Alice เพลงรักที่หลงทาง (season 1)

5.3

เขียนโดย zusuran

วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 14.50 น.

  14 ตอน
  2 วิจารณ์
  12.82K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 20.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) Chapter 7 …. missing musical (ตัวโน้ตที่หายไป)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

พรสวรรค์ที่ว่ามีมากมายจนเสียดายหากจะเก็บไว้ ทว่า ตอนนี้ยากเหลือเกินที่จะงัดมันออกมาใช้….

ตุ้บ!

กีต้าร์ไฟฟ้าสีดำถูกโยนลงโซฟาด้วยอารมณ์ของคนที่ถือมันอยู่ก่อนหน้านี้ที่ตามลงมานั่งข้างๆมัน

หนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่เข้ามาร่วมวงทำเพลงในค่ายเพลงแห่งนี้ นอกจากชินระที่เล่นกีต้าร์ ซางะที่เล่นเบส เซียวที่ร้องนำ ก็ยังมีสมาชิกอีกสองคนซึ่งเป็นมือกีต้าร์แล้วก็มือกลอง ชีวิตที่มีแต่เสียงดนตรีไม่มีวันไหนที่ขาดสีสัน และไม่มีวันไหนที่ไม่ทุ่มเทจนถึงขีดสุด

“ชินระคุง วันนี้สอนกีต้าร์ผมหน่อยได้ไหม”

ชายหนุ่มรูปร่างเล็กแต่ไม่ได้บอบบาง มือกีต้าร์อีกคนของวงเข้ามาหาชินระพร้อมกับกีต้าร์คู่ใจของเขา

“หายากนะที่นายจะให้ฉันสอน โคโตะ”

“กะ ก็ซางะคุงไม่ว่างนี่ ตอนนี้เขาต้องใช้สมาธิกับการเขียนเพลงมากๆเลย”

“หึ เพราะงั้นถึงได้มาหาฉันงั้นสิ เจ้ากระรอกเอ๊ย”

ทุกคนในวงมีฉายาด้วยกันทั้งนั้นไม่เว้นแม้แต่ชินระ คนตัวเล็กตรงหน้าชินระทุกคนมักจะเรียกเขาว่า “กระรอกน้อย”  โคโตะเป็นลูกศิษย์ที่เรียนดนตรีกับซางะเขาจึงสนิทกับซางะมากกว่าคนอื่น วันแรกที่ชินระได้เห็น เจ้าเปี๊ยกนี่มันถึงกับโดดกอดซางะแถมยังจุ๊บปากคนหน้าสวยต่อหน้าชินระ และเหมือนชินระจะแผ่รังสีอาฆาตมากไปหน่อย บวกกับความตัวสูงด้วยแล้ว จึงทำให้คนตัวเล็กรีบวิ่งหนีและกลัวชินระตั้งแต่วันนั้นมา ทุกวันนี้ก็ยังคอยระวังคำพูดเวลาอยู่ใกล้ชินระ และที่ปลอดภัยที่สุดของเขาคือข้างหลังซางะและเซียว

“แล้วนาโนะล่ะ”

ชินระถามถึงอีกคนซึ่งเป็นมือกลองพ่วงด้วยตำแหน่งหัวหน้าวง

“หม่ามี้ยังไม่มา”

โคโตะพูดอย่างตรงไปตรงมา มือกลองหน้ามนลูกครึ่งจีนทำตัวเหมือนคุณแม่ของพวกเขา เห็นหน้าหวานๆทำตัวเหมือนเด็กแบบนั้น หารู้ไม่ว่านั่นคือมือกลองชั้นแนวหน้า และที่เรียกหม่ามี้มันก็มีจุดเริ่มต้นมาจากการพบกันและแนะนำตัวครั้งแรก

ฉันชื่อ นาโนะ หม่า หรือ ฮากาเนะ นาโนะ ยินดีที่ได้รู้จัก

นาโนะ หม่า

อื้ม ฉันมีแส้หม่า จะเรียกนาโนะ หรือว่าพี่หม่าเฉยๆก็ได้

หม่า….มี้

หม่ามี้นาโนะ

ตั้งแต่วันนั้นพี่หม่าก็กลายเป็นหม่ามี้ประจำวงไปโดยปริยาย ทุกคนถูกเรียกฉายากันสนุกปาก แม้แต่ชินระเองก็ยังได้ฉายาว่าเสือพ่อลูกอ่อน ส่วนเซียวก็ได้ฉายาเสือหน้ายิ้มไป ทุกคนเรียกฉายากันได้คล่องปาก ยกเว้นแต่ซางะที่ยังไม่มีใครกล้าเรียก เพราะถ้าเกิดไปเรียกสุ่มสี่สุ่มห้าพวกเขาอาจจะต้องเจอนรกเดินดินเข้าสักวัน

กล้าเรียกฉันว่าคนสวยอีก พวกนายตายแน่

ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าเรียกฉายานั้นอีกเลย แม้แต่ผู้จัดการวงอย่าง เอลีน่า ฮอว์ก

“ชินระคุง นี่ ชินระคุง”

“หืม อะไร”

“เฮ้อ ฉันว่าวันนี้ฉันไม่เรียนกับนายละ กลับบ้านดีกว่า”

โคโตะหันไปเก็บเครื่องดนตรีของตัวเอง งอนเหรอ ไอ้เด็กบ้านี่

“เอ้อ จริงสิ ชินระคุง”

“อะไรอีก”

“ถ้าไงวันนี้ช่วยพาซางะคุงกลับบ้านด้วยนะ เขาหมกตัวอยู่ในห้องอัดมาสองอาทิตย์แล้ว ผู้จัดการบอกว่าเขาเอาแต่เขียนเพลงไม่หลับไม่นอน แม้แต่เซียวคุงยังดึงเขาออกมาจากห้องไม่ได้เลย”

“งั้นเหรอ”

เห็นมาซ้อมด้วยกันทุกครั้งก็เลยไม่เอะใจ ที่แท้ซางะก็เอาแต่หมกตัวแต่งเพลงอยู่ที่บริษัทหรอกเหรอ ท่าทางจะจริงจังกับงานจนลืมตัวเอง สงสัยคืนนี้คงต้องจัดการลากคนหน้าสวยกลับบ้านให้ได้เสียแล้ว

 

แคว่ก!

กระดาษแผ่นล่าสุดถูกฉีกและขยำเป็นก้อนทิ้งอยู่เกลื่อนพื้น ที่มาของกระดาษพวกนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน

ซางะแต่งเพลงไม่ได้มาเกือบสองอาทิตย์แล้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่เก่ง แต่ที่แต่งไม่ได้เพราะว่าเพลงนั้นมันคือเพลงรัก ดวงตาสีเทามองแป้นเปียโนตรงหน้า ไม่ว่าจะเขียนมันออกมายังไง สุดท้ายก็ใส่ความรู้สึกลงไปไม่ได้

ชินระมองเข้าไปในห้องอัดเสียงที่เต็มไปด้วยเครื่องดนตรี เป็นอย่างที่โคโตะบอกทุกอย่าง ซางะนั่งก้มหน้าอยู่กับเปียโนกลางห้อง เขาไม่ลุกไปไหนนอกจากจะเขียน ฉีกออก ขยำทิ้ง ทำอยู่อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนชินระทนมองต่อไปไม่ไหวและเดินเข้าไปหยุดยืนข้างเปียโนด้านหน้าของคนกำลังหมกมุ่น

กึก…

“คิดจะหมกตัวอยู่ในนี้ไปถึงเมื่อไหร่”

“เรื่องของฉัน”

นั่นคือคำตอบที่ได้ ชินระถอนหายใจแรงๆก้มลงหยิบกระดาษที่ถูกขยำจนเป็นลูกบอลขึ้นมาคลี่ออก ตัวโน๊ตกับเนื้อเพลงบนกระดาษ ถูกเขียนไปได้แค่ครึ่งเดียว บางแผ่นก็แค่บรรทัดสองบรรทัดก่อนที่มันจะมีชะตากรรมเดียวกัน

“พอเถอะ นายเขียนมันไม่ได้หรอก”

ตึ่ง!

เสียงเปียโนเพี้ยนๆดังขึ้นมาทันทีที่ชินระพูดจบ

“หมายความว่ายังไง”

ความเงียบปกคลุมไปทั้งห้องที่ถูกกั้นด้วยกระจกเก็บเสียง ไม่มีคำตอบจากคนที่ถูกถาม ยิ่งทำให้ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบที่สุดจะอึมครึมเข้าไปอีกหลายเท่า

สายตาของคนทั้งคู่ประสานกัน  คนหนึ่งเต็มไปด้วยคำถาม ส่วนอีกคนกลับว่างเปล่า และความสงสัยบวกกับความเหนื่อยล้าที่สะสมทำให้ซางะเริ่มหงุดหงิด

ปึง!

ฝาครอบคีบอร์ดถูกปิดลงอย่างไม่ยั้งแรง ก่อนที่ร่างโปร่งจะลุกเดินเฉียดไหล่คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆไปนั่งลงบนโซฟาด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวสุดๆ สองมือประสานกันแน่นเหมือนคนที่กำลังครุ่นคิดอะไรอย่างหนักหน่วง

อาการแสดงออกสะท้อนอยู่ในตาสองข้างของชินระตลอดเวลา เขาปล่อยให้ความเงียบปกคลุมต่อไป และเดินเข้าไปนั่งอยู่หน้าเปียโนแทนที่ซางะ เปิดฝาและกดลงบนแป้นเปียโนคีย์สีดำ

ติ๊ง!....

ไล่จากเสียงสูงไปกลางและวกกลับมาก่อนจะไปที่เสียงต่ำ จุดเล็กๆน้อยๆ ที่เก็บผสมกันจากเนื้อเพลงบนกระดาษที่ถูกขยำทิ้งบนพื้น เกิดเป็นบทเพลงใหม่ ทว่า ชินระไม่แม้แต่จะเล่นคีย์สีขาวเลยแม้แต่น้อย และเสียงดนตรีแหลมสูงหากแต่อ่อนหวานปนเศร้าก็ทำให้คนที่เก็บกดกับอารมณ์ของตัวเองเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

ซางะมองแกรนด์เปียโนสลับกับคนที่บรรเลงเพลงออกมา จากประสบการณ์แต่งเพลงและสอนดนตรีมาหลายปี ทำให้มองออกได้ไม่ยากว่าคนคนนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์และความสามารถที่เขาเองก็ไม่อาจจะเทียบได้เลย แม้แต่ตัวโน๊ตไม่กี่ตัวที่ถูกขยำทิ้งไปแล้วเขายังสามารถเก็บมันมาเรียงร้อยเป็นบทเพลงได้ไพเราะขนาดนี้

เพลงท่อนแรกจบลงและไม่มีเสียงบรรเลงต่อทำให้ซางะได้สติกลับมา รู้ตัวอีกทีก็ถูกสายตาราวกับสัตว์ร้ายจ้องเขม็งเสียแล้ว

ไม่มีคำพูดใดๆเหมือนเดิม ทุกอย่างกลับมาเงียบและดูท่าจะเงียบมากจนได้ยินเสียงเต้นของอวัยวะที่อยู่ในอกซ้าย และมันก็ดันทำให้ซางะนึกไปถึงเหตุการณ์เก่าๆ ภาพที่ชัดเจนไม่เคยเลือนหายทำให้เขารู้สึกประหม่า อึดอัดจนไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อไป ร่างโปร่งลุกขึ้นยืน แต่เพราะร่างกายที่หักโหมมาหลายคืนมันถึงขีดจำกัดแล้ว ทันทีที่ลุกเดินจะก้าวเท้าไปข้างหน้าทั้งตัวก็เอนไปด้านหลังและล้มฟาดกับโซฟาแบบไม่ยั้งแรง

ฟุ่บ!

ถึงโซฟามันจะนุ่มก็เถอะ แต่เล่นล้มลงไปแบบไม่ออมแรงแบบนี้มันก็เจ็บ และอาการวิงเวียนหน้ามืดก็ตรึงแขนขาให้ซางะนิ่งอยู่อย่างนั้นทั้งที่ยังเหลือสติ

“อึก”

กึก….

ปลายเท้าเดินเข้ามาหยุดอยู่ใกล้ๆ ใบหน้าคมคายก้มลงมาใกล้เรื่อยๆ เพียงแต่ตอนนี้ซางะมองเห็นได้แค่เงารางๆ ภาพเบื้องหน้าไม่ต่างไปจากมองวัตถุผ่านน้ำขุ่นๆ

“จริงๆเล้ย”

เสียงชินระจีบปากจีบคอก่อนที่จะยกซางะขึ้นพาดบ่า

“จะทำอะไร”

“อยู่เฉยๆเงียบๆไปซะ”

ถึงอยากต่อต้านแค่ไหนตอนนี้ร่างกายก็คงไม่ฟังคำสั่ง ใบหน้าออกหวานซบบนแผ่นหลังแกร่งที่โยกซ้ายขวาตามจังหวะการก้าวเท้าของร่างสูง ไม่นานม่านตาปรือปรอยก็ปิดลงพาซางะที่เหนื่อยล้าเต็มทีเข้าสู่การหลับใหล

รถสปอร์ตสีดำมาจอดที่โรงจอดรถของผับชื่อดัง เป็นผับของพวกคนมีระดับที่ไม่ใช่ทุกคนจะได้เข้า

“พาฉันมาที่นี่ทำไม” ซางะตื่นขึ้นมามองออกไปข้างนอกอย่างงๆ

“หาไอเดียแต่งเพลง”

ชินระตอบสั้นๆและเดินนำเข้าไปที่เคาท์เตอร์บาร์และสั่งเครื่องดื่มจากบาร์เทนเดอร์ ซางะมองไปรอบๆ บรรยากาศของผับสร้างบันดาลใจให้กับคนจินตนาการตีบตันอย่างเขาได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เดินเข้ามา จากความรู้สึกงุนงง เครียดจนหัวจะแตกตอนนี้ผ่อนคลายแล้ว

สองเท้าสาวเข้าไปนั่งลงข้างๆชินระและสั่งเครื่องดื่มเหมือนนกัน

เครื่องดื่มบาดคอถูกกระดกลงคอรวดเดียวและจากนั้นก็ตามมาด้วยแก้วที่สองสามและสี่จนคนที่พามาถึงกับชะงักค้างกับการดื่มของคนหน้าสวย

ท่าทางจะเก็บกดมาหลายวัน เอาเถอะ วันนี้จะยอมแบกกลับบ้านให้ก็แล้วกัน

คิดง่ายๆได้แบบนั้นชินระก็จิบเครื่องดื่มในมือไปทีละน้อย เขาไม่ได้อยากดื่มมากมายนัก เพราะจุดประสงค์ก็แค่อยากพาคนข้างๆมาเปลี่ยนบรรยากาศเท่านั้นเอง

และเป็นไปตามคาด เมื่อซางะสลบเหมือดฟุบลงเคาท์เตอร์บาร์ ชินระนับแก้วพอประมาณได้สักสิบแก้ว

“คอแข็งใช้ได้เลย”

“ท่านครับ จะให้เปิดห้องพักรึเปล่าครับ”

บาร์เทนเดอร์คนสนิทของชินระถามขึ้นมา ในมือยังถือผ้าเช็ดแก้วอย่างสบายใจ บาร์แห่งนี้เป็นหนึ่งในกิจการของชินระเหมือนกัน ไม่แปลกที่พนักงานที่นี่จะรู้จักเขา เพราะปกติถ้าชินระมาที่นี่เขาก็จะพักที่นี่ด้วย

“วันนี้ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันจะพาเขากลับ”

“ครับ แล้วมาใหม่นะครับ”

“อืม”

ชินระแบกร่างที่หมดสติออกไปจากร้าน ถึงจะเป็นคนที่สูงไม่ต่างกันมากแต่ก็ทำเอาคนแบกทุกลักทุเลเอาเรื่องเหมือนกัน ซางะหลับไม่มีสติ คออ่อนคอพับไปตามแรงไหวของรถที่วิ่งบนถนนที่เริ่มว่าง

“ดูซิถ้าตื่นขึ้นมาจะเป็นยังไง”

ชินระพึมพำ ยังไงซะตอนนี้เขาคงไม่พาซางะกลับไปบ้านในสภาพนี้แน่ๆ

 

การแบกร่างที่สูงเกือบทัดเทียมกันขึ้นมาจนถึงห้องเล่นเอาเหงื่อตกหอบแฮ่กไปพักใหญ่ แต่ชินระก็ไม่ได้ปริปากบ่น เพราะคนที่พาไปแต่แรกก็คือเขาเอง

“อืม~”

เสียงครางงึมงำจากคนที่ดิ้นดิ้นอยู่บนเตียงทำให้เขาต้องหันกลับไปมอง และต้องชะงักเมื่อมือของคนเมาพยายามปัดป่ายเสื้อผ้าของตัวเองออกให้พ้นตัว

“เห้ยๆๆ ร้อนเหรอ”

“อืม…..”

“เฮ้อ….ให้ตายสิ”

ชินระถอนหายใจพักหนึ่งก่อนจะช่วยปลดกระดุมเสื้อของอีกฝ่ายออกแผงอกมีกล้ามเนื้อเรียงตัวสวยงาม ถึงมันจะไม่ชัดเจนแต่ก็จัดได้ว่าเป็นร่างกายที่งดงามสมส่วน อกขาวกระเพื่อมขึ้นลงพร้อมหยาดเหงื่อที่ไหลซึมจากผิวหนังทุกอณู ชินระเข้าไปห้องน้ำคว้าผ้าขนหนูชุบน้ำออกมาเช็ดพรมไปตามใบหน้าและลำตัวของคนเมา และสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อวงแขนของอีกฝ่าย เอื้อมขึ้นมาเกาะเกี่ยวคอของเขาและกดโน้มลงไปใกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจของกันและกัน

ชินระใช้มือสองข้างค้ำยันที่นอนเอาไว้ และมองใบหน้าชื้นเหงื่อนิ่งๆ

“นายเมาแล้ว”

“ช้านม่ายเมา~~”

“หืม…..ขนาดนี้แล้วยังบอกว่าไม่เมาอีกเหรอ”

“หึๆๆๆ ฮะๆๆๆ”

“อย่าไปทำแบบนี้กับใครเชียวนะ” ท่าทางยั่วยวนแบบนี้ อย่าไปทำให้คาเห็นเชียวนะ

“แต่กับนาย ไม่เป็นไรหรอก”

“ไว้ใจกันง่ายไปแล้ว”

ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ริมฝีปากที่ห่างกันไม่ถึงคืบก็ดึงดูดกันจนแนบชิด

เสียงจูบจาบจ้วง ลิ้นแลกลิ้นกอดเกี่ยวกลืนน้ำลายของกันและกัน รสขมของเหล้าไม่ได้ทำให้ความหวานของอารมณ์ลดลงเลยสักนิด ริมฝีปากของทั้งคู่ผละจากกันอย่างเชื่องช้า ปรากฏเส้นใยเหนียวบางๆเชื่อมต่อกันและแรงปรารถนาที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจ ก็เริ่มแสดงตัวตนออกมา

“นายยั่วฉันก่อนนะ”

“อืม”

เพลงรักบทเดิมที่ห่างหายไป ได้กลับมาบรรเลงอีกครั้ง ครั้งนี้มันช่างยาวนาน หอมหวานและดูดดื่มมากกว่าครั้งแรก ซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับท่อนฮุคที่สุขสมรัญจวญใจราวกับจะแยกร่างที่บิดเร้าออกเป็นส่วนๆ

ครั้งแล้วครั้งเล่าและอีกครั้ง ยิ่งตักตวงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่รู้จักคำว่าพอ จนกระทั่งเกือบรุ่งสาง สติสัมปชัญญะเริ่มกลับมา

ทว่า การกลับมาของสติกลับทำให้เจอกับสภาพความเป็นจริงที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“อ๊ากกกกกกกกก!!!!”

ซางะแอ่นอกมือสองข้างจิกทึ้งที่นอนราวกับจะให้มันขาดคามือเพื่อระบายความเสียวเสียดที่ทิ่มแทงร่างกายทั้งภายในและภายนอก ลมหายใจกระเส่าสลับกับคำพูดแหบพร่าเป็นพักๆ

“พะ พอแล้ว อึก~ อ๊า!!!!”

ร่างกายถูกแผดเผาด้วยอารมณ์ราคะ ตอบสนองบทรักที่ยังไม่ลดรา ตรงข้ามกับปากที่พร่ำเพ้อบอกให้หยุด

ชินระเร่งจังหวะให้เข้าใกล้จุดสุดยอดก่อนที่จะปลดปล่อยความอึดอัดนั้นออกมาเต็มช่องทางรักจนล้นปรี่พร้อมกับร่างกายที่หมดแรงล้มทับร่างที่นอนหอบเบื้องล่าง

เสียงหายใจกระเส่าของทั้งคู่สลับกันต่างคนต่างสัมผัสการเต้นของหัวใจของอีกฝ่ายจากกายเนื้อที่แนบชิดกันโดยไร้สิ่งกีดกั้น

ร่างกายที่เชื่อมต่อกันยังไม่แยกจาก หากแต่แรงตอดรับกลับกระตุ้นเจ้าสัตว์ร้ายให้ผงาดขึ้นมาจนคับแน่นในช่องทางนั้นอีกครั้ง

“เอาออกไป”

ซางะพูดเสียงกระเส่า หากแต่ร่างกายช่วงล่างกลับตอบรับและกระตุ้นของอีกฝ่ายเสียเอง

“แน่ใจเหรอ” ชินระถามอย่างกวนไปที เขารู้หรอกว่าคนเบื้องล่างยังไม่ตัดขาดความต้องการ หากแต่ว่าสติที่กลับมามันทำให้เหตุผลอยู่เหนืออารมณ์ซะแล้ว

ชินระยันตัวลุกและถอนเจ้าสัตว์ร้ายของตัวเองที่มันยังผงาดออกมาจากช่องทางอันคับแคบนั้นโดยไม่รั้งรอ เกิดเสียงดังจนน่าอายและยังสร้างความเสียววูบให้กับอีกฝ่ายเข้าไปอีก

ซางะอายแสนอาย เสียวเสียดจนต้องงองุ้มเก็บกดอารมณ์ความต้องการเอาไว้ ช่องทางด้านหลังเปื้อนไปด้วยของเหลวขาวขุ่น ดูแล้วน่าอายจนไม่รู้จะแทรกหน้าไว้ตรงไหน

ทุกอย่างเข้าสู่โหมดความเงียบสองร่างที่เปลือยเปล่า คนหนึ่งนอนตะแคงกอดตัวเองคู้ตัวบนที่นอนหันหลังให้อีกคนที่นั่งชันเข่าอยู่ที่ขอบเตียงอีกฝั่ง

“ไปอาบน้ำเถอะ”

และคนที่นั่งอยู่ก็เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับหันมาคว้าแขนของคนที่นอนอยู่ให้ลุกขึ้นด้วย

“ฉันอาบเองได้ ไม่ต้องยุ่ง!”

ซ่า!!!......

น้ำจากฝักบัวราดลงบนร่างทั้งสอง กลบเสียงร้องครางได้เพียงเล็กน้อย

ซางะถูกจับหันหน้าเข้าหากำแพงในขณะที่ช่องทางด้านหลังถูกล้วงกวาดต้อนสิ่งแปลกปลอมออกมาหลายที แต่การสัมผัสของนิ้วแข็งแรงที่ล้วงเข้าล้วงออกสร้างความกระสันให้เขายิ่งกว่าตอนอยู่บนเตียงเสียอีก

สะโพกเกร็งแน่น งอนเด้งรับกับมือของอีกฝ่ายอย่างไม่ได้ตั้งใจ

ชินระกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ เจ้าสัตว์ร้ายกลางกายยังไม่สงบลงแล้วยังคนตรงหน้าที่ส่วยสะโพกรับกับมันอีก ความอดกลั้นก็ขาดสะบั้นอีกครั้ง

วงแขนแกร่งจับร่างของคนหน้าสวยหันกลับมาและประกบจูบทันที ครั้งนี้ต่างฝ่ายต่างมีสติครบ ต่างจากว่าตอนนี้น้ำที่ไหลผ่านร่างกายช่วยกระตุ้นอารมณ์ของทั้งคู่ได้ดีเยี่ยม และเมื่อต่างฝ่ายต่างดึงดูดกันและกันบทรักเร่าร้อนที่แม้แต่น้ำเย็นๆจากฝักบัวก็เอาไม่อยู่ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง แรงชายบีบเค้นร่างกายให้ทำตามอย่างบ้าคลั่ง จากห้องน้ำใต้ฝักบัว ในอ่าง และสุดท้ายก็จบลงที่การนัวเนียบนเตียง เพลงรักที่ไม่รู้ว่าจบไปกี่บท แต่ดูจากเวลามันช่างยาวนานและเวลาล่วงเลยไป และน่าแปลกที่ต่างฝ่ายต่างไม่รู้สึกอิ่มหรือเหน็ดเหนื่อย

“ซางะ….”

“แฮ่กๆๆๆๆ~”

“มาอยู่ด้วยกันเถอะ”

เพียงประโยคสั้นๆเท่านั้นที่ทำให้สติทั้งหมดกลับมา ซางะลุกพรวดคว้ากางเกงขึ้นมาสวมโดยไม่พูดอะไร แต่ก่อนที่จะได้คว้าเสื้อมาสวมวงแขนแกร่งก็คว้าตัวเขาไปกอดกระชับไว้จากด้านหลัง

“ปล่อยได้แล้ว ฉันจะกลับ”

“นายจะกลับไปที่ไหน”

“ฉันต้องไปแต่งเพลงให้เสร็จ”

“ถ้าเรื่องแต่งเพลง นายไม่จำเป็นต้องไปที่อื่นหรอก”

“หมายความว่ายังไง”

“มาทางนี้”

ชินระสวมแค่เสื้อคลุมอาบน้ำเดินนำหน้าซางะไปยังอีกห้องที่ถูกจัดเอาไว้เป็นสัดส่วน ซางะเดินตามเงียบๆ ในใจยังคิดถึงคำพูดของชินระเมื่อครู่ซ้ำไปซ้ำมา และเมื่อประตูห้องเปิดออกดวงตาสีเทาก็เบิกกว้าง

ห้องที่ไม่ได้ต่างไปจากห้องอัดเสียงที่บริษัท มีเปียโนไม้หลังหนึ่งตั้งอยู่กลางห้องและยังมีเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆอยู่ด้วย

“เชิญ ใช้ได้ตามสบาย”

ซางะตะลึงกับภาพตรงหน้าจนไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของชินระเลย ชายหนุ่มเดินเข้าไปสำรวจภายในห้อง มือลูบลงบนเปียโนลายไม้ที่สวยงามและมีเสน่ห์ตรงหน้า กระดาษสำหรับเขียนโน้ตที่ถูกเขียนไม่จบวางอยู่บนโต๊ะชวนให้หลงใหลและขณะที่กำลังห้องดนตรี อีกคนก็เข้ามาทาทับจากด้านหลัง

“ตกลงจะอยู่กับฉันไหม ซางะ นายจะใช้ที่นี่แต่งเพลงมากแค่ไหนก็ได้ แล้วแต่นาย หรือนายจะกลับบ้านเมื่อไหร่ก็ได้ตามใจ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวนายเอง”

ชินระพูดเป็นกลาง เขาไม่บังคับ ไม่อ้อนวอน และไม่วิ่งตาม

ซางะผละสายตาจากเปียโนและหันกลับมาเผชิญหน้ากับชินระ

“แล้วนายจะให้ฉันอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรล่ะ คู่ขา คู่นอน หรือว่านางบำเรอกัน”

“นั่นสินะ………แต่ฉันไม่เคยคิดกับนายแบบนั้น จะเชื่อหรือไม่ก็เรื่องของนาย แต่ว่า….นายจะอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร นั่นเป็นเรื่องที่นายเลือกเองไม่ใช่ฉัน”

ซางะนิ่งเงียบ นี่จะเป็นการหลอกตัวเองรึเปล่านะ แต่ตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงความจริงใจจากอีกฝ่าย เขาจะอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรกันล่ะ ไม่รู้หรอก อย่างน้อยในใจซางะตอนนี้ไม่อยากปล่อยชินระไว้ลำพัง

“ถ้าอย่างนั้น….ขอฝากตัวด้วยก็แล้วกัน”

ทันทีที่คำตอบออกจากปากรอยยิ้มจากใบหน้าคมปนดุก็ปรากฏออกมาให้เห็น และทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง หากแต่มันเป็นความเงียบที่ผ่อนคลาย

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5.2 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา