ห้องสามเดอะซีรี่ย์
เขียนโดย มุมฉาก
วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.14 น.
แก้ไขเมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2560 08.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) ศิษย์หลวงพ่อย้อย 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ศิษย์หลวงพ่อย้อย 2
สิ้นคำว่าตายแล้วเท่านั้นเอง ปลายสายก็ร้องห่มร้องให้ไม่หยุด ผมตกใจอุทานเสียงดังว่าเฮ้ย พระทุกรูปหันขวับโดยพร้อมเพรียง เป็นอันว่าไม่ต้องสวดมนต์กัน
แต่เพียงไม่นานผมก็เริ่มมีสติ ขณะนี้ทุกคนเพ่งมองอยู่ จึงต้องแสดงให้ประจักษ์ ว่าสามารถคุมสถานการณ์ได้ ไม่อย่างนั้นอายเด็กวัดแย่ จึงพยายามพูดปลอบใจอย่างสำรวม
“คุณป้าใจเย็นนะครับ ผมก็เคยเสียพ่อตอนเด็ก จำได้ว่าแม่ไม่ร้องให้เลย แม่วิ่งวุ่นเรื่องงานศพแทบไม่ได้นอน เอาแบบนี้นะครับ” ผมขยับตัวจัดท่ายืนใหม่ เรียกร้องความสนใจอย่างได้ผล “คุณป้าต้องการให้ช่วยอะไร บอกกับผมมาได้เลย เดี๋ยวผมไปบอกหลวงพ่อให้”
“ขอบใจนะ” ปลายสายหยุดสะอื้นแล้ว ผมพยักหน้าเป็นนัยว่าเอาอยู่ “ลุงดำชอบมาทำบุญที่วัดหมูแดง ทุกวันพระมักไปนอนค้าง เพราะจะได้สวดมนต์ทำวัตรเช้า แกบอกกับป้าด้วยนะ ว่าได้นอนในห้องเก็บของ…”
“ห้องเก็บของ !”
เด็กวัดจำเป็นแผดเสียงดังลั่น แล้วโกยอ้าวไปซุกตัวหลังเพื่อน ลุงดำนอนในห้องเก็บของ หมายถึงห้องที่พวกเรานอน หมายถึงพวกเรานอนที่เดียวกับคนตาย รู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมากระทันหัน ขนทุกเส้นบนร่างตั้งชันโดยไม่มีตัวช่วย อำนาจ ติ่ง และปาน มองตามอย่างงุนงง ไม่รู้ว่าหมอนี่เป็นอะไร
ขณะที่ผมตกใจจนขาดสติ หลวงพ่อย้อยได้เดินมารับสาย หลังทราบเรื่องราวที่เกิด จึงได้พูดคุยรายละเอียด ป้าต้องการนำศพสามีมาไว้ที่วัด รวมทั้งจองศาลาจัดงานศพ หลวงพ่อยังได้พูดปลอบใจ ให้อีกฝ่ายคลายความเศร้าโศก ทั้งจะเป็นธุระเรื่องจัดงานให้ ฝ่ายนั้นจึงเงียบลงก่อนวางสายไป
แต่ก็เพียง 10 นาทีเท่านั้น โทรศัพท์เครื่องเดิมดังอีกแล้ว ผมและอำนาจอยากดึงสายทิ้ง ด้วยว่าขัดการทำกิจของสงฆ์ ทว่าหลวงพ่อเห็นตรงข้าม บอกว่าทางนั้นคงมีเรื่องร้อนใจมาก จึงได้โทรหาตั้งแต่ไก่ขัน เรื่องสวดมนต์ทีหลังก็ได้ เรื่องทุกข์ในใจควรมาก่อน หลังพูดจบจึงได้เดินไปรับสาย
คนที่โทรหาคือป้าคนเดิม คราวนี้หล่อนไม่ฟูมฟายเช่นเก่า แต่ติดต่อให้วัดช่วยมารับศพสามี ที่บ้านมีรถกระบะทว่าตนเองขับไม่เป็น คนที่ขับได้ก็ดันจากไปเสียก่อน เป็นความทุกข์ซ้อนความทุกข์เข้าไปอีก จึงได้โทรมาแจ้งวัดเป็นการด่วน เพราะประเดี๋ยวหล่อนจะไม่ว่างแล้ว หลวงพ่อย้อยรับปากเป็นดิบดี เนื่องจากไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร โดยจะส่งสัปเหร่อเท่งไปดูแลให้ โยมจงวางใจแล้วจัดการศพสามีเถอะ
“โยมปราณีตัวคนเดียวไม่มีลูกหลาน หลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อ ยังไม่รู้เลย”
ใบหน้าคนพูดแสดงความหนักใจ จากนั้นทุกคนต่างสวดมนต์ต่อ ทว่าผิด ๆ ถูก ๆ ทั้งพระสงฆ์และเด็กวัด เนื่องจากเกิดความสับสนด้านความคิด เดี๋ยวก็คิดถึงเรื่องคนตาย เดี๋ยวก็คิดถึงเรื่องคนอยู่ เดี๋ยวก็คิดถึงเรื่องโทรศัพท์ ครั้นจะหยุดสวดไปเลยก็ไม่ได้ เพราะยังสวดไม่จบตามกำหนด
กระทั่งสวดจบจึงเริ่มการภาวนา มาอีกแล้ว โทรศัพท์เจ้ากรรมส่งเสียงแสบแก้วหู คราวนี้เป็นคนใหม่ ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นแม่ของเด็ก ตั้งใจโทรหาหลวงพ่อโดยตรง อีกไม่นานเธอจะย้ายไปอยู่บ้านสามี แถวนั้นมีโรงเรียนที่มีชื่อเสียง เธอรับรู้จากใครซักคน ว่าผอ.โรงเรียนนี้ชอบพอกับทางวัด จึงอยากให้ช่วยฝากลูกเข้าเรียน ที่โทรมาแต่เช้าเพราะกลัวไม่ทัน เดี๋ยวพระออกบิณฑบาตเสียก่อน วันก่อนเคยโทรแล้วไม่มีคนรับ
นี่คือเรื่องราวปะติดปะต่อ จากการแอบฟังอย่างตั้งใจ นัยว่ามีเหตุผลไม่ใช่น้อย แต่เป็นเหตุผลเพื่อตัวเองเท่านั้น หรือพูดอีกทีก็คือเห็นแก่ตัว ผมพยายามครุ่นคิดในใจ ว่าถ้าเป็นเราจะรับมืออย่างไรดี
หลวงพ่อตอบกลับอย่างสำรวม ว่าสิ่งที่โยมขอเป็นเรื่องทางโลก อาตมาคงช่วยเหลือไม่ได้ ให้เป็นไปตามระเบียบโรงเรียน อีกทั้งการศึกษาสมัยนี้ เรียนที่ไหนคงไม่แตกต่าง ลูกของโยมจะเป็นคนดีหรือไม่ อยู่ที่การอบรมสั่งสอนจากโยม
มีการพูดคุยโต้ตอบซักพัก น้ำเสียงปลายสายออกแนวน้อยใจ ว่าทำไมคนโน้นฝากได้ตนฝากไม่ได้ หรือเป็นเพราะทำบุญไม่เท่ากัน จากนั้นจึงวางสายไป พระและเด็กมองหน้ากันเลิกลั่ก
จากนั้นไม่นาน การสวดมนต์ทำวัตรเช้าจึงเสร็จสิ้น ทุกคนเตรียมตัวออกบิณฑบาต ผมและอำนาจเดินตามหลวงพ่อย้อย ใช้เส้นทางเลี้ยวซ้ายสี่แยกแล้วเดินวน หลวงน้ามหาจะไปกับติ่งและปาน ใช้เส้นทางเลี้ยวขวาสี่แยกแล้วเดินวน หลวงพี่สายไปพร้อมหลวงพี่จ่อย ใช้เส้นทางข้ามสี่แยกตรงไปแล้ววนกลับ
“กริ๊ง…! กริ๊ง…! กริ๊ง…! กริ๊ง…!”
เสียงจากสวรรค์ได้กระหึ่มอีกครั้ง หลวงพี่สายกับหลวงพี่จ่อยเดินจีวรปลิว ติ่งและปานพาหลวงน้ามหาไปโน่น ฝ่ายเด็กวัดจำเป็นต่างทำอะไรไม่ถูก นี่จะออกบิณฑบาตอยู่แล้วเชียว
“เจริญพร” หลวงพ่อย้อยรับสาย ผมและอำนาจย่องมาแอบฟัง
“กราบนมัสการท่านเจ้าอาวาส จำเสียงกระผมได้ไหม นายปรีดาที่เคยทอดผ้าป่า…”
ปลายสายแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ก่อนเริ่มต้นสารยาย ถึงคุณงามความดีเจ้าอาวาส ผู้เปี่ยมล้นด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ช่วยเหลือชาวบ้านให้พ้นทุกข์ พ้นโศก บลา บลา บลา…
“อย่างนี้ครับ” นายปรีดาเข้าเรื่องเสียที “ช่วงนี้กระผมได้ขยายกิจการ แต่โรงงานไม่ยอมให้เครดิต กระผมเองมีเงินสดไม่พอ จึงอยากขอรบกวน ยืมเงินเจ้าอาวาสผู้มีเมตตาซักสามแสน”
หลวงพ่อย้อยมีท่าทีตกใจ เมื่อทราบความประสงค์และตัวเลข ท่านพยายามตอบอย่างมีสติ พระที่ไหนจะมีเงินขนาดนั้น อาตมาบังสกุลจนแก่ก็มีไม่ถึง ไม่สามารถช่วยเหลือได้ดอก ทว่าทางนั้นไม่คิดยอมแพ้ บอกว่ากระผมแค่ขอยืม แล้วเดือนหน้าจะคืนให้ทั้งหมด รับรองไม่เบี้ยวอย่างแน่นอน
เจ้าอาวาสตอบกลับเช่นเดิม นายปรีดาจึงเดินแผนใหม่ โดยขอร้องให้ติดต่อญาติโยม เพื่อขอหยิบยืมเงินได้หรือไม่ หลวงพ่อได้อธิบายความ การที่พระจะไปเป็นนายหน้า หรือผู้ค้ำประกันใครนั้น คงไม่สามารถกระทำได้ แม้กระทั่งกับญาติก็ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของพระวินัย หรือระเบียบข้อบังคับ
“ท่านเจ้าอาวาสเมตตากระผมด้วย ผิดวินัยนิดหน่อยคงไม่เป็นไร ท่านไม่ควรรักษาวินัยจนขาดเมตตา เพราะเมตตาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด กระผมพูดถูกใช่ไหมครับ”
ปลายสายพยายามเกลี้ยกล่อม คราวนี้ยกเรื่องเมตตามาอ้าง ผมและอำนาจตั้งใจแอบฟัง ด้วยสนใจในบทสนทนาธรรม หรือแปลเป็นไทยได้ว่า อยากรู้อยากเห็นนั่นแหละ
“พระที่ไม่มีวินัย ย่อมไม่ใช่พระนะโยม” หลวงพ่อยังคงใจเย็น “เมตตานั้นเป็นของดี แต่การแสดงเมตตาต้องมีขอบเขต คือไม่ให้ผิดวินัยสงฆ์ ผิดกฎหมายบ้านเมือง โยมปรีดาเข้าใจนะ”
“พระอะไรกัน สนใจแต่เรื่องวินัย” ดูเหมือนทางนั้นเริ่มหัวเสีย “แค่นี้ก็พึ่งพาไม่ได้ ถึงขนาดยอมทิ้งเมตตา โดยอ้างเรื่องพระวินัย พระที่ไม่มีเมตตาย่อมไม่ใช่พระ พระที่ไม่มี…”
“ใจเย็นไว้ก่อนโยม อาตมาเห็นใจที่โยมมีปัญหา แต่อย่าว่าพระมาก จะยิ่งบาปกว่าเดิม”
หลวงพ่อรีบปรามก่อนอีกฝ่ายจะเลยเถิด ปลายสายเงียบเสียงไปแล้ว เขาวางสายไปหรือเปล่านะ เด็กวัดตัวโตทั้งสองแอบลุ้นผล เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ โทรศัพท์พลันมีเสียงตอบกลับ
“ผมขอโทษเจ้าอาวาส กราบนมัสการลา”
เจ้าอาวาสวัดหมูแดงวางสาย ก่อนหยิบบาตรเดินลิ่วนำหน้า ผมคว้ารถเข็นได้จึงวิ่งตาม ส่วนอำนาจเดินตาปรือท้ายขบวน สัปเหร่อเท่งเดินหาวสวนเข้ามา เขาเป็นคนรับสายเมื่อโทรศัพท์ดังอีกรอบ
“หลวงพ่อไม่โกรธเหรอครับ ผมว่าทางนั้นพูดแรงทีเดียว”
หลังจากเข็นรถเข็นตามทัน จึงได้สอบถามสิ่งที่คาใจ หลวงพ่อย้อยเหลียวมองอย่างมีเมตตา
“หลวงพ่ออยากรู้ ว่าทางนั้นจะว่าอย่างไร ถ้าช่วยได้ก็อยากช่วย เขากำลังทุกข์หนักไม่มีที่พึ่ง”
ผู้ครองผ้าเหลืองเฉลยคำตอบ ขณะย่างก้าวออกบิณฑบาต ลมหนาววูบโตเข้าปะทะใบหน้า ผมรูดซิปเสื้อวอร์มปิดถึงลำคอ สองมือออกแรงเข็นรถเข็น สองเท้าก้าวอยู่บนถนนลาดยาง
---------------------------------------------
“กริ๊ง…! กริ๊ง…! กริ๊ง…! กริ๊ง…!”
ระหว่างที่ผมกับอำนาจกำลังล้างจาน โดยมีติ่งและปานช่วยทำให้เลอะ โทรศัพท์เครื่องเดิมได้ดังแสบแก้วหู เรียกร้องความสนใจจากทุกฝ่าย อีกสิบแปดนาทีจะเก้าโมงเช้า ผมเพ่งมองอย่างไม่สบายใจ เมื่อเห็นหลวงพ่อรับโทรศัพท์ ครั้นจะมาเองก็ไกลเหลือเกิน จึงต้องยอมปล่อยเลยตามเลย
หลวงพ่อย้อยอายุประมาณหกสิบกว่า หน้าตาผิวพรรณเหมือนคนอยุธยา ผิวคล้ำ ตาโต ปากหนา ขอบตาคล้ำ มือใหญ่ ขาใหญ่ โครงสร้างใหญ่ สุงประมาณ 170 เซนติเมตร แววตาพระคุณเจ้ามีความเมตตา ใจดี ใจเย็น ไม่โต้ตอบ แม้โดนติฉินนินทา สมัยก่อนคงเป็นชายหนุ่มที่แข็งแรง ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชน ก่อนบวชไม่สึกเมื่ออายุ 34 ปี
เสร็จจากล้างจานจึงมาจัดสถานที่ต่อ วันนี้เป็นวันพระตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เริ่มมีสาธุชนเดินทางเข้ามา เพื่อทำบุญเลี้ยงเพลรับศีลรับพร ปรกติหลวงพ่อย้อยจะประจำหน้าที่ ให้ญาติโยมประเคนถวายสิ่งของ ทว่าวันนี้ท่านติดคุยโทรศัพท์ ก็สายเดิมที่โทรมานั่นแหละ หลวงน้ามหาจึงรับหน้าเสื่อไปพลาง
“คนเยอะจังเลยนะครับ เพิ่งรู้ว่าวัดก็วุ่นวายไม่ใช่น้อย” ระหว่างพักผมได้ชวนคุย
“วุ่นวายแบบนี้ประจำ” หลวงน้ามหาตอบกลับ เป็นพระที่เทศน์เก่งพอสมควร “วันก่อนยิ่งแล้วใหญ่ โยมจากต่างอำเภอโทรหาหลวงพ่อ ทางโน้นแจ้งมาว่า อีกสามวันจะเผาศพแม่ จึงขอนิมนต์ไปงานที่วัดแถวนั้น รายนี้ไม่ได้เป็นญาติกัน แต่ค่อนข้างสนิทกัน หลวงพ่อเลยรับปากว่าจะไป”
“แล้วมันวุ่นวายตรงไหนครับหลวงน้า” อำนาจนั้นอดไม่ได้ที่จะถาม
“อ้า… วุ่นวายสิ วางสายไม่นาน ระหว่างฉันโทรศัพท์ดังอีกแล้ว” หลวงน้ามหาเล่าได้ตื่นเต้น ทุกคนจึงตั้งใจฟัง “รายนี้เป็นญาติกับหลวงพ่อ บอกว่าแม่ตายเหมือนกัน จะเผาวันเดียวกัน เวลาเดียวกัน แต่อยู่กันคนล่ะจังหวัด แล้วจะทำอย่างไร รายนี้คะยั้นคะยอให้ไปให้ได้ เพราะอยากให้เป็นประธาน แต่รับปากอีกรายไว้แล้ว ทีนี้วุ่นวายหรือยังล่ะโยม”
“วุ่นวายที่สุดเลยครับ” ผมชิงตอบแทนเพื่อน พลางถอดเสื้อวอร์มเพราะอากาศเริ่มร้อน
“แล้วหลวงพ่อแก้ไขยังไงครับ” อำนาจยังมีคำถามมากมาย
“เรื่องนี้อาตมาไม่รู้ดอก ต้องถามหลวงพ่อเอา”
พระนักเทศน์กล่าวเพียงแค่นี้ เพราะมีญาติโยมเข้ามาคุยด้วย การสนทนาเป็นอันยุติลง โน่นแหละครับ อีกห้านาทีจะสิบโมงเช้า คนโทรหาจึงได้วางสาย หลวงพ่อย้อยเช็ดเหงื่อที่ไหลย้อย
“คุยนานเลยนะท่าน มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” หลวงน้ามหาเอ่ยทักขณะสลับตำแหน่ง
“ไม่มีอะไรดอก โยมจำปีเจ้าเก่าท่านมหา”
เจ้าอาวาสตอบกลับหลังจากนั้น สีหน้าดูอ่อนเพลียเล็กน้อย หลวงน้ามหาอุทานว่าอ้อ แล้วเดินไปดูการจัดพื้นที่หอฉัน ผมรินน้ำชาประเคนพร้อมยิงคำถามคาใจ
“หลวงพ่อครับ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย คนชื่อจำปีคือใครครับ”
“นั่นสิครับ สำคัญขนาดไหนกันถึงวางสายไม่ได้ แล้วคุยธุระอะไรเป็นชั่วโมง”
อำนาจเริ่มใส่ไฟตามหน้าที่ พร้อมแทรกตัวจนแทบเกยเข่าพระ การสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้าน ถือเป็นอาชีพหลักของหมอนี่ หลวงพ่อย้อยยิ้มให้ขณะเปิดเผยเรื่องราว
“โยมจำปีเป็นชาวบ้านแถวนี้แหละ เมื่อก่อนมาทำบุญที่วัดบ่อย จึงรู้จักพระทุกรูป” ภิกษุจิบน้ำชาแล้วเล่าต่อ “เรื่องที่พูดคุยก็ทั่วไป วันนั้นไปไหว้พระที่นั่นที่นี่ ไม่ก็เรื่องทำอาหารถวายพระ”
“เรื่องแค่นี้เอง คุย 10 นาทีก็จบแล้ว” อำนาจพูดขัดจนผมต้องทำตาดุ
“มันก็จริงอย่างที่โยมว่า แต่โยมจำปีรายละเอียดเยอะ อย่างเรื่องทำแกงเขียวหวานไก่ ก็บรรยายว่า ใช้แต่เนื้อไก่ล้วน ไม่มีกระดูก ใส่พริกเท่านี้ ใส่มะเขือเท่านี้ ใช้เครื่องแกงเท่านั้นเท่านี้ วิธีการปรุงครบทุกขั้นตอน ต้องใช้ไฟแรงปานกลาง เนื้อไก่สุกแล้วใส่มะเขือ ส่วนกะทิใส่ท้ายสุด เรื่อยไปจนจบ”
พระสงฆ์สุงวัยอธิบายยาวเหยียด แม้เป็นเพียงบทสรุปอย่างย่อ คนได้ยินแปลกใจหนักกว่าเดิม
“หลวงพ่อทนฟังได้ยังไงครับ” อำนาจก็ยังอดถามไม่ได้
“อย่าเซ้าซี้หลวงพ่อสิ” ผมจึงจำเป็นต้องเอ่ยห้าม
“ไม่เป็นไรดอก หลวงพ่ออยากบอก” ภิกษุสงฆ์ขยับตัวคลายเมื่อยล้า “โยมทั้งสองฟังแล้วคิดตาม ถึงคนโทรมาไม่มีธุระสำคัญ แต่ให้ตัดบทวางสายก็ใช่ที่ เพราะรู้อยู่แล้ว ว่าผู้ที่คุยโทรศัพท์ได้อย่างมาราธอน มักเป็นผู้ที่อยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อนพ้องที่จะปรับทุกข์ บางครั้งต้องคุยกับหมาแมว อย่างที่เคยเห็นในทีวี”
หลวงพ่อหยุดพักครู่หนึ่ง เพื่อรอคำถามจากอำนาจ พอเห็นว่าไม่มีจึงได้พูดต่อ
“เราต้องเห็นใจความเหงาของเขา เพราะเมื่อเราแก่ตัวกว่านี้ อาจเป็นเหมือนกันกับเขา ทนฟังเอาหน่อย นึกเสียว่าทำบุญ เพราะทำให้เขาสบายใจ เมื่อใจสบายกายจึงสบายตาม”
“แต่ว่าหลวงพ่อครับ ทำไมคนชื่อจำปีไม่มาที่วัดเลย วันนี้วันพระนี่ครับ”
อำนาจยิงคำถามสำคัญ ด้วยความเป็นเด็กช่างคิดช่างสงสัย ผมเห็นด้วยเสียเหลือเกิน ทำไมหล่อนต้องคุยยืดยาว ทั้งที่บ้านก็อยู่ไม่ไกล ไม่มีเหตุผลแม้แต่น้อย
“หลวงพ่อบอกเป็นนัยแล้ว ว่าโยมจำปีอายุมาก” ผู้ครองผ้าเหลืองยิ้มให้ “สมัยสาว ๆ มาวัดเองได้ เดี๋ยวนี้แค่เดินเหินยังลำบาก โยมจำปีมาทำบุญไม่บ่อย ต้องเป็นวันที่ลูกหยุดขายของ ไม่ก็หลานหยุดทำงาน การทำบุญไม่จำเป็นต้องมาที่วัด ขอแค่ตั้งมั่นอยู่ในความดี คิดดี ทำดี จิตบริสุทธิ์ ถือเป็นการทำบุญเช่นกัน”
ผมกับเพื่อนประนมมือแล้วเอ่ยสาธุ ด้วยมองเห็นความจริงที่เคยละเลย นี่คือการสนทนาธรรมหรือเปล่า ผมครุ่นคิดแต่ไม่กล้าเอ่ย พลันมีเสียงที่คุ้นเคยดังขั้นกลาง
“เด็ก ๆ ช่วยอี๊ถือของหน่อย แอบอู้งานกันหรือเปล่า สู้ติ่งกับปานก็ไม่ได้”
เสียงที่ว่ามาจากด้านหน้าศาลา หันไปก็พบน้าสาวยืนยิ้มแป้น จึงรีบโกยอ้าวผ่านส่วนรับรองแขก อำนาจตามมาเพื่อช่วยถือของ พวกเรากลับมาที่เดิมแล้ววางทุกอย่างลง อี๊บ๊วยนั่งพับเพียบห่างพระสงฆ์หนึ่งศอก เธอยกประเคนถวายวางบนผ้าผืนน้อย แล้วเสร็จจึงประนมมือน้อมศีรษะไหว้ ภิกษุสงฆ์เริ่มสวดอนุโมทนากถา น้าสาว หลานชาย และเพื่อน กรวดน้ำด้วยแก้วใบน้อย พร้อมท่องในใจว่า “อิทัง เม ญาตินัง โหตุ สขิตา โหนตุ ญาตะโย” อุทิศส่วนบุญกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ
“เทน้ำที่กรวดให้ด้วยนะ อี๊ต้องรีบกลับไม่มีคนเฝ้าร้าน”
หญิงผมยาวกลางหลังได้เอ่ยปาก เธอดูรีบร้อนเพราะมีงานค้างอยู่ จึงต้องรีบเดินทางกลับ
“พ่อกับแม่ผมล่ะอี๊ เห็นบอกจะแวะมาหา” อำนาจเอ่ยถามด้วยร้อนใจ
“ไปวังน้ำเขียวกันแล้วจ้า เห็นว่าจะกลับค่ำ ๆ” อี๊บ๊วยตอบแล้วยิ้มให้
“ว่าแล้วเชียว ไม่น่าพลาดเลย คอยดูนะ พ่อจะอาละวาดให้บ้านพัง !”
นายอำนาจสี่ตาเริ่มโวยวาย ก่อนเดินตาขวางจากไปด้วยโมโห ติ่งกับปานมองตามจนคอเคล็ด ทั้งคู่มีแต่เรื่องไม่เข้าใจ ทำไมพี่สวมแว่นถึงโมโหเก่ง พูดมาก ขี้บ่น มีคำถามเยอะ ส่วนพี่อีกคนบุคลิกดูน่าเชื่อถือ แต่ทำไมพฤติกรรมดูไม่น่าเชื่อถือ ทำไมพวกวัยรุ่นถึงว้าวุ่นนัก เด็กประถมสี่ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
อี๊บ๊วยกราบลาหลวงพ่อ หลังรับศีลรับพรเป็นที่เรียบร้อย เธอมีขนมมาฝากติ่งและปาน เด็กได้ของกินจึงยิ้มกระโดดโลดเต้น พลางจูงมือคนใจดีไปส่งถึงมอเตอร์ไซค์
ผมนำอาหารไปจัดวางที่หอฉัน ใจก็คิดถึงคำพูดหลวงพ่อ นาทีผมจำทุกอย่างได้แล้ว ป้าจำปีเคยขายกล้วยน้ำว้า อายุอานามไล่เรี่ยกับอาม่า หล่อนมักแวะมาที่ร้านบ่อยครั้ง ลูกสาวป้าจำปีชื่อน้าจำปา เป็นแม่ค้าขายพริกแกงตลาดสด น้าจำปามีลูกสาวชื่อพี่จำปูน อายุมากกว่าผม 3 ปี น่ารัก ยิ้มเก่ง พี่จำปูนเรียนจบมัธยมปลาย และเป็นพนักงานโรงงานกระดาษ ด้วยลูกหลานต้องทำงานนอกบ้าน จึงไม่เหลือใครพาป้าจำปีมาวัด
นาทีต่อมาผมได้ตัดสินใจ ต่อไปถ้าวันพระตรงกับวันหยุด ผมจะอาสาอยู่เฝ้าร้านจักรยาน ให้อี๊บ๊วยพาอาม่ามาทำบุญ ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้มากัน ส่วนเรื่องของป้าจำปี ถ้าเจอน้าจำปาหรือพี่จำปูน ผมจะลองคุยให้
“เพื่อนอีกคนไม่ว่างเหรอ เห็นเดินบ่นไปทางห้องน้ำ” หลวงน้ามหาชวนคุยระหว่างจัดอาหาร
“คงโทรศัพท์ไปโวยวายทางบ้าน หมอนี่เป็นแบบนี้แหละ หลวงน้าอย่าถือสาเลย”
ผมแก้ต่างให้เพื่อนผู้พูดเก่ง ขณะวางถ้วยแกงจืดคู่ผัดผัก ที่วัดมีพระเพียง 4 รูป จึงจัดอาหารแค่วงเดียว
“ท่าทางวันนี้ไม่มีอะไร วันพระที่แล้วนะโยม วุ่นวายตั้งแต่เช้า” พระผู้เทศน์เก่งได้ชวนคุยต่อ
“ทำไมอย่างนั้นล่ะครับ” ดูเหมือนผมจะติดเชื้อจากเพื่อนแล้ว
“อ้า… วุ่นวายสิ อาตมาสวดอนุโมทนาอยู่ มีโยมผู้ชายโผล่เข้ามากลางวง แล้วบ่นเรื่องพระเสียอย่างโน้นอย่างนี้ เขาเริ่มทนไม่ไหวแล้ว โยมหลายคนเริ่มทนไม่ไหวตาม อยากเอาแกงไก่สาดหน้า”
“อย่างนั้นเชียวหรือครับ แล้วหลวงน้าทำอย่างไร” ใบหน้าคนถามตื่นเต้นตามกัน
“อาตมาไม่ได้ทำอะไรดอก คิดแต่ว่าจะเก็บแกงไก่ พอดีหลวงพ่อเข้ามาห้าม แล้วเทศนาสั่งสอน ท่านพูดแบบนี้” พระนักเทศน์กระแอมเล็กน้อย “โยมไหว้พระหรือโยมไหว้คน บางคนรู้จักแต่พระเสีย ไม่รู้จักพระดี ให้ความสำคัญแก่ความชั่วจนลืมความดี ไม่รู้จักแยกพระดีพระเลว เท่ากับโยมบอกว่าพระหมดโลก รวมทั้งท่านพุทธทาสหรือหลวงพ่อจรัญ อาตมารู้สึกสงสาร ไม่มีพระดีอยู่ในใจอยู่ในสมอง เป็นกรรมอะไรเช่นนี้”
ผมถามต่อไม่ถูกเมื่อได้ยินคำตอบ คาดว่าคนที่หาเรื่องก็เช่นกัน มีเสียงคนเดินขึ้นบันไดศาลา จึงขอตัวเพื่อไปช่วยถือของ ในใจครุ่นคิดแต่ว่า ตนเป็นแบบชายคนนั้นหรือเปล่า
“อ้าว เจอกันอีกแล้วนักเรียน ช่วยอาจารย์ถืออาหารที”
ชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมผิวสีแทน ในมือหิ้วของพระรุงพระรัง เขาคือผู้ ผอ.ยอดรักผู้มีเคราแพะ นุ่งกางเกงยีนส์สวมเสื้อลายสก๊อตพับแขน หวีผมเรียบแปร้สวมแว่นกันแดดสีชา คล้ายคลึงคาวบอยเมืองเท็กซัส ผมยกมือไหว้ก่อนรับถุงอาหาร แล้วเผ่นแนบเพราะไม่อยากตอบคำถาม ผอ.ยอดรักเดินมานั่งข้างกัน
“โยมยอดรักมาเร็วกว่าทุกครั้ง” หลวงพ่อกล่าวทักทายอย่างคุ้นเคย
“ครับหลวงพ่อ พอดีวันนี้นัดเพื่อนไว้ บ่นถึงก็มาเลย ไปนักเรียน ช่วยอาจารย์ถือของที”
คนพูดเดินย้อนกลับไปด้านหน้าศาลา ผมก็เลยตามติดด้วยหน้าที่ พบชายวัยกลางคนผิวขาวแต่งตัวสุภาพ ผู้มาใหม่ทักทายผอ.ยอดรักอย่างสนิทสนม น่าจะเป็นเพื่อนที่นัดหมายกันไว้
“ว้าย ! ไม่น่าเชื่อ อยู่ที่นี่ได้ยังไง มาช่วยเราถือของเลยด้วย”
เสียงหวานสดใสดังมาจากด้านล่าง ผมมองตามแล้วแปลกใจกึ่งดีใจ สาวน้อยหน้าใสหุ่นดีผิวเนียน ยืนส่งยิ้มหวานโบกไม้โบกมือให้ เธอคือวนิดาหรืออ้อยใจ อดีตดาวโรงเรียนตอนมัธยมต้น
“สวัสดีวนิดา ผมยาวแล้วน่ารักขึ้น เรานี้แทบจำไม่ได้” ผมกล่าวทักทายขณะช่วยถือของ
“บ้า น่ารักที่ไหน เหมือนเดิมแหละ” คนโดนชมแก้ต่างแต่ยิ้มแป้น “ว่าแต่… มาวัดชุดนี้เนี่ยนะ”
“เอ่อ… เรื่องมันซับซ้อนนิดหน่อย เอาเป็นว่า วันนี้เราเป็นเด็กวัด”
คราวนี้เป็นผมที่ต้องแก้ต่าง ส่งผลให้วนิดาหัวเราะร่วน เพื่อน ๆ จำวนิดาได้ไหมครับ ผู้ที่ทำให้เด็กน้อยสมหมายเกิดรักแรกพบ ถ้ายังนึกไม่ออกอ่านตอน “เส้นทางของหมีน้อย” ได้เลย
“เด็กวัดก็เด็กวัดสิ ไม่ถามแล้ว สุงขึ้นหรือเปล่าเนี่ย เราดูเตี้ยลงไปเลยอ่ะ”
สาวน้อยหน้าใสชวนคุยไม่หยุด จะว่าไปผมคงสุงกว่าเดิม เมื่อก่อนเราทั้งคู่เสมอกัน ตอนนี้ผมแซงหน้านิดหน่อย แต่วนิดาก็สุงมากสำหรับผู้หญิง เธอนุ่งกางเกงยีนส์ขาเดฟ เสื้อแขนยาวสีขาวปกปิดมิดชิด ผมสีน้ำตาลเข้มยาวเลยบ่า แต่งหน้าบาง ๆ กลิ่นหอมจาง ๆ โชยแตะจมูก วนิดาโตเป็นสาวแล้วสินะ
“ถามหน่อยสิ ทำไมถึงย้ายไปเรียนเสาร์ห้า” ผมชวนคุยบ้าง
“เอ่อ… เรื่องมันซับซ้อนนิดหน่อย” สาวเจ้าย้อนคำกลับ เล่นเอาผมสะอึก “เอาเป็นว่า…”
“ช้าจังเลยอ้อย มัวทำอะไรอยู่ แล้วนายคนนี้ใครกัน”
ชายวัยกลางคนผิวขาวพูดแทรก เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสแล็คสีเข้ม จ้องมองมาที่ผมอย่างไม่เป็นมิตร สถานการณ์ดูไม่ดีเอาเสียเลย แล้วผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน
“คนนี้นักเรียนเราเอง นิสัยดีความรับผิดชอบสุง วันหยุดยังมาช่วยงานที่วัด ไม่มีเที่ยวเตร่ขี่มอเตอร์ไซค์กวนเมือง ผมอยากถามท่านผอ.ว่า ที่เสาร์ห้ามีนักเรียนแบบนี้ไหม” ผอ.ยอดรักพรรณาสรรพคุณ
“เพื่อนอ้อยเองพ่อ ไม่ต้องทำหน้าแบบนี้เลย”
วนิดาพูดใส่แบบมีงอน ทำให้ผมรู้อะไรกับเขาบ้าง เขาคนนี้เป็นผอ.โรงเรียนเสาร์ห้า และเป็นพ่อของวนิดาเช่นกัน ที่เธอต้องย้ายโรงเรียนเมื่อปีกลาย คงเพราะเหตุนี้แน่เชียว
“เพื่อนก็เพื่อนสิ ไม่ถามแล้ว ประเคนอาหารกันก่อนเถอะ”
พ่อของวนิดาพูดตัดบท แล้วทำหน้าที่พุทธศาสนิกชน เพื่อนและลูกสาวต่างทำตาม หลังกรวดน้ำจึงเริ่มสนทนาธรรม วนิดาขยับตัวมานั่งข้าง เพื่อจะได้นินทาพ่อถนัดหน่อย
“รู้แล้วสินะ อยู่เสาร์ห้าเราเซ็งจะตาย ไม่ได้เล่นสนุกเหมือนที่เดิม” คนพูดทำหน้างุ้ม
“เห็นว่าเป็นดรัมเมเยอร์ ยังไม่สนุกอีกหรือ” ผมพยายามพูดในแง่ดี
“แหวะ ! น่าเบื่อล่ะไม่ว่า” วนิดาขมวดคิ้วใส่ “มีพ่อนั่งคุมข้างสนาม นายคิดว่าสนุกไหมล่ะ”
หลวงพี่จ่อยได้กวักมือเรียก เพราะต้องการคนช่วยปูเสื่อ ผมจึงขอตัวไปทำงานต่อ แล้วเดินแยกตัวออกมา ตรงนั้นเองมีอำนาจนั่งอยู่ด้วย เขากำลังเพ่งมองดรัมเมเยอร์สาวตาแทบถลน
“นั่นมันวนิดานี่หว่า ไม่เจอตั้งนาน น่ารักขึ้นเป็นกอง” แววตาอำนาจส่องประกายวิบวับ
“เบา ๆ หน่อย” ผมเคาะกระโหลกเพื่อนพลางจิกตามอง “พูดแบบนี้ ชอบวนิดาเหรอ”
“บ้าแล้ว ใครจะชอบยายโย่งกัน ไม่ใช่สเป๊กเราซักนิด” เจ้าตัวปฎิเสธแต่หูแดงแป๊ด
“เออ…ให้มันจริง แต่เราว่าอย่าชอบเธอเลย มันข้ามรุ่นเกินไปไอ้น้อง”
ผมหยอกกลับเรื่องความสุงอำนาจ เจ้าตัวตาเขียวทำปากขมุบขมิบ แล้วผอ.ยอดรักก็กวักมือเรียก ให้มาเอาน้ำไปเทที่ต้นไม้ใหญ่ ผมอยากเสนอเพื่อนทำงานนี้ หมอก็ดันเผ่นแนบไปไกลลิบ จึงจำเป็นต้องไปด้วยตัวเอง ทั้งที่กลัวใครบางคนจะผิดใจ สาเหตุที่อำนาจไม่ยอมมานั้น คงเป็นเพราะวนิดาได้ตามมาด้วย
เราทั้งคู่เดินลงจากศาลา ตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ริมสนาม สุนัขต่างถิ่นตัวหนึ่งเดินกระย่องกระแย่ง จึงโดนหมาวัดสามตัววิ่งเข้าใส่ หมาน้อยวิ่งมาหลบหลังต้นไม้ สงครามกองโจรอุบัติขึ้นทันควัน
เกิดการโกลาหลทั่วพื้นที่ ผมรีบเอาน้ำไล่สาดสุนัข ได้ยินเสียงร้องวนิดาดังลั่น ก็เลยทิ้งขันหันกลับไปดูเพื่อน คนบนศาลาโผล่หน้ากันสลอน เห็นเด็กวัดนั่งเคียงข้างสาวน้อยหน้าใส
“เป็นอะไรหรือเปล่าอ้อย หมาตัวไหนกล้าลองดีบอกพ่อ” ผอ.โรงเรียนเสาร์ห้าตะโกนถาม
“เปล่าค่ะ หนูสะดุดรากไม้ลื่นล้ม”
เจ้าตัวตอบกลับขณะกุมข้อเท้าขวา เธอพยายามลุกขึ้นยืนเอง วนิดาเจ็บข้อเท้าจึงหกล้ม ผมใช้มือประคองร่างเธอไว้ พ่อของวนิดาแทบกระโดดลงจากศาลา หวังว่าเขาจะไม่คิดอกุศล
“ลูกสาวเฮียใช้น่ารักไม่เบา สวยเหมือนแม่ไม่มีผิด แล้วนายคนนี้ใครกัน”
ขณะที่ผมระวังภัยด้านหน้าตัวเอง พลันมีเสียงล้งเล้งมาจากด้านหลัง ทุกคนหันไปมองโดยพร้อมเพรียง พบเฮียฮ๋าเดินยิ้มกริ่มอยู่ไม่ไกล เขาสวมชุดเก่งคือเสื้อม่อฮ่อมกางเกงขาก๊วย
“มาถึงก็ปากดีเลยนะเฮียอ๋า แล้วนี่เพื่อนพ้องหายไปไหนแล้ว ตะกี้ยังกัดกันอยู่เลย”
เฮียใช้หรือพ่อของวนิดากล่าวทักทาย พลางส่งแววตาอำมหิตกลับคืน ผมมองทั้งคู่ไปมาด้วยงุนงง
“เพื่อนข้าก็เพื่อนเอ็งแหละวะ จะไม่มาดูลูกสาวหน่อยเหรอ โดนไอ้หนุ่มหน้ามนประคองถึงในวัด”
เฮียอ๋าสวนกลับดอกนี้เอง ทำให้เฮียใช้หน้าแดงทันควัน ผอ.โรงเรียนเสาร์ห้าดึงวนิดาไปจากมือผม พลางทำตาดุประหนึ่งอยากกินเลือดเนื้อ ลูกสาวจะพูดก็โดนห้ามไว้
“ไอ้หนุ่มหน้ามนของเฮียอ๋า เป็นนักเรียนดีเด่น 3 ปีซ้อนเชียวนะ” ผอ.ยอดรักเดินลงมาสมทบ “เฮียอ๋าก็พูดเกินไป เด็กมันเป็นเพื่อนกัน วนิดาจะล้มเพื่อนเลยช่วยประคอง นักเรียนคนนี้นิสัยดีผมยืนยันได้”
“ไม่ทราบว่าเฮียอ๋า มาทำซากอะไรที่นี่” เฮียใช้กัดเพื่อนรักด้วยโทสะ
“อ้าว ผมก็อยากเข้าวัดเข้าวาแบบเฮียใช้บ้าง” เฮียอ๋าลอยหน้าลอยตาพูด พลางพยักหน้าไปที่อีกคน “ยอดรักชวนให้มาทำบุญ นี่ก็ขนข้าวปลาอาหารมาเพียบ ไม่ทันคิดว่าจะได้เจอเฮียใช้”
“ไม่คิดว่าจะเจอเฮียอ๋าเหมือนกัน รู้แบบนี้นอนอยู่บ้านดีกว่า” เฮียใช้ตอกกลับทันควัน
“เอาน่าเพื่อน อายเด็กมันบ้าง” ผอ.ยอดรักรีบห้ามแล้วแจงสาเหตุ “ที่เราชวนมาวันนี้ เพราะอยากทำบุญให้อาจารย์ทองก้อน เราขอซักวันแล้วกัน คิดเสียว่าร่วมทำบุญ พวกนายนี่ไม่เปลี่ยนเลย”
คนพูดดันหลังเฮียฮ๋าขึ้นศาลา ส่วนเฮียใช้ประคองลูกสาวเดินตาม คู่รักคู่แค้นยังคงบ่นอุบ ด้วยว่าโดนเพื่อนต้มเสียเปื่อย ทิ้งเด็กวัดยืนเซ่ออยู่คนเดียว จึงครุ่นคิดด้วยความประหลาดใจ
ผมไม่เคยเห็นเฮียอ๋าเข้าวัดมาก่อน มีคนลือว่าแกไม่ชอบหลวงพ่อ ทั้งที่เมียแกชอบทำบุญมาก เดี๋ยวก่อนนะ…เฮียอ๋าเดินตัวเปล่าไม่ถืออะไร แล้วอาหารที่เตรียมมาอยู่ไหนกัน หรือว่าจะเป็น ??
“มาช่วยถือกับข้าวหน่อย คุณนักเรียนดีเด่น 3 ปีซ้อน”
เสียงหวาน ๆ ดังมาจากลานกว้าง ตรงนั้นเองมีรถกระบะสีเขียวคันหนึ่ง สาวน้อยดวงตากลมโตยืนอยู่ลำพัง ชิดชนกถือข้าวของเต็มสองมือ เธอสวมเสื้อยืดหมีพูห์สีครีมกางเกงวอร์มสีเทาดำ ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มสยดสยองที่สุดในสามโลก
---------------------------------------------
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ