ทาสรักซาตาน

8.3

เขียนโดย zusuran

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 13.32 น.

  15 ตอน
  2 วิจารณ์
  10.81K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 20.52 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) เอาใจ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เพียวตื่นขึ้นมาอีกครั้งข้างบ่อน้ำกลางป่าที่เคยลงแช่เมื่อวันก่อน

“กลับมาแล้ว”

เพียวพึมพำกับตัวเองเบาๆ แน่นอนคนที่ส่งเพียวกลับมาจากดินแดนซาตานแห่งนั้นได้ก็มีเพียงเอลเดอร์เท่านั้น หรือจะเป็นจอยส์ลีนนะ แต่ยังไงก็ช่างเถอะ อย่างน้อยๆก็น่าจะส่งเพียวให้ถึงบ้านสิ ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืด มองเห็นดาวประปราย

แกร๊บ…

ถุงยาจำนวนมากนับเป็นรายคนน่าจะได้ไม่ต่ำกว่าสามสิบคนวางอยู่ใกล้ๆ คงจะเป็นยาของเอลเดอร์ที่จัดมาให้เพื่อไปรักษาพวกชาวบ้านที่ยังป่วย เพียวเผลอกัดปากตัวเองอดกลั้นความรู้สึกต่างๆนาๆที่ก่อตัวขึ้นในใจ ร่างกายนี้ถูกกระทำครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่เลือดในกายก็ยังถูกแย่งชิงเอาไปดื่ม เพียงเพราะข้อตกลงที่ทำไว้

เพียวถอนหายใจหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นนั่งเตรียมจะกลับบ้าน เพราะขืนอยู่ต่ออาจมีสัตว์ป่าเข้ามาขย้ำหรือพวกซาตานก็อาจจะมากินเขา ถ้าเป็นอย่างนั้นสัญญาของเพียวกับเอลเดอร์ก็จะขาดลง ชาวบ้านก็จะไม่มีน้ำใช้แล้วก็ตายเพราะโรคระบาดประหลาดนั่นด้วย จะปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด

“เพียว!”

“เพียว! อยู่ไหนน่ะ”

เสียงเรียกจากคนที่มีมากกว่าหนึ่งดังมาเป็นระยะ สักพักเพียวก็มองเห็นแสงไฟส่องไปมาและกำลังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

“เพียว!”

หนึ่งในเสียงเรียกนั้นคือเดียร์แน่นอน ยังไม่ทันที่เพียวจะได้ขานรับเดียร์ก็พุ่งเข้ามากอดเพียวอย่างรวดเร็ว

“เพียว!”

ฟึ่บ!

“อะ อื้อ”

“เจอแล้ว! พ่อจ๋า เจอเพียวแล้วจ้า!”

“จริงเหรอ ไหน อยู่ไหน!”

“ทางนี้จ้ะพ่อ เพียวอยู่ทางนี้!”

เดียร์ยังกอดเพียวเอาไว้ไม่ปล่อย เสียงฝีเท้าที่มากกว่าหนึ่งกำลังตรงมาทางที่เพียวและเดียร์อยู่ สักพักแสงไฟจากชาวบ้านนับสิบก็ส่องสว่างมาที่เพียว ลุงเดย์ที่มาพร้อมกับชาวบ้านรีบเข้ามาสำรวจร่างกายเพียวเป็นการใหญ่

“เป็นอะไรรึเปล่า เจ็บตรงไหนไหมเพียว”

“ไม่ครับ ผมไม่เป็นไร แค่วูบไปน่ะครับ”

“พวกเราเป็นห่วงเพียวมากนะ ต่อไปจะไปไหนก็อย่าไปคนเดียวนะ รู้ไหม”

“ครับ”                                                               

“ลุงกับชาวบ้านออกตามหาเพียวตั้งแต่บ่าย เพียวไปไหนมา”

“ผม…”

เพียวชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเหลือบมองถุงยาที่วางอยู่ข้างตัว

“ผมไปเอายาที่โรงพยาบาลในเมืองมาให้พวกชาวบ้านครับ ขากลับคงจะวูบไป”

“ งั้นเหรอ เอาเถอะ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เรากลับกันเถอะ”

แล้วลุงเดย์ก็จับเพียวขึ้นพาดหลัง ท่าทางลุงเดย์ดูแปลกๆไปในตอนแรกที่สัมผัสตัวเพียว แต่ไม่นานเขาก็เก็บอาการกลับไปเป็นปกติเหมือนเดิม เดียร์กับพวกชาวบ้านช่วยกันเก็บถุงยาพวกนั้นและตามหลังมา เดียร์ซอยเท้าเร็วๆมาเดินข้างๆพ่อตัวเอง ใบหน้าจิ้มลิ้มเงยขึ้นมองเพียวราวจะร้องไห้ แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากเม้มปากเบะเหมือนเด็กจะร้องไห้ เพียวเองก็ไม่มีแรงจะปลอบใจเธอนอกจากส่งยิ้มจางๆไปให้

เพียวถูกส่งกลับมาถึงบ้านที่มีทั้งย่าและพวกชาวบ้านที่เป็นผู้หญิงสองสามคนรออยู่ เพียวพบการเปลี่ยนแปลงไปถนัดตา พวกชาวบ้านที่หายป่วยมองเพียวไปในทางที่ดีขึ้น พวกเขาช่วยกันออกตามหาเพียว บ้างก็เข้ามาพูดคุยไถ่ถาม นี่คือผลจากข้อตกลงที่เพียวต้องยอมเอลเดอร์ทุกอย่าง

พอถูกส่งถึงหมอนเพียวก็แทบจะหลับเป็นตาย และฟื้นขึ้นมาอีกทีก็คือเย็นย่ำของวันใหม่

เพียวหลับไปนานมาก นานเสียจนทำให้เดียร์ที่มานั่งเฝ้าน้ำตาปริ่มเตรียมจะปล่อยโฮออกมาอยู่รอมร่อ ทันทีที่เพียวตื่นเท่านั้น เดียร์ก็กระโจนเข้าหากอดรัดเพียวจนแทบหายใจไม่ออก

“ฮือออออ!!! เราคิดว่าเพียวจะไม่ฟื้นขึ้นมาแล้ว”

“อะไรเนี่ย เดียร์ เราแค่หลับเอง”

กว่าจะปลอบใจให้เดียร์ใจเย็นลงเพียวก็เกือบจะขาดใจตายเพราะแรงกอดรัดของแม่สาวน้อยเพื่อนสนิท และเพียวก็ยังมีภารกิจที่ต้องทำอยู่

การแจกจ่ายยาให้กับพวกชาวบ้าน

บ้านแต่ละหลังอยู่ไกลกันมาก ถึงเดียร์จะช่วยแต่ก็แจกจ่ายได้ไม่ทั่วถึง

“เอาไว้พรุ่งนี้เราค่อยไปที่ฝั่งโน้นนะเพียว วันนี้ค่ำแล้ว เรากลับกันถอะ”

เดียร์จูงจักรยานตามหลังเพียวที่กำลังมองไปยังอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ บ้านหลายหลังที่อยู่ฝั่งโน้นมีคนป่วยอยู่ ถ้าเพียวไม่ไปวันนี้พวกเขาจะเป็นยังไงบ้างนะ

“ไม่เป็นไรหรอกเดียร์ เราจะไป”

“เพียว!”

“เดียร์กลับบ้านไปก่อนเถอะนะ เราไปแปบเดียวเดี๋ยวก็กลับ”

เพียวไม่รอให้เดียร์อ้าปากพูดอีก ขึ้นจักรยานปั่นข้ามสะพานไม้ไปทันที

“เพียว!”

เดียร์ทิ้งจักรยานกำลังจะก้าวเท้าตามร่างโปร่งที่ปั่นจักรยานไป แต่ทว่า

“เดียร์”

กึก!

“พ่อจ๋า”

“ปล่อยเพียวไป”

“แต่ว่าพ่อ หนูเป็น…”

“ที่นี่เป็นหมู่บ้านของเพียว ไม่มีอะไรทำอันตรายเขาได้ อย่าห่วงเลย”

คำพูดของบุรุษร่างสูงใหญ่ที่โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ข้างทางเพียงท่อนบนทำให้เดียร์ต้องยอมฟังแต่โดยดี ดวงตาน่ารักมองตามเงาเล็กๆที่กำลังหายลับไปจากขอบสะพานก่อนจะหันกลับมาและจูงจักรยานเดินกลับ

ในที่สุดเพียวก็แจกยาให้คนป่วยครบทุกคน และเมื่อมองเวลาก็ปาเข้าไปสองทุ่มแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนนะครับ”

“ขอบใจมากนะเพียว ทั้งที่อยู่ตั้งไกลยังอุตส่าห์กลับมาที่หมู่บ้านกลางเขาแบบนี้ แล้วยังช่วยหาน้ำหายาให้พวกเราอีก”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ พักผ่อนเยอะๆนะครับจะได้หายไวๆ”

รอยยิ้มที่ส่งมาให้แทนคำพูดมากมายจากชาวบ้านตาดำๆที่พูดไม่เก่ง เพียงพอแล้วสำหรับเพียว อย่างน้อยมันก็คุ้มค่ากับข้อตกลงนั่น

เพียวปั่นจักรยานมาตามเส้นทางลูกรังช้าๆ สองข้างทางไม่มีไฟส่องเพราะหมู่บ้านแห่งนี้อยู่กลางป่าเขา แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับการใช้ชีวิตที่นี่ ไม่มีไฟส่องทางแล้วไง หิ่งห้อยนับพันตัวที่บินว่อนอยู่ตามทุ่งนาตอนนี้กับพระจันทร์เต็มดวงในค่ำคืนนี้ก็สว่างเพียงพอแล้วสำหรับการเดินทางกลับบ้าน

วันนี้เพียวได้รับคำขอบคุณมากมายจากชาวบ้าน รู้สึกเต็มอิ่มจนยิ้มออก

“ยิ้มคนเดียวก็เป็นด้วย”

เสียงๆหนึ่งดังเข้ามาในโสตประสาท เมื่อเงยหน้ามองหาก็พบกับร่างๆหนึ่งที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง

“เอล…อื้อ!!”

ยังไม่ทันที่เพียวจะโพล่งออกไปฝ่ามือใหญ่ก็เข้ามาปิดปากเอาไว้เสียก่อน

“อย่าส่งเสียงไป”

เอลเดอร์ มองเพียวด้วยใบหน้ายิ้มๆจนคนถูกมองต้องเบือนหน้าหนี

“มองหน้าข้า”

“ไม่”

เพียวปฏิเสธเสียงแข็ง เขาเหนื่อยทั้งกายและบอบช้ำทั้งใจ ทั้งหมดก็เพราะคนๆนี้ที่ทำเหมือนเพียวเป็นของเล่น

“ข้าขอโทษ”

“….!!!”

แค่คำสามคำจากบุรุษที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้เพียวหันหน้ากลับมามองอย่างง่ายดาย

“เมื่อกี้คุณบอกขอโทษผมเหรอ”

“ใช่”

“จะมาไม้ไหนอีกล่ะ”

“เจ้านี่ยังไงนะ ข้ามาก็เพื่อเอ่ยคำขอโทษเจ้า แปลกนักเหรอ”

“แปลกที่เจ้าหนี้อย่างคุณมาขอโทษลูกหนี้อย่างผมไงครับ”

เพียวพูดออกไปตรงๆ หารู้ไม่ว่าความตรงไปตรงมาของตัวเองจะนำภัยมาให้

เอลเดอร์ยกยิ้มมองใบหน้าละอ่อนด้วยสายตากรุ้มกริ่ม

“นั่นสินะ ข้าเองก็คิดอยู่ว่ามันแปลกเกินไป เจ้าชายอย่างข้าต้องมาขอโทษมนุษย์ตัวน้อยเช่นเจ้าแบบนี้”

นิ้วเรียวยาววาดไปตามโครงหน้าได้รูปของเพียวช้าๆ

“แต่ข้าก็พูดไปแล้ว และข้าก็หวังว่าเจ้าจะให้อภัยกับสิ่งที่ข้าทำกับเจ้า”

“ผมให้อภัยคุณก็ได้ ถ้าคุณเอายารักษาโรคให้ชาวบ้านที่เหลือ”

เพียวต่อรอง ยังไงครั้งนี้ก็ต้องเอาให้คุ้มที่สุดเท่าที่จะคุ้มได้ ก็แหงสิ เอลเดอร์เอาทั้งร่างกายเอาทั้งเลือดของเพียวไปขนาดนั้นแล้ว แค่ยารักษาโรคของชาวบ้านเขาก็ควรจะให้มามากกว่านี้สิ

เอลเดอร์ถูกใจเด็กหนุ่มมากกว่าเดิม คิดไม่ผิดที่มาหาในคืนนี้

“หึๆๆๆ เจ้านี่ก็ร้ายกาจไม่เบาเลยนะ เอาเถอะ แล้วข้าจะลองคิดดูอีกทีก็แล้วกัน แต่ตอนนี้เจ้าต้องมัดจำข้า”

“อะไรนะ”

“หรือจะไม่ทำ”

เพียวเสียเปรียบชายคนนี้มาแต่แรก ไม่ว่าเรื่องอะไร แต่ถ้าเพียวปฏิเสธรับรองว่าเอลเดอร์ต้องทำอะไรที่เพียวคิดไม่ถึงอีกแน่

“จะให้ผมทำอะไรก็ว่ามา เสร็จแล้วผมจะได้นอน พรุ่งนี้ผมต้องเอายาไปให้พวกคนป่วยที่เหลือ”

“ว้าว เย็นชาได้อีกนะ”

เพียวส่งสีหน้าปั้นปึ่งกลับไปทันที แต่ทว่ากลับถูกเอลเดอร์อุ้มจนตัวลอย

พรึ่บ!

“จะทำอะไร!”

“เกาะข้าเอาไว้แน่นๆนะ”

เอลเดอร์รั้งคอบางลงมาให้ใบหน้าใสอยู่ในระยะพอเหมาะและจูบริมฝีปากบางได้รูปนั้นหนักๆ มืออีกข้างจะยกขึ้นวาดนิ้วกรีดอากาศสร้างประตูขึ้นมาและก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว

เพียวหลงกับรสจูบแสนเร่าร้อนนั้นกว่าจะรู้ตัวก็มีลมเย็นๆพัดแก้มไปแผ่วๆ เอลเดอร์ถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง

“ลืมตาได้แล้วยอดรัก”

ถึงจะขัดหูกับคำพูดนั่นแต่เพียวก็ทำตาม

“เอลเดอร์ นี่มัน…”

พระจันทร์สีเงินอมฟ้าดวงใหญ่ยักษ์มองเห็นแม้กระทั่งร่องหลุมประปรายบนผิวของมัน อะไรจะใกล้ขนาดนี้ นี่เพียวออกมานอกโลกหรืออย่างไร

“ชอบใช่ไหมล่ะ”

เอลเดอร์อุ้มเพียวให้นั่งบนแขนข้างเดียว ตอนนี้เพียวไม่สนใจอะไรนอกจากพระจันทร์ดวงโตตรงหน้า

“ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นพระจันทร์ที่สวยขนาดนี้เลย”

“เพราะเจ้าไม่เคยขึ้นมาบนนี้น่ะสิ”

ที่ยอดเขาหลังหมู่บ้านของเพียว ยอดเขาที่สูงทะลุเมฆ ไม่เคยมีใครกล้าขึ้นมาที่นี่ มันมีทั้งสัตว์ร้ายและหุบเหวที่ใครได้ตกลงไปแล้วจะไม่มีทางได้กลับข้นมาอีก เอลเดอร์ยืนอยู่บนยอดไม้ของต้นที่สูงที่สุดในป่า มันยิ่งทำให้ใกล้ชิดเจ้ารูปร่างทรงกลางสีผ่องนั้นราวกับจะแตกต้องมันได้

“ลองยื่นมือเจ้าออกไปจับมันสิ”

“บ้าเหรอ ทำได้ที่ไหน”

“หลับตาแล้วใส่จินตนาการของเจ้าเข้าไปด้วยสิ”

เพียวทำตามที่เอลเดอร์บอกหลับตาและยื่นมือออกไป รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่สะท้อนกับแสงจันทร์ ตรึงตาเอลเดอร์จนแทบทนไม่ไหว

ทนไม่ไหวก็ต้องทน!

แล้วจะทนได้สักกี่น้ำ

มือข้างที่ยังว่างยื่นออกไปคว้ามือเรียวเล็กที่ยังขยับลูบไล้อยู่กลางอากาศ และดึงกลับมาแนบริมฝีปากตัวเอง เมื่อถูกขัดความสุนทรีเพียวก็ลืมตาและหันมามองใบหน้าของชายที่ยังอุ้มตนอยู่

“ชอบหรือไม่”

“ครับ”

“ถ้าอย่างนั้น ขอรางวัลให้ข้าหน่อยสิ”

“รางวัล? รางวัลอะไร ผมไม่มีเงินให้ค่าเหนื่อยคุณหรอกนะ”

เพียวรีบเบือนหน้าหนี หารู้ไม่ว่านั่นคือการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายที่จ้องคอขาวๆของเพียวอยู่ก่อนแล้ว

จุ๊บ!

“อะ!”

“เจ้านี่นะ ทำไมเจ้าถึงได้น่ารักแบบนี้ ข้าชักหลงเจ้ามากขึ้นทุกที”

“คะใครให้คุณมาหลงล่ะ ผมไม่ได้เต็มใจซะหน่อย”

เพียวกัดฟันสะกดกลั้นความรู้สึกวาบหวามที่เอลเดอร์ส่งมอบให้จากจุมพิตครั้งแล้วครั้งเล่า

“ผะ ผมอยากกลับ”

“ยังกลับไมได้ เจ้ายังไม่เห็นของดีเลย”

“อะไร”

“น่าจะถึงเวลาแล้วล่ะ ลองดูนั่นสิ”

เอลเดอร์ชวนให้เพียวหันมองเบื้องล่างที่เป็นป่าทึบ แสงวูบวาบสีแดงนับสิบคู่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ที่พื้น เงาสีดำนับสิบค่อยๆออกมาให้เห็น

มันคือหมาป่า แถมยังตัวใหญ่เสียด้วย

“นั่นมัน…”

“ไลแคนท์ไงล่ะ”

“มีจริงเหรอเนี่ย”

“ยังมีมากกว่านั้น ดูตรงนั้นสิ”

เอลเดอร์ชี้ให้ดูหนึ่งในฝูงสีดำ ตัวหนึ่งที่มีขนสีขาวแซมเงิน

“ตัวนั้นคงเป็นจ่าฝูงสินะครับ”

“นั่นคือลูฟ คนที่เจ้าเจอที่ปราสาทไงล่ะ”

“เอ๊ะ!”

ผู้ชายหน้าตาดีดูสุภาพคนนั้น คือไลแคนท์เหรอ

“เขาเป็นพี่น้องต่างมารดาของข้าเอง”

“แล้ว…มาบอกผมทำไม”

“ข้าบอกเจ้า เพราะข้าไม่อยากให้เจ้ายุ่งกับเขา หากเจอลูฟเจ้าต้องหลบไปให้ไกล”

“ผมคงไม่เจอเขาหรอก”

“ก็เจอมาแล้วไม่ใช่เหรอ”

“นั่นเพราะคุณพาผมไปที่โลกของคุณ ผมก็เลยเจอเขา แต่ถ้าผมอยู่ที่โลกของผม แม้แต่ซาตานตนอื่นก็ไม่มีทางที่ผมจะเจอได้หรอกน่า กังวลอะไร”

“โฮ่ จริงเหรอ”

เสียงขึ้นจมูกแบบนี้ทำให้เพียวแทบสำลักคำพูดตัวเอง เพียวมองหน้าเอลเดอร์ในใจชักหวั่นๆขึ้นมา

“เจ้าต้องได้เจอกับซาตานอีกเพียบแน่ เพราะต่อไปนี้ข้าจะมารับเจ้าไปที่โลกของข้าทุกคืน”

นั่นปะไรล่ะ ลางสังหรณ์ของเพียวถูกต้องที่สุดในสามโลก!

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา