือซากเลยนี่”

“เอาปากเน่าๆออกไปห่างๆข้านะเจ้าแมวขี้เรื้อน”

“ว่ายังไงนะ!”

“หยุดได้แล้วทั้งคู่นั่นแหล่ะ!”

เฮเลียสห้ามปรามอย่างเหลืออดก่อนที่จะได้เห็นภาพเสือในร่างคนเขมือบหัวเด็กปากเสีย

เมื่อถูกทัดทานด้วยเสียงใสสะดุดหู เด็กปากเสียที่ว่าจึงละสายตาจากพยัคฆ์ที่กำลังอ้าปากรอเขมือบหัวมาจับจ้องเจ้าของเสียงนั้นแทน พร้อมกับเสียงคำรามต่ำในคอที่เหมือนจะไม่เชื่อในสายตาตัวเองเท่าไหร่

“ไม่อยากเชื่อ กลิ่นที่ข้าตามมาเป็นมนุษย์หรือนี่”

“หมายความว่ายังไง เจ้าไม่ได้ตั้งใจมาชิงตัวนางหรอกรึ” ไลน์สวนกลับ

“บ้า! ข้าจะมาเอาตัวมนุษย์อ่อนแอไปทำไมกัน ที่ข้ากำลังตามคือเจ้าชายปีศาจต่างหากเล่า”

“เคออนรึ!”

“หืม…เจ้ารู้จักเจ้าชายเคโอเรสเตอร์ด้วยรึ แถมยังเรียกชื่อเล่นแบบสนิทชิดเชื้ออีกด้วย เจ้าเป็นใคร!”

เด็กผู้ชายร่างเล็กหรี่ตาสงสัยเอ่ยถมอย่างะแวดระวัง

เฮเลียสจึงตัดสินใจแนะนำตัวและเล่าเรื่องพอสังเขป โดยที่มีปีศาจร่างเล็กนั่งกอดอกพยักหน้ารับฟังเป็นพักๆ

“อย่างนี้นี่เอง…เจ้าคือมนุษย์ที่บังเอิญได้ดื่มเลือดเจ้าชายเข้าไปก็เลยมีชีวิตยืนยาวกว่าปกติสินะ มิน่าล่ะข้าถึงได้กลิ่นปีศาจจากตัวเจ้า ดูท่าทางเจ้าจะเปราะบางเพียงรูปกายเท่านั้นสินะ”

“พวกเราเล่าเรื่องที่รู้มาให้เจ้าฟังหมดแล้วทีนี้ก็ตาเจ้าเล่าบ้างแล้วเด็กน้อย เริ่มจาก เพราะอะไรเจ้าถึงมาทำร้ายพวกเราเป็นยังไง หือ”

โทรเฟ่นที่เงียบมาแสนนานเริ่มปริปาก และก็ได้คำตอบแทบทันทีเมื่อเด็กชายคลี่ผมบนหัวออกเผยให้เห็นรอยนูนแดงปูดโปนเท่าไข่ห่านที่เหมือนจะโดนบางอย่างกระแทกมาสดๆร้อนๆ

“ก็ไอ้บ้าตัวไหนไม่รู้ดันโยนอานม้ามากระแทกหัวข้า จนเป็นแบบเนี้ย!”

ทุกคนถึงบางอ้อและจับจ้องไปยังตัวต้นเหตุที่กำลังแอบย่องออกจากกลุ่ม

“จะไปไหน ไลน์”

เสียงเย็นเยียบอันทรงพลังสะกดให้คนที่กำลังย่องหนีตัวแข็งทื่อไปทันที ไลน์รับรู้ถึงสายตาอาฆาตที่มีมากกว่าหนึ่งจับจ้องจนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ร่างกายทุกส่วนเคลื่อนไหวขัดๆไม่ต่างจากตุ๊กตาลานขาด

“นั่นคนรักของเจ้ารึ”เด็กชายเอ่ยถาม

“นั่นน้องชายข้า” พยัคฆ์สาวตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังเรียบสนิทพอๆกับใบหน้า

“ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร”

“ลืมไปเสียสนิท ข้ามีชื่อว่าเอเมรัลด์ เป็นหนึ่งในผู้ติดตามเจ้าชายปีศาจแห่งแดนมิคสัญญี ข้ามาตามหาเจ้าชายพร้อมพี่สาวข้า ตอนนี้เราแยกกันเพราะได้กลิ่นเลือดจากสองทิศทาง…ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอมนุษย์เช่นเจ้า”

ประโยคหลังเหมือนเป็นการเหน็บแนมมากกว่า เฮเลียสจ้องเอเมรัลด์อย่างสนใจ ถ้าเป็นผู้ติดตามบางทีเคโอเรสเตอร์ก็อาจจะปลอดภัย

“จะยังไงก็ช่าง เจ้าก็ไม่มีเหตุผลอะไรมาลอบกัดพวกเรา!”

ไลน์ที่กลับมาเป็นตัวของตัวเองเริ่มขึ้นเสียง ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาคือร่างที่มีออร่าใหญ่ยักษ์จากเอเมรัลด์ที่เหมือนจะเหยียบเขาให้จมดิน

“ก็แล้วมันใครกันที่เริ่มก่อน หา!”

“ขะ ขอโทษจ้ะ”

“ชิ!...ช่างเถอะ ยังไงข้าก็ไม่มีธุระอะไรกับพวกเจ้าอยู่แล้ว ลาล่ะ”

“ข้าอยากเจอเคออนอีกครั้ง”

เสียงใสแทรกขึ้นกลางวงที่กำลังมีคนปลีกตัวจาก เฮเลียสเดินออกมาข้างหน้าและย้ำคำพูดหนักแน่น ทำให้เอเมรัลด์เหลือบมองเธออย่างประเมินค่าอีกครั้ง ก่อนที่ปีศาจร่างเล็กจะกล่าวออกมาเสียงเรียบไร้แววโกหก

“เจ้าน่ะ...คงกำลังจะตายสินะ”

“อะ!”

“นี่เจ้าจะพูดมากเกินไปแล้ว!”

“ไลน์!”

“ข้าสัมผัสได้ ไม่สิ…ตอนนี้แค่มองด้วยตาเปล่าก็รู้แล้ว ว่าเจ้าน่ะมีคำสาปติดตัวและมันกำลังกัดกินพลังชีวิตของเจ้า แต่ที่เจ้ายังไม่ตายก็คงจะเป็นเพราะเลือดของเจ้าชายของข้าช่วยยับยั้งมันเอาไว้ล่ะสินะ”

เฮเลียสเย็นวาบที่สันหลัง คำพูดของเอเมรัลด์เป็นความจริงทุกประการ แบบนี้ก็ยิ่งทำให้เธออยากเจอเจ้าของโลหิตที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงชีวิตของเธอมากขึ้นไปอีกหลายเท่า

“แต่ว่า ข้าคงรับคำขอร้องของเจ้าเอาไว้ไม่ได้หรอก เพราะทางเราเองก็ต้องพาเจ้าชายกลับไปยังโลกปีศาจให้เร็วที่สุด เพราะเจ้าชายเองก็อ่อนแอลงทุกวัน”

คำตอบของเอเมรัลด์ทำให้เฮเลียสถึงกับหน้าสลด รู้สึกเหมือนจะได้ลาจากกับคนรักมาเป็นชาติเข้าจริงๆ

“มาอยู่ที่นี่เองรึ”

เสียงทุ้มคุ้นหูที่นานๆทีจะได้ยินสักหน ดังมาจากด้านข้างซึ่งมีชายหนุ่มผมสีม่วงอ่อนยืนเอามือไพล่หลังอยู่

“โทรเฟ่น”

“เอเมรัลด์ตกลงจะร่วมเดินทางไปกับเราจนถึงเมืองข้างหน้า และยังอาสาที่จะปรุงยาระงับคำสาปให้เจ้าเป็นกรณีพิเศษ”

“เพราะท่านช่วยพูดสินะ”

“ก็ไม่เชิงหรอก …อย่าลืมสิว่าเจ้าชายปีศาจน่ะ ถึงตายจนเหลือแค่ลูกตาก็จะยังดิ้นรนมาหาเจ้าจนได้นั่นแหล่ะ สู้ให้ลูกสมุนรออยู่ที่นี่จะไม่ดีกว่ารึ”

“อย่างนั้นรึ”

ถึงจะได้ยินแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้ทำให้สีหน้าสลดของเฮเลียสจางหายไปเลยแม้แต่น้อย

“ตอนนี้เจ้ากำลังเศร้าใจหรือว่าเสียดายกันนะ”

“ข้ากำลังเศร้าใจ”

“อย่างนั้นรึ…มนุษย์นี่มีอารมณ์หลากหลายจริงๆนะ”

โทรเฟ่นพูดเองเออเองทุกประการ เขายังไม่ค่อยเข้าใจในจิตใจของคนอื่นมากพอจึงค่อยๆเรียนรู้ต่อไปทีละน้อย บางทีกว่าจะสิ้นสุดการเดินทางครั้งนี้อาจจะมีสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกขึ้นมากับเขานิดหน่อยก็ได้

หมับ!

แรงรั้งเบาๆที่แขนเสื้อทำให้เทพหนุ่มหยุดชะงักและหันไปมองคนที่ยังรั้งเอาไว้ เฮเลียสจ้องมองเขาอย่างร้องขออะไรบางอย่างซึ่งเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง การกระทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไรหนอ ทว่า สัญชาตญาณที่อยู่ลึกลงไปสะกิดให้โทรเฟ่นก้มลงโอบร่างบางนั้นขึ้นมาแนบอกช้าๆ

อา…มันช่างนุ่มนิ่มและอบอุ่นผิดจากรูปร่างบอบบางภายนอกเหลือเกิน

เมื่อมารู้ตัวอีกทีดวงตะวันก็เริ่มบ่ายคล้อย โทรเฟ่นจึงพาเฮเลียสที่เผลอหลับกลับมายังกลุ่มที่รออยู่จุดพัก ซึ่งคนที่เหลืออยู่ก็มีเพียงลิกไนต์และเอเมรัลด์สองคนเท่านั้น และเมื่อทั้งสองพบกับเฮเลียสก็มีสีหน้าตกใจเล็กน้อย

“คำสาปรึ”

“ไม่ใช่ แค่หลับไปน่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็วางใจได้หน่อยหนึ่งล่ะนะ ข้าต้องหาที่ดีๆปรุงยา หมู่บ้านข้างหน้านี้คงจะใช้ได้”

“ขอบใจมาก”

“ฮึ เห็นแก่เจ้าชายหรอกถึงได้ยอมช่วย”

ปีศาจร่างเล็กทำแก้มป่องทั้งที่รู้ว่ามันไม่ได้น่ารักน่าเอ็นดูเท่าไหร่ แต่พอนึกถึงคำพูดบังคับทางอ้อมของเทพผมสีม่วงคนนี้กลับยิ่งทำให้ยิ้มไม่ออก

“อย่าเพิ่งวางใจไปมากกว่านี้ดีกว่า เรายังต้องเดินทางอีกไกล ข้าให้ไลน์ไปดูลาดเลาที่หมู่บ้านใกล้ๆแล้ว เราต้องรีบกันหน่อยก่อนที่มันจะค่ำ”

ลิกไนต์ยื่นข้อเสนอพลางจัดสัมภาระซึ่งมีเพียงผ้าคลุมผืนใหญ่และอาชาสีหมอกที่เธอพาหนะอยู่เท่านั้น ก่อนที่จะหันมามองเอเมรัลด์อย่างประเมินค่า

“เจ้าต้องการม้าแคระสักตัวหรือไม่”

“ข้าไม่ใช่เด็กนะ อย่ามาดูถูกข้าให้มากนักนางแมวป่า!”

ครืนนนนนน!!!

“เจ้าว่าใครเป็น ‘นางแมวป่า’กันเจ้าเตี้ย”

เสียงขู่คำรามของพยัคฆ์สาวมาพร้อมกับความมืดทมิฬที่ทำให้เอเมรัลด์หัวหดเหงื่อโซมกาย และตระหนักได้ทันทีว่าต้องระวังคำพูดทุกคำกับคนในกลุ่มนี้ให้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นมีหวังไม่เหลือแม้แต่ซากให้ไปเจอเจ้าชายผู้เป็นนายที่รักอย่างแน่แท้

ในความฝันคนผู้นั้นได้เดินเข้ามาหา ใบหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยช่างดูอบอุ่น เฮเลียสกะพริบตาหลายหน แต่ภาพเหล่านั้นก็ยังไม่หายไป คนๆนั้นก็ยังคงเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

“หรือว่าเราจะมาถึงแล้ว”

เฮเลียสพึมพำกับตัวเองขณะที่สายตายังจับจ้องกลุ่มเอลฟ์สวมชุดขาวโพลนที่เริ่มมีมากกว่าหนึ่ง รู้สึกว่ามันจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆจนตอนนี้กลายเป็นขบวนไปแล้ว แต่ทั้งที่เป้นอย่างนั้นรอบกายกลับเบาหวิวและหนาวเย็น

นี่มันอะไรกัน…มันอะไรกัน!

เฮเลียส…

เสียงทุ้มคุ้นหูนี้อยู่ใกล้ๆเหมือนมีคนมากระซิบข้างหู ทว่ารอบกายกลับมีเพียงความว่างเปล่า เฮเลียสหมุนรอบตัวพบายามมองหาที่มาของเสียงแต่ก็กลับไม่พบแม้เงาของใครซักคน

“ใครน่ะ…ที่นี่ที่ไหน…ข้าอยู่ที่ไหน”

เฮเลียส…ข้าอยู่นี่

“ไม่เห็น….ข้ามองไม่เห็น!”

เฮเลียสเริ่มระส่ำระส่าย รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างไร้ทางต่อต้าน เอลฟ์หลายสิบตนที่เดินเข้ามากำลังยื่นมือมาหาเหมือนเรียกให้เข้าไป ทว่าหญิงสาวกลับรู้สึกหวาดหวั่น

“อย่าเข้ามานะ…อย่า!”

เสียงกรีดร้องดังก้องกังวานขณะที่ทุกอย่างกำลังหมุนรอบตัวอย่างรวดเร็ว ทว่าเสียงนั้นยังคงดังแทรกเข้ามาและพยายามเรียกชื่อของเธอไม่หยุดหย่อน ทันใดนั้นก็เกิดการกระชากจากมือที่มองไม่เห็น ทำให้เฮเลียสรู้สึกเหมือนตัวเองได้โผล่ขึ้นบนผิวน้ำยังไงอย่างนั้น

“เฮเลียส ลืมตาสิ”

เสียงเรียกนั้นอยู่ใกล้ๆนี้เอง และทันทีที่ลืมตาตื่นสิ่งแรกที่มองเห็นคือใบหน้าคมสันสีแทนและเส้นผมสีม่วงอ่อนที่สยายปรกลงมาเคล้าเคลียบนใบหน้าของเธอ

“โทรเฟ่น…นั่นท่านรึ”

“ลืมตาได้เสียทีนะ”

โทรเฟ่นขานรับด้วยสีหน้าที่ยังเรียบสนิทก่อนจะเก็บเส้นผมสีม่วงของตนและเงยหน้าห่างจากใบหน้าเนียนของหญิงสาวที่นอนนิ่งเหมือนหุ่นขี้ผึ้ง

“นี่ข้าเป็นอะไรไปรึ”

“ฝันร้ายกระมัง ผลข้างเคียงจากยาที่เอเมรัลด์ให้เจ้ากินเข้าไป”

โทรเฟ่นตอบคำถามพอเข้าใจ เฮเลียสยันกายลุกนั่งพลันชะงักเมื่อรอบกายไม่ใช่ผืนป่าอย่างที่คุ้นชิน ที่นี่คือห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กทำจากไม้ และที่ๆเธออยู่ก็คือเตียงไม้เก่าๆที่มีทั้งผ้าห่มและที่นอนครบครัน ที่สำคัญชุดที่โทรเฟ่นสวมใส่อยู่เป็นเพียงชุดชาวบ้านสีหม่นเรียบง่ายและไร้ผ้าคลุมสีรัตติกาลเหมือนอย่างเคย

“ที่นี่คือที่ไหนกัน”

“หมู่บ้านของชนเผ่าอิสระ”

“ชนเผ่าอิสระ?”

“ร่างกายเจ้ายังต้องปรับตัวอีกสักระยะ ที่นี่เป็นชนเผ่าอิสระยากที่คนนอกจะใช้เวทมนตร์เดินทางเข้ามา ไม่มีใครตามเราเจอง่ายๆแน่”

“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องนั้นหรอก”

“เอ๊ะ!”

คำตอบจากหญิงสาวทำเอาโทรเฟ่นต้องชักคิ้วฉงน ใบหน้าซีดเซียวที่เต็มไปด้วยความกังวลแบบนั้นจะเป็นอะไรไปได้นอกจากความหวาดกลัวกันเล่า

“แล้วเจ้าเป็นอะไร”

“ข้าฝันร้าย”

“นั่นก็เพราะผลข้างเคียงของยาสกัดคำสาปเท่านั้น”

“ข้าฝันเหมือนจริงเหลือเกิน ฝันถึงพวกเอลฟ์ พวกเขากำลังเรียกให้ข้าไปหา แต่ยิ่งเข้าไปมากเท่าไหร่ข้าก็ยิ่งรู้สึกว่ามันน่ากลัวมากเท่านั้น หากท่านไม่เรียกว่าแล้วล่ะก็…”

ปั่บ!

ฝ่ามือหนาอบอุ่นตบบนไหล่บอบบางเบาๆเรียกสติที่กำลังกระเจิดกระเจิงให้กลับมาสนใจสัมผัสนั้น เฮเลียสเงยหน้ามองเจ้าของมืออบอุ่นอย่างชั่งใจ ใบหน้าของเทพหนุ่มยังคงเรียบสนิทก่อนจะค่อยๆอ่อนลงพร้อมกับตาสีทองของเขาที่เริ่มอ่อนแสง

“โทรเฟ่น”

“เจ้าแค่ฝันร้าย…ความฝันก็คือความฝัน ไม่มีทางเป็นความจริงไปได้ เชื่อข้าเถอะ เฮเลียส”

คำพูดเหมือนปลอบใจกลายๆช่วยฉุดรั้งหัวใจที่เกือบกลายเป็นน้ำแข็งให้กลับมาเต้นเป็นจังหวะเดิม เฮเลียสลดผ่อนลมหายใจอย่างโลกอก ยกมือวางทาบบนหลังมือที่กุมไหล่ของเธอมั่น

ไม่อยากให้มือนี้ห่างไปไหนเลย ไม่อยากแม้แต่วินาทีเดียว…ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะดี

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา