The red artifact part 1 :เจ้าชายสุธนกับห้าอาณาจักร
เขียนโดย หน้ากากเหล็ก
วันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 18.25 น.
แก้ไขเมื่อ 3 มกราคม พ.ศ. 2560 18.54 น. โดย เจ้าของนิยาย
บทนำ
คุณเชื่อว่าเคยมีสิ่งมีชีวิตแห่งอารยธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ครอบครองวิทยาการล้ำสมัยหรือไม่ ?
บ้างลือบ้างเล่าอ้างว่าอารยธรรมเหล่านั้นติดต่อกับคนจากนอกโลกหรือแม้กระทั่งเป็นผู้มาเยือนจากอวกาศเสียเอง
บ้างก็ว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องเพ้อฝันของนักแต่งนิยายเพ้อฝันคนนึงเท่านั้น....
มนุษย์อย่างพวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตแรกและชนิดเดียวที่อุดมปัญญาท่ามกลางสายพันธุ์นับไม่ถ้วนบนโลกนี้ จริงหรือเปล่า...
“ ผมเคยเชื่อนะว่าไม่จริงแต่ตอนนี้ ...!! ผมคิดว่า เมื่อก่อนมีมนุษย์หรือบางอย่างรูปร่างคล้ายพวกเราแต่ทรงพลัง ชาญฉลาดกว่า มีวิทยาการอันน่าทึ่งแบบไม่จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงดังยุคปัจจุบัน ผมคงไม่อาจหาคำอธิบายได้อย่างชัดเจนนอกจากคำว่าเป็นวิทยาการจากเวทมนต์ !!! ”
นักโบราณคดีวัยกลางคนในชุดนักสำรวจรูปร่างผอมเกร็งท่าทางแข็งแรงกว่าคนรุ่นเดียวกัน กำลังเสนอการค้นพบอันยิ่งใหญ่ผ่านทางสไลด์สรุป และหลักฐานโบราณวัตถุต่างอารยธรรมจากทั่วโลกมาสนับสนุนการนำเสนอเรียงรายอยู่บนโต๊ะ
ท่ามกลางห้องประชุมอันมืดสลัวจนเงามืดบดบังใบหน้าผู้รับชมการนำเสนอหลายคน
“ ผะ ผม เชื่อว่าที่ตั้ง 5 อารยธรรมโบราณเหล่านั้นอยู่บริเวณ ทวีปอเมริกาใต้บริเวณเปรูในปัจจุบัน แถบเส้นนาซคาอันเลื่องชื่อ , ใจกลางสามเหลี่ยมเบอมิวด้าแห่งมหาสมุทรแอตแลนติก , อียิปต์ , บริเวณที่เรียกว่าสามเหลี่ยมมังกรในคาบสมุทรอินเดีย และดินแดนแถบประเทศอินเดีย การค้นพบครั้งนี้จะพลิกพลันประวัติศาสตร์ของเราเลยทีเดียว !! ”
“ แปะ แปะ แปะ ” เสียงตบมือจากผู้รับชมทุกคนดังสนั่นทั่วห้อง
“ ไม่เสียแรงที่พวกเราออกเงินสนับสนุนจริงๆ คุณโจนส์.... คุณทำได้ยอดเยี่ยมมากครับ ” ผู้ชมคนนึงกล่าวชื่นชมออกมาทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีสำหรับนักโบราณคดีกระทั่ง
“ ทว่า... การค้นพบครั้งนี้ต้องไม่แพร่งพรายออกไปจากห้องนี้ ” น้ำเสียงเย็นชากล่าวตัดขึ้นมา จนโจนส์ผงะ
ก่อนที่เขาจะได้กล่าวอะไรโต้แย้ง ผู้ประชุมคนนึงลุกขึ้นมาจากที่นั่งแล้วเดินเข้ามาหานักโบราณคดี กระทั่งใกล้พอที่แสงสว่างจากสไลด์จะเผยโฉมสตรีวัยกลางคนในชุดราตรีธรรมดา มือข้างนึงถือเครื่องดื่มสีโลหิตในแก้วไวน์
ทว่านักโบราณคดีกลับรู้สึกผวาจนตัวสั่นโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อเห็นหล่อน แม้นหล่อนดูเหมือนหญิงวัยกลางคนทั่วไป
“ ดิฉันขอถามคุณโจนส์หน่อยคะ คุณโจนส์คิดว่าในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ทรัพยากรอะไรบริหารยากที่สุดแต่ก็เป็นทรัพยากรอันทรงคุณค่าที่สุด ? ” หญิงวัยกลางคนกล่าวถามด้วยรอยยิ้มหวาน
นักโบราณคดีตัวสั่น เหงื่อท่วมกาย แม้นห้องหนาวเหน็บด้วยเครื่องปรับอากาศ ณ วินาทีนี้ การส่ายหัวตอบกลับก็เต็มกลืนแล้ว
“ ทรัพยากรมนุษย์ไงล่ะคะ พวกเราอยากจะให้ลิงเหล่านั้นเชื่อว่า ‘เวทมนต์’ เป็นเพียงแค่ของงมงายเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขายึดถือในยุคสมัยใดๆ จะต้องเป็นไปตามที่พวกเราต้องการเท่านั้น พวกมันจะเชื่อว่าพวกมันมีเสรีภาพแม้นเต้นระบำตามใยที่พวกเราชักไว้ หากเป็นสมัยนี้ใครๆก็คงเรียกใยนั้นว่า ‘ประชาธิปไตย’ กระมังคะ ” สตรีผู้นั้นยังคงกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มอันอำมหิต
พอฟังจบนักโบราณคดีโจนส์เก็บงำความกลัวไม่ไหวจนสติแตก
“ ยะ อย่าฆ่าผมเลย !!!!!! ผะ ผมสัญญาว่าจะไม่พูดออกไปแน่ๆ ” ตะโกนออกมาอย่างหวาดผวา
วินาทีนั้นฝ่ามืออันเย็นเฉียบของหญิงผู้นั้นเข้ามากุมมือนักโบราณคดี
“ อย่ากลัวไปเลยค่ะ คุณจะมีชีวิตอยู่แน่นอน ” เธอกล่าวปลอบใจด้วยสีหน้าสงบปิดตาทั้งสองข้าง
“ แม้นพลังชีวิตนั้นจะไหลเวียนในตัวดิฉันก็ตามเถิด !! ” แล้วลืมขึ้นมาด้วยดวงตาอมนุษย์ เบ้าตาดำดุจราตรีอันไร้จันทรา แต่นัยน์ตาดำนั้นเรืองแสง พร้อมทั้งเขี้ยวอันแหลมคมผิดมนุษย์มนา
ไม่ช้าร่างของนักโบราณคดีนั้นดูแก่ชราขึ้นอย่างรวดเร็วผิดธรรมชาติจนกลายเป็นซากแห้งผากล้มลงไปกับพื้นอย่างน่าเวทนา ผิดกับสตรีวัยกลางคนนางนั้น กลับกลายเป็นเป็นหญิงสาวสละสลวย ผิวพรรณเต่งตึงแทน
“ จงภูมิใจเสียเถอะ ที่ลิงอย่างเจ้ามีโอกาสเป็นส่วนนึงของแผนการอันยิ่งใหญ่ของพวกเรา ส่วนครอบครัวของเจ้าจะอยู่กินดีตลอดไปข้าสัญญา ”
“ ข้าเองก็อยากมีพลังมนตราแห่งโลหิตแบบเจ้านะจะได้คงความหนุ่มสาวไปตลอดกาลได้ แม้นพวกเราจะมีอายุขัยมากกว่าลิงพวกนั้น ... ” ชายคนนึงในที่ประชุมกล่าวระหว่างเสกดวงไฟดวงเล็กจากนิ้วมือพักนึง ก่อนที่เขาจะทุบโต๊ะอย่างเดือดดาล
“ ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งแค้น หากไม่ใช่เพราะมันล่ะก็ พวกเราที่สมควรมีพลังมนตราดุจพระเจ้ากลับต้องมาตกต่ำเพียงนี้ แถมยังลงคำสาปไม่ให้พวกเราเข้าไปย่างเท้าในที่ที่เคยเป็นของพวกเรา จนต้องให้ลิงพวกนี้เอาเสนียดไปติดเพื่อค้นหาเบาะแสสิ่งที่เคยเป็นของพวกเรา !!! ”
“ จงอยู่ในความสงบ !!! ” น้ำเสียงกังวานทรงพลังสนั่นห้อง บรรยากาศรอบห้องเงียบโดยพลัน ทุกสายตาจ้องมองยังหัวโต๊ะ
ปรากฏบุคคลลึกลับในเงามืดสวมใส่หมวกอารยธรรมโบราณ แลเห็นเพียงดวงตาเปล่งอักขระลึกลับเรืองแสง ท่าทางน่าเกรงขามและลี้ลับ
“ ในสมัยอดีตกาล แม้นพวกเราจะมีคนละแนวทางต่ออุดมการณ์อันยิ่งใหญ่เดียวกัน แม้นพวกเราเคยแบ่งแยกด้วยอาณาจักรโบราณเพื่อสนองอุดมการณ์นั่น ทว่าตอนนี้เราต้องเป็นหนึ่งเดียวกันเพราะพวกเราเหลือน้อยเต็มทน
อีกไม่นานหอคอยแห่งพลังมนตราที่ถูกปิดผนึกกำลังจะหวนคืนมาอีกคราและคราวนี้พวกเราจะบรรลุเป้าหมายที่บรรพบุรุษเราตั้งไว้ !!! ครานี้เมื่อลิงทั่วโลกาพร้อมใจเปล่งวาจาเป็นภาษาเดียวกัน ด้วยถ้อยคำที่เราประสงค์ทุกถ้อยคำ เราจะเอื้อมมือไปถึงพระเจ้าอย่างแน่นอน!!!. พพวกเจ้าทุกคนจงส่งลิงรับจ้างไปสำรวจตามข้อมูลของคุณโจนส์ หากจำเป็นล่ะก็จงปิดปากพวกมันได้เลย ”
“ เพื่อยูโทเปียบนยอดหอคอยบาเบล !! ” ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนเปล่งภาษาลึกลับ
อันเป็นรากของทุกภาษาบนโลกแต่ละคำดูน่าเกรงขาม น่าเลื่อมใส ทิ้งบุคคลลึกลับ ณ หัวโต๊ะไว้เพียงลำพังในท่าทางรำพึงรำพัน
................... “ สุธนหนึ่งในพี่น้องร่วมสาบานเอ๋ย ข้าจำวันนั้นได้ดี ”
130000 ปีก่อนคริสตศักราช ก่อนยุคน้ำแข็งใหญ่มาเยือน
ในห้องประชุมลึกลับมืดสลัว มีเพียงแสงรำไรจากเปลวเทียนมนตราสีฟ้าลุกไหม้โดยปราศจากเชื้อเพลิง ณ ใจกลางห้องปรากฏโต๊ะศิลาโบราณ ห้อมล้อมด้วยเก้าอี้หกตัวแต่ตอนนี้เว้นว่างไว้ตัวนึง
กระทั่งประตูห้องศิลาสลักลายโบราณอันวิจิตรเลื่อนเปิดออก ภาพหนุ่มฉกรรจ์ หน้าคมสัน จมูกโด่ง ตาขึงขังผิวสีคล้ำดุจชาวอินเดียอารยัน ผมดำยาวและยุ่ง แต่งกายด้วยผ้าโพกไหล่ข้างเดียว กางเกงทรงพอง รองเท้ากษัตริย์ปลายชี้สูง จุดดำบนหน้าผากเด่นเป็นสง่า
“ ยินดีต้อนรับ เจ้าชายสุธนแห่งอาณาจักรอินดัส (อินเดีย) ผู้เป็นพี่น้องของเราเจ้าชายแห่งสี่อาณาจักร ”
ระหว่างการประชุมดำเนินไปนกตัวนึงได้โบยบินขึ้นฟากฟ้าแลเห็นแผ่นดินแห่งห้าอารยธรรมโบราณ นอกอาณาเขตอาณาจักรเหล่านั้นเต็มไปด้วยสัตว์ยุคน้ำแข็ง มนุษย์ยุคหินไร้อารยธรรมร่อนเร่ไปมา จนมันบินไปเกาะต้นแขนสตรีร่างครึ่งบนเป็นหญิงสาวครึ่งล่างเป็นนก สยายปีกขาวเปล่งประกายจากเส้นไหมสีขาวเรืองแสงนับไม่ถ้วนร้อยรวมกัน นัยน์ตาอินทรีสีเทา เฝ้ามองความเป็นไปของโลกอยู่ห่างๆ
“ ฟันเฟืองแห่งชะตากรรมได้หมุนขึ้นเมื่อเจ้า!! สุธนได้พบกับนางผู้นั้น ..... ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ