The red artifact part 1 :เจ้าชายสุธนกับห้าอาณาจักร

7.2

เขียนโดย หน้ากากเหล็ก

วันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 18.25 น.

  5 ตอน
  0 วิจารณ์
  7,116 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 มกราคม พ.ศ. 2560 18.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

บทนำ

          คุณเชื่อว่าเคยมีสิ่งมีชีวิตแห่งอารยธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ครอบครองวิทยาการล้ำสมัยหรือไม่ ?

          

          บ้างลือบ้างเล่าอ้างว่าอารยธรรมเหล่านั้นติดต่อกับคนจากนอกโลกหรือแม้กระทั่งเป็นผู้มาเยือนจากอวกาศเสียเอง  

          

          บ้างก็ว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องเพ้อฝันของนักแต่งนิยายเพ้อฝันคนนึงเท่านั้น....

 

          มนุษย์อย่างพวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตแรกและชนิดเดียวที่อุดมปัญญาท่ามกลางสายพันธุ์นับไม่ถ้วนบนโลกนี้ จริงหรือเปล่า...

 

         “ ผมเคยเชื่อนะว่าไม่จริงแต่ตอนนี้ ...!! ผมคิดว่า เมื่อก่อนมีมนุษย์หรือบางอย่างรูปร่างคล้ายพวกเราแต่ทรงพลัง ชาญฉลาดกว่า มีวิทยาการอันน่าทึ่งแบบไม่จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงดังยุคปัจจุบัน  ผมคงไม่อาจหาคำอธิบายได้อย่างชัดเจนนอกจากคำว่าเป็นวิทยาการจากเวทมนต์ !!! ”  

          

          นักโบราณคดีวัยกลางคนในชุดนักสำรวจรูปร่างผอมเกร็งท่าทางแข็งแรงกว่าคนรุ่นเดียวกัน กำลังเสนอการค้นพบอันยิ่งใหญ่ผ่านทางสไลด์สรุป  และหลักฐานโบราณวัตถุต่างอารยธรรมจากทั่วโลกมาสนับสนุนการนำเสนอเรียงรายอยู่บนโต๊ะ

        

          ท่ามกลางห้องประชุมอันมืดสลัวจนเงามืดบดบังใบหน้าผู้รับชมการนำเสนอหลายคน

 

 

          “ ผะ ผม เชื่อว่าที่ตั้ง 5 อารยธรรมโบราณเหล่านั้นอยู่บริเวณ ทวีปอเมริกาใต้บริเวณเปรูในปัจจุบัน แถบเส้นนาซคาอันเลื่องชื่อ ,  ใจกลางสามเหลี่ยมเบอมิวด้าแห่งมหาสมุทรแอตแลนติก , อียิปต์ , บริเวณที่เรียกว่าสามเหลี่ยมมังกรในคาบสมุทรอินเดีย  และดินแดนแถบประเทศอินเดีย  การค้นพบครั้งนี้จะพลิกพลันประวัติศาสตร์ของเราเลยทีเดียว !! ”

 

 

          “ แปะ แปะ แปะ ” เสียงตบมือจากผู้รับชมทุกคนดังสนั่นทั่วห้อง

 

 

          “   ไม่เสียแรงที่พวกเราออกเงินสนับสนุนจริงๆ คุณโจนส์....  คุณทำได้ยอดเยี่ยมมากครับ  ”   ผู้ชมคนนึงกล่าวชื่นชมออกมาทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีสำหรับนักโบราณคดีกระทั่ง

 

          “ ทว่า... การค้นพบครั้งนี้ต้องไม่แพร่งพรายออกไปจากห้องนี้   ” น้ำเสียงเย็นชากล่าวตัดขึ้นมา จนโจนส์ผงะ

 

          ก่อนที่เขาจะได้กล่าวอะไรโต้แย้ง ผู้ประชุมคนนึงลุกขึ้นมาจากที่นั่งแล้วเดินเข้ามาหานักโบราณคดี กระทั่งใกล้พอที่แสงสว่างจากสไลด์จะเผยโฉมสตรีวัยกลางคนในชุดราตรีธรรมดา มือข้างนึงถือเครื่องดื่มสีโลหิตในแก้วไวน์

          

          ทว่านักโบราณคดีกลับรู้สึกผวาจนตัวสั่นโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อเห็นหล่อน แม้นหล่อนดูเหมือนหญิงวัยกลางคนทั่วไป

 

 

          “ ดิฉันขอถามคุณโจนส์หน่อยคะ  คุณโจนส์คิดว่าในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ทรัพยากรอะไรบริหารยากที่สุดแต่ก็เป็นทรัพยากรอันทรงคุณค่าที่สุด ? ”  หญิงวัยกลางคนกล่าวถามด้วยรอยยิ้มหวาน

 

 

          นักโบราณคดีตัวสั่น เหงื่อท่วมกาย แม้นห้องหนาวเหน็บด้วยเครื่องปรับอากาศ  ณ  วินาทีนี้ การส่ายหัวตอบกลับก็เต็มกลืนแล้ว

 

          “ ทรัพยากรมนุษย์ไงล่ะคะ พวกเราอยากจะให้ลิงเหล่านั้นเชื่อว่า ‘เวทมนต์’   เป็นเพียงแค่ของงมงายเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขายึดถือในยุคสมัยใดๆ จะต้องเป็นไปตามที่พวกเราต้องการเท่านั้น  พวกมันจะเชื่อว่าพวกมันมีเสรีภาพแม้นเต้นระบำตามใยที่พวกเราชักไว้  หากเป็นสมัยนี้ใครๆก็คงเรียกใยนั้นว่า ‘ประชาธิปไตย’ กระมังคะ ”   สตรีผู้นั้นยังคงกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มอันอำมหิต

 

          พอฟังจบนักโบราณคดีโจนส์เก็บงำความกลัวไม่ไหวจนสติแตก

 

 

          “ ยะ อย่าฆ่าผมเลย  !!!!!!  ผะ ผมสัญญาว่าจะไม่พูดออกไปแน่ๆ  ” ตะโกนออกมาอย่างหวาดผวา

          วินาทีนั้นฝ่ามืออันเย็นเฉียบของหญิงผู้นั้นเข้ามากุมมือนักโบราณคดี

 

 

          “ อย่ากลัวไปเลยค่ะ  คุณจะมีชีวิตอยู่แน่นอน ” เธอกล่าวปลอบใจด้วยสีหน้าสงบปิดตาทั้งสองข้าง

 

          “ แม้นพลังชีวิตนั้นจะไหลเวียนในตัวดิฉันก็ตามเถิด !!  ” แล้วลืมขึ้นมาด้วยดวงตาอมนุษย์ เบ้าตาดำดุจราตรีอันไร้จันทรา แต่นัยน์ตาดำนั้นเรืองแสง พร้อมทั้งเขี้ยวอันแหลมคมผิดมนุษย์มนา

 

 

          ไม่ช้าร่างของนักโบราณคดีนั้นดูแก่ชราขึ้นอย่างรวดเร็วผิดธรรมชาติจนกลายเป็นซากแห้งผากล้มลงไปกับพื้นอย่างน่าเวทนา ผิดกับสตรีวัยกลางคนนางนั้น กลับกลายเป็นเป็นหญิงสาวสละสลวย  ผิวพรรณเต่งตึงแทน

 

 

          “  จงภูมิใจเสียเถอะ ที่ลิงอย่างเจ้ามีโอกาสเป็นส่วนนึงของแผนการอันยิ่งใหญ่ของพวกเรา ส่วนครอบครัวของเจ้าจะอยู่กินดีตลอดไปข้าสัญญา  ”

 

 

          “ ข้าเองก็อยากมีพลังมนตราแห่งโลหิตแบบเจ้านะจะได้คงความหนุ่มสาวไปตลอดกาลได้ แม้นพวกเราจะมีอายุขัยมากกว่าลิงพวกนั้น ... ” ชายคนนึงในที่ประชุมกล่าวระหว่างเสกดวงไฟดวงเล็กจากนิ้วมือพักนึง ก่อนที่เขาจะทุบโต๊ะอย่างเดือดดาล

 

 

          “ ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งแค้น   หากไม่ใช่เพราะมันล่ะก็  พวกเราที่สมควรมีพลังมนตราดุจพระเจ้ากลับต้องมาตกต่ำเพียงนี้  แถมยังลงคำสาปไม่ให้พวกเราเข้าไปย่างเท้าในที่ที่เคยเป็นของพวกเรา จนต้องให้ลิงพวกนี้เอาเสนียดไปติดเพื่อค้นหาเบาะแสสิ่งที่เคยเป็นของพวกเรา !!! ”

 

           “ จงอยู่ในความสงบ !!!  ” น้ำเสียงกังวานทรงพลังสนั่นห้อง บรรยากาศรอบห้องเงียบโดยพลัน ทุกสายตาจ้องมองยังหัวโต๊ะ

 

         ปรากฏบุคคลลึกลับในเงามืดสวมใส่หมวกอารยธรรมโบราณ แลเห็นเพียงดวงตาเปล่งอักขระลึกลับเรืองแสง ท่าทางน่าเกรงขามและลี้ลับ

 

         “ ในสมัยอดีตกาล แม้นพวกเราจะมีคนละแนวทางต่ออุดมการณ์อันยิ่งใหญ่เดียวกัน  แม้นพวกเราเคยแบ่งแยกด้วยอาณาจักรโบราณเพื่อสนองอุดมการณ์นั่น  ทว่าตอนนี้เราต้องเป็นหนึ่งเดียวกันเพราะพวกเราเหลือน้อยเต็มทน

   

 

           อีกไม่นานหอคอยแห่งพลังมนตราที่ถูกปิดผนึกกำลังจะหวนคืนมาอีกคราและคราวนี้พวกเราจะบรรลุเป้าหมายที่บรรพบุรุษเราตั้งไว้ !!!   ครานี้เมื่อลิงทั่วโลกาพร้อมใจเปล่งวาจาเป็นภาษาเดียวกัน  ด้วยถ้อยคำที่เราประสงค์ทุกถ้อยคำ เราจะเอื้อมมือไปถึงพระเจ้าอย่างแน่นอน!!!.  พพวกเจ้าทุกคนจงส่งลิงรับจ้างไปสำรวจตามข้อมูลของคุณโจนส์ หากจำเป็นล่ะก็จงปิดปากพวกมันได้เลย ”

 

          “  เพื่อยูโทเปียบนยอดหอคอยบาเบล !!  ”  ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนเปล่งภาษาลึกลับ
อันเป็นรากของทุกภาษาบนโลกแต่ละคำดูน่าเกรงขาม น่าเลื่อมใส ทิ้งบุคคลลึกลับ ณ หัวโต๊ะไว้เพียงลำพังในท่าทางรำพึงรำพัน

   

         ................... “  สุธนหนึ่งในพี่น้องร่วมสาบานเอ๋ย  ข้าจำวันนั้นได้ดี   ” 

                                              

                                130000 ปีก่อนคริสตศักราช ก่อนยุคน้ำแข็งใหญ่มาเยือน

        ในห้องประชุมลึกลับมืดสลัว  มีเพียงแสงรำไรจากเปลวเทียนมนตราสีฟ้าลุกไหม้โดยปราศจากเชื้อเพลิง ณ ใจกลางห้องปรากฏโต๊ะศิลาโบราณ ห้อมล้อมด้วยเก้าอี้หกตัวแต่ตอนนี้เว้นว่างไว้ตัวนึง

                

                    กระทั่งประตูห้องศิลาสลักลายโบราณอันวิจิตรเลื่อนเปิดออก ภาพหนุ่มฉกรรจ์ หน้าคมสัน จมูกโด่ง ตาขึงขังผิวสีคล้ำดุจชาวอินเดียอารยัน ผมดำยาวและยุ่ง แต่งกายด้วยผ้าโพกไหล่ข้างเดียว กางเกงทรงพอง รองเท้ากษัตริย์ปลายชี้สูง  จุดดำบนหน้าผากเด่นเป็นสง่า

           

      “ ยินดีต้อนรับ เจ้าชายสุธนแห่งอาณาจักรอินดัส (อินเดีย) ผู้เป็นพี่น้องของเราเจ้าชายแห่งสี่อาณาจักร  ” 

 

          

          ระหว่างการประชุมดำเนินไปนกตัวนึงได้โบยบินขึ้นฟากฟ้าแลเห็นแผ่นดินแห่งห้าอารยธรรมโบราณ  นอกอาณาเขตอาณาจักรเหล่านั้นเต็มไปด้วยสัตว์ยุคน้ำแข็ง มนุษย์ยุคหินไร้อารยธรรมร่อนเร่ไปมา  จนมันบินไปเกาะต้นแขนสตรีร่างครึ่งบนเป็นหญิงสาวครึ่งล่างเป็นนก สยายปีกขาวเปล่งประกายจากเส้นไหมสีขาวเรืองแสงนับไม่ถ้วนร้อยรวมกัน นัยน์ตาอินทรีสีเทา เฝ้ามองความเป็นไปของโลกอยู่ห่างๆ

                

                    “ ฟันเฟืองแห่งชะตากรรมได้หมุนขึ้นเมื่อเจ้า!!  สุธนได้พบกับนางผู้นั้น ..... ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา