Vinity: แผนลับล้างพันธุ์มนุษย์
เขียนโดย Pakkie_Davie
วันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 02.35 น.
แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2560 02.58 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) Bullying
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความVinity: แผนลับล้างพันธุ์มนุษย์
ผู้แต่ง: Pakkie Davie
คำโปรย:
ท่ามกลางภัยเงียบที่กำลังคืบคลาน ไฟสงครามที่กำลังก่อตัว
องค์กรลึกลับในสหรัฐอเมริกาและพวกไร้ถิ่นเริ่มออกค้นหาสิ่งที่เรียกว่า
In-D (อินดี้)
ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่บรรจุแผนการทำลายล้างมนุษยชาติเอาไว้อย่างเสร็จสรรพ
ในขณะเดียวกัน รีลอยด์ ไอเลนเบิร์ก เด็กหนุ่มผู้ครอบครอง In-D โดยชอบธรรม
ก็เริ่มตระหนักได้ว่า ภัยร้ายกำลังมาเยือน
เขาจึงต้องหาทางหยุดยั้งศัตรูจากการคุกคามนั้น
แล้วเขาจะต้องทำเช่นไร?
การต่อสู้ระหว่างเด็กหนุ่มผู้มีพลังเหนือธรรมชาติกับองค์กรลี้ลับจะจบลงอย่างไร?
In-D จะถูกแย่งชิงไปหรือไม่?
ติดตามการผจญภัยของรีลอยด์ได้ที่นี่
##################
ลิงค์ตอนก่อน
ตอนที่ 0 - Blue Whale
https://pantip.com/topic/36571053
##################
ตอนที่ 1
Bullying
ผัวะ
“โอ๊ย!”
“รีลอยด์ ไอเลนเบิร์ก! หยุดนะ!”
“อาจารย์! มันต่อยผม!”
“หุบปากไปเลยแซ็ค”
“รีลอยด์ทำร้ายผมก่อน!”
“หยุดนะ รีลอยด์!” มือหยาบกร้านของอาจารย์แม็กซ์เวลผลักอกไว้ ก่อนที่ผมจะมีโอกาสถลาตัวเข้าไปชกแซ็คจนเลือดกบปาก ผมสะบัดมือของอาจารย์ออก สายตายังคงจดจ้องมองคู่กรณีกำลังยืนตัวสั่นลูบแก้มอยู่ตรงหน้า
อ่านถึงตรงนี้ขอให้คุณอย่าหลงเชื่อสายตาออดอ้อนของงูเห่าตัวนั้น เพราะงูมันมีพิษ...
ย้อนกลับไปเมื่อสิบนาทีก่อน สิ่งที่เวรแซ็คทำคือปายางลบสี่ก้อนใส่ผม แถมยังวาดรูปใต้สะดือลงบนโต๊ะเรียนตัวประจำที่ผมนั่งด้วย
ก่อนหน้านั้นอีกสิบนาที มันเอากระดาษมาแปะบนหลังแล้วเขียนคำว่า ‘ห้าดอลลาร์ สำหรับใครก็ตามที่เตะก้นเขาได้’... คราวนี้ย้อนกลับมาที่เวลาปัจจุบันภายในห้องเรียน มันก็เป็นอย่างที่คุณเห็น
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมถูกกลั่นแกล้ง นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่ในโรงเรียนบูน ไฮสคูล เมื่อเทอมที่แล้ว ผมก็ตกเป็นเหยื่อของพวกที่ชอบสร้างความสุขโดยการทำร้ายเด็กใหม่ไปวันๆ… เด็กเก่าอยากรังแกผมใจจะขาด เพียงแต่พวกเขายังไม่สบโอกาสเท่านั้นเอง
ดูสิ... ดูงูเห่าตัวนั้นกำลังประจบอาจารย์
“ผมไม่ได้ทำอะไรเลยครับ จู่ๆรีลอยด์ก็ชกผม เขาชอบรังแกคนอื่น”
“แกว่าอะไรนะแซ็ค” ดูไอ้คนหน้าไม่อายพูด... ผมรีบถลาตัวเข้าหา อีกมือก็กระชากคอเสื้อไว้ แต่แล้วอาจารย์ก็ดึงตัวผมออกห่างแซ็คโดยไว หากช้ากว่านั้นอีกสักวินาที แซ็คคงต้องถูกหามไปห้องพยาบาล
“รีลอยด์ เธอออกไปก่อน”
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะ ผมจะนั่งเรียน แซ็คต่างหากที่…”
“เชิญ” แววตานิ่งเฉยของอาจารย์แมกซ์เวลทำให้ใครต่อใครไม่กล้าเถียง เขาผายมือไปทางประตู
ผมกรอกตารอบหนึ่ง รู้ผลของการกระทำของตัวเองดี “โอเค”ว่าจบก็เก็บกระเป๋า เดินออกจากห้องเรียนอย่างว่าง่ายท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเพื่อนทั้งคลาส งูพิษยังคงตีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มเยาะในจังหวะที่ผมปิดประตูห้องเรียน... หึ ระวังตัวไว้ให้ดีแซ็ค ฉันหมายหัวแกไว้แล้ว
โรงเรียนมันก็น่าเบื่อแบบนี้แหละ ไม่มีที่ยืนให้กับคนที่ถูกรังแก ผมโดนเอาเปรียบเป็นประจำ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ บ่อยครั้งผมมักเอาคืนคู่กรณีตอนที่อยู่ห่างไกลจากสายตาของอาจารย์เสมอ แซ็คเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
Boone Highscool , Orlando, USA
เสียงออดพักเที่ยง เป็นเวลาเดียวกันเมื่อผมหย่อนก้นนั่งทานแฮมเบอร์เกอร์ไก่ชิ้นที่สอง จู่ๆสมุดเล่มหนึ่งก็วางบนโต๊ะข้างจาน ส่วนเจ้าของสมุดก็เดินผ่านไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมมองหนุ่มแว่นร่างผอมคนนั้นกำลังต่อแถวซื้ออาหาร เขาคือนักเรียนที่ย้ายเข้ามาพร้อมกับผม เราเรียนอยู่ในคลาสเดียวกัน เขาชื่อเจโรม เมอเว เป็นเด็กเนิร์ดที่จืดจางสุดๆ... ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา ผมอาจจะลืมการมีตัวตนของเขาไปอย่างถาวรหากเขาไม่ส่งการบ้านหรือเลกเชอร์มาให้ผมลอกทุกอาทิตย์
ลายมือของเจโรมสะอาดเรียบร้อย ผมควรสำเนาเก็บไว้เป็นต้นฉบับในการเตรียมสอบด้วยซ้ำ... ถ้าหากเมื่อเทอมที่แล้วไม่ได้เขาช่วยไว้ ป่านนี้ผมคงต้องเรียนซัมเมอร์กับอาจารย์แมกซ์เวลอีกรอบ
“ขอบใจนะ”ผมพึมพำแผ่วๆ หันมองเด็กเนิร์ดพร้อมยกนิ้วโป้งเป็นสัญญาณ ทางด้านเจโรมก็หันมาพยักหน้าขยับขาแว่นเป็นเชิงตอบรับ ก่อนจะเดินไปนั่งอีกฟากหนึ่งของห้องโถงเพื่อทานอาหารเที่ยงตรงนั้นเพียงลำพัง
เขาเป็นเพื่อนของผมเหรอ... ก็เปล่า เราไม่เคยคุยกันเลยสักครั้ง ไม่เคยทานอาหารเที่ยงด้วยกัน แต่พวกเรารู้จักกันด้วยเหตุผลที่ค่อนแปลกกว่าคนอื่นตรงที่เราทั้งสองคนต่างถูกเด็กเก่าในโรงเรียนกลั่นแกล้งเสมอ
เจโรมถูกเรียกได้ว่าเป็นเหยื่อมาตรฐานของพวกเบ่งก้าม เขาเป็นคนตัวเล็กผอม นิสัยเงียบขรึม ทุกครั้งที่เจโรมถูกขังในห้องแล็บหลังเลิกเรียนก็ไม่เคยบ่น ยามที่ถูกเพื่อนๆรังแกก็ไม่เคยว่า เขาตกเป็นเป้าหมายของทุกคนโดยเฉพาะพวกกลุ่มเด็กเนิร์ดด้วยกันที่มีความเนิร์ดน้อยกว่าเจโรมหน่อย
ยังไงน่ะเหรอ... ลองคิดดูล่ะกัน หากคุณเป็นที่หนึ่งของโรงเรียนมาตลอด แล้วใครสักคนย้ายเข้ามาในโรงเรียน(สมมุติให้ชื่อว่าเจโรม) สอบ SAT ได้คะแนนเต็มในทุกส่วน แถมยังได้คะแนนเต็มทุกวิชาในชั้นเรียนอีกด้วย คุณจะไม่อิจฉาตาร้อนเขาบ้างเลยหรือ... หึ ผมพนันได้ว่าคุณจะหาทางกดดันจนเขาไม่มีที่ยืนในสังคมเลยล่ะ
ปึง
โต๊ะสั่นสะเทือน ผมสะดุ้งหลุดจากภวังค์
“สวัสดีรีลอยด์ พวกเรานั่งร่วมโต๊ะกับนายได้ใช่ไหม”
“ว่าไง รีลอยด์”
“เฮ้”
ผมปิดปากเงียบ สบมองเด็กนักเรียนเกรดสิบสองสี่คนทั้งชายและหญิงเดินเรียงแถวอ้อมไปนั่งฝั่งตรงข้าม... หนึ่งในนั้นมีคนที่ผมรู้จักด้วย
“แอ็กนิส นิลบาเล็ต” เขาคือลูกหลานของตระกูลที่ครอบครองตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามาหลายรุ่นนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สามจบลงในปี 2030 หมอนี่น่าจะมีหูตากว้างไกลชนิดที่ว่ารู้ทันโลกไปเสียทุกเรื่อง อาจจะถึงขั้นสาระแนชีวิตส่วนตัวของคนอื่นด้วย และเท่าที่จำได้คือแอ็กนิสไม่เกลือกกลั้วกับสังคมระดับล่างในโรงเรียน เพื่อนๆของเขาทั้งสามคนตรงนั้นก็น่าจะเป็นแค่พวกลูกกระจ๊อกที่คอยเลียแข้งเลียขาเจ้านาย
“นายจะรีบไปไหน รีลอยด์... เราคุยกันก่อนดีไหม”
ผมลุกขึ้นในจังหวะที่แอ็กนิสเอ่ยห้ามไว้ “เรารู้จักกันด้วยเหรอ”
“ฉันไม่รู้จักนาย แต่ฉันรู้จักพ่อของนายดี”
หึ... ผมได้ยินเช่นนั้นก็เลื่อนขาเขยิบกลับไปนั่งที่เดิม พร้อมวางกำปั้นบนโต๊ะดังปึง ทุกคนสะดุ้ง
แอ็กนิสยิ้มร่า “นายเป็นยังไงบ้าง รีลอยด์”
“ก็งั้นๆ”
“ช่วงหลังๆได้ข่าวพิเรนทร์เกี่ยวกับนายในโรงเรียนบ่อยๆ”
“เรื่องอะไร”
“หลายเรื่อง... ว่าแต่วันนี้มีคนได้เงินห้าดอลลาร์จากแซ็คแล้วยังล่ะ”
เหล่าสมุนหัวเราะลั่น
ผมกำหมัดแน่น บอกแล้วไง... เขาสาระแนจริงๆ “ถ้าร้อนเงิน ก็ลองเตะก้นฉันดูสิ”
“ไม่ล่ะ”ลูกคุณหนูบอก “ฉันไม่ได้ร้อนเงินถึงขนาดนั้น”
“แล้วเรื่องเกมปลาวาฬสีน้ำเงินล่ะว่าไง”
“นั่นสิ ได้ยินมาว่านายเล่นเกมปลาวาฬสีน้ำเงิน”
ผมรีบสวน “เรื่องนั้นมันน่าจะจบไปตั้งแต่เดือนที่แล้วนะ” เกลียดจริงๆยามที่มีคนขุดเรื่องส่วนตัว
“รู้ไหมว่าเขาจบเกมยังไง”แอ็กนิสเอ่ยขัด เพื่อนๆเริ่มตั้งใจฟัง “เขาแจ้งเรื่องเว็บไซต์ปลาวาฬสีน้ำเงินทั้งหมดเจ็ดแห่งให้กับเจ้าหน้าที่ตั้งแต่วันแรกที่เล่นเกม แล้วก็สุ่มหาแอดมินตัวจริงที่ดำเนินการในเกมนี้ ระหว่างที่เล่นเกมตลอดทั้งห้าสิบภารกิจ การโต้ตอบของเขากับแอดมิน ทำให้ตำรวจรู้ว่าคนร้ายมีสัญชาติอะไร อยู่ที่ไหน เป็นใคร ท้ายที่สุดจึงดำเนินการเข้าจับกุมในวันที่ห้าสิบ”
“ว้าว นายเก่งไม่เบานะรีลอยด์”
“ว่าแต่นายกรีดแขนตัวเองจริงหรือเปล่า”
“นั่นสิ”ทุกคนสงสัย ผมไม่ต้องพูดอะไร เพราะลูกคุณหนูช่วยตอบ
“เปล่า เขาใช้เทคนิค SFX เมคอัพ มีคนช่วยเขาทำ”
“นายรู้แม้กระทั่งว่าใครคอยช่วยฉันด้วยเหรอ แอ็กนิส”ผมหรี่ตามองรอยยิ้มน่าชิงชังของอีกฝ่าย เขาคงรู้เหตุการณ์ทั้งหมดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“นายไม่มีปัญญาแม้แต่จะวาดรูปปลาวาฬนี่นา รอยกรีดคงไม่ใช่ฝีมือของนาย”
พูดอีกก็ถูกอีกนั่นแหละ... รอยกรีดตามตัวตลอดห้าสิบวันมากกว่าสิบห้ารอยนั้น ผมไม่ได้เป็นคนลงมือหรอก ผมติดต่อกับเจ้าหน้าที่ พวกเขาจึงจ้างอาร์ติสจาก Universal Orlando ในการเสกสรรรอยแผลให้เหมือนจริงถึงขั้นที่อาจารย์ต้องเรียกผมไปพบจิตแพทย์
“เด็กในโปรแกรม Criminal Justice บอกว่านายพยายามฆ่าตัวตายระหว่างเล่นเกมด้วย”
“เด็กคนไหน”... ผมต้องรู้จักแน่ๆ เพราะผมเรียนอยู่ในโปรแกรมนั้นด้วย
“บอกปากต่อปากน่ะ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่ม”
“ฉันคิดว่าเรื่องนี้มันควรเงียบไปตั้งนานแล้วนะ”น่าหงุดหงิดจริงๆ กับกระแสข่าวที่กระทบกระเทือนจิตใจของผม มันไม่ควรมีใครสักคนเอามาป่าวประกาศในโรงเรียนแบบนี้ ใครเป็นคนประโคมข่าว... ผมจะไปคิดบัญชีกับมัน
“ว่าแต่มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”
“มันเป็นความจริงใช่ไหมที่นายพยายามฆ่าตัวตายเพราะเกมปลาวาฬสีน้ำเงินเป็นต้นเหตุ”
ผมก้มหน้ากัดแฮมเบอร์เกอร์เป็นคำสุดท้ายทำทีเป็นหูทวนลม... หากแต่สายตาดั่งผู้พิพากษาของแอ็กนิสก็อ่านใจผมได้ไม่ยาก
“นายตัดสินใจกระโดดฆ่าตัวตายจริงๆสินะ” เหล่าสมุนพูดไม่หยุด ผมเริ่มไม่สนุกด้วย
“แต่รอดมาได้”
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนอย่างนายจะตัดสินใจแบบนั้น”
“นั่นสิ มันคงเป็นความคิดที่โง่มากๆเลยนะ”
ปึง
ผมตบโต๊ะไม่พอใจเสียงดังจนคนทั้งห้องโถงหันมอง กระป๋องโค้กหล่นใส่หน้าตักคนปากเสีย เธอรีบลุกขึ้นกรีดร้องมองกระโปรงเลอะคราบน้ำอัดลม แอ็กนิสรีบห้ามเพื่อนไว้ก่อนที่เธอจะกรี๊ดลั่นและหาทางประจานผมกลางโรงอาหาร “ไม่เอาน่า เราคุยกันดีๆ คุยกับคนประเภทนี้เราไม่ควรใช้อารมณ์นะ”
“คุยกับคนประเภทนี้เหรอ หึ”ผมรำพึงเสียงแผ่วจดจ้องมองสีหน้าไม่รู้สึกทุกข์ร้อนของแอ็กนิส เขาประสานมือวางบนโต๊ะ“นายต้องการอะไรกันแน่”
ลูกคุณหนูได้ยินเช่นนั้นก็หันไปส่งสายตาบอกสัญญาณกับผองเพื่อน ทุกคนลุกออกจากที่นั่งทันที คราวนี้เราสองคนจึงนั่งสนทนากันเพียงลำพัง
“รีลอยด์ นายเจอใครสักคนบนสะพานวันที่นายฆ่าตัวตายใช่ไหม"
ผมดื่มโค้กในจังหวะที่แอ็กนิสถาม “อยากรู้ไปทำไม”
อีกฝ่ายยังคงนิ่งงัน
ผมสบมองนัยน์ตาทะเล้นสีฟ้าอ่อนคู่นั้นอย่างประหลาดใจ “ฉันไม่ได้เจอใครบนนั้น”
“แน่ใจเหรอ”
“นายต้องการอะไรจากฉัน แอ็กนิส”
“ความจริง”
“จะรู้ไปเพื่ออะไร”
อีกฝ่ายหรี่ตาจ้องเขม็งมองผมด้วยสีหน้าจริงจัง “นายตอบฉันมาก็พอว่าเกิดอะไรขึ้นบนสะพานนั่น”
ผมเงียบไปครู่หนึ่ง ชั่งใจในคำขอนั้น... สักพักผมก็ตัดสินใจเล่าให้ฟัง “ฉันเจอไอน์สไตน์วิ่งมาบนสะพาน”
แอ็กนิสมุ่ยหน้าทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ผมจึงย้ำคำเดิม
“ฉันเห็นคนหน้าเหมือนไอน์สไตน์ เขายืนบนขอบสะพาน”
“จากนั้นแล้วเขาก็กระโดดลงไปในแม่น้ำใช่ไหม”
“ใช่ ฉันรีบคว้าตัวเขาเอาไว้ แต่ไม่ทัน เราสองคนก็เลยหล่นจากสะพานด้วยกัน”กล่าวจบก็ซดโค้กอีกอึกใหญ่ “บางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่าฉันหมกมุ่นกับการค้นหาความจริงเบื้องหลังเกมปลาวาฬสีน้ำเงินมากเกินไป มันอาจทำให้ฉันเห็นภาพหลอนของลุงคนนั้น”
แอ็กนิสกอดอกพยักหน้า
“นั่นคือเหตุการณ์ทั้งหมด”
“น่าตื่นเต้นดี”อีกฝ่ายยิ้มกริ่มหน้าระรื่นเหมือนเห็นโลกทั้งใบเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้ ผมสะอิดสะเอียนท่าทีเสแสร้งของพวกไฮโซจริงๆ
“นายถามเพราะคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องน่าตื่นเต้นสินะ”
“เปล่า”
“แล้วนายอยากรู้ไปทำไม”
“เพราะฉันเชื่อว่านายเจอไอน์สไตน์จริงๆ และนายไม่ได้ฆ่าตัวตาย”
เขาอมยิ้ม เราสองคนสบตามองกันนิ่งๆพยายามอ่านใจซึ่งกันและกัน แต่ผมมองไม่เห็นคำตอบจากสีหน้าร่าเริงของอีกฝ่ายเลย แอ็กนิสน่าจะเป็นคนแรกและคนเดียวที่คิดสวนกระแสกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ผมไม่รู้จริงๆว่าหมอนี่ต้องการอะไรหรือวางแผนอะไรไว้“เอาเถอะ หวังว่านายคงไม่ตัดสินใจทำอะไรโง่ๆอีก... มีใครบางคนกังวลเรื่องที่นายมีปัญหาและถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียนนี้”
“ใคร นายเหรอ”
“ไม่ใช่... ใครสักคน ที่ค่อนข้างจะสนใจในตัวนาย”
คนที่สนใจในตัวผมมีเยอะแยะ อย่างเช่นบรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจในออแลนโด้ หรือพ่อของผมที่เบื่อนายกับพฤติกรรมของผม หรืออาจจะเป็นพวกอันธพาลนอกโรงเรียน หรือบางทีคงเป็นโค้ชสักคน ใครๆก็สนใจในตัวผม แม้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
ในเมื่อแอ็กนิสยังไม่อยากเฉลย ผมก็คงไม่คาดคั้น
“เอาเป็นว่า ดูแลตัวเองดีๆล่ะกัน”ว่าพลางเลื่อนมือถือวิสาสะกุมไหล่ของผม “ถ้าหากต้องการความช่วยเหลือ บอกฉันได้”
หึ... ขอความช่วยเหลือจากคนที่มีอำนาจอย่างเช่นพวกผู้ดีตระกูลนิลบาเล็ตน่ะเหรอ ฝันไปเถอะ ผมไม่อยากตกไปเป็นขี้ข้าของเขา
“ไม่จำเป็น” อีกฝ่ายเลิกคิ้วไม่เห็นด้วย “ฉันไม่ได้ต้องการให้ใครปกป้อง นายคงรู้... ทุกวันนี้พ่อส่งเจ้าหน้าที่มาสอดแนมตลอด... ฉันคิดว่าแค่นี้ก็คงพอแล้ว ยังไงก็ขอบใจที่เสนอทางออกให้”
แอ็กนิสพยักหน้ารับ “ตามใจนาย ถ้าอย่างนั้นเอาไว้ค่อยคุยกันใหม่” เขายื่นมือมาให้ แต่ผมไม่จับมือด้วยหรอกนะ
อีกฝ่ายเห็นท่าทีของผมก็คงรู้ว่าผมไม่อยากเป็นมิตรกับเขาสักเท่าไหร่ แอ็กนิสจึงชักมือกลับเลื่อนลูบผมสีบลอนด์ทองให้เรียบตรง หมอนี่วางมาดจนวินาทีสุดท้ายจริงๆ
ผมมองเขาเดินจากไปพร้อมกับเหล่าสมุนทั้งสาม... ถึงเวลาเข้าเรียนพอดี เราจึงแยกย้ายกันตรงนั้น
######
จบตอนล่ะก๊าบบบบ คอมเมนท์ได้เต็มที่ค่ะ
ขอบคุณที่อ่านมากๆเลยค่า
ฝากติดตามตอนต่อไปกันด้วยนะค้า ม้วฟ ม้วฟ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ