Tear of Snow เทพนิยายทะลุมิติ
เขียนโดย zusuran
วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.12 น.
แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.53 น. โดย เจ้าของนิยาย
14) ความแค้น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 13 ความแค้น
ใกล้รุ่งสางของวันใหม่ แต่กลับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเคลื่อนไหว ไม่ต่างจากห้วงนิทราของคนที่หลับใหลอยู่ในตอนนี้
มิราอินั่งเฝ้าฟุยูกิไม่ห่าง เมฆสีดำกลุ่มใหญ่เข้ามาบดบังม่านฟ้าปกปิดแสงจันทร์ไม่ให้สาดส่องลงมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว ฟุยูกิหยุดดิ้นพล่านเพราะความเจ็บปวดก่อนที่จะหลับไปอย่างสิ้นแรง มีลีอานอนซบอยู่แนบอก มีเพียงมิราอิเท่านั้นที่ไม่สามารถข่มตาหลับได้ ชายหนุ่มได้ใช้เนตรสีขาวมองทะลุผ่านเมฆสีดำขึ้นไป ทำให้รู้ว่าตอนนี้ใกล้จะรุ่งสาง และพระจันทร์ก็กำลังคล้อยต่ำลงไปทุกที
“ความตายจะหยุดยั้งความเจ็บปวดได้ หนทางสุดท้ายก็คือ…ต้องฆ่า”
ถ้อยคำปริศนาจับทิศทางไม่ถูกโลดแล่นเข้ามาในหัวอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้มิราอิรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนแผลเก่าเริ่มปริอีกรอบ ถ้าหากไปไม่ถึงที่ตรงนั้นแล้วล่ะก็ หนทางสุดท้ายก็คือ ฆ่าฟุยูกิ
“แต่ท่านคงไม่คิดที่จะทำอย่างนั้นหรอกใช่ไหม”
เสียงเล็กๆดังสอดแทรกเข้ามาตรงกับความคิดที่สับสนในใจ มิราอิสะดุ้งเล็กน้อยและรีบหันไปหาต้นตอของเสียง ลีอายืนอยู่ข้างหลังเขานานเท่าไหร่แล้วไม่อาจรู้ได้ แต่แววตาที่เธอจ้องมองเขานั้นมันช่างตัดพ้อและเต็มไปด้วยคำถาม
“ข้าไม่เคยคิดอย่างนั้น…ครั้งเดียวก็ไม่เคย แต่ว่าจู่ๆมันก็ผุดขึ้นมาในหัวสมองของข้า”
ชายหนุ่มพูดพลางมองเด็กน้อยที่ยังจ้องมองเขาด้วยสีหน้าเรียบสนิท เธอกะพริบตาและหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางเอ่ยบางประโยคออกมาด้วยสีหน้าท่าทางที่เรียบเฉย
“ทะเลสาบสีเงิน มีจริงนะ”
“….!”
“แต่เวลาก็มีขีดจำกัดของมันเช่นกัน จะเดินทางไปเรื่อยๆอย่างนี้คงไม่ทัน”
“หมายความว่ายังไง”
“ข้าเองก็ไม่รู้”
มิราอิรู้สึกข้องใจหลายอย่าง ทั้งเรื่องของเด็กน้อยปริศนาคนนี้ ทั้งเรื่องการเดินทางที่ยังมองไม่เห็นจุดหมาย แต่คำตอบที่ตรงไปตรงมาของลีอาทำให้เขาไม่อยากซักไซ้อะไรมากมาย เพราะในหัวสมองเขาตอนนี้มีหลายเรื่องที่ปนเปและยุ่งเหยิงเกินกว่าจะมีที่ว่างพอจะรับสิ่งใหม่ๆเข้ามาเพิ่ม เขาภาวนาขอให้เวลากลางวันคืบคลานเข้ามาหาเร็วๆเพื่อฟุยูกิน้องชายของเขาจะหายจากความเจ็บปวดที่ไร้บาดแผล และอีกด้านหนึ่งเขาก็ร่ำร้องกับความมืดในใจ ว่าต้องการแก้แค้นเนรีวให้สาสม
“ข้าจะเก็บวิธีนี้ไว้เป็นทางเลือกสุดท้ายจนกว่าวันนั้นจะมาถึง ถ้าหากหมดทางเลือกข้าจะเป็นคนสังหารเขาด้วยมือของข้าเอง แต่ว่า…สิ่งที่ข้าต้องการจะทำที่สุดในตอนนี้ก็คือคิดบัญชีกับเนรีว!”
“ท่านมิราอิ”
“ฟุยูกิต้องหายจากความเจ็บปวดแน่ ข้าต้องไปหาทะเลสาบนั่นให้ได้”
คำพูดหนักแน่นและแข็งกร้าว แต่กลับเร่าร้อนเฉียดเช่นท่าทีภายนอก ลีอาจ้องมองและสัมผัสได้ถึงความว่างเปล่าแต่คับแคบ มันมืดเสียจนดวงตาสีทองของเธอมองไม่เห็น มีบางอย่างที่ทำให้เธอไม่สามารถตีตัวออกห่างจากคนเหล่านี้ได้ และยังรู้สึกถึงความน่ากลัวที่มองไม่เห็นจากมิราอิอีกด้วย
‘ความว่างเปล่าผิดกับท่าทีภายนอก ใบหน้าอ่อนหวานไม่ต่างไปจากหน้ากากของอสูรเลยซักนิด ชายคนนี้น่ากลัวจริงๆ น่ากลัวยิ่งกว่าอสูรกึ่งเทพอย่างโฮโนโอะด้วยซ้ำ…’
“อุ๊บ!! อ๊อก!! แฮ่กๆๆ…”
“ท่านมิราอิ!”
“ละ…เลือดข้า แฮ่กๆๆ…เป็นสีดำเหรอ!”
“ท่านถูกพิษของเนรีวเข้าน่ะ รออยู่ที่นี่นะ”
“นั่นเจ้าจะไปไหน!”
ร่างเล็กหายวับไปกับตาก่อนคำถามจะสิ้นสุด มิราอิมองเลือดสีดำบนฝ่ามือไม่นานดวงตาก็เริ่มแข็งกร้าว เพราะความแค้นที่เดือดพล่านแทบทะลักออกมาภายนอก
“เนรีว…ข้าจะฆ่าเนรีว!”
“อึก~….”
ความชิงชังที่ก่อตัวในใจได้หยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงของคนที่รอคอย มิราอิละสายตาจากเลือดสีดำในมือ ก่อนที่จะลุกลี้ลุกลนเข้าไปหาฟุยูกิที่กำลังจะลืมตาตื่น
“ฟุยูกิ!”
เปลือกตาขาวซีดชุ่มไปด้วยเหงื่อได้ขยับและเปิดขึ้นอย่างช้าๆ เผยให้เห็นดวงตาสีเงินดูอ่อนล้ากลอกกลิ้งมองหาต้นตอของเสียงอย่างยากลำบาก ขณะที่ริมฝีปากอันแห้งผากจะขยับและเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำถาม
“นี่ข้า…เป็นแบบนี้อีกแล้วเหรอ”
“ตอนนี้เจ้ารู้สึกเป็นยังไงบ้าง”
มิราอิไม่สนใจคำถามของน้องชายและสวนกลับด้วยคำถามของตน ฟุยูกิมองตาปริบๆก่อนที่จะเลียริมฝีปากพยายามกลืนน้ำลายเหนียวลงคอและตอบคำถามของพี่ชายด้วยน้ำเสียงเหือดแห้ง
“เหมือนเดิม มันเหมือนเดิมทุกอย่าง…ข้าไม่มีแรง”
“อย่างนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าเพิ่งขยับให้มากนักเลย พักผ่อนต่ออีกหน่อยเถอะ”
“ท่านซาคุโระอยู่ที่ไหน”
คำถามของฟุยูกิทำให้มิราอิเงียบไปพักหนึ่ง เด็กหนุ่มเหลียวซ้ายแลขวาเพื่อหาบุคคลที่ตนถามหา แต่ก็ไม่พบแม้เงา ในขณะที่มิราอิยังคงเงียบและแสร้งเสมองไปอีกทางเพื่อหลบสายตาที่เค้นหาคำตอบของน้องชาย
“เนรีว! เจ้านั่นเอาตัวท่านซาคุโระไปแล้วใช่ไหม!”
“ไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก”
เสียงเล็กๆสดใสดังแทรกขึ้นก่อนที่ความกดดันจะเข้ามาเยือน ฟุยูกิเอี้ยวคอไปหาเจ้าของเสียงอย่างช้าๆ ไม่นานใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดก็ปรากฏรอยยิ้มและน้ำเสียงเหือดแห้งที่แสนจะยินดี
“ลีอา!”
“หลับไปนานนะเจ้าคะ ท่านฟุยูกิ”
เด็กน้อยยิ้มทักทายเสียงใสในขณะที่เดินเข้ามาหาชายหนุ่มทั้งสองพร้อมกับกระบอกไผ่สองอัน เธอหยุดอยู่ข้างๆมิราอิและยื่นให้เขาอันหนึ่งพร้อมกับเร้าให้ดื่ม
“นี่เจ้าค่ะ ดื่มซะสิ”
“นี่อะไร” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัยพลางหรี่ตามองเข้าไปในกระบอก
“ยาถอนพิษ ช่วยสลายพิษที่อยู่ในตัวของท่านได้”
ลีอาให้คำตอบพลางเข้าไปประคองฟุยูกิให้ลุกนั่งและส่งกระบอกที่เหลือให้ ทั้งมิราอิและฟุยูกิก้มมองของเหลวในกระบอกไม้ไผ่สลับกับใบหน้าของเด็กหญิงอย่างไม่มั่นใจ ก่อนที่จะตัดสินใจดื่มเข้าไปอึกใหญ่ ไม่นานนักสีหน้าพะอืดพะอมก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับคำถาม
“ลีอา ยาถอนพิษนี่ทำจากอะไร”
“พิษก็ต้องล้างด้วยพิษ ข้าตามเก็บพวกอสรพิษหลงทางไว้ได้ ก็เลยรีดเลือดของพวกมันมาให้พวกท่านดื่ม”
ลีอาตอบคำถามด้วยสีหน้าระรื่น แต่ชายหนุ่มทั้งสองกลับมีสีหน้าพะอืดพะอม และทันใดนั้น ของเหลวที่พวกเขายังอมไว้ในปากก็พุ่งกระฉูดออกมาทันที
พรวด!
“อ๊วกกก~ แหวะ!!!!”
“เป็นอะไรไปเจ้าคะ”
“ทำไมข้าต้องกินของพวกนี้ด้วย!”
ฟุยูกิที่มีสภาพร่อแร่ตายแหล่มิตายแหล่ในตอนแรก กลับเป็นคนแรกที่ระเบิดเสียงออกมาได้สนั่นหวั่นไหว ลีอาจ้องมองตาปริบๆก่อนที่จะสวนกลับด้วยน้ำเสียงเรียบแกมดุ
“ก็พิษที่อยู่ในร่างกายจะได้สลายไปไงล่ะ ไม่อยากตายก็รีบกินเข้าไปซะ เร็วเข้า!”
ฟุยูกิเริ่มมีสีหน้าดีขึ้น นั่นก็เพราะยาถอนพิษที่ลีอาสรรหามาให้ แต่เขากลับคิดว่ามันคงจะดีกว่านี้ถ้าเกิดเธอไม่บอกว่ามันทำมาจากอะไร มิราอิรู้สึกฉุนในตอนแรก แต่เขาก็ไม่คิดที่จะทิ้งยาถอนพิษประหลาดของเด็กหญิง เพราะเขาในตอนนี้ยังไม่มีปัญญาที่จะปรุงยารักษาตัวเองได้ ชายหนุ่มทนฟังเสียงทะเลาะอยู่ไม่นานนักก็ลุกเดินออกไปเงียบๆ
“ท่านมิราอิจะไปไหนหรือเจ้าคะ”
“ข้าอยากอยู่คนเดียวสักพัก”
“หืม….”
“วางใจเถอะ ข้าไม่ทิ้งยาของเจ้าหรอก ยังไงข้าก็ไม่อยากตายตอนนี้”
มิราอิพูดขึ้นอย่างไร้อารมณ์และดื่มยาถอนพิษจนหมดโดยไร้ซึ่งท่าทีพะอืดพะอมใดๆ ก่อนเดินหายเข้าไปในป่าท่ามกลางสายตาที่เป็นกังวลของฟุยูกิ
“ท่านพี่….”
“เอ้า รีบดื่มสิ”
ฟุยูกิพยักหน้าอย่างกล้ำกลืนก่อนกระดกน้ำยาสีเลือดนั้นจนหมดและใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำที่เปื้อนอยู่มุมปากออกอย่างลวกๆ
“ท่านพี่ เป็นอะไรหรือเปล่านะ”
“เป็นห่วงเหรอ”
“เขาเป็นคนที่หยิ่งทะนงในตัวเองมากๆเลยนะ ลองได้โกรธแค้นใครแล้ว คงไม่ยอมเลิกราจนกว่าจะได้สะสางแน่…คนๆนี้น่ากลัว”
ลีอารับรู้ได้ถึงความกลัวผสมกับความกังวลจากเด็กหนุ่ม สิ่งที่เธอได้สัมผัสและมองเห็นจากตัวมิราอินั้นถูกต้องตามที่ฟุยูกิพูดออกมาทุกอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวสักพักดีกว่า อย่าลืมสิว่าท่านเองก็ยังต้องพักผ่อนอีกมากนะ”
ชั่วพริบตาที่ถูกดวงตาสีทองนั้นจับจ้อง เด็กหนุ่มก็อ่อนแรงและฟุบลงอย่างคนสิ้นแรง ลีอาวางร่างที่ไร้เรี่ยวแรงให้นอนราบเหมือนเดิมก่อนที่จะลุกเดินออกไป เธอรู้ว่าจะไปตามมิราอิได้ที่ไหน เพราะกลิ่นคาวเลือดของอสรพิษที่เธอให้เขาดื่มส่งกลิ่นคลุ้งเสียยิ่งกว่าสิ่งใดในป่า
ทะลุออกมาอีกฟากของป่าที่เป็นเพียงทุ่งหินกว้างสุดลูกหูลูกตา ความมืดสลัวของเช้าตรู่ทำให้สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นเพียงเงาสีดำรางๆ มิราอิยืนชกแผ่นหินที่ขวางหน้าอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน เพราะความโกรธแค้นที่พ่ายแพ้ต่ออสูรงูขาวเนรีวทำให้เขาไม่สนใจความเจ็บปวด กำปั้นสองข้างสลับกันชกแผ่นหินไม่หยุดหย่อน ไม่สนใจกับเลือดที่ไหลออกมาจากแผลที่แตกจนเนื้อปริ ความโกรธแค้นเริ่มทวีคูณและหยุดไม่อยู่ กลายเป็นพลังพุ่งออกมาล้อมรอบกาย เปลี่ยนสีผมที่ดำสนิทของชายหนุ่มให้กลายเป็นสีขาวรุงรังพร้อมด้วยดวงตาสีน้ำเงินสดใสได้เปลี่ยนเป็นสีแดงดั่งโลหิตที่กำลังเดือดพล่าน
“เนรีวๆๆๆ~ สารเลวเอ๊ย ย้ากกกกกกกก!!!”
ตูมมมมมมมมมม!!!!
สิ้นเสียงบริภาษของชายหนุ่ม แผ่นหินแกร่งที่ไม่มีแม้แต่รอยขีดขว่านในตอนแรกก็ถูกพลังที่มองไม่เห็นอัดกระแทกจนแหลกละเอียดเป็นฝุ่นผง
“แฮ่กๆ~…เจ็บใจนัก!”
น้ำเสียงสั่นเครือคละเคล้ากับเสียงหายใจหอบเหนื่อยของชายหนุ่มในขณะที่สีผมและดวงตาค่อยๆกลับเป็นสีเดิม สิ่งที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่างประจักษ์ต่อดวงตาสีทองของคนที่แอบอยู่ด้านหลังต้นไม้ แรงกดดันที่พวยพุ่งออกมาทำให้ร่างน้อยๆถึงกับสั่นสะท้านราวกับว่าถูกหอกแหลมทิ่มแทงร่างจนทะลุ
“ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ตรงนั้น ออกมาลีอา!!”
ลีอาเดินออกมาจากแนวต้นไม้ทึบเข้ามาหยุดยืนอยู่ด้านหหลังชายหนุ่มทิ้งระยะห่างเพียงเมตร คิดว่าเขาคงรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอมองอยู่
“เจ้าตามข้ามาทำไม แล้วฟุยูกิล่ะ”
“ข้าทำให้เขาหลับไปแล้ว ท่านเองก็ควรพักผ่อนนะ ท่านน่ะ บาดเจ็บมากกว่าหลายเท่า”
“ข้าอยากอยู่คนเดียว!”
มิราอิปฏิเสธทันที ลีอาไม่พูดอะไรนอกจากจะมองเขาอยู่เงียบๆจากด้านหลัง มิราอิที่เธอเห็นในชั่วพริบตานั้นได้หายไปแล้ว และดูท่าว่าชายหนุ่มจะไม่รู้ถึงตัวตนนั้นเลยแม้แต่น้อย
“ถึงจะโกรธแค้นไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก หนำซ้ำมันอาจจะเป็นดาบสองคมกลับมาทำร้ายตัวท่านเองด้วย”
“ยังไงข้าก็ไม่ยอมเป็นอะไรไปง่ายๆจนกว่าจะได้สะสางกับเจ้าอสูรนั่น! เจ้าไปซะ ข้าอยากอยู่คนเดียว”
มิราอิยังคงยึดคำพูดเดิมอย่างหัวแข็งพร้อมทั้งเดินหนีเด็กหญิงไปอย่างหน้าตาเฉย แต่พอก้าวเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมือเล็กๆคว้าไหล่เขาเอาไว้ สร้างความหงิดหงุดจนเก็บไว้ไม่อยู่
หมับ!”
“อย่ามายุ่งกับข้า!”
“ดื้อรั้น”
“ว่าไงนะ อ๊ะ!!!!”
วืดดดดด!... ตึง!!!
“อั๊ก!!”
ไม่ทันได้ระบายโทสะออกมา มิราอิก็ถูกลีอาเหวี่ยงจนหงายท้อง แรงเหวี่ยงของเด็กน้อยทำให้แผ่นหลังเขากระแทกพื้นอย่างแรง เพิ่มความเจ็บปวดจนแทบกระอักเลือดออกมาอีกหน
“อึก~ จะ เจ้าทำอะไร!”
“สิ่งที่ท่านควรทำในตอนนี้ไม่ใช่เดินหนี แต่ต้องพักผ่อนเพื่อฟื้นพลังต่างหาก”
“จะ เจ้า!”
“จงเข้าสู่ห้วงนิทรา”
“อะ….”
ทันทีที่ถูกดวงตาสีทองจับจ้อง ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวก็ค่อยๆดับวูบและเหน็บหนาวลงอย่างช้าๆ ม่านตาของชายหนุ่มค่อยปิดลงอย่างไร้ทางต้าน พร้อมๆกับร่างกายทุกส่วนที่นิ่งสนิท
“วางใจเถอะ ท่านต้องได้สู้กับเนรีวแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เนรีวต้องกลับมาแน่ และเมื่อถึงตอนนั้นจะทำอะไรก็ตามใจ”
เด็กน้อยพึมพำพลางยกร่างชายหนุ่มขึ้นบ่าและแบกไปอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยใดๆ ราวกับว่ากำลังหยิบปุยนุ่นที่เบาหวิวอยู่เพียงน้อยนิด
เหนือยอดไม้ที่สูงลิบลิ่ว ร่างเพรียวบางของปีศาจสาวนามว่ายูระ ยืนอยู่กลางอากาศและเพ่งมองลงมายังสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่เบื้องล่างอย่างสนอกสนใจ
“นั่นน่ะเหรอ ทายาทแห่งราชันย์ ยังเป็นเด็กอยู่เลยนี่นา ว่าอย่างนั้นไหม…เมด์”
ปีศาจสาวเอื้อนเอ่ยพลางเหลือบมองข้างกายเพียงหางตา สายลมที่ห่อหุ้มรอบกายเธอถูกโต้กลับด้วยปีกโปร่งใสที่ยากจะมองเห็น มันคือปีกของปีศาจวิหคผู้มีนามว่าเมด์ที่อำพรางร่ายกายให้โปร่งใสเป็นเนื้อเดียวกับอากาศ จากร่างโปร่งใสได้ค่อยๆปรากฏร่างของหญิงสาวรูปร่างเพรียวงามสวมกิโมโนสีดำเปิดจนเห็นร่องอกและกระโปรงสั้นน่าหวาดเสียว
“เจ้าคิดจะเล่นกับพวกมันรึ ปล่อยให้ข้าจัดการดีกว่าน่า”
“หึ ข้าไม่คิดจะแย่งเหยื่อของเจ้าหรอก เชิญตามสบายเถอะ”
“ขอบใจ”
“แต่ตอนนี้ข้าอยากไปหาท่านพี่มากว่า ส่วนเด็กพวกนี้เอาไว้ค่อยจัดการเมื่อไหร่ก็ได้”
“ทำไมเจ้าไม่ให้ข้าจัดการมันตอนนี้เลยล่ะ!”
เมด์พูดขึ้นอย่างไม่พอใจพร้อมทั้งตั้งท่าจะโฉบลงไปหาลีอาที่แบกมิราอิเดินกลับที่พัก แต่ก่อนที่จะได้ทำอย่างตั้งใจก็ถูกคำพูดเหยียดหยามของยูระหยุดยั้งเอาไว้เสียก่อน
“คิดจะลงไปตายข้าก็ไม่ว่าหรอก แต่ข้าไม่อยากมานั่งดูเจ้าอ้อนวอนขอชีวิตจากพวกมัน”
“นี่เจ้าดูถูกฝีมือข้าจนาดนั้นเชียวรึ!”
“แล้วแต่จะคิด ไปได้แล้ว”
ว่าแล้วยูระก็หายไปพร้อมกับสายลมที่พัดผ่านมาเบาๆ ปล่อยเมด์เอาไว้อย่างไม่ไยดี เมด์ทั้งเสียดายทั้งขุ่นเคืองกับคำพูดดูหมิ่นของผู้เป็นนาย แต่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากตามไปโดยทิ้งความตั้งใจที่จะจัดการกับเหยื่ออันโอชะ
“ชิ ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ นางเด็กน้อย”
สิ้นสุดเสียงคำรามปีกขนาดใหญ่โปร่งใสก็กระพือออกและพาร่างของปีศาจสาวจากไป แรงลมกระทบใบหน้าของเด็กน้อยลีอาไปอย่างเฉียดๆ ดุจดั่งใบมีดที่ต้องการจะเชือดเฉือน เด็กน้อยหันกลับไปมองที่ยอดไม้ ตอนนี้มีเพียงความว่างเปล่า เธอรู้ตัวมาตั้งแรกแต่ก็ไม่คิดที่จะแสดงออก คลื่นพลังสีทองที่แอบซ่อนเอาไว้ในฝ่ามือค่อยๆจางหายไปเมื่อเจ้าของไม่มีความจำเป็นต้องใช้มัน
“ไปซะแล้วเหรอ…”
หุบเหวที่ซับซ้อนและลึกสุดหยั่ง จุดหมายที่ปีศาจสาวทั้งสองมาถึงคือปลายสุดของหุบเขาที่สูงเสียดฟ้า ซึ่งมีเนรีวและอาซารีสสมุนคู่ใจอยู่ที่นั่น
“นึกว่าหายไปไหน ที่แท้ก็อยู่ที่นี่เองรึ ท่านพี่”
ปีศาจสาวผู้ใช้ลมเอ่ยทักทันทีที่ร่อนลงเหยียบบนพื้นที่เต็มไปด้วยก้อนกรวด เนรีวไม่สนใจที่จะหันไปมองเจ้าของเสียงที่อยู่ด้านหลัง ได้เพียงเหลือบมองด้วยหางตาและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาเฉียดเช่นทุกที
“เจ้ามาทำไม”
“แค่แปลกใจว่าทำไมยังไม่กลับ”
“กลับไปทั้งที่งานยังไม่เสร็จน่ะรึ น่าขำ”
“เรียกว่าพลาดไม่ดีกว่ารึ”
คำพูดของยูระทำให้เนรีวหันมาจ้องเธออย่างไม่พอใจ รังสีอำมหิตพวยพุ่งออกมาดั่งพิษที่พร้อมจะหลอมละลายทุกอย่างที่ขวางหน้าให้วายวอด ยูระสัมผัสได้ถึงความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาหา ถึงจะเป็นพี่น้องก็คงไม่มีการละเว้น เธอจึงรีบถอนคำพูดเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้
“ล้อเล่นน่า”
“ชิ!”
“อยากทำงานให้สำเร็จรึเปล่า”
“ถามทำไม”
“ลืมไปแล้วรึ เป้าหมายของพวกเราไม่ได้มีแค่เทพธิดาสีเงินนั่นคนเดียวนะ”
“จะพูดอะไรก็พูดมาไม่ต้องอ้อมค้อม!”
“ทายาทแห่งราชันย์ที่เหลืออีกสองคนนั่นก็เป็นอันตรายต่อเหล่าอสูรปีศาจอย่างพวกเราเหมือนกันนะ ทำไมไม่ชิงจัดการมันก่อนที่มันจะมาจัดการพวกเราล่ะ”
“หืม~”
“ข้าเห็นแล้ว พวกมันถูกพิษของท่านพี่จนลุกไม่ขึ้น อาการปางตายเชียวล่ะ และที่สำคัญ หนึ่งในสองคนนั้นยังโกรธแค้นท่านเป็นพิเศษอีกด้วย”
“เจ้านั่น….อ้อ! เจ้าหัวสองสีนั่นน่ะรึ”
เนรีวพอรู้ว่าคนที่เคียดแค้นตนนั้นคือใคร มุมปากที่บูดบึ้งเริ่มมีรอยยิ้มแสยะทันทีที่นึกถึงใบหน้าและแววตาอันหยิ่งทะนงของมิราอิ
“หึ อย่างนั้นเองรึ เจ้านั่นมันหยิ่งทะนงในตัวเอง คงจะเคียดแค้นที่แพ้ข้าสินะ”
“ใช่ หยิ่งทะนงขนาดกระเสือกกระสนมาหาความตายเชียวล่ะ”
เสียงแหลมๆของเมด์ดังแทรกเข้ามาพร้อมกับกายเนื้อที่ปรากฏเด่นชัดอยู่เบื้องหลังยูระ เนรีวเหลือบมองเพียงหางตาก่อนที่จะเอ่ยถามอย่างลอยๆ
“มาด้วยรึ”
“ก็ต้องมาอยู่แล้ว”
ปีศาจสาวตอบคำถามพร้อมกับยิ้มอย่างยั่วยวน แต่หากเนรีวกลับไปมีท่าทีแม้จะชายตาแล ในระหว่างนั้นอาซารีสก็โผล่ขึ้นมาจากหน้าผา
ฟ่อ!...
“งั้นรึ ไม่พบแม้แต่ร่องรอยงั้นรึ”
เนรีวรับรู้เรื่องราวต่างๆด้วยการมองเข้าไปในม่านตาของงูยักษ์อาซารีส ในม่านตานั้นว่างเปล่าไม่พบแม้ร่องรอยของคนที่กำลังตามหา ซึ่งก็ทำให้อสูรหนุ่มหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
“ชิ หายไปไหนของมันนะ”
“ท่านเนรีวอย่าห่วงเลย ข้าจะตามหาและจัดการกับพวกมันเอง”
“หึ อย่างเจ้าคงทำได้หรอกนะ”
“ไม่ลองก็ไม่รู้ อย่าคิดเล่นสนุกคนเดียวสิ ท่านพี่”
“อยากทำอะไรก็ทำ อย่ามาเกะกะข้าก็พอ”
อสูรหนุ่มทิ้งท้ายด้วยคำพูดหมางเมินก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนหัวงูยักษ์อาซารีสและหายไปพร้อมกับม่านหมอกจางๆของยามเช้า
“สมกับเป็นท่านเนรีว”
“ไร้สาระ ไปได้แล้ว”
ยูระขัดคอเมด์อย่างไม่ไยดีก่อนจะหายไปบ้าง นับวันเมด์ก็ชักจะทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของผู้เป็นนาย แต่ตอนนี้เธอยังไม่อยากแสดงออกเพราะยูระเป็นน้องสาวของเนรีวที่เธอแอบหลงรัก จึงทำได้เพียงเคียดแค้นภายในใจเพื่อรอวันที่จะได้สะสาง
“ซักวันข้าต้องเหนือกว่าเจ้า ยูระ อย่าได้ใจไปนักเลย”
สิ้นสุดคำพูดร่างของหญิงงามก็กลับกลายเป็นนกสีดำขนาดใหญ่ และบินหายไปในธาตุอากาศ ความคิดของเมด์แตกต่างและไปคนละทางกับยูระโดยสิ้นเชิง เธอรู้ว่าเนรีวจะไปไหน และเธอก็ไม่คิดที่จะเป็นเบี้ยล่างไปตลอด ประสาทสัมผัสและสายตาที่เฉียบคมดุจพญาเหยี่ยว ทำให้เธอรู้ทิศทางของเหยื่อชิ้นงามอันล้ำค่าขึ้นมาทันที
“หึๆๆ ข้ารู้ว่าข้าต้องทำอะไร ถ้าหากข้านำตัวเด็กนั่นไปมอบให้ท่านผู้นั้นได้ล่ะก็ ข้าก็ไม่ต้องเป็นเบี้ยล่างของยูระอีกแล้ว หึๆๆ”
เสียงปีกที่เสียดสีกับอากาศดังก้องกังวานออกไปไกล แสดงให้เห็นว่ามันกำลังเบี่ยงเบนทิศทางไปทิศอื่นที่ไม่ใช่ปราสาทมืดแหล่งสิงสถิต
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ