เล่ห์ทรายร่ายรัก
เขียนโดย เข็มมุก
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 18.36 น.
แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 19.52 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ทิฐิในใจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ1.
ห้องชุดสุดหรูบนชั้นสูงสุดของอาคารที่ตั้งตระหง่านอยู่บนถนนสายธุรกิจสายสำคัญที่สุดในมหานครนิวยอร์ค ซึ่งเป็นทั้งห้องทำงานและเพนเฮาส์ส่วนตัวของร่างสูง เจ้าของดวงตาคมสีทองเป็นประกาย ซึ่งกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่หรูหราแบบผู้บริหารชั้นนำสวยงามสง่าน่าเกรงขาม ใบหน้าเข้มขมวดคิ้วหนาจนชนกันเมื่อได้อ่านรายงานการประชุมสรุปไตรมาสล่าสุดของบริษัทจากเลขาฯส่วนตัว ที่นำมาวางไว้ให้บนโต๊ะทำงานของเขาในตอนช่วงสายของวัน
“ราชิด! เข้ามาที่นี่หน่อย เรียกซูซานเข้ามาด้วย” น้ำเสียงทุ้มเข้มน่าเกรงขามเอ่ยเรียบผ่านเครื่องรับโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา น้ำเสียงที่อาจจะฟังดูราบเรียบแต่ก็ทำให้คนที่รับคำสั่งทั้งสองคน ต้องรีบวิ่งเข้าไปในห้องทำงานใหญ่อย่างรวดเร็ว
“เอ่อ...ท่านประธานต้องการทราบรายงานเรื่องอะไรเป็นการด่วนเหรอคะ? หรือว่า...รายงานการประชุมเมื่อวานนี้มีปัญหาอะไรต้องแก้ไขเหรอคะ?” ซูซานเลขาฯสาวเอ่ยถามเบาๆ ขณะยืนมองดูร่างสูงพลิกกระดาษในแฟ้มสรุปรายงานไปมา ด้วยสีหน้าเรียบเฉยยากจะเดาใจได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกซูซาน รายงานการประชุมของเมื่อวานนี้ก็เรียบร้อยดี แต่...ผมต้องการให้คุณติดต่อกับบริษัทของมิสเตอร์หยางให้ที ผมต้องการรายงานสรุปไตรมาสประจำปีที่ผ่านมาของบริษัทในเครือหยางทั้งหมด ถ้าเขาไม่สามารถจัดส่งมาให้เราได้ คุณก็ส่งคนไปรับเอกสารทั้งหมดจากฮ่องกงมาที่นี่ด้วยก็แล้วกัน” เจ้าของน้ำเสียงเข้มเอ่ยสั่งงานโดยไม่ได้เงยใบหน้าครามขึ้นมามองคนตรงหน้า หรือละสายตาจากเอกสารที่กำลังอ่านอยู่ในมือแม้แต่น้อย
“ได้ค่ะ” เลขาฯสาวรับคำ แล้วรีบเดินกลับออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยกหูโทรศัพท์ต่อสายตรงไปยังสายการบินที่เธอคุ้นเคย จัดการจองตั๋วเครื่องบินพร้อมกับระบุว่าเป็นเที่ยวบินไปฮ่องกงที่เร็วที่สุด เพราะรู้ดีว่าเจ้านายของเธอแม้จะไม่กำชับว่าให้ส่งใครไปรับเอกสารครั้งนี้ แต่มันหมายถึงเธออย่างแน่นอน อีกทั้งด้วยความเด็ดขาดของเขาซึ่งทราบดีทั้งบริษัท ถ้าเธอทำงานบกพร่องหรือทำให้งานทุกชิ้นของเขาต้องเสียหายสักนิด นั่นหมายถึงการถูกไล่ออกสถานเดียวเท่านั้น
เมื่อเห็นใบหน้าสวยของซูซานตื่นตะหนก รีบจ้ำอ้าวเดินออกไปจากห้องทำงานแล้ว ราชิดผู้ที่เป็นทั้งที่ปรึกษาและองครักษ์ส่วนตัวของจอมบงการอย่างนักธุรกิจหนุ่ม เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีน้ำตาลอ่อนคล้ำแดดนิดๆ ใบหน้าคมที่เรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึก ในชุดสูทสากลของอามานี่สีเข้ม ก็เอ่ยเรื่องที่เขาได้รับคำสั่งโดยตรง ก่อนหน้าที่จะถูกเรียกเข้ามาในห้องทำงานของเจ้านายหนุ่มจอมเฮี้ยบเพียงนิดเดียว
“เอ่อ...ท่านชีคครับ”
“มีอะไรก็ว่ามาราชิด อย่ามัวแต่อ่ำอึ้งอยู่...เราไม่ชอบ” ริมฝีปากเข้มเอ่ยดุโดยไม่มองหน้าคนที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของตนด้วยซ้ำ แถมยังใช้สรรพนามแทนตัวเองเปลี่ยนไปตามความเคยชินอย่างคนที่ไม่ถือตัวอีกต่างหาก
“คือ...ท่านฮิบบินลา ทรงโทรมารับสั่งกับผมไว้ว่า...พระองค์ต้องการให้ท่านชีคกลับอัลฮับบราด่วนเลยครับ” เลขาฯหนุ่มและองครักษ์คนสนิทของเขาเอ่ย พลางเหลือบสายตามองใบหน้าเข้มของผู้เป็นนายเพื่อดูปฏิกิริยาไปด้วย
“ท่านปู่มีเรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ นายรู้ไหม?” ใบหน้าครามเงยขึ้นมาจากแฟ้มเอกสารตรงหน้า แล้วใช้ดวงตาคมปราบของตนจ้องมองไปยังคนสนิทของเขาที่ยืนตัวตรงพร้อมกับเอามือทั้งสองข้างไขว้ไว้ทางด้านหลังอย่างเคยชิน ด้วยสายตาแสนจะเย็นชาและนิ่งสนิท
“ฝ่าบาทไม่ได้ทรงแจ้งรายละเอียดอะไรครับ เพียงแต่...ทรงกำชับไว้ว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก และต้องทรงแจ้งกับท่านชีคด้วยพระองค์เองโดยเป็นการส่วนพระองค์เท่านั้น” ราชิดเอ่ยเรียบๆ
“เฮ้อ!!...” เสียงเข้มถอนหายใจเบาๆ
ร่างสูงทิ้งศีรษะได้รูปลงบนพนักพิงของเก้าอี้ทำงานอย่างเหนื่อยใจ ท่านปู่ของเขาคงต้องการพูดเรื่องที่เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจและปฏิเสธมาโดยตลอด ชีคอิสมิน อัลการิม อัลฮาบา เคิร์ต ว่าที่มกุฎราชกุมารหนุ่ม รัชทายาทของราชวงศ์แห่งประเทศอัลฮับบราองค์ต่อไป
อัลฮับบรานั้นเป็นประเทศเล็กๆในดินแดนแถบทะเลทรายที่อุดมไปด้วยแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นลำดับต้นๆของประเทศที่มีอุตสาหกรรมปิโตรเลียม แก๊สหุงต้ม และพลังงานล้ำค่าต่างๆจากใต้พื้นพิภพ อีกทั้งยังมีแหล่งเหมืองเพชรน้ำงามซึ่งผลิตและส่งออกแหล่งสำคัญไปยังทั่วโลกอีกด้วย
ชีคเหรอ?...ไม่เห็นอยากจะเป็นเลย...ให้ตายสิ! การิมคิดในใจ พลางขยับตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงกว่าหกฟุตสองนิ้วของตนด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย เมื่อนึกถึงสิ่งที่มักจะตามเสมอกับคำว่า “ส่วนพระองค์” ของท่านชีคแห่งอัลฮับบราท่านปู่ของเขา แต่ก็อย่างที่เคยได้ยินนักปราชญ์โบราณกล่าวเอาไว้ว่า “ไม่มีใครหนีจากการเป็นตัวเองได้” ร่างสูงนึกในใจพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยสั่งงานกับราชิดเสียงห้วน
“เราจะออกไปทำธุระข้างนอกสักหน่อย แล้วก็จะไม่กลับเข้ามาในบริษัทอีก นายก็ยกเลิกนัดหมายทั้งหมดของวันนี้ซะ เข้าใจไหมราชิด?”
“แล้วท่านชีคจะไปไหนเหรอครับ?”
“เรื่องของเราก็แล้วกัน แล้ววันนี้นายไม่ต้องตามเราหรอก ไปจัดการตามที่เราบอกให้เรียบร้อยก็แล้วกัน” ร่างสูงตอบแล้วหยิบเสื้อสูทผ้าไหมอิตาลีเนื้อดีสีเทาเข้มขึ้นมาสวม ส่งผลให้บุคลิคของชีคหนุ่มดูคมเข้ม น่าเกรงขามและสง่างามมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว แล้วการิมก็ก้าวยาวๆเดินออกจากห้องทำงานของตนไป อย่างรวดเร็วราวกับพายุในทะเลทรายอันร้อนระอุแบบที่ชอบทำเป็นประจำสม่ำเสมอ
“ท่านการิม! โธ่...แล้วเรื่องกลับอัลฮับบรา เราจะไปรายงานท่านฮิบบินลาว่ายังไงล่ะเนี่ย เฮ้อ...” องครักษ์หนุ่มตะโกนเรียกร่างสูง แต่เมื่อเห็นว่าคนที่ตนเรียกไม่ได้มีท่าทีสนใจ หรือหันกลับมาฟังเลยสักนิดจึงได้แต่พึมพัมกับตัวเองเบาๆ
เรือนไทยหลังใหญ่ทรงประยุกต์ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ปลูกสร้างด้วยไม้สักทองเนื้อดีที่หาได้ไม่ง่ายนักในสมัยนี้ หากไม่มีเงินและเส้นสายมากพอ แต่ก็นั่นล่ะ...มันเป็นมรดกที่ตกทอดกันมาหลายช่วงคนของตระกูลภัทรสุโรบล รอบๆตัวบ้านนั้นเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้ผล ไม้ดอกและพันธุ์ไม้สวยงามนานาชนิด บ่งบอกถึงความเป็นคนมือเย็นและความรักต้นไม้ของเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี มุจรินทร์ ภัทรสุโรบล ผู้เป็นเจ้าของรูปร่างสมส่วน ดวงตาสีดำสนิทบนใบหน้าสวยหวานแบบไทยๆ เส้นผมสีดำสนิทราวกับขนของกาอีกทั้งยังนุ่มสลวยดุจเส้นไหม ถูกรวบและมวยไว้อย่างดีราวกับหญิงสาวชาววัง แม้ว่าวัยจะล่วงเข้าสี่สิบตอนปลายเกือบจะห้าสิบแล้ว หากแต่ยังคงความสวยงามอยู่โดยไม่ต้องพึ่งพาหรืออาศัยมีดหมอของศัลยแพทย์คนใด เป็นความสวยงามชนิดที่สาวๆสมัยนี้ยังต้องอายเลยทีเดียว
“นาญ่า!! ขึ้นจากน้ำได้แล้วนะลูก เล่นมาเป็นชั่วโมงแล้วนะเรา เดี๋ยวเนื้อตัวก็เปื่อยหมดหรอก” มุจรินทร์ ยืนตะโกนบอกลูกสาวของตนอยู่บนท่าน้ำของศาลาไม้ทรงไทยหลังใหญ่ ซึ่งสร้างเอาไว้เพื่อพักผ่อนอิริยาบทและแยกออกมาจากตัวบ้านหลังใหญ่อีกทีหนึ่ง
“แหม...แม่คะ ก็นาญ่าคิดถึงแม่น้ำที่นี่จะตายไป ขอว่ายน้ำเล่นต่ออีกหน่อยนะคะแม่” เสียงใสเอ่ยขอ
“ไม่ได้นะ เราโตเป็นสาวแล้วนะรู้ไหม? จะมานุ่งผ้าซิ่น ตีโป่งว่ายน้ำแบบสมัยเด็กๆอย่างนี้ได้ยังไง? มันไม่เหมาะนะลูก แล้วนี่ก็ค่ำแล้วด้วยน้ำมันเย็นขึ้นมาเถอะ เดี๋ยวหนูจะไม่สบายได้นะลูก”
“แหม...แม่คะ”เสียงใสออดอ้อนอย่างไม่มีท่าทีว่าจะยอมผู้เป็นแม่ง่ายๆ
“ขึ้นมาก่อนเถอะลูก แล้ววันหลังค่อยมาว่ายใหม่ ขึ้นมาเร้ว!” เสียงหวานที่เริ่มแหลมสูงเรียกขานร่างบางนั้น แสดงให้เห็นว่าผู้เป็นแม่ห่วงใยหญิงสาวเป็นที่สุด นาญ่าจึงว่ายน้ำกลับมายังท่าน้ำที่แม่ของเธอยืนรออยู่ แล้วเอื้อมมือบางขึ้นจับหัวบันไดของท่าน้ำ ดึงร่างบางสมส่วนของตัวเองขึ้นจากสายน้ำเย็นอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก แต่ก็ไม่อยากขัดผู้เป็นแม่เช่นกัน
“นี่นาญ่า เดี๋ยวคุณพ่อจะมาทานข้าวเย็นกับพวกเรานะลูก” น้ำเสียงหวานของคุณมุจรินทร์เอ่ยเรียบๆ แต่ก็ทำให้ฝ่ามือบางที่กำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดเส้นผมยาวสลวยของเธอหยุดชะงักเพียงครู่ แล้วก็จัดการซับน้ำบนเส้นผมสีดำสนิทของตนต่อไปด้วยแววตานิ่งสนิท...เฉยชา...อย่างที่มักจะแสดงออกเสมอ เมื่อแม่ของเธอพูดถึงผู้ที่ให้กำเนิดตนขึ้นมาอีกคน
“เขาจะเข้ามาที่นี่ทำไมคะ? เขาน่าจะอยู่ที่บ้านโน้นซะมากกว่า” นาญ่าเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจบุคคลที่แม่เธอพูดถึงนัก
“นาญ่า...”
“แม่คะ นาญ่าไม่อยากเจอหน้าหรือแม้แต่พูดกับเขา...แม่ก็รู้”
“แต่ลูกไม่ยอมกลับไปเยี่ยมพ่อที่บ้านเลย พ่อเขาก็ต้องคิดถึงลูกเป็นธรรมดาซิจ๊ะ”
“คิดถึงเหรอคะแม่? 10 ปีนะคะ! ที่เขาพาหนูไปอยู่อิตาลีกับคุณปู่สเตฟาน โดยให้แม่ไปเยี่ยมได้แค่ปีละครั้ง แล้วเขาก็ไม่เคยแวะไปหาหนูเลยสักครั้งเดียวทั้งๆที่เขาก็อยู่ที่โรม มีก็เพียงของขวัญวันเกิดที่เขาส่งไปให้หนูเท่านั้น ส่วนตัวเขาก็อยู่กับบรรดาเมียและก็ลูกๆของเขา นั่นเรียกว่าคิดถึงเหรอคะแม่?...” นาญ่าเอ่ยเสียงเรียบพร้อมกับส่งสายตาที่แสนจะเฉยชา มองไปยังทิวทัศน์ที่แสนสวยงามและเงียบสงบของบ้านสวนในยามเย็น แม้เธอจะไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมา แต่เมื่อฟังแล้ว...มันบาดลึก เจ็บเข้าไปในความรู้สึกของผู้เป็นแม่อย่างที่สุด
“พ่อเขางานยุ่งนะนาญ่า ธุรกิจของพ่อเขาเยอะแยะมากมายเต็มไปหมดแค่ไหน? เราก็น่าจะรู้ดีนะลูก...”
“แต่เขาก็ไปงานรับปริญญาของเอลิซ่าได้” นาญ่าตอบและคิดถึงภาพในวันงานรับปริญญาของเธอที่มหาวิทยาลัยอย่างเจ็บใจ ทั้งๆที่ใกล้กันแค่นั้น...แต่พ่อของเธอ ก็ไม่หันมามองเธอเลยสักนิดเดียว
“เรื่องนั้น...” น้ำเสียงของคุณมุจรินทร์เบาลงไปถนัดใจ เพราะเธอรู้ดีว่าลูกสาวของเธอตั้งความหวังกับผู้เป็นพ่อเอาไว้มากแค่ไหน แม้จะไม่เคยเอ่ยคิดถึงแต่แววตาคู่นั้นบ่งบอกถึงความปรารถนาลึกๆในใจเสมอ
“แม่ไม่ต้องแก้ตัวแทนเขาหรอกค่ะ หนูเข้าใจว่าแม่ไม่อยากให้หนูคิดกับเขาในแง่ลบ แต่ที่หนูเป็นแบบนี้เพราะหนูสงสารแม่ แม่เป็นเมียซึ่งจดทะเบียนสมรส แต่งงานกับเขาอย่างถูกต้องแท้ๆ แต่น้อยครั้งมาก...ที่เขาจะให้เกียรติและพาแม่ออกงานด้วยอย่างเชิดหน้าชูตา เขากลับพาแม่นั่นและลูกๆของเขาออกงาน โดยไม่คิดถึงใจแม่เลย” หญิงสาวจอมรั้นเอ่ยอย่างอดไม่ได้ และทิ้งตัวลงนอนบนพื้นกระดานไม้ขัดมันอย่างดีที่เธอแสนจะคิดถึง เพราะจากบ้านสวนเรือนไทยหลังนี้ไปนานหลายปี พร้อมกับคว้าหมอนอิงใบเขื่องที่อยู่ใกล้มือมาหนุนนอนด้วยท่าทางผ่อนคลาย
มุจรินทร์ทรุดกายลงนั่งพับเพียบใกล้ๆกับร่างบอบบาง แล้วยกฝ่ามือเรียวที่แสนจะอบอุ่นเสมอไม่ว่าในเวลาใดก็ตามในความรู้สึกของนาญ่า ประคองเข้าช้อนศีรษะทุยสวยของลูกสาวขึ้นจากหมอนอิงมาวางบนตักอุ่นของตน ความนุ่มนวลและอ่อนโยนของผู้เป็นแม่ที่ส่งผ่านมา แม้จะแค่เพียงสัมผัสเบาๆร่างบางก็ยังรู้สึกถึงได้
“แต่แม่ก็ไม่เสียใจหรอกลูก เพราะแม่รู้ดีว่า...ถึงพ่อเขาจะมีผู้หญิงมากมายแค่ไหน? พ่อเขาก็ไม่เคยทิ้งให้แม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวเลยสักครั้ง” แม่เอ่ยพร้อมกับลูบศีรษะของลูกสาวที่วางอยู่บนตักเบาๆ
“ถึงพ่อกับแม่จะเริ่มจากการคลุมถุงชนของคุณปู่เรา แต่พ่อกับแม่ก็รักกันมากนะถึงได้มีเราเกิดขึ้นมาไงจ๊ะลูก”
“......”
“จะว่าไป...ตัวแม่เองต่างหากที่มาทีหลัง พ่อเขาเอง...ก็อยู่กับโซเฟียมาตั้งนานแล้ว ก่อนจะมาเจอแม่เสียอีก...” แม่เอ่ยเบาๆ
“นั่นละค่ะ หนูถึงไม่ชอบคุณปู่เพราะแบบนี้ เล่นจับแม่คลุมถุงชนกับผู้ชายที่มีลูกมีเมียอยู่แล้ว เพื่อความก้าวหน้าของธุรกิจของตัวเอง มันแย่ที่สุดเลย เห็นแก่ตัวชะมัด” เสียงใสเอ่ยงอนๆ
“เอาน่า...ลงไปที่ชานบ้านข้างล่างกันเถอะ แล้วไปรอรับคุณพ่อกันนะ...” มุจรินทร์ตัดบท แล้วดึงมือของลูกสาวให้ลุกขึ้นจากพื้นกระดานไม้บนเฉลียงทางด้านหลังของตัวบ้านให้เดินตามตนออกไปที่ห้องรับแขกอย่างรวดเร็ว
เสียงของรถยนต์ที่ขับเข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้าน ทำให้มุจรินทร์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้สักทองตัวใหญ่ซึ้งลงมุกและเคลือบแลคเกอร์ชั้นดีแวววาวไว้อย่างสวยงามสมฐานะ พรัอมกับก้าวเท้าเดินอย่างแผ่วเบาออกไปดูผู้ที่มาใหม่ โดยมีสายตาของลูกสาวมองตามอย่างเบื่อหน่าย เพราะเธอรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นบุคคลที่เธอไม่อยากเจอหน้าสักเท่าไรนัก เสียงพูดคุยกันของคนที่เดินเข้ามา ทำให้ร่างบางเงยหน้าจากหนังสือที่อ่านอยู่ขึ้นมาเพียงเล็กน้อย แล้วก้มลงอ่านต่อเหมือนเดิมราวกับว่าหนังสือตรงหน้าเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดตอนนี้
“นาญ่า พ่อเขามาแล้วลูก” แม่เอ่ยเตือนเบาๆ เมื่อเห็นปฏิกิริยานิ่งเฉยของลูกสาว
“......”
“ยายหนู...”
“ไม่เป็นไรหรอกรินทร์ ผมว่าเราไปที่โต๊ะอาหารกันดีกว่า ลูกคงรอนานหิวจนไม่อยากพูดอะไรเลยก็เป็นได้”
นาญ่าจึงลุกขึ้นยืนและมองหน้าผู้เป็นพ่อ แล้วยกมือบางขึ้นไหว้ตามแบบธรรมเนียมไทยอย่างที่แม่สอนเธอเสมอว่า ถึงแม้ นาญ่า จัสมิน เดเยอร์ จะเป็นลูกครึ่งไทย-อิตาลี่ แต่ก็มีความเป็นกุลสตรีไทยที่ดีอยู่ในตัว แม้เธอจะถูกส่งไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่เด็ก เธอก็ไม่เคยประพฤติตัวออกนอกลู่นอกทางให้แม่ที่อยู่เมืองไทย หรือแม้แต่คุณปู่สเตฟานที่เธออยู่ด้วยต้องหนักใจเลยสักครั้งในตลอดระยะเวลา10ปีที่ผ่านพ้นมา แล้วมุจรินทร์ก็ใช้มือบางดันแผ่นหลังของฟรานซิสโก้ เดเยอร์ สามีของเธอ ให้เดินนำเข้าไปในห้องอาหารและหันกลับมาดึงมือของลูกสาวจอมเอาแต่ใจของเธอให้ลุกขึ้นและเดินตามเข้าไปอีกคน…
“นาญ่า...หนูอยู่คุยกับพ่อสักครู่ก่อนได้ไหมลูก?” ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นก่อนที่หญิงสาวจะเดินหนีขึ้นชั้นบนของตัวบ้านซึ่งเป็นห้องนอนของตนไป หลังจากที่ทานอาหารค่ำด้วยกันเรียบร้อยแล้ว
น้ำเสียงทุ้มที่เอ่ยอย่างอ่อนโยน ทำให้ร่างบางหยุดชะงักเล็กน้อย แล้วหันหลังก้าวเดินกลับมานั่งลงบนเก้าอี้รับแขกไม้สักทองตัวงามด้วยสีหน้าราบเรียบที่เธอใช้ประจำเสมอเวลาอยู่ต่อหน้าผู้เป็นพ่อ
“เราได้กลับมาอยู่บ้านสักที รู้สึกเป็นยังไงบ้างล่ะนาญ่า”
“ก็ดีค่ะ หายคิดถึงบ้านไปเยอะเลย”
“แล้วโทรหาคุณปู่หรือยัง? เห็นท่านบ่นว่าตั้งแต่เรามาถึงเมืองไทยก็ไม่โทรกลับไปหาท่านเลย รู้ไหม?ว่าท่านเป็นห่วงเรามากนะ”
“ค่ะ แล้วนาญ่าจะโทรไป” นาญ่าตอบคำถามของพ่อสั้นๆทุกครั้ง จนผู้เป็นแม่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับความดื้อดึงของลูกสาวคนนี้
“คือ...” ความเฉยเมยของบุตรสาวทำให้ผู้เป็นพ่ออ้ำอึ้งต่อหน้าหญิงสาวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนนาญ่าเหลือบสายตาหันไปมองหน้า แล้วเป็นคนเอ่ยถามเสียเอง
“คุณมีอะไรจะพูดกับนาญ่า ก็รีบพูดมาเถอะค่ะ อย่ามัวแต่อ้ำอึ้งอยู่เลย มันไม่ใช่นิสัยของคุณสักหน่อย” คำพูดซึ่งดูเหมือนจะประชดอยู่ในทีของบุตรสาวที่เอ่ยออกมา ทำให้พ่อกับแม่หันมองหน้ากันไปมา จนพ่อก็เป็นคนเอ่ยปากออกมาในที่สุด
“นาญ่า...เราจำเพื่อนสนิทของคุณปู่ที่ชื่อ ฮิบบินลา โมฮัมมัต อัลจาเบอร์ อัลฮาบา ได้ไหม?”
“ก็...จำได้ค่ะ ชื่อยาวเป็นขบวนรถไฟซะขนาดนั้น แล้วก็ยังเคยเจอหน้าประมาณ2-3ครั้ง ตอนที่บ้านคุณปู่มีงานเลี้ยง มีอะไรเหรอคะ?” เสียงใสอธิบายถึงบุคคลที่ฟรานซิสโก้อ้างถึง แล้วเอ่ยถามพร้อมกับยกคิ้วเรียวเหนือดวงตางามใสขึ้นอย่างนึกสงสัยในตอนท้าย
“ท่านฮิบบินลา ท่านเป็นท่านชีคหรือท่านเป็นผู้ปกครองประเทศอัลฮับบรา ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆในแถบทะเลทราย ตั้งอยู่ใกล้กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นั่นล่ะ ท่านชีคทรงมีพระราชสาน์สมาถึงเพื่อเชิญคุณปู่และก็ครอบครัวของเราไปพักผ่อนที่นั่น”
เมื่อเห็นว่านาญ่าไม่ได้ตอบหรือแสดงความคิดเห็นใดๆ คุณมุจรินทร์จึงพูดกับลูกสาวของเธอเสียเอง อย่างไรเสียลูกสาวแสนดื้อคนนี้ก็ต้องตอบคำถามของผู้เป็นแม่อยู่แล้ว
“แม่คิดว่า...เราเพิ่งจะเรียนจบกลับมาไม่นาน น่าจะอยากไปพักผ่อนตากอากาศบ้าง ดีกับสุขภาพของเรานะลูก” แม่พูดพร้อมกับเดินมาลูบศีรษะของลูกสาว
“เขาเชิญคุณปู่กับครอบครัวของคุณไม่ใช่เหรอคะ? ไม่เห็นว่ามันเกี่ยวกับนาญ่าและก็แม่ที่ตรงไหนเลยสักนิด” นาญ่าตอบพร้อมจับจ้องหน้าของผู้เป็นพ่อด้วยสายตาเรียบเฉยและแสนจะนิ่งสนิทไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆอีกครั้ง
“ยายหนู!! ขอโทษคุณพ่อเดี๋ยวนี้เลยนะ” ผู้เป็นแม่ตะโกนเอ็ดขึ้นอย่างเริ่มโมโหลูกสาวตน เพราะไม่คิดว่านาญ่าจะประชดประชันฟรานซิสโก้ซึ่งเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเธอด้วยคำพูดที่รุนแรงทำร้ายความรู้สึกของคนที่ได้ฟังแบบนี้
“นาญ่าขอตัวก่อนนะค่ะแม่” หากแต่ร่างบางไม่สนใจ กลับเชิดใบหน้างามขึ้นอย่างเอาแต่ใจ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของร่างระหงแล้วเดินตรงไปยังบันได พร้อมกับก้าวเท้าเร็วถี่ยิบหายเงียบเข้าห้องนอนของตน โดยมีสายตาของแม่มองตามอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรกับความดื้อดึงของลูกสาวคนเดียวของเธอ
“เดี๋ยวรินทร์จะคุยกับแกให้อีกทีก็แล้วกันนะคะ ว่าแต่...คืนนี้คุณจะพักที่นี่หรือกลับไปบ้านโน้นคะ?” คุณมุจรินทร์เอ่ยกับสามีอย่างนึกเห็นใจและเข้าใจถึงความรู้สึก เมื่อเห็นสายตาของผู้เป็นพ่อมองตามลูกสาวอย่างห่วงใย แต่เจ้าตัวกลับไม่เคยเหลียวกลับมามองเห็น ก็ด้วยทิฐิที่เกิดขึ้นเพราะความโกรธ โกรธในความผิดพลาดตามอารมณเจ้าชู้ในวัยหนุ่มของพ่อที่มีหลายบ้านนั่นเอง
“ผมขอพักที่นี่ก็แล้วกัน ผมคิดถึงคุณกับลูกมากจริงๆ อยากอยู่ใกล้ๆแกกับคุณให้สบายใจเสียหน่อย ขอแค่ในบ้านหลังเดียวกันกับแกก็ยังดี” ฟรานซิสโก้เอ่ยแล้วเดินตามภรรยาขึ้นชั้นบนของบ้านไปพักผ่อนด้วยความเหนื่อยใจ เพราะรู้ดีว่าความใจแข็งและถือทิฐิของลูกสาวคนนี้ แม้จะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม...ยังคงไม่มีทางให้อภัยกับเขาง่ายๆเสียที
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ