Alice เพลงรักที่หลงทาง (season 1)
เขียนโดย zusuran
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 14.50 น.
แก้ไขเมื่อ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 20.33 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) Chapter 3 … tear of snow (น้ำตาหิมะ)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ตั้งแต่วันที่ได้เจ้าลูกแมวมาเลี้ยง ชินระก็ดูแลมันอย่างดี และคงจะดีกว่านี้ถ้าไม่ถูกเจ้าเพื่อนสนิทมันตามตอแย เช้า เที่ยง บ่าย เย็น
“นะ ชิน มาตั้งวงกันเถอะ ข้อเสนอของหล่อนน่าสนใจดีนะ”
“ขอปฏิเสธ”
“เสียดายฝีมือเล่นกีต้าร์ขั้นเทพของนายออกนะ”
“ตั้งวง เล่นไปได้สักหน่อย สุดท้ายนายก็เข้าอีหรอบเดิมคือฉีกสัญญาทิ้ง ฉันไม่อยากลงไปคลุกกับความยุ่งเหยิงหาที่ยืนไม่ได้แบบนั้น”
“คราวนี้ไม่เหมือนหรอกน่า เชื่อฉันสิ”
ชินระวางมือจากงานเอกสารตรงหน้า หันมาถามเซียวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ถามอะไรสักอย่าง”
“หลายอย่างก็ได้ ว่ามา”
“ทำไมนายกับซางะถึงแยกวงกัน แล้วทำไมนายต้องฉีกสัญญาทิ้งในเมื่อนายก็ชอบร้องเพลง”
คำถามจริงจังของชินระทำให้เซียวเปลี่ยนสีหน้าจริงจังขึ้นมาบ้าง หน้าตาออกทะเล้นเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยจนรู้สึกหนาว
“มิยางิ ชุน ฉันไม่ชอบหน้ามัน ก็เท่านั้นแหละ”
“มิยางิมาเกี่ยวอะไรด้วย”
ชินระขมวดคิ้วเมื่อได้ยินชื่อของบุคคลที่เขาเองก็ไม่ค่อยลงรอยด้วย
“เจ้านั่นมันเป็นผู้บริหารคนใหม่ของค่ายเพลงฉันน่ะสิ! ตั้งแต่หมอนั่นเข้ามาก็วุ่นวายไปหมด โดยเฉพาะวงของฉัน ที่ซางะคุงลาออกจากวงก็เพราะหมอนั่นมันตามตอแย มิยางิมันมีนิสัยเสียยังไงนายเองก็น่าจะรู้ดีไม่น้อยไปกว่าฉันนะ ชิน”
ใช่สิ ชินระรู้ดีเลยล่ะ สายตากรุ้มกริ่มอาบยาพิษร้ายกาจยิ่งกว่าอสรพิษ
มิยางิ คาซามะ แล้วก็ คุสะ เป็นพันธมิตรกันมารุ่นต่อรุ่นไม่ว่าจะทางธุรกิจและทางสังคม บางทีความสัมพันธ์แหว่งๆที่พวกเขาภูมิใจนักหนาอาจจะขาดสะบั้นในรุ่นนี้ก็ได้
“โชคดีแล้วที่บ้านของเราไม่ได้เกี่ยวดองกับมิยางิ ไม่อย่างนั้นฉันคงขาดใจตายที่มีมันเป็นญาติ”
เซียวสบถอย่างขอไปที ชินระเองก็คิดไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก ในสามตระกูลใหญ่ หากตระกูลใดมีลูกสาวก็จะถูกจับให้แต่งงานกับลูกชายของอีกตระกูลเพื่อรวมเป็นทองแผ่นเดียวกันและมีอำนาจที่มากขึ้น แต่โชคร้ายหน่อยที่ทายาทรุ่นนี้มีเพียงลูกชาย
“ทำไมหมอนั่นถึงต้องตามตอแยซางะ”
“ก็นะ…”
เซียวมีสีหน้าปั้นยากขึ้นมา ก่อนจะคว้าโทรศัพท์มือถือออกมาและเปิดไฟล์ภาพขึ้นมาโชว์หราตรงหน้าชินระที่กำลังยกชาดื่ม และเมื่อเห็นภาพที่โชว์ขึ้นมาตรงหน้า
พรูดดดดดดดด!!!!
ชาอู่หลงรสชาติถูกคอพุ่งออกจากปากชินระเข้าไปปะทะหน้าเซียวเต็มๆแบบไม่ยั้ง
“แค่กๆ…”
“ไอ้เวร ชินระ”
“โทษที”
ภาพที่อยู่บนมือถือของเซียวมันเตะตาชินระจนควบคุมระบบการกลืนของตัวเองไม่ได้ไปชั่วขณะ ภาพคนสวมชุดเอวลอยรัดติ้วนอนตะแคงโชว์หน้าท้องท่าทางยั่วยวนขนาดนั้น เป็นใครก็อึ้ง
“มิยางิ มัน…”
“เออ ก็ตามที่เข้าใจ ไอ้เจ้านั่นมันชอบตอแยซางะคุงเพราะอย่างนี้ล่ะ”
“หืม”
“ซางะคุงเป็นนักดนตรีที่เซ็กซี่มาแรงที่สุดแห่งยุคเพราะแบบนี้แหละ”
ชินระแย่งโทรศัพท์จากเซียวมาเลื่อนดูภาพแทน มันก็จริงอย่างที่เจ้าเพื่อนสนิทมันบอกจริงๆด้วย รูปของซางะเล่นดนตรีอิริยาบถต่างๆนาๆ ดูร้อนแรงและน่าหลงใหลจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นผู้ชายหน้านิ่งๆแต่งตัวมิดชิดที่จูงหมาเดินเล่นคนนั้น
“แล้วทำไมนายมีรูปพวกนี้ได้ล่ะ อย่าบอกนะว่านายก็…”
“ฉันไม่ใช่! ภาพพวกนี้แฟนคลับเค้าถ่ายให้ต่างหาก”
“ก็ดี เพราะถ้าแกใช่ ฉันจะเตะแกออกไปจากห้องทำงานฉันเดี๋ยวนี้เลย”
“พูดดีไปเถอะ ถ้านายได้รู้จักเขามากกว่านี้ฉันว่านายคงชอบเขามากกว่าฉันแน่”
“ฉันไม่เคยรู้จักหมอนั่น และคงไม่มีทางเจออีก เพราะฉะนั้น…”
ก๊อกๆๆ
“นายน้อย คุณนางาเระมาขอพบครับ”
“ให้เข้ามา”
หมอประจำตัวคงมาตรวจอาการของชินระเพื่อความแน่ใจ ชินระคิดแบบนั้น แต่ไม่เลย เพราะคนที่เข้ามานั้นไม่ใช่หมอสึบาระกิ
“นางาเระ ซางามิครับ ขอรบกวนเวลาสักครู่”
ร่างสูงโปร่งใบหน้าอ่อนหวานเป็นเอกลักษณ์เข้ามาในห้องและผงกศีรษะทักทายแต่พองาม
“ซางะคุง!”
“เอ๊ะ? อ้าว เซียว สวัสดีครับ”
นางาเระ….นางาเระ ซางามิ เขาเป็นลูกชายของหมอประจำตัวของชินระเองหรอกเหรอ
“สวัสดีครับ คุสะซัง ผมเอายาที่คุณจะต้องทานมาให้ เพราะคุณแม่ต้องไปต่างประเทศกะทันหันเลยมาไม่ได้”
ซางะเดินเข้ามาและวางถุงยาที่มีตราของโรงพยาบาลชั้นนำไว้บนโต๊ะทำงานของชินระที่เอาแต่นิ่งเงียบมองร่างตรงหน้าอย่างอึ้งๆ กว่าจะได้สติกลับมาก็เจอกับคำถามที่สองของร่างตรงหน้าแล้ว
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”
“เปล่า ฉันสบายดี”
“ดีแล้ว”
“นายบอกว่า ชื่ออะไรนะ”
“นางาเระ ซางามิ ผมเป็นลูกชายของหมอนางาเระ สึบาระกิ ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณคุสะ”
ใบหน้านิ่งเรียบและก็แอบหวานจนสะกดไม่ให้หันเหไปทางอื่นได้เลย ยิ่งมองใกล้ๆก็ยิ่งเหมือนต้องมนตร์ ในมือของชินระยังกำมือถือของเซียวอยู่ แตกต่างกันอะไรอย่างนี้ ตัวจริงกับภาพที่อยู่ในจอ
บรรยากาศเงียบเชียบจนน่าเวียนหัว กระทั่งเซียวที่ทนไม่ไหวเอ่ยขึ้นมา
“พอดีเลย ซางะคุง เรามาตั้งวงกันเถอะ”
“ผมบอกแล้วว่าไม่”
“ฉันหากีต้าร์มือดีได้แล้วล่ะ นี่ไง!”
เซียวผายมือมาทางชินระอย่างภาคภูมิใจมากที่ได้นำเสนอ
ซางะได้แต่มองตาปริบๆเช่นเดียวกับชินระที่พูดไม่ออก
ไอ้เพื่อนขี้โกงมันเล่นเขาทีเผลอ จะทำยังไงล่ะทีนี้ อยากเอาโทรศัพท์ในมือนี้เขวี้ยงหน้ามันให้หงายตกเก้าอี้จริงๆ ซางะเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมาและสบเข้ากับตาสีน้ำตาลแดงที่จ้องเขาอยู่ก่อนหน้าแล้วจึงรีบหลุบสายตาลงต่ำและหันไปพูดกับเซียว
“เอาไว้จะคิดดูอีกทีนะ ตอนนี้ผมอยากพักแล้วก็ยังมีโรงเรียนสอนดนตรีที่ต้องดูแลด้วย”
“หวังว่าฉันจะได้ฟังข่าวดีของนายนะ”
“อืม ขอตัวกลับก่อนนะ”
“บ๊ายบาย”
ซางะยิ้มรับคำลาจากเซียวก่อนจะหันกลับมาก้มศีรษะให้ชินระตามมารยาทและเดินออกไปด้วยท่าทางที่สง่าผ่าเผยหากแต่สุภาพเรียบร้อย
ดวงตาสีน้ำตาลแดงมองตามร่างสูงนั้นจนประตูปิดลง ในใจชักเริ่มจะสนใจเจ้าของแผ่นหลังบอบบางนั่นเข้าให้แล้ว
“ฉันให้เวลาคิดก็แล้วกันนะ ระหว่างนี้ฉันจะไปหาสมาชิกคนอื่นอีกสักสองสามคน หวังว่านายกับซางะจะให้ข่าวดีฉันนะ ชิน”
เซียวพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะลุกเดินออกไปอีกคน โดยไม่ลืมจะขอโทรศัพท์คืน
“อ๊ะ! จริงสิ ฉันลืมบอก ซางะคุงเป็นครูสอนเปียโนด้วย แถมไอดอลในดวงใจของเขาก็คือซานาเอะ ฮาโอริ ด้วยนะ”
เซียวจงใจสะกิดหัวใจส่วนลึกของชินระ
เปียโน ชินระเคยชอบและคุ้นเคยกับมันมาก เพราะแม่ของเขาผู้ลาโลกไปนั้นเธอเป็นนักเปียโน ตั้งแต่แม่ตายไปชินระก็ไม่เคยจะแตะเปียโนอีกเลย แต่เขากลับดูแลรักษาเปียโนตัวโปรดของแม่เอาไว้เป็นอย่างดี
ชินระชอบเสียงเปียโน ชอบดอกไม้ โดยเฉพาะดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม ซางะเล่นเปียโน ถึงมันจะเป็นแค่เรื่องปกติธรรมดา แต่ทำไมชินระถึงได้สนใจคนคนนั้นขึ้นมาตงิดๆ หรือจะเป็นเพราะว่าไอดอลในดวงใจของซางะคือ ซานาเอะ ฮาโอริ ผู้หญิงคนเดียวที่ชินระรักสุดใจ
…………………….
การทำงานในฐานะของนักธุรกิจใหญ่ พร้อมกับเบื้องหลังที่เป็นเครื่องจักรที่คอยเก็บกวาดยังเป็นกิจวัตรของชินระไม่เว้นแต่ละวัน
“ยังใจดีไม่เปลี่ยนเลยนะ”
“แล้วจะเอายังไงกับผม”
ชายหนุ่มสวนกลับบิดาที่นั่งรอรับเขาอยู่โถงของตระกูล
“หรือจะให้กลับไปฆ่าพวกนั้นให้หมด ก็ได้นะ”
“ไม่ต้องมาประชด!”
คุสะ ชูเฮย์ ขึ้นเสียงใส่ลูกชายคนเดียวทั้งที่รู้ว่าลูกชายทำถูกแล้ว เขาเลี้ยงลูกชายให้กลายเป็นคนเลือดเย็นเหมือนสัตว์ป่าที่เลี้ยงไม่เชื่อง ตั้งแต่ภรรยาสุดที่รักต้องตายจากไป ชินระเติบโตขึ้นมาพร้อมกับขยายอำนาจทางธุรกิจของตระกูล จนตอนนี้ไม่มีใครจะกล้ามาเป็นปรปักษ์ แต่เขาก็รู้ว่านี่คือสิ่งที่ทำให้ลูกชายคนเดียวต้องตกนรก ชินระไม่ได้ต่างไปจากหุ่นขี้ผึ้งแสนงดงามและประณีตที่เดินได้ มีชีวิตหากแต่ไร้หัวใจ
“พรุ่งนี้แกต้องไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของลูกสาวตระกูลชิงุเระ เตรียมตัวเอาไว้ แกต้องไปแทนพ่อ”
“บอกตรงๆก็ได้”
รู้หรอกว่านี่หมายความถึงอะไร มันคือการดูตัวเพื่อหาคู่ครองแต่งงาน และถึงจะจบลงด้วยการประชดประชันแล้วเดินออกไปเงียบๆแต่ชินระก็ไม่ได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธ
“อาโออิ”
“ครับท่าน” เสียงทุ้มสงบเยือกเย็นดังออกมาจากร่างที่แอบอยู่ด้านหลังฉากกั้นลายภูเขาฟูจิ
“พรุ่งนี้ตามมันไปที่งานด้วย”
“ครับ”
ถึงจะถูกสั่งโน่นสั่งนี่แต่ชินระก็ไม่เคยเดือดร้อนที่จะทำตาม หากแต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นมันไม่ได้สวยหรูเหมือนอย่างที่ใครต่อใครเขาหวังเท่านั้นเอง และครั้งนี้ก็คงจะเหมือนกัน
…………………………………..
สวนสาธารณะในวันที่หิมะทับถมไม่ค่อยมีคนอยากออกมาเดินเล่นเท่าไหร่ เพราะอากาศหนาวทำให้ผู้คนล้วนอยากซุกตัวอยู่ในบ้าน หากแต่ยังมีร่างหนึ่งยืนเท้าศอกอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำ ดวงตาสีเทาแวววาวมองออกไปเบื้องหน้าอย่างหาจุดหมายไม่เจอ มือสองข้างเย็นเฉียบไม่มีถุงมือสวมใส่ก็ยังไม่ยี่หระและไม่กลัวหากว่ามันจะถูกหิมะกัดจนใช้การไม่ได้
หมับ!
จู่ๆก็มีมือข้างหนึ่งที่ทั้งอุ่นและนุ่มกว่าเข้ามากุมเอาไว้และถูกมันไปมาเพื่อคลายความหนาวเย็นให้
“ทำอะไรอย่างนี้ มือนี้สำคัญกับคุณมากนะคะ”
เสียงนุ่มนวลดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท ดวงตาสีเทากลอกกลิ้งเล็กน้อยมองไปยังร่างบางๆสวมเสื้อโค้ตสีครีมยาวครึ่งเข่าและมีผ้าพันคอสีขาวพันรอบคอหลวมๆ ผมสีน้ำตาลทองหยักศกขับใบหน้าเรียวเล็กให้ดูอ่อนหวาน หากแต่ว่าเข้มแข็ง
“ดูสิ เย็นหมดแล้ว”
“วากานะ”
หญิงสาวแสนสวยเงยหน้าขึ้นมาและส่งยิ้มอบอุ่นให้เป็นการตอบรับ
“ทำอะไรอยู่ที่นี่คนเดียว เสื้อหนาวก็ไม่ใส่”
“ผม….คงกำลังทำใจล่ะมั้ง”
“หืม ทำใจอะไรจ๊ะ”
“วากานะกำลังจะแต่งงานแล้วนี่ ผู้หญิงที่ผมทั้งรักทั้งหวงกำลังจะมีครอบครัวแล้ว ดีใจชะมัดเลย”
“คิก…ซางามิยังอารมณ์ขันเหมือนเดิมนะ”
“ผมพูดความจริงต่างหากครับ”
“จ้าๆ น้องชายสุดที่รักของฉัน แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ฉันยังรักซางามินะจ๊ะ”
ชิงุเระ วากานะ ผู้หญิงที่ซางะหลงรักมาตั้งแต่สมัยมัธยม แต่น่าเสียดายที่ความรู้สึกของเขาส่งไปไม่ถึงเธอจนถึงวันนี้ เพราะเธอมองเขาเป็นแค่น้องชาย แถมเธอก็ยังเป็นลูกสาวนักธุรกิจใหญ่ที่กำลังจะแต่งงานกับคนระดับเดียวกัน พรุ่งนี้เป็นงานวันเกิดของเธอและเป็นวันที่เหล่าว่าที่เจ้าบ่าวทั้งหลายจะมาให้เธอเลือกเพื่อจะหมั้นหมายและแต่งงานด้วย หนึ่งในนั้นซางะก็เดาไม่ยากว่าคงจะมี คาซามะ เซียว แล้วก็ คุสะ ชินระ รวมอยู่ด้วยแน่ๆ
วากานะเป็นใจดีและอบอุ่น เธอไม่เคยให้โอกาสใครถ้าเธอไม่อยากเล่นด้วยตั้งแต่แรก เพราะอย่างนี้กระมังที่ซางะไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่ตอนที่รู้ว่าเธอกำลังจะเลือกคู่แต่งงาน เพราะว่าเธอไม่เคยให้โอกาสเขาได้รักเธอในฐานะอื่นนอกจากฐานะน้องชาย ถึงแม้ว่าในใจของซางะจะพยายามทึกทักรักเธออยู่ฝ่ายเดียวเพื่อปลอบใจตัวเองก็เถอะ
“จริงสินะ นี่จ้ะ”
การ์ดบัตรเชิญใบหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า
“อย่าปฏิเสธนะจ๊ะ เพราะฉันอยากฟังเพลงนั้นอีกสักครั้ง”
เพลงนั้นที่ซางะบรรจงแต่งขึ้นมาและเล่นมันเพียงครั้งเดียวในชีวิต
“ถือว่าเป็นของขวัญให้พี่สาวคนนี้เถอะนะจ๊ะ”
แววตาของวากานะที่มองเขา แวบหนึ่งมันวูบไหวเหมือนจะอาลัยอาวรณ์ ราวกับว่าเธอกำลังจะจากไปในที่ไกลแสนไกล และนั่นทำให้ซางะไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
คฤหาสน์ของตระกูลชิงุเระเป็นแนวตะวันตกติดกับอ่าวโตเกียวของโยโกฮาม่า รองรับแขกเหรื่อได้มาก แต่ทว่าในงานกลับมีเพียงคนในแวดวงธุรกิจเท่านั้น จะมีก็แต่ซางะที่ไม่ใช่ แต่เขามาในฐานะของแขกคนใน
ปึก!
“อะ! ขอโทษครับ”
“นายอีกแล้วเหรอ”
เสียงทุ้มที่ไม่ได้ฟังดูนุ่มนวลอะไรทักมาง่ายๆจนซางะต้องเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่าย และได้เจอดีกับร่างสูงเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลแดงที่มาในชุดสูทสีดำทั้งตัว แม้แต่เชิ้ตตัวในก็ยังเป็นสีดำด้าน เส้นผมสีดำเรี่ยลำคอที่เคยปล่อยปิดด้านหน้าตอนนี้ถูกปัดเสยไปด้านหลังเผยให้เห็นโครงหน้าคมเข้มที่ออกครึ่งตะวันตก
“นายมาทำอะไรที่นี่”
“ฉันมาตามคำเชิญของเจ้าของงาน”
ซางะบอกไปปัดๆพลางจัดเสื้อผ้าให้เรียบ ชุดสูทที่เชิ้ตสีขาวด้านในไม่ได้ติดกระดุมครบทุกเม็ด สูทสีดำด้านนอกก็เรียบง่ายแต่ดูมีราคาเข้ากับรูปร่างสูงโปร่ง ไม่เหมือนพวกในงานที่เล่นแต่งซะเต็มยศเกินจนชินระเอือมระอา
“นายก็มาดูตัววากานะสินะ แล้ว เซียวคุงไม่มาเหรอ”
“ทำไมรู้ล่ะ”
“ก็รู้น่ะ”
ชินระรู้สึกสนใจร่างสูงตรงหน้านี่ซะแล้วสิ รูปร่างหุ่นอรชรที่เขาเห็นในโทรศัพท์ของเซียวยังคงติดตาจนถึงทุกวันนี้เลย และเหมือนซางะจะรู้สึกถึงสายตาที่มองไม่เลิกจึงหันเหไปทางอื่นและพร้อมจะตีตัวออกห่าง
“ว้าว ไม่นึกเลยว่าได้เจอกันที่นี่ ซางะคุง”
เสียงกระซิบไล่ผ่านลำคอซางะเบาๆจนเสียวสันหลัง มันคือเสียงกระซิบของมารร้ายที่ชื่อมิยางิ ชุน
ซางะสะบัดหนีให้ห่างทันที และเป็นเหตุให้เขาต้องชนเข้ากับชินระที่ไม่ยอมหลบไปไหน
ปึก!
และชินระก็มือไวพอที่จะคว้าไหล่บางๆนั้นเอาไว้ไม่ให้คนที่ชนตนล้มลงไปขายหน้าอีกรอบ
“ขอโทษที”
“อ้าวๆ ชินระรึเปล่าเนี่ย ไม่ได้เจอกันนานเลย สบายดีไหม”
“ดีสิ ดีมากด้วย”
ผู้ชายร่างสูงพอๆกับชินระ ผมสีเทาเสยไปด้านหลังเรียบกริบ สวมสูทสีเงินมีราคาและสมรูปร่างดูเป็นสง่า คนคนนี้คือผู้นำรุ่นเยาว์ที่สุดในแวดวงธุรกิจ มิยางิ ชุน ทุกอย่างที่เป็นเขาคือความสมบูรณ์แบบ หากแต่ความสมบูรณ์แบบนั้นมันเต็มไปด้วยยาพิษที่มีไม่กี่คนที่รู้ หนึ่งในนั้นก็คือซางะที่ตอนนี้อยากไปให้ไกลจากผู้ชายอันตรายตรงหน้า แต่ติดอยู่ที่ว่า นายน้อยซามูไรแห่งคุสะไม่ยอมปล่อยเขาเป็นอิสระเสียทีนี่สิ
“ก่อนอื่นช่วยปล่อยมือจากซางะคุงก่อนจะได้ไหม ดูท่าทางเขาจะอึดอัดนะ”
“อึดอัดเหรอ ซางะ”
ชินระเล่นต่อ หันมาถามซางะ ประจวบเหมาะที่ร่างโปร่งเจ้าของเรือนผมสีทองอ่อนหมุนตัวออกจากการเกาะกุมอย่างพลิ้วไหว
“ขอตัวก่อนนะ”
ซางะรีบเดินออกไปโดยที่ไม่หันกลับมามองทั้งชินระกับมิยางิ
“น่าสนใจนะ ว่าไหม”
“รสนิยมแย่เหมือนเดิมนะ”
“แหม ก็แค่ของเล่นกำลังฮิตกันจะเป็นไรไป ในวงการนี้จะทำอะไรก็ไม่แปลกหรอก”
ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี ชินระจึงได้แต่หันหลังกลับจะเดินหนี เพราะถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อมีหวังงานนี้ได้ถล่มเพราะเขาแน่ๆ ต้องให้เกียรติเจ้าของงานที่เป็นสาวงามดั่งนางฟ้าคนนั้นหน่อย
ก็ถ้าหล่อนไม่อยากให้มันล่มล่ะก็นะ
“ชินระ”
เสียงใสๆเอ่ยทักชายหนุ่มจากด้านหลังให้หยุดและหันไปมอง ก็ได้เจอร่างสะโอดสะองในชุดราตรีสีแดงเรียบหรูเดินเข้ามาด้วยใบหน้าสวยสดที่แต่งแต้มสีสันจนไร้ที่ติ
“สวัสดีครับ คุณหนูชิงุเระ”
“ไม่ทราบว่านายน้อยคุสะพอจะว่างคุยกับฉันสักหน่อยไหมคะ”
คุยเหรอ แต่ดูท่าทางของเธอจะไม่ใช่การคุยเล่นธรรมดาเลยนี่
“ไม่ต้องตามฉันมา ฉันกับชินระต้องการอยู่ด้วยกันสองต่อสอง”
เธอหันไปสั่งลูกน้องตามหลังสองคนที่โค้งรับคำสั่งอย่างไม่ขัดข้อง ฝ่ายชินระเองก็หันไปพยักหน้าให้อาโออิกลายๆว่าไม่ต้องตาม
ระเบียงชั้นบนสุดที่เป็นเพียงโดมเล็กๆเหมือนฟลอร์เต้นรำของคู่รักสุดโรแมนติก หากแต่การมาของสองหนุ่มสาวครั้งนี้หาได้ใช่การเต้นรำแบบธรรมดาไม่
“มีอะไรเหรอ”
ชินระเริ่มเข้าโหมดตัวเองทันทีที่พ้นจากสายตาคนอื่น ใครจะรู้ว่าเขากับวากานะสนิทกันพอสมควรอยู่
“คิดยังไงกับงานครั้งนี้เหรอ”
“ก็ไม่ไง”
“คุณคงปฏิเสธเหมือนเคยสินะ”
“รู้ดีนี่”
“เรามันคนคุ้นกันไม่ใช่เหรอ”
หญิงสาววาดแขนคล้องคอร่างสูงแนบชิดหน้าอกอวบอิ่มเข้าไปชิดอกแกร่งเงยหน้าสบตาอย่างยั่วยวน หากแต่ร่างสูงรู้หรอกว่านี่มันคือการแกล้งเล่น และเพราะคุ้นเคยจึงสนองกลับไปด้วยวาดวงแขนแกร่งรวบเอวบางเอาไว้และโยกตัวเคลื่อนเท้าไปตามจังหวะเพลงในใจ ดูไกลๆเหมือนคู่รักหวานชื่นที่แต่งงานกันใหม่ๆ หากแต่ความจริงแล้ว
“จะอ้อนเอาอะไรอีก คุณหนู”
“ก็ไม่มาก”
“ไหนบอกมาซิ จะให้ไปฆ่าใคร”
“อืม…ฉัน”
“หืม?”
การเต้นรำเบาๆถูกหยุดชะงักและถูกแทนที่ด้วยสายตาแข็งทื่อของร่างสูงที่มองใบหน้าหวานแต่ร้ายกาจนั้นอย่างไม่อยากเชื่อ
“เต้นต่อ”
เสียงเคล้าความเซ็กซี่แต่แอบกดดันลึกบังคับให้ชินระต้องทำตาม
“ฉันเบื่อชีวิตคุณหนูแสนดีแล้ว ก็เลยอยากตาย ช่วยฉันได้ไหม”
“ต้องทำยังไง ทูนหัว”
ชินระแซวกลับไปพอกรึ่มๆ
“ฆ่าฉัน ต่อหน้าทุกคน แล้วก็….”
“อะไร”
“พาซางามิกลับบ้าน…..อย่างปลอดภัย ต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา เป็นอันขาด”
พูดจบวากานะก็รั้งท้ายทอยชินระลงมาใกล้และประกบริมฝีปากเอิบอิ่มนั้นอยู่สักพักก่อนจะผละจากเขาไป ปล่อยให้ร่างสูงนิ่งงันอยู่ที่เดิม
“หึ ยายผู้หญิงเอาแต่ใจ”
ไม่มีคำพูดที่จะพูดออกไปมากกว่านี้แล้ว
ชินระกลับเข้ามาในงาน เสียงเปียโนกำลังบรรเลงบทเพลงน่าหลงใหลขับกล่อมคนทั้งงาน
ดวงตาสีน้ำตาลอมแดงสะท้อนภาพชายหนุ่มร่างโปร่งที่กำลังบรรเลงบทเพลงจากเปียโนสีขาว เสียงเย้ายวนแทบจะหลอมละลายหัวใจของผู้คนที่ได้ฟัง ไม่เว้นแม้แต่ชินระที่ถูกเสียงเพลงดึงสติให้หลุดลอยไป หากแต่เคลิ้มไปได้เพียงชั่ววูบเท่านั้นเมื่อสังเกตเห็นว่าเจ้าคนที่เล่นเพลงชวนเคลิ้มนั่นส่งสายตาปนเศร้าไปที่หญิงสาวตัวเอกของงานแทนที่จะเป็นตัวโน้ตบนกระดาษ
ชินระเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมวากานะถึงได้ขอให้เขาพาซางะออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย
มันเป็นงานที่ออกจะน่าเบื่อสักหน่อยสำหรับชินระ แต่มันก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะเขารู้ดีว่าพายุใหญ่กำลังจะมา สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือการอยู่เงียบเพื่อรอจังหวะ ชายหนุ่มที่ออกมารับลมอยู่ระเบียงด้านนอก และบังเอิญว่าไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว เพราะข้างๆกันไม่ห่างเท่าไหร่นั้นยังมีร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีทองอ่อนกำลังยืนเท้าศอกรับลมอยู่เหมือนกัน ในมือนั้นยังถือแก้วเครื่องดื่มที่ยังไม่ได้พร่องลงเท่าไหร่เลย
“ไง”
“อะ อืม”
“เล่นหลายเพลง คงเหนื่อยสินะ”
“ก็นิดหน่อย”
“เพราะดี ฉันชอบ”
“ขอบคุณ”
แล้วทุกอย่างก็กลับมาเงียบเหมือนเดิม ลมหนาวพัดเข้ามากระทบร่างของสองหนุ่ม แต่ก็ไม่มีใครยี่หระต่อความเย็นยะเยือกนั้นเลย
“เซียวบอกว่านายเป็นนักแต่งเพลง”
“อ่า…ใช่ ฉันแต่งเพลงให้วงตอนที่ยังทำเพลงกับทุกคนอยู่”
ชินระเริ่มละสายตาจากใบหน้าที่มีรอยยิ้มจางๆนั้นไม่ได้ เขามองสีหน้าที่ดูความสุขหากแต่มันปะปนความเศร้าเอาไว้จนปกปิดไม่หมด และเหมือนมีพลังบางอย่างที่ดึงดูดเขาให้เข้าไปใกล้กว่าที่เคย
ชึ่บ!
“…..จะทำอะไร”
ซางะเหวอไปเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าใบหน้าคมเข้มได้เข้ามาใกล้กว่าที่คิด
“ทำไมกันนะ มิยางิถึงได้ชอบนายนัก”
ชินระถามแบบซื่อๆทั้งที่รู้มาจากปากของเซียวแล้วก็เถอะ
“จะไปรู้เหรอ”
ซางะถอยห่างพร้อมทั้งเบี่ยงกายจะหลบเข้าไปในงาน แต่ก่อนจะได้เอื้อมมือไปผลักประตูกระจกเพื่อเปิดเข้าไปในงาน แรงกระแทกจากด้านในทำเอากระจกทั้งบานแตกละเอียดและกระแทกร่างซางะจนล้มหงายหลัง
เพล้ง!
พลั่ก!
“อึก!”
พายุเริ่มขึ้นแล้ว
ชินระคว้าซางะเข้ามาหลบหลังกำแพง ในขณะที่บอดี้การ์ดเข้ามาคอยคุ้มกัน
“เป็นไรไหม”
“อือ….”
กระจกที่แตกออกมามีบางส่วนที่บาดเข้าที่หน้าของซางะ ชายหนุ่มไม่พูดอะไรและยกมือกุมบาดแผลห้ามเลือดเอาไว้
“อยู่ตรงนี้”
“วากานะ!”
ซางะโพล่งอกมาพร้อมผลักชินระออกก่อนจะวิ่งเข้าไปในงานโดยไม่สนใจกระสุนปืน
“บ้าดีเดือดดีแท้”
ชินระเดาะลิ้นหงุดหงิดและตามเข้าไป ทุกคนล้วนหาที่กำบัง จะมีก็แต่ชางะที่ยังตรงลิ่วไปหาหญิงสาวที่ตนรัก
“วากานะ!”
“ซางามิอย่าเข้ามา!”
ปัง!
ความเจ็บสุดจะบรรยายแล่นผ่านร่างของซางะจนล้มพับลงไปก่อนจะถึงตัวหญิงสาว
พลั่ก!
“ไม่!!!!”
ร่างบางปัดกระโปรงขึ้นคว้าปืนที่ในซองหนังตรงต้นขาออกมาและยิงสวนกลับไป
ปัง!
ปัง!
กระสุนแลกกระสุน และผลก็คือเจ้าหนอนบ่อนไส้ตกลงมาจากระเบียงชั้นสองด้วยสภาพไร้ลมหายใจ แต่ว่าวากานะเองก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน
“อึก!”
“วากานะ!”
คุณหนูชิงุเระประคองตัวเองลุกขึ้นกุมบาดแผลที่ท้องตัวเองเอาไว้และยังพยายามจะดึงร่างที่ล้มฟุบอยู่ข้างๆให้ลุกขึ้นด้วย
“ซางามิ ซางามิ!!!”
“เขายังไม่ตาย”
หมับ!
วากานะกระชากคอเสื้อชินระเข้าไปใกล้ สายตาแน่วแน่และเด็ดขาดของหญิงสาวทำให้ชินระเงียบและฟังเสียงกระซิบจากเธออย่างตั้งใจ
“สัญญากับฉันว่าเขาจะไม่เป็นอะไร”
“…………”
“คุสะ ชินระ!!!”
มือสองข้างกำคอเสื้อของชินระเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เขาคิดถูกไหมนะที่ยอมทำตามคำขอบ้าๆของเธอ แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว คงถอยกลับไปไม่ได้หรอก ชินระหลับตาข่มอารมณ์เอาไว้กุมมือสั่นเทาของหญิงสาวและบีบมันแน่น ก่อนจะยกร่างซางะที่ยังมีลมหายใจอยู่ขึ้นพาดบ่า
“มาเถอะ ที่นี่ไม่มีอะไรให้เธอต้องอาลัยอีกแล้ว”
หนาว…..
เจ็บ….
นี่คือความรู้สึกแรกที่ได้มาหลังจากที่มีสติ ทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตา แต่ความเจ็บร้าวที่หัวไหล่ก็ทำให้แทบจะไม่อยากลืมตาขึ้นมาเลย ถ้าไม่ใช่ว่าสงสารเจ้าของเสียงที่เรียกชื่อซ้ำๆอย่างกระวนกระวายนั่น
“ซางามิ”
“วะ…วากานะ….”
ใบหน้าหญิงสาวชุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ ปอยผมเปียกแนบใบหน้าจนดูน่ารำคาญ หมดรูปของคุณหนูผู้อ่อนหวานและเหลือไว้เพียงคราบของสัตว์ป่าที่ต้องการหาทางรอด
พอตั้งสติดีๆในห้องอับๆนี่ไม่ได้มีแค่เขากับวากานะ แต่ยังมีอีกคนที่มีสภาพไม่ต่างไปจากหญิงสาวเท่าไหร่
ชินระ…
“เขาเสียเลือดมาก อย่าเพิ่งให้เขาขยับดีกว่า”
ถูกยิงเหรอ ซางะเพิ่งจะสังเกต หัวไหล่ที่เจ็บแสบร้าวไปถึงกระดูกนี่เพราะว่าเขาโดนยิงสินะ ชุดของวากานะถูกฉีกออกไปบางส่วน เพื่อให้เธอเคลื่อนไหวได้สะดวก และส่วนที่ฉีกออกไปก็ถูกใช้พันห้ามเลือดให้ซางะ
“ผมไหว อึก! ระ เราจะออกไปจากที่นี่กันใช่ไหม ไปกันเลย ผมทนได้”
“อย่าฝืน”
ชินระห้ามแต่เสียงของเขาก็ยังเรียบเฉยไม่มีโทนสูงต่ำ แล้วจู่ๆก็เป็นวากานะที่เข้ามากอดซางะเอาไว้
“เรามาถึงแล้ว ซางามิ”
“เอ๊ะ?”
“ขอโทษที่ดึงเธอเข้ามาเกี่ยว ขอโทษจริงๆฉันไม่คิดว่าจะกลายเป็นแบบนี้”
เสียงกระซิบแหบพร่าทำให้ซางะรู้ว่าหญิงสาวกำลังร้องไห้
“ไม่เป็นไรหรอกนะ ไม่เป็นไรหรอก กะ…ก็เราปลอดภัยแล้วนี่”
“ใช่ เราปลอดภัยแล้ว ซางามิ เธอปลอดภัยแล้ว”
ทำไมรู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปนะ ชินระยืนนิ่ง ทุกอย่างนิ่งจนน่ากลัว
“คุณบาดเจ็บ”
มือของซางะแตะโดนสิ่งเปียกชื้นที่หน้าท้องของเธอ มันคือเลือด เลือดของเธอ
“ชินระ”
“อา”
ชินระรับคำง่ายๆเดินเข้ามายืนใกล้ๆและเล็งปืนมายังวากานะที่กอดซางะ
”ทำบ้าอะไร อย่านะ”
“ถอยไป”
ชินระบอกเรียบๆ
“ข้ามศพฉันไปก่อนเถอะ!”
“เอาอย่างนั้นเหรอ”
“เด็กดี อย่าทำอย่างนี้สิจ๊ะ”
มือเรียวงามอบอุ่นที่เคยกอดประคองซางะเมื่อยามท้อแท้บัดนี้มันได้โชกไปด้วยเลือดสีแดง หากแต่มันก็ยังอุตส่าห์เอื้อมมาประคองใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของซางะเอาไว้ย่างอ่อนโยน
“ฉันรักเธอนะ”
ลมปากแผ่วๆที่ฟังแทบไม่ได้ความแต่สำหรับซางะมันก้องเหมือนเสียงระฆังปีใหม่ รัก คำนี้แหละที่เขาอยากได้ยินจากเธอมานาน แต่ตอนนี้ทำไมเขาไม่มีความสุขที่ได้ยินมันเลยล่ะ
แล้วจู่ๆในหัวก็มึนงง อ่อนแรง ตาพล่าแทบจะทรงตัวไม่ไหว
ปังงงงง!!!!!
เสียงปืนดังก้องไปทั้งโสตประสาทเสี้ยวสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะมืดดับไป
พรึ่บ!!!!
ดวงตาสีเทาเบิกโพลงมองเห็นทุกอย่างในวงกว้าง หากแต่ที่ตรงนี้ไม่ใช่ในห้องแคบๆอีกแล้ว ที่นอนกว้างๆสีขาวสะอาดตาภายในห้องไม้ที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆชวนให้ผ่อนคลาย
ที่นี่มัน…ที่ไหน
ซางะกวาดสายตามองสำรวจไปเท่าที่ระดับสายตาตอนนี้จะเอื้ออำนวย ชายหนุ่มไม่ได้สวมเสื้อท่อนบน แผลถูกยิงที่ไหล่ถูกทำความสะอาดและพันแผลเอาไว้เรียบร้อย ผ้าห่มสีขาวคลุมร่างเขาเอาไว้ถึงระดับอกพอกันความหนาว งงงวยอยู่พักใหญ่เสียงประตูบานเลื่อนที่ถูกเลื่อนเปิดก็เรียกสายตาให้หันไปมอง พบกับร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมคายเจ้าของเรือนผมสีดำเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดไม้ที่ใส่แก้วน้ำดื่ม
“ฟื้นแล้วเหรอ”
คุสะ ชินระ!
“เป็นยังไง ยังปวดแผลอยู่ไหม”
เขาเอ่ยปากถามพร้อมทั้งนั่งลงข้างเตียง ยิ่งเห็นหน้าชัดๆภาพเหตุการณ์ทุกอย่างก็หลั่งไหลเข้ามาย้ำเตือนความจำของซางะ
“เลว แกฆ่าวากานะ!”
ด้วยอารมณ์โกรธที่รุนแรงทำให้ซางะโถมตัวเข้าหาร่างสูงจะชกให้คว่ำ แต่แล้วก็ต้องชะงักและอ่อนระทวยลงเพราะความเจ็บปวดที่ร้าวไปทั้งร่าง มีวงขนแกร่งของชินระช้อนรับเอาไว้ไม่ให้เขาตกเตียงซ้ำเติมแผลเก่า
“ปล่อยฉัน! ไอ้ฆาตกร!!! ฉันจะฆ่าแก!!”
“ฆ่าฉันเหรอ อยากหัวเราะให้ฟันร่วง สารรูปแบบนี้นี่นะจะฆ่าฉัน”
ชินระว่าพร้อมกับผลักซางะให้กลับลงไปนอน แต่ดูท่าฤทธิ์เดชของความแค้นอันน่าสังเวชมันไม่ได้น้อยลงตามร่างกายที่เจ็บปวดเลย
ซางะดิ้นรน เตะต่อย ปัดป่าย ทำทุกอย่างที่ทำได้แต่ผลลัพธ์ที่ออกมามันไม่ได้ต่างไปจากแรงมด และสุดท้ายคนที่ต้องเจ็บก็คือซางะเอง
“แฮ่กๆๆ…”
“เป็นไง เหนื่อยมากล่ะสิ”
“ฉันจะฆ่าแก แฮ่กๆๆ~”
“ตอนนี้รักษาตัวเองก่อนเถอะ กินยานี่ซะ จะได้ไม่ปวดแผล”
ชินระว่าพร้อมหยิบยากับน้ำที่เตรียมมาให้ และก็ต้องรีบยกหลบเมื่อร่างตรงหน้ายังพยศไม่เลิก
“อย่ามายุ่งกับฉัน! อึก~แค่กๆๆ!!!”
ซางะปัดมือออกไปหวังจะให้น้ำที่คนตรงหน้ายื่นมาให้หล่นแตก แต่ไม่เป็นผลเมื่อร่างสูงยกมันหลบได้อย่างง่ายดาย ยิ่งเห็นใบหน้ายิ้มเย้ยนั่นแล้วมันยิ่งกระตุ้นอารมณ์โกรธของซางะขึ้นเป็นทวีคูณ โกรธจนจุกและเจ็บมากจนต้องล้มลงไปนอนไอตัวงองุ้มอยู่บนเตียง และสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อร่างสูงของนายน้อยคุสะโน้มตัวลงมาคร่อมขังเขาเอาไว้และยังผลักให้เขานอนหงายได้อย่างง่ายดาย
“จะ…ทำอะไร อุ๊บ!”
ไม่ทันได้คลายความสงสัยอะไรทั้งสิ้น ริมฝีปากของซางะถูกครอบครองโดยริมฝีปากของร่างเบื้องบน จะดิ้นขัดขืนก็ถูกมือหนาบีบคางเอาไว้บังคับให้อ้าปาก กว่าจะรู้ตัวอีกทียากับน้ำก็ไหลลงคอของเขาซะแล้ว
ชินระค่อยๆถอนริมฝีปากออกช้าๆ มือข้างหนึ่งก็ยังบีบคางซางะเอาไว้จนถึงที่สุด แวบหนึ่งที่มองเห็นดวงตาสีเทาที่ฉายแววตะลึงพรึงเพริดจนชินระเองก็หลุดขำ
“พักผ่อนซะ คงอีกหลายวันที่นายจะต้องอยู่ที่นี่ ซางะ”
“อึก~ ทำไม ฮึก~ทำไมนายต้องฆ่าเธอ ตอบฉันมาสิ!!! ทำไม! ฮึก! แค่กๆๆ!!~”
น่าสังเวชปนสงสาร น้ำตาใสๆที่มันคลออยู่เบ้าตาขับสีเทาของดวงตาของร่างที่นอนสะอื้นอยู่ให้เปล่งประกายชวนมอง แต่ทำไมกันนะ ชินระถึงได้รู้สึกหวั่นไหวกับร่างตรงหน้านี้แปลกๆ
“นายรู้จักเธอดีแค่ไหนกันซางะ คิดว่าตระกูลใหญ่ๆมีอำนาจมหาศาลอย่างพวกฉันมีแต่ความสวยงามรึไง”
“คึ~ทำไมต้องฆ่าเธอ”
“ชอบเธอเหรอ”
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม!”
“ไม่กลัวเหรอ”
“ฉันไม่กลัว!”
“ดี”
ชินระสนใจความก้าวร้าวของซางะ ไม่ใช่โดยสันดานอย่างที่พวกเขาเป็น แต่ซางะก้าวร้าวเพราะความแค้น เพราะความเจ็บปวดที่สูญเสีย มันเหมือนชินระ เหมือนมากจริงๆ
ซางะพยายามยันกายลุกทั้งที่แขนก็แทบจะไม่มีแรง แต่ก็ยังพยายาม สายตาจดจ้องอยู่ที่มีดผ่าตัดที่ยังวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงกับอุปกรณ์ทำแผลอื่นๆ แต่มีเหรอชินระจะดูไม่ออก แต่เขาก็ไม่เคลื่อนไหวอะไรและมองดูอยู่เงียบๆ อยากจะรู้เหมือนกันว่าลูกฮึดของซางะมันจะมากแค่ไหนกว่าจะลุกขึ้นได้ก็เล่นเอาเหงื่อท่วมตัวบวกกับแผลที่เจ็บจนต้องย่นหน้า แค่ลุกนั่งให้ได้ก็เล่นเอาหมดแรงจะเอื้อมมือไปคว้ามีดที่หมายตา ผ้าห่มที่คลุมร่างกายเอาไว้ได้ไหลล่นไปกองอยู่ที่เอวโค้งบาง เหงื่อผุดพรายขึ้นมาขับผิวสีขาวให้มีเลือดฝาดบวกกับท่วงท่าเย้ายวนนั่นปลุกสัญชาตญาณสัตว์ป่าของชินระให้ตื่นขึ้นมา
“พอที นอนลงไปแล้วหลับซะ”
“หนวกหู ฉันจะฆ่านาย อะ!”
ซางะรู้สึกวูบไหวไปแวบหนึ่งก่อนจะตั้งตัวได้เมื่อแผ่นหลังแนบกับเตียงและมีชินระคร่อมอยู่ข้างบน
“ทำบ้าอะไร”
“ก็อยากฆ่าฉันไม่ใช่เหรอ เอาสิ …ไม่กล้าสินะ ทีนี้ก็ตาฉัน”
“จะทำบ้าอะไรวะ! อ๊าก!!!~”
ซางะหลุดปากร้องออกมาทันทีเมื่อชินระเริ่มซุกไซร้ที่ซอกคอ โลมเลียไปทั่วจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งก่อนจะเลื่อนขึ้นมาประกบปิดปากซางะอย่างไม่ให้คัดค้าน
“อื้อ!!!”
ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้ามาอย่างถือสิทธิ์จนซางะต้องร้องครางปะท้วงออกมา ตอนนี้ร่างกายทั้งเจ็บทั้งชาไปครึ่งซีกจึงไม่ถนัดที่จะผลักร่างกำยำด้านบน
“ปะ ปล่อยฉันนะโว้ยไอ้บ้า! ไอ้@$^%&^*$#@%^&&!!!!”
เมื่อปากเป็นอิสระซางะก็ด่ากราดจนชินระอึ้งไปเหมือนกัน
จะไม่ให้อึ้งได้ยังไงในเมื่อปากมันมีสวนสัตว์เดินขบวนออกมาเลย ตั้งแต่สี่ขายันสัตว์เลื้อยคลานไปจนถึงพวกปรสิต
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ