ห้องสามเดอะซีรี่ย์
เขียนโดย มุมฉาก
วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.14 น.
แก้ไขเมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2560 08.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) รอยแดงที่ต้นคอ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
รอยแดงที่ต้นคอ
“เราว่ามันผิดปรกติ ผิดปรกติเกินไปแล้ว นายว่างั้นมั้ย”
เด็กนักเรียนผอมกระหร่องสุง 155 เซนติเมตร ส่งเสียงพูดเจื๊อยแจ๊วที่ข้างหู ใบหน้ามีสิวประปรายห่างออกไปเพียงสองฝ่ามือ ทำให้ผมซึ่งกำลังวุ่นวายอยู่กับข้อสอบ ต้องเงยหน้าขึ้นมองแปลงผักตัวเอง
“ก็ไม่นี่ ถั่วฝักยาวเลี๊อยขึ้นปักค้างแล้ว เราตักขี้หมูมาราดทุกเช้าเลยนะ” ผมตอบ
“ไม่ใช่เรื่องนี้ อุวะ ! ชีวิตนายมีแต่ขี้หมูหรือไงกัน” อำนาจประชดใส่
“ป้า วิไลไม่มาขายน้ำ ? วงลูกทุ่งโรงเรียนยกเลิกการแสดง ? มนต์ชัยป่วย ? อุวะ ! แล้วมันเรื่องไหนกัน”
ผมยืดตัวตรงขณะเกาหัวดังแกรก เนื่องจากได้ตอบทุกอย่างที่นึกออก เมื่อยังไม่ตรงใจจึงโยนคำถามกลับคืน เจ้าของคำถามเหล่ตามองกึ่งหยามเหยียด ผ่านแว่นตาใหม่เอี่ยมที่ได้จากเฮียอ๋า
“ก็เรื่องอาจารย์สมพิศไง ไม่เห็นเหรอว่าอาจารย์พันผ้าพันคอ” อำนาจเฉลยคำถาม
“พันผ้าพันคอ…แล้วยังไง วันนี้ลมแรงจะตายไป” ผมพูดสวนกลับขณะนึกทบทวน
“ก็ใช่ วันนี้ลมแรง” เจ้าตัวพยักหน้ายอมรับ “ถ้าจะพันผ้าพันคอก็คงไม่แปลก แต่ตอนที่ออกไปลบกระดานดำ เราแอบเห็นรอยแดงตรงคอด้วยนะเฟ้ย”
แววตาของอำนาจดูจริงจังมาก ประหนึ่งว่ากำลังทำงานสำคัญระดับโลก การสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้าน คือสุดยอดปราถนาของหมอนี่ แต่เรื่องรอยแดงที่คออาจารย์ มันน่าจะล้ำเส้นไปหน่อยไหม
“นี่ ! นายอำนาจสี่ตา นายช่วยหยุดพูดเสียทีได้ไหม”
ชิดชนกสาวน้อยดวงตากลมโตได้เอ่ยขัดคอ เสียงของเธออยู่ใกล้หูกว่าปรกติ พวกเรากำลังเรียนคาบเรียนสุดท้ายของวัน โดยได้ย้ายมายังโรงอาหารหลังคามุงจาก เนื่องจากเป็นวิชาพื้นฐานเกษตรกรรม อาจารย์อมรเทพสั่งให้มาเรียนใกล้แปลงผัก สาวน้อยชิดชนกจึงได้นั่งติดโจทย์เก่า ที่โต๊ะโรงอาหารขาไขว้อันแสนหนักอึ้ง
“อยู่ไกลจะตายไม่ได้ยินหรอก หรือว่าเธอกลัว…ยายหูกาง” อำนาจต่อปากต่อคำไม่หยุด
“ไม่ได้กลัวแต่เกรงใจ เพื่อนคนอื่นยังทำข้อสอบไม่เสร็จ” ชิดชนกแจงเหตุผล
“ก็คนมันสงสัย เธอก็เห็นรอยแดงนี่นา”นายสี่ตายังไม่หยุดพูด
“ใช่เราเห็น แต่ถ้านายยังคุยโม้แล้วมรขาหักได้ยินเข้า พวกเราจะซวยกันหมด”
คนพูดชายตามองไปยังเบิ้องหน้า อันเป็นโต๊ะที่อาจารย์คนสอนนั่งคุมสอบ ชายวัยกลางคนผมแสกขวาสีดำสนิท (เพราะการย้อม) หน้าตาเหมือนคนจีนทว่าผิวค่อนข้างคล้ำ จัดว่าเป็นอาจารย์สายโหดประจำโรงเรียน เพราะเป็นคนมีระเบียบ เด็ดขาด และชอบหักคะแนนจิตพิสัย จึงถูกตั้งฉายาจากนักเรียนว่า “มรขาหัก” ผมไม่รู้นะว่าใครเริ่มแต่มีมานานแล้ว
เหมือนมีนกรู้หรืออับดุลเอ๊ยแอบแจ้งข่าว มรขาหักของชิดชนกจึงได้ขยับตัว เขาละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ในมือ แล้วเดินหลังตรงเข้าใกล้พวกเราทันควัน ทุกคนรีบก้มหน้าจ้องมองกระดาษข้อสอบ ความเงียบสงบกลับคืนสู่โรงอาหารอีกครั้ง หลังจากยืนเหลียวซ้ายแลขวาอยู่พักหนึ่ง อาจารย์หนุ่มผู้ไม่มีคิ้วจึงเดินกลับที่เก่า
“อย่าให้รู้นะว่าใครลอกกัน เห็นเมื่อไหร่หักคะแนน หักคะแนน !”
อาจารย์อมรเทพยังได้ข่มขู่อีกครั้ง ก่อนหยิบแท็บเล็ตขนาด 8.4 นิ้วออกมาจากกระเป๋า เขาจบเกษตรแต่ติดโลกออนไลน์ชนิดงอมแงม ถ้าไม่สอนหนังสือก็เอาแต่จ้องมองหน้าจอทั้งวัน กระเป๋าใบนั้นมีไอเท็มลับมากมายหลายหลาก ยังไม่รวมอุปกรณ์ต่อพ่วงอีรุงตุงนังที่โต๊ะ เวลาผมเอาสมุดการบ้านไปส่งทีไร ยังกลัวว่าตนจะโดนไฟดูดจนเสียจริต
การสอบในวันนี้เก็บคะแนนถึง 5 เปอร์เซนต์ แต่ไม่ยากเลยที่จะทำให้ได้คะแนนเต็ม ข้อสอบระบุให้อธิบายวิธีการปลูกถั่วฝักยาว ทว่าคนออกข้อสอบจด ๆ จ้อง ๆ อยู่กับโลกเสมือนจริง นักเรียนตัวแสบจึงเปิดหนังสือลอกคำตอบกัน เป็นใครก็คงทำแบบนี้สิน่า อำนาจลอกเสร็จเร็วสุดจึงหาเรื่องโม้ไม่หยุดปาก ครั้นเห็นอาจารย์เดินกลับหมอก็เริ่มจ้ออีก
“นอกจากรอยแดงที่ต้นคอ อาจารย์สมพิศยังเงียบขรึมกว่าเดิม นายลองคิดดูนะ… อาทิตย์หน้าจะมีงานวิทยาศาสตร์แล้ว ปรกติต้องโดนบ่นจนพระอาทิตย์ตกดินแน่ แต่ทำไมวันนี้แค่บอกให้ช่วยกันทำงาน มันไม่ใช่แล้วนะ มันไม่ใช่”
คนพูดออกลีลาประกอบคำพูด เป็นการดึงดูดเพื่อน ๆ ให้สนใจกันหน่อย ผมลอกข้อสอบเสร็จเรียบร้อยพอดี จึงเริ่มฉุกคิดตามที่อำนาจเอ่ยถึง อาจารย์สมพิศพูดน้อยลงกว่าเดิมจริง บางครั้งก็ดูซึมเศร้าแต่พยายามเก็บอาการ
“อาจารย์มีวันแดงเดือดหรือเปล่า” ผมคิดออกก็แต่เรื่องนี้
“ทะลึ่ง !” ชิดชนกพูดสวนทันควัน เธอเองก็ลอกข้อสอบเสร็จแล้ว “ผู้ชายห้องนี้ชอบจับผิดกันจัง จู้จี้จุกจิกอย่างกับผู้หญิง พูดเสียงดังเดี๋ยวโดนหักคะแนนหรอก ใช่ไหมนิด”
สาวผมม้าหันไปมองสาวผมหยักโศก นิตยาซึ่งนั่งติดกันลุกยืนปุบปับ ก่อนเดินตรงดิ่งเข้าไปหาอาจารย์คุมสอบ แล้วส่งกระดาษคำตอบในมือให้ สุดท้ายค่อยเดินทอดน่องกลับมารวมกลุ่ม
“มรขาหักเข้าพันทิปอยู่ ทางสะดวก”
นิตยาพูดจบจึงโปรยยิ้มหวาน เธอเดินไปดูสถานการณ์ให้นั่นเอง ชิดชนกคลายความกังวลเรื่องหักคะแนน แล้วหันมากังวลเรื่องอาจารย์สมพิศแทน
“เราก็สงสัยเรื่องนี้เหมือนกัน อาจารย์สมพิศพันผ้าพันคอสุงมาก รอยแดงที่ว่ามีสองจุดใกล้กัน เราคิดว่าเป็นรอยแมลงกัด แต่ทำไมต้องเอาผ้ามาปิดด้วย อักเสบขึ้นมาล่ะแย่เลย”
คนที่พูดว่าผู้ชายชอบจับผิดและจู้จี้จุกจิก กลายเป็นผู้ชอบจับผิดและจู้จี้จุกจิกเสียเอง ผมแอบยิ้มมุมปากขณะคิดตามไปด้วย ทว่าไม่ได้คำตอบอะไรซักอย่าง รอยแดงที่คอ พูดน้อยลง ดูซึมเศร้า มันคืออะไรล่ะนี่
“เรารู้ อยากฟังไหมล่ะ” นักบาสโรงเรียนเบียดตัวเข้ามารวมกลุ่ม โต๊ะโรงอาหารขาไขว้ต้องรับน้ำหนักถึง 5 คน ทรงเดชมีท่าทางมั่นใจเต็มเปี่ยม เพื่อนทุกคนล้วนให้ความสนใจ
“อาจารย์สมพิศเป็นอะไร” อำนาจปากไวสุดจึงเอ่ยถาม
“รอยแดงแบบนี้เป็นได้สถานเดียว โดนไซร้ซอกคอนั่นเอง”
ผู้มาใหม่ฉีกยิ้มกว้างให้กับสมาชิก หลังแสดงวิสัยทัศน์อันชาญฉลาดให้ปรากฎ นิตยากับชิดชนกอ้าปากค้างตกตะลึง ผมจ้องมองด้วยความรู้สึกที่พูดไม่ออก ไม่น่าหลงเชื่อคำพูดหมอนี่เล๊ย
“ทะลึ่งแล้วไง อาจารย์สมพิศยังโสดอยู่นะ” ชิดชนกโวยใส่ด้วยเริ่มโมโห
“แต่เราว่าเป็นไปได้” อำนาจดันเห็นด้วยซะงั้น เขาจึงขยายความต่อ “โสดไม่โสดก็มีรอยแดงได้ อาจารย์สมพิศรู้ตัวจึงกลุ้มใจมาก เลยพาลไม่พูดไม่จาไปด้วย ต้องเป็นแบบนี้แน่นอน”
“มั่นใจจริงนะพ่อหนุ่ม มันจะใช่หรือ ?” นิตยาแขวะใส่แบบมีเคือง
“เรื่องจริงนะนิด ไม่เชื่อเราอธิบายได้” ทรงเดชเสยผมหนึ่งครั้งก่อนเล่าต่อ ผมจะห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว “แถวซอกคอเป็นรอยง่ายมาก ยิ่งถ้าเจอผู้ชายหนวดหนา ๆ เข้าให้นะ รับรองได้ว่า !@#$%^&*()_+_) แล้วก็_+_ (*&^%$#@! แน่นอน”
ทรงเดชใช้คำพูดที่ไม่สามารถเขียนได้ สองสาวน้อยสะดุ้งเฮือกใบหน้าแดงก่ำ แล้วคนพูดก็โดนพวกเธอกระหน่ำบิดหู โทษฐานที่ดันใช้คำพูดลามกเกินเหตุ ผมกับอำนาจนั่งนิ่งไม่กล้าขยับตัว เมื่อได้เห็นใบหูอันแสนแดงเถือกของเพื่อน
“ไอ้บ้า ไอ้ลามก ไอ้โรคจิต” นิตยาโวยลั่นเพราะความเขิน
“ทุเรศมาก…ทุเรศ ทุเรศ ทุเรศ ไม่น่าหลงเชื่อพวกแก๊งค์ 3 หื่นเลย”
ชิดชนกโวยวายตามมาอีกคน แล้วหันมาทำตาขวางใส่ผมไปด้วย นายหัวหน้าห้องก็เลยเส้นกระตุก เพราะโดนลูกหลงโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ส่งเดชนะส่งเดช ดันส่งเฝือกให้เพื่อนอีกแล้ว
“แต่เราว่าเป็นไปได้” อำนาจดันเห็นด้วยอีกรอบ เขาจึงขยายความต่อ “เพราะถ้า…”
“เงียบไปเลยนะ ! หรืออยากโดนอีกคน”
ชิดชนกทำตาขวางใส่อำนาจบ้าง ผู้ซึ่งไม่มีอำนาจเลยหงอพูดต่อไม่ได้ คราใดที่ลูกสาวเฮียอ๋าฉุนขาดขึ้นมา ผู้ชายทุกคนล้วนขนหัวลุกตามกัน นิตยาเห็นดังนั้นจึงรีบไกล่เกลี่ย
“นกใจเย็น ผู้ชายปากเสียก็งี้แหละ” เพื่อนสาวผมหยักโศกช่วยพูดปลอบ
“อาจารย์สมพิศไม่ได้โดนไซร้ซอกคอ รอยแดงเกิดจากแมลงกัด” เพื่อนสาวผมม้าปกป้องอาจารย์สาว
“ถ้าเธอเชื่อแบบนี้ ก็ต้องพิสูจน์กันหน่อย” เพื่อนชายผู้มีสิวประปรายปากเสียไม่หยุด
“ยังไง…จะให้พิสูจน์ยังไงว่ามา” ชิดชนกถามกลับทันควัน
“ไม่ยาก” อำนาจจิกตามองใส่ “เย็นนี้สะกดรอยตามอาจารย์ไป ถ้าไม่เจออะไรก็แยกย้ายกันกลับ แต่ถ้าเจอกิ๊กอาจารย์ก็ตามนั้น ยิ่งถ้ามีหนวดหนา ๆ นี่ใช่เลย รอยแดงต้องมาจากหมอนี่ชัวร์”
อำนาจยักคิ้วหลิ่วตาให้โจทย์เก่า หลังนั่งหงอเป็นกุ้งเสียบเพราะโดนว๊ากใส่ ลูกชายหมอประสาทเลยอยากเอาคืน ด้วยการพิสูจน์สมมุติฐานตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งอาจทำให้ตนเองเลือดสาดก็เป็นได้
“สะกดรอยตามอาจารย์ มันจะดีเหรอ” ชิดชนกออกอาการละล้าละลัง
“หรือว่าเธอกลัว…ยายหูกาง” อำนาจได้ทีขี่แพะไล่
“เอาแบบนี้ก็ได้ จะได้รู้กันว่านายมั่ว” สุดท้ายสาวน้อยจึงตอบตกลง
“เราไปด้วยนะ เย็นนี้พ่อมีประชุมกลับดึก” นิตยาเสนอตัวเอง
“เราไปด้วยนะ แม่เราก็มีประชุมกลับดึก” ทรงเดชเสนอตัวเองบ้าง
“เย็นนี้นายไม่ซ้อมบาสเหรอ ใกล้วันแข่งจริงแล้วนี่นา”
ผมต้องรีบปรามเพื่อนเป็นการด่วน เพราะรู้ดีว่าทรงเดชกำลังจะแหกกฎ ผู้มีฉายาเจ้าชายหมีน้อยยิ้มกรุ้มกริ่ม พลางเหล่ตามองราวกับพระเอกหนังแขก นักบาสโรงเรียนตอบกลับเสียงเหน่อ
“อาจารย์วิบูลย์ยกเลิกการซ้อม เห็นว่าจะไปหาหมอทำแผล”
“อาจารย์วิบูลย์เป็นอะไรเหรอ” ชิดชนกถามกลับโดยพลัน
“เป็นอะไรไม่รู้นะ แต่ใส่ผ้าคล้องแขนขวาเอาไว้ แล้วพันแผลที่นิ้วแบบนี้เลย”
เจ้าตัวแสดงท่าทางประกอบคำพูด ด้วยการชูนิ้วกลางให้เพื่อนทุกคน สองสาวน้อยสะดุ้งเฮือกใบหน้าแดงก่ำ ผมต้องรีบแก้ปัญหาก่อนเรื่องบานปลาย จึงได้รีบเอ่ยปากเบี่ยงประเด็น
“อาจารย์วิบูลย์หกล้มหรือเปล่า อาจารย์คงเอามือยันพื้นนิ้วกลางเลยซ้น”
“ยังไงไม่รู้เหมือนกัน แต่เย็นนี้เราว่าง โตแล้วไปไหนก็ได้”
เจ้าตัวยักไหล่ท่าทางสบายอกสบายใจ ไม่ได้รู้ตัวว่าเกือบโดนบิดหูคำรบสอง ผมแอบดีใจที่เพื่อนไม่เจอบทลงโทษ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกขึ้นมาโดยพลัน เนื่องจากชิดชนกลูกสาวเฮียอ๋า กำลังจ้องหน้าด้วยแววตาที่ไม่อาจแปลความหมาย พลอยทำให้เพื่อนคนอื่นหันมามองตาม แม่สาวผมม้าเอ่ยปากคุยด้วยในที่สุด
“เย็นนี้ว่างหรือเปล่า ไปด้วยกันนะ”
นี่คือคำถามที่ไม่อยากได้ยินเป็นที่สุด ด้วยว่าเย็นนี้ตัวผมมีงานมากมาย ไหนจะต้องล้างห้องน้ำอันสุดเลอะเทอะ กล้วยน้ำว้าที่สวนก็ยังไม่ได้ตัด ยางจักรยานเก่ากองอยู่หน้าร้านเต็มไปหมด หลอดไฟหลังบ้านขาดมาหลายวันแล้ว พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง ผมจึงตอบคำถามข้อนี้โดยไม่ลังเล
“เอาสิ วันนี้เราว่างไม่ติดอะไร”
ชิดชนกส่งยิ้มหวานเป็นคำขอบคุณ ก่อนสุมหัวคุยกับเพื่อนคนอื่นต่อไป นิตยายังคงจ้องมองเช่นเก่า เมื่อสบตากันเธอส่งยิ้มแล้วมองที่อื่น ครั้นเห็นทุกคนกำลังหน้าดำคร่ำเครียด กับการวางแผนสะกดรอยตามอาจารย์สมพิศ ผมจึงแอบถอนหายใจเฮือกโต พลางสาปส่งตัวเองที่ตัดสินใจเช่นนี้
อาม่าครับ อี๊บ๊วยครับ แล้วผมจะกลับมาทำงานให้นะครับ แต่เย็นนี้ผมขอไปกับเดอะแก๊งค์ก่อน เพราะกลัวอำนาจกับทรงเดชจะทำให้สาว ๆ เดือดร้อน แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือ เมื่อคนสำคัญของหัวใจได้เอ่ยปากชวน แล้วมีหรือที่ผมจะบอกปัดได้ จึงตอบตกลงทันทีไม่มีรีรอ นี่คือเส้นทางที่สุภาพบุรุษทุกคนพึงกระทำ
---------------------------------------------
อีซูสุ ดีแมคสีเขียวเคลื่อนตัวอยู่บนถนนใหญ่ กระบะท้ายติดตั้งหลังคาอลูมิเนียมตู้ทึบทรงสุง คาดสติ๊กเกอร์ร้านเมียจ๋าพาณิชย์ตัวใหญ่เบ้อเริ่ม คนขับคือชิดชนกลูกคนสุดท้องของเจ๊จ๋า ข้างกายเธอคือนิตยาผู้มีดวงตาซุกซน ส่วนผม อำนาจ และทรงเดช นั่งเบียดเสียดกันอยู่ในแค๊บอันสุดคับแคบ ขาของทรงเดชพาดอยู่บนตักนายอำนาจขี้บ่น
ห่างจากรถพวกเราไม่ถึง 100 เมตร ปรากฎรถเก๋งมิตซูบิชิ แชมป์ 3 ประตูสีเทาดำคันหนึ่ง เจ้าของรถคืออาจารย์สมพิศจอบเฮี๊ยบ ผู้มีรอยแดงที่ต้นคอภายใต้ผ้าพันคอสีฟ้า หล่อนกำลังขับรถมุ่งตรงเข้าตัวเมือง ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนพวกเราประมาณ 1 กิโลเมตร อาจารย์สาวโสดไม่ทันรู้ตัวซักนิด ว่านักเรียนตัวเองสะกดรอยตามอยู่ด้านหลัง
เมื่อวิชาพื้นฐานเกษตรกรรมสิ้นสุดลง ผมรวบรวมกระดาษคำตอบเพื่อไปส่ง ก่อนพบว่าอาจารย์อมรเทพกำลังตั้งกระทู้ “วิธีอ้อนเมียซื้อเครื่องชงกาแฟ” อยู่ในพันทิป ด้วยหน้าตามุ่งมั่นไม่สนใจโลกภายนอก จากนั้นจึงแยกตัวออกมาพร้อมอำนาจ เพื่อถ่วงเวลาอาจารย์สมพิศด้วยข้ออ้างงานวิทยาศาสตร์ แม้เจ้าตัวจะดูงุนงงแต่ก็ยังติดเหยื่อ ฝ่ายทรงเดชรีบปั่นจักรยานสีแดงไปร้านเมียจ๋า โดยมีชิดชนกซ้อนท้ายเพื่อเอารถกระบะ หลังได้รับสัญญานให้ถอยจากนิตยา ผมกับอำนาจจึงใส่เกียร์หมาโดยพลัน เมื่อรถของอาจารย์วิ่งผ่านประตูโรงเรียน พวกเราทุกคนอยู่บนรถเรียบร้อยแล้ว ปฎิบัติการตามล่ารอยแดงจึงได้อุบัติขึ้น
“ขับรถให้มันนิ่มหน่อยไม่ได้หรือยังไง เด้งซ้ายทีขวาทีอย่างกับนั่งเกวียน อาจารย์สมพิศขับรถช้าอย่างกับเต่า รถก็เก่าคร่ำครึสมควรเอาไปปลูกสะระเหน่ ทำไมถึงปล่อยให้ทิ้งห่างขนาดนั้น”
อาจารย์จอมเฮี๊ยบกลับรถใต้สะพานข้ามทางรถไฟ แล้วขับผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรหน้าอำเภอ ขณะที่พวกเราจ้องมองด้วยความระทึก อำนาจได้บ่นอุบตลอดเส้นทาง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโดนทรงเดชนั่งเบียด อีกส่วนเป็นเพราะคนขับนั้นเป็นโจทย์เก่า เมื่อคนโดนพาดพิงทนต่อไปไม่ไหว จึงพูดสวนพร้อมทำตาขวางผ่านกระจกมองหลัง
“พูดมากจังเลยนะเรา มาขับเองเลยไหม”
“เรื่องอะไร รถใครคนนั้นก็ขับเอาเองสิ” อำนาจปฎิเสธทันควัน
“ขับไม่ได้ก็บอกมาเท๊อะ ไอ้อ่อนเอ๊ย !” ชิดชนกพูดทับถมน้ำเสียงสุงปิ๊ด
“ใครบอกเราขับไม่ได้ ไม่รู้อะไรอย่ามามั่วเลยนะยายหูกาง”
อำนาจทำท่าโมโหเลือดขึ้นหน้า เมื่อโดนดูถูกดูแคลนจากอริสำคัญ ผมรู้อยู่เต็มอกว่าเขาขับรถไม่เป็นหรอก แต่ไม่อยากขัดคอเพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ จึงนั่งฟังเพื่อนรักใช้สีข้างแถไปเรื่อย
“ระดับเราขับรถทุกคันบนโลกได้สบาย มันก็แค่เหยียบ ๆ ปล่อย ๆ ยากตรงไหนกัน แต่ตอนนี้เราทำหน้าที่เสนาธิการอยู่ ต้องใช้ความคิดจากสมองในการดำเนินแผนการ งานจำพวกใช้แรงงานอย่างขับรถเนี่ย ให้บรรดาลูกกระจ๊อกทั้งหลายทำกันเถอะ” คนพูดหันมาที่ผมกับทรงเดช “เราพูดถูกใช่ไหม…พรรคพวก”
“ไอ้อ่อน…!!”
ผมและทรงเดชตะโกนใส่คนพูดพร้อมกัน ด้วยรำคาญและเบื่อหน่ายนายขี้โม้ลวงโลกคนนี้ ชิดชนกยิ้มแป้นพลางโบกไม้โบกมือยั่ว ส่วนนิตยาที่ปรกติเป็นคนเงียบขรึมนั้น ตอนนี้เธอหัวเราะเสียงดังลั่นจนแทบเสียจริต เพื่อนคนอื่นจึงหัวเราะตามไปด้วย ผมเคยบอกไปแล้วว่านิตยาเป็นคนน่ารัก โดยเฉพาะเวลาที่เธอร่าเริงเช่นตอนนี้
ฝ่ายอำนาจนั่งหน้ามุ่ยไม่พูดไม่จา เมื่อโดนไล่ต้อนเข้ามุมอับหนีไม่ออก เมื่อเห็นว่าเพื่อนโดนบทลงโทษจนสาสม ผมจึงพูดปลอบใจในฐานะหัวหน้าห้องที่ดี นายสี่ตารำพึงรำพันแค่เพียงลำพังอยู่ในลำคอ ด้วยว่างอนแสนงอนที่เพื่อนไม่เข้าข้าง ก็เล่นคุยโม้เสียขนาดนี้ใครจะช่วยไหว วันหลังให้มันน้อยกว่านี้ก็ดีนะ
“เอี๊ยดดดดดด…!!”
อีซูสุ ดีแมคสีเขียวทำการเบรกกระทันหัน สามหนุ่มสามมุมพร่ำร้องหาแม่ปริ่มว่าจะขาดใจ กว่าที่ผมจะตั้งสติได้รถก็จอดสนิทแล้ว จึงดันตัวเองขึ้นมาจากพื้นรถอย่างลำบาก ทรงเดชเป็นอีกคนที่นอนกองรวมกัน นักบาสร่างโตแหกปากโวยวายเสียงดังลั่น ขณะพยุงตัวเองขึ้นมาจากร่างเล็ก ๆ ของอำนาจ
“ยายนก ! จะเบรกก็บอกกันหน่อยสิ ถ้าเราเสียโฉมขึ้นมาล่ะแย่เลย”
“โทษทีไม่ได้ตั้งใจ พอดีอาจารย์สมพิศจอดรถซื้อของ”
สาวน้อยคนขับแลบลิ้นแล้วยิ้มตาหยี เพราะรู้ดีว่าตนเองทำพลาดไปแล้ว พวกเราชะโงกหน้าจ้องมองเป้าหมาย รวมทั้งอำนาจที่ตะเกียกตะกายขึ้นมาสำเร็จ จึงเห็นอาจารย์สาวประจำชั้นห้องสาม ยืนซื้อลูกชิ้นปิ้งโกฮับข้างปั้มน้ำมันบางจาก คนขายหนุ่มกล้ามโตส่งถุงลูกชิ้นให้ ฉับพลันทรงเดชก็โพล่งเสียงดังลั่น
“นั่นมัน พี่ประวิทย์นี่นา ที่เคยเป็นนักบาสโรงเรียนเราไง เห็นว่าเรียนธรรมศาสตร์ปีหนึ่ง เฮ้ย ! หรือว่า” ทันใดนั้นเองคนพูดก็ทำหน้าตื่นตระหนก “อาจารย์สมพิศ …อาจารย์สมพิศ กินเด็ก”
“ไม่ได้กินเด็ก กินลูกชิ้นปิ้งโว้ย”
ชิดชนกโวยกลับเสียงดังจากหน้ารถ ด้วยว่าเสียอารมณ์ที่อุตส่าห์ตั้งใจฟัง ผมและอำนาจส่ายหัวไปมาให้กัน เมื่อต่อมจินตนาการของทรงเดชทำงานอีกครั้ง นิตยายิ้มน้อยยิ้มใหญ่แต่เงียบกริบ ฝ่ายคนพูดยังพยายามโน้มน้าวอย่างแข็งขัน สุดท้ายเมื่อโดนชิดชนกคาดโทษ นักบาสผู้ติดละครน้ำเน่าจึงได้เงียบเสียง
จากนั้นไม่นานนัก มิตซูบิชิ แชมป์ 3 ประตูจึงได้เดินทางต่อ เพื่อไปซื้อเต้าฮวยที่ร้านเจ๊แตนจำนวน 4 ถุง บัวลอยน้ำขิงอีกจำนวน 4 ถุง คนขับแวะจอดหน้าร้านรุงรังฟาร์มาซี รถของเราจึงต้องจอดตามกัน ทุกคนพยายามจ้องมองหน้านิ่วคิ้วขมวด อาจารย์สมพิศมาที่ร้านขายยาเพื่ออะไรกัน
“ซื้อชุดทดสอบการตั้งครรภ์แน่นอน”
ทรงเดชได้แสดงวิสัยทัศน์อีกครั้ง จึงโดนสองสาวน้อยแพ่นกระบาลร้องโอยโอย ขณะที่ชิดชนกบ่นอุบเป็นหมีกินผึ้ง อาจารย์จอมเฮี๊ยบก็เดินหน้ามุ่ยสวนทางเข้ามา นักเรียนทั้งหมดก้มหัวหลบอย่างฉิวเฉียด ไม่แน่ใจเลยว่าทางนั้นมองเห็นหรือไม่ เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ จึงได้ยินเสียงรถเก๋งติดเครื่องยนต์อีกครั้ง
อาจารย์สมพิศขับรถออกสู่ถนนใหญ่ ชิดชนกจึงติดเครื่องยนต์แล้วขับตาม ผมเหลียวมองร้านขายยาด้วยความกังวลใจ เภสัชกรเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับอาจารย์ ที่ผมรู้เพราะเคยโดนใช้ให้มาซื้อของ ทำไมอาจารย์ต้องแวะที่นี่ในวันนี้ด้วย แล้วเดินออกมาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ นี่สิครับปัญหาใหม่ที่คิดไม่ตก
ผู้มีรอยแดงยังคงซื้อของอย่างบ้าคลั่ง ทั้งอาหารคาวหวาน ขนมปัง ผลไม้ น้ำดื่ม ของใช้ส่วนตัว รวมทั้งอาหารกระป๋องจำนวนมหาศาล เธอเป็นสาวโสดอยู่คนเดียวไม่ใช่หรือ ทำไมต้องซื้อข้าวของมากมายถึงเพียงนี้ ปริมาณที่เห็นกินได้ไม่ต่ำกว่า 5 วัน ผมคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดอย่างตั้งใจ ก่อนพบว่าไม่มีคำตอบแม้แต่ข้อเดียว เพื่อนคนอื่นล้วนใช้ความคิดเช่นกัน ภายในรถจึงเงียบงันไม่มีเสียงคุย เมื่อชำเลืองมองสาวน้อยคนขับอีกครั้ง ใบหน้าของเธอมีความกังวลใจอย่างที่สุด ชิดชนกมักเป็นห่วงคนใกล้ตัวเสมอ เมื่อเธอไม่สบายใจผมก็พลอยไม่สบายใจตาม
หลังใช้เวลาเดินทางร่วมหนึ่งชั่วโมง อาจารย์สาวโสดเลี้ยวเข้าสู่ถนนเส้นเล็ก ๆ เส้นหนึ่ง เป็นถนนอีกฟากหนึ่งของที่ว่าการอำเภอ อยู่ห่างจากโรงเรียนพวกเราไม่กี่ร้อยเมตร อำนาจเริ่มบ่นอุบตามนิสัย ว่าจอดรอแถวนี้ก็ดีอยู่แล้ว ทว่าเพื่อน ๆ คงชาชินกับนิสัยหมอนี่ จึงไม่มีใครนึกอยากต่อปากต่อคำด้วย รถเป้าหมายจอดดับเครื่องหน้าสถานีอนามัย อาจารย์สมพิศเดินตัวเปล่าลงจากรถ พยาบาลสาวผิวขาวหุ่นดีตัดผมสั้น ได้เดินออกมาต้อนรับท่าทางคุ้นเคย
อีซูสุ ดีแมคสีเขียวตรงเข้าจอดหลังพุ่มใม้ใหญ่ ผู้โดยสารทั้ง 5 คนทยอยเดินลงจากรถ พวกเราซุ่มโป่งอยู่ที่ม้านั่งข้างสนามหญ้า ตรงนั้นเองมีป้ายใหญ่ช่วยกำบังสายตา ห่างออกไปจากที่ซุ่มโป่งประมาณ 50 เมตร เป็นอาคารปูนสองชั้นทาสีขาวขุ่น ชั้นสองของอาคารติดกระจกดำโดยรอบ เป็นส่วนห้องทำงานจึงติดตั้งระบบปรับอากาศ ชั้นล่างสองในสามเปิดโล่งระบายอากาศ ลึกเข้าไปเป็นห้องตรวจผู้ป่วยสองห้องติดกัน ห้องจ่ายยาติดกระจกดำก็อยู่ติดกัน ห้องน้ำชาย-หญิงอยู่ฝั่งขวาสุดติดห้องเก็บของ บันไดทางขึ้นอยู่ฝั่งซ้ายสุดติดลานจอดรถ ด้านหน้าอาคารมีม้านั่งสีฟ้าจำนวนมาก เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้มาใช้บริการ อาจารย์ประจำชั้นและพยาบาลผมสั้น นั่งคุยกันอยู่ที่ม้านั่งด้านหน้าอาคาร ด้วยหน้าตาเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากซุ่มมองอยู่ประมาณ 5 นาที อาจารย์สมพิศได้เดินออกมาโทรศัพท์ พวกเราพยายามจับคำพูดของหล่อน ทว่าไกลไปได้ยินแค่เพียง “พิศไม่ยอมนะคะ” และ “ขอร้องล่ะค่ะ พิศทำไม่ได้จริง ๆ” ปลายสายวางหูหล่อนเดินกลับที่เก่า ใบหน้าหมองเศร้าและดูกังวลใจยิ่งขึ้น แว่นทรงแหลมกำลังจะหลุดแหล่มิหลุดแหล่ เจ้าตัวจึงถอดเพื่อขยี้ดวงตาทั้งสอง
“พยาบาลคนนี้เป็นใคร นายรู้จักหรือเปล่า” ผมถามเพื่อนน้ำเสียงแหบแห้ง
“ไม่เคยเห็นหน้าเลยแฮะ” ทรงเดชตอบตามความเป็นจริง แม่เขาทำงานอยู่กระทรวงสาธารณะสุข “เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ล่ะมั้ง ถ้าเป็นคนเก่าเรารู้จักหมดแหละ”
“เรารู้จัก พี่ตุ๋งเคยอยู่อนามัยเสาร์ห้า เจอกันตอนตรวจสุขภาพประจำปี”
นิตยาเฉลยคำถามคาใจให้ ใบหน้าคนพูดเคร่งเครียดตามพยาบาลตุ๋ง ด้านชิดชนกที่มักยิ้มแย้มอยู่เสมอ ตอนนี้หน้าบึ้งเทียบเท่านิตยาไปแล้ว ผมก็เลยไม่กล้าพูดอะไรมากนัก ได้แต่บอกให้จับตามองกันไปก่อน ขณะเดียวกันยังได้กำชับเพื่อนผู้ชาย ไม่ให้แสดงความเห็นที่มันพิสดารเหนือมนุษย์ เนื่องจากมีระเบิดปรมาณูตั้งอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นนิตซี่ย์บอร์ม หรือว่าชิดนี่ย์บอร์ม ล้วนอันตรายต่อสุขภาพด้วยกันทั้งสิ้น
พยาบาลตุ๋งเป็นคนผิวขาวหุ่นดีผิวพรรณดี สุงประมาณ 160 เซนติเมตรไม่อ้วนไม่ผอม ตัดผมสั้นแค่ติ่งหูราวกับก้อยรัชวิน อายุอานามน่าจะใกล้เคียงคนนั่งติดกัน ใบหน้าสวยหวานประหนึ่งสาวเหนือก็ไม่ปาน แต่มีท่าเดินทะมัดทะแมงคล้ายผู้ชาย พยาบาลตุ๋งเป็นใครผมไม่รู้จัก รู้แต่ว่าปลอบใจอาจารย์สมพิศอยู่ ดูไปดูมาคล้ายชายหนุ่มอรชรอ้อนแอ้น ผมรีบสลัดความคิดด้านมืดทิ้ง ไม่อย่างนั้นคงฟันธงว่าพยาบาลตุ๋งเป็นทอมแน่
ขณะที่กำลังซุ่มมองด้วยความตั้งใจ มีมอเตอร์ไซค์วินวิ่งโฉบมาจากด้านหลัง ทรงเดชเห็นเข้าจึงบอกให้รีบหลบ พวกเราทำตามโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รถมอเตอร์ไซค์จอดสนิทหน้าอนามัย ผู้โดยสารร่างกายผอมกะหร่องเดินผละออกมา เขาผู้นี้ใส่ผ้าคล้องไว้ที่แขนขวา นิ้วกลางพันผ้าไว้แน่นจนงอแทบไม่ได้ พวกเราทุกคนร้องเฮ้ยโดยพร้อมเพรียง เพราะชายคนดังกล่าวมีชื่อว่าอาจารย์วิบูลย์
ผู้ที่มาใหม่ได้กล่าวทักทายผู้ที่มาก่อน หญิงสาวทั้งสองเดินมารับด้านหน้าอาคาร พยาบาลตุ๋งรีบตรวจบาดแผลนิ้วกลาง ใบหน้าเธอเศร้าหมองลงจนรู้สึกได้ ฝ่ายอาจารย์สมพิศมีอาการตกใจและแปลกใจ จึงพูดคุยด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก อาจารย์วิบูลย์ฝืนยิ้มให้กับทั้งคู่ เขาดูแปลกใจที่เจออาจารย์สมพิศเช่นกัน แต่ดูเกรงอกเกรงใจพยาบาลตุ๋งมากกว่า ภาษากายที่ปรากฎบ่งบอกอย่างชัดเจน เป้าหมายทั้งสามยืนคุยกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนเดินเข้าไปในตัวอาคารสีขาวขุ่น
“รักสามเส้า เราสามคน อลหม่าน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมวันนี้วุ่นวายจังวุ้ย”
หลังนั่งสังเกตการณ์กันต่ออีกพักหนึ่ง อำนาจทนต่อไปไม่ไหวจึงได้เปิดปาก ผมสบตาด้วยแล้วส่ายหัวให้ ภาษากายของผมทำให้คนถามเริ่มหงุดหงิด ทรงเดชเห็นดังนั้นจึงเข้ามาช่วย
“อาจเป็นแบบนี้ก็ได้นะ” คนพูดกระแอมไอเรียกความสนใจ “อาจารย์สมพิศคบอยู่กับพยาบาลตุ๋ง ทั้งสองตกลงใจใช้ชีวิตร่วมกัน อยู่มาวันหนึ่ง พยาบาลตุ๋งได้เจออาจารย์วิบูลย์ที่งานวัด จึงโดนกามเทพแผลงศรตกหลุมรักชนิดปุบปับ และในวันนี้นี่เอง… พวกเขาทั้งสามก็ได้มาเจอกันเสียที ด้วยว่าพรมลิขิตหรือฟ้ากำหนดก็ไม่รู้สินะ แผลที่นิ้วกลางอาจารย์วิบูลย์นั้น อาจเป็นเพราะโดนพยาบาลตุ๋งกัดเข้าให้ ส่วนรอยแดงต้นคออาจารย์สมพิศนั้น อาจเป็นเพราะโดนพยาบาลตุ๋ง เอ๋งงงงง…. !!”
ไม่ทันรู้ว่าพยาบาลตุ๋งทำอะไรถึงเป็นรอย นักบาสปากปีจอก็พลันกรีดร้องเสียงหลง เนื่องจากโดนชิดชนกและนิตยากระโดดถีบขาคู่ มวลสารหนัก 85 กิโลกรัมล้มกลิ้งเป็นลูกขนุน ใบหน้าอันหล่อเหลาไถลไปตามสนามหญ้า ผมกับอำนาจจ้องมองด้วยความสยดสยอง ก็เตือนไปแล้วนี่นาว่าอย่าลองของ สุดท้ายตายหยังเขียดตัวใครตัวมันวุ้ย
“พวกเราควรทำยังไงดี เราไม่ชอบแบบนี้เลย”
ชิดชนกหันมาพูดคุยกับผมบ้าง แววตาคู่นั้นแฝงความหมองเศร้าอย่างถึงที่สุด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเธอไม่รู้อะไรเลย อีกส่วนเป็นเพราะคำพูดสร้างสรรค์จากทรงเดช ผมทำได้แค่เพียงพูดปลอบใจ
“นกใจเย็นก่อนนะ เราว่าซุ่มดูแบบนี้ไปก่อน”
“แต่เราว่า…ลุยเข้าไปเลยดีกว่า” นิตยาถกแขนเสื้อขึ้นโดยพลัน
“ไม่ดีมั้งนิด” ขณะที่พูดผมก็ปาดเหงื่อไปด้วย “นั่นอาจารย์ประจำชั้นเชียวนะ รอก่อนเถอะ”
ผมต้องรีบปรามด้วยกลัวใจเพื่อนสาวคนนี้ เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นขาลุยแค่ไหน อำนาจและทรงเดชต่างนิ่งเงียบทันควัน ประหนึ่งไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้นหรืออยู่ตรงไหน เมื่อถึงเวลาชี้เป็นชี้ตายขึ้นมาทีไร ผมต้องรับหน้าเสื่อคนเดียวเป็นประจำ
“ให้รอนานแค่ไหน” เธอยังคงพูดสั้นและห้วนเช่นเคย
“เอาเป็นซัก…20 นาทีแล้วกัน 15 นาทีก็ได้” ผมพยายามต่อรองสุดชีวิต
“5 นาที” คนพูดกางนิ้วทั้งห้าให้ คนฟังกลืนน้ำลายดังเอื๊อก “เราให้เวลาแค่ 5 นาที”
“นิดไปเราไป ลุยไหนลุยกัน” ชิดชนกพลอยเป็นไปด้วยอีกคน
“ดีเลยนก ไปด้วยกันนี่แหละ พวกผู้ชายไม่ได้เรื่องซักคน”
สาวน้อยดวงตาซุกซนได้กล่าวสรุป เธอรวบผมหยักโศกไว้ที่ท้ายทอยก่อนมัดรวมกัน พร้อมกับปล่อยชายเสื้อออกมานอกกระโปรง ฝ่ายสาวน้อยดวงตากลมโตนั้น เดินไปหยิบกระเป๋าตัวเองมาจากในรถ ลูกสาวเฮียอ๋าบรรจงทาแป้งเมจิกพาวเดอร์ พร้อมส่องกระจกจัดทรงผมใหม่จนสวยเช้ง เป็นอันว่าพวกเธอพร้อมลุยอย่างเต็มที่ ตรงข้ามกับบรรดาผู้ชายที่เคยคุยโม้โอ้อวด ทรงเดชและอำนาจนั่งปากหนักพูดจาไม่ออก ผมเองก็พลอยนิ่งเงียบตามไปด้วย สถานการณ์ตอนนี้เข้าขั้นแตกหักเสียแล้ว อีกเพียงหนึ่งนาทีจะครบกำหนดเวลา สถานีอนามัยกลายเป็นสนามรบแน่ เว้นแต่จะมีปาฎิหารย์เกิดขึ้นในวินาทีนี้
“ไม่คิดจะทำอะไรซักหน่อยเหรอ” ทรงเดชกระซิบกระซาบเสียงเบาหวิว
“ไม่ทันแล้ว เพราะคำพูดเพ้อเจ้อพวกนายนั่นแหละ” ผมโวยใส่เพื่อนปากดีทั้งสองคน
เวลาเดินทางรวดเร็วกว่าที่คิด เมื่อครบกำหนดและไม่มีใครเดินออกมา นิตยากับชิดชนกต่างเชิดหน้าลุกขึ้นยืน พลางก้าวเท้าตรงไปข้างหน้าเพื่อหาคำตอบ ผมตัดสินใจเดินตามไปด้วยทันที ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นผมจะไม่ทิ้งพวกเธอแน่
ทันใดนั้นเองเกิดเรื่องไม่คาดคิด เมื่อทรงเดชตะโกนเรียกจากด้านหลัง เราสามคนได้หันมามองตามเสียงเรียก พบรถกระบะฟอร์ดเรนเจอร์สีส้มคันหนึ่ง กำลังเลี้ยวเข้ามาจากถนนใหญ่ นิตยาหรี่ตามองเนื่องจากไม่ได้สวมแว่น ชิดชนกเพ่งมองด้วยสีหน้างุนงง แต่ผมเป็นคนสายตาดีและรู้จักเจ้าของรถดี จึงคว้ามือสองสาวน้อยแล้วลากตัวกลับที่เดิม ทันทีที่พวกเราหลบออกมาจากถนน รถกระบะดังกล่าวได้วิ่งตรงแหนวเป็นท่อ ก่อนเบรกเสียงดังหน้าสถานีอนามัยที่แสนอลเวง
ผอ.ยอดรักผู้มีเคราแพะสายัณห์เป็นสัญลักษณ์ เดินลงมาจากรถสีส้มด้วยท่าทางมุ่งมั่น มัคนายกวัดหมูแดงก้าวฉับ ๆ เข้าไปในอาคาร ตรงกับเวลา 5 โมงเย็นพอดิบพอดี เมื่อรวมอาจารย์สมพิศ อาจารย์วิบูลย์ และพยาบาลตุ๋งที่อยู่ด้านใน เท่ากับตอนนี้มีผู้เกี่ยวข้องรวมกันถึง 4 คน
รอยแดงที่ต้นคอ พูดน้อยลงและซึมเศร้า แผลขนาดใหญ่ที่นิ้วกลาง พยาบาลผมสั้นชื่อตุ๋ง ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของพวกเขา รวมทั้งผู้อำนวยการคนขยัน ทั้งหมดที่เอ่ยถึงเกี่ยวข้องกันอย่างไร ผมต้องหาคำตอบให้ได้โดยเร็วที่สุด
---------------------------------------------
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ