DEEP SEA มหันตภัยทะเลคลั่ง
เขียนโดย องค์ชายแมว
วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 15.03 น.
แก้ไขเมื่อ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 17.12 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ลึกเฉียดนรก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 1 ลึกเฉียดนรก
เรือยอร์ชสีนางนวลจอดดับเครื่องยนต์อยู่บนผืนทะเลอันดามัน ห่างจากชายหาดป่าตองหาดชื่อดังของเกาะภูเก็ตออกมาเป็นระยะทางกว่าหนึ่งร้อยกิโลเมตร บนดาดฟ้าของเรือมีห้าชีวิตกำลังชนแก้วกันอย่างครื้นเครงร่วมไปพร้อมกับเสียงฮัมเพลงที่บรรเลงต่อเนื่อง
พวกเขาเป็นนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์สาขาออกแบบภายในจากมหาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ทั้งหมดมาเพื่อเลี้ยงฉลองจบการศึกษาที่จะซ้อมรับปริญญาอาทิตย์หน้า จึงถือโอกาสพิเศษนัดรวมเพื่อนเพื่อดื่มอำลาก่อนแยกย้ายกันไปทำงาน เพราะถึงเวลานั้น จะกลับมาดื่มสังสรรค์พร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้บ่อยๆเหมือนเดิมก็คงไม่ได้ ถ้ามีครอบครัวแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“เฮ้ย! แมกซ์ ทำแบบนี้มันจะดีเหรอวะ ที่ไปมอมเหล้ากัปตันจนเรื้อนแบบนั้นแล้วยังแอบเอาเรือออกมาโดยไม่บอกไม่กล่าวอีก ถ้าเขาฟื้นขึ้นมาแล้วไม่เห็นเรือจอดเทียบอยู่ริมท่าละก็ พวกเราทุกคนคงได้ไปนอนกินข้าวแดงในซังเตแน่นอน” ตะวันพูดกับเพื่อนเขาสีหน้าดูวิตก อาจเป็นเพราะนิสัยขี้กลัวมากกว่าคนอื่น เพราะขนาดช่วงเรียนมหาลัยโดดเรียนยังนับครั้งได้เลย
“นายจะกังวลไปทำไมตะวัน กว่ากัปตันขี้เมานั่นจะได้สติพวกเราคงกลับไปนอนตีพุงอยู่ที่รีสอร์ทแล้วละ” แมกซ์พูดด้วยแววตามั่นใจพร้อมกระดกเบียร์ตบท้าย
แมกซ์คือชายหนุ่มที่นั่งบนเก้าอี้ผ้าใบข้างๆระเบียงถัดจากตะวันไปเล็กน้อย เขาเป็นหนุ่มลูกครึ่งไทยอังกฤษผิวขาวที่มีใบหน้าหล่อเหลาเอาเรื่อง ด้วยรูปทรงเรียวยาวคล้ายผลมะม่วง ดวงตากลมโตสีน้ำทะเล ดั้งเป็นสันงอนปลายเล็กน้อย เคราบางๆรับกับจอนที่กันเอาไว้อย่างดี ผมลูบเจลเสยเก็บไว้ด้านหลัง ฉะนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่แมกซ์จะหน้าตาดีที่สุดในกลุ่มแถมยังยังป๊อบปูล่าในหมู่สาวๆที่มหาลัยอีกด้วย
อีกคนที่อยู่ข้างๆกันคือตะวัน ชายหนุ่มที่มีใบหน้าคมยิ่งกว่าใบมีดโกน อำพรางเล็กน้อยด้วยแว่นแฟชั่นสีดำ เฉดผิวน้ำตาลเข้ม ยืนพิงระเบียงกอดอกอยู่มุมเดียวกันกับหนุ่มลูกครึ่ง ทริปสามวันสองคืนครั้งนี้ก็ได้เขาเนี่ยแหละพาเที่ยว เนื่องจากตะวันอาศัยอยู่ภาคใต้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แถมช่วงหยุดยาวปีใหม่ก็ยังชอบพาครอบครัวไปทำกิจกรรมดำน้ำดูปะการังที่จังหวัดภูเก็ตเป็นประจำทุกปี เพื่อนๆเลยลงมติให้หนุ่มเมืองคอนเป็นไกด์ในทริปนี้เสียเลย
“มีใครเห็นขวดยาของฉันบ้างมั้ย”
เสียงหญิงสาวจากมุมมืดเอ่ยถามขึ้นขณะทุกคนเงียบกริบ เธอคือสายป่าน สาวผิวสีน้ำผึ้งตัวเล็กน่ารักอยู่ในชุดเอี๊ยมสีฟ้าเข้ม ดวงตากลมโตสีดำ ใบหน้ารูปไข่เปิดหน้าผากรับโหงวเฮ้ง ที่สำคัญเธอมีดีกรีความสวยระดับดาวคณะ และยังติดอันดับหนึ่งในสิบสาวเนื้อหอมที่ผู้ชายในรั้วมหาลัยเดียวกันอยากออกเดทด้วยมากที่สุด
“มันตกอยู่ข้างหลังเธอน่ะสายป่าน” หนุ่มลูกครึ่งพูดพลางชี้นิ้ว “ระวังหน่อยสิ ยานั่นสำคัญกับเธอมากไม่ใช่เหรอ”
สายป่านขอบคุณเขาด้วยใบหน้าหน้าสำนึกผิด
เธอต้องกินยาระงับโรคประสาททุกวันเป็นเวลากว่าห้าเดือนแล้ว ตั้งแต่พ่อของเธอถูกไฟคลอกร่างเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเธอเริ่มเก็บตัวมากขึ้น จากที่เป็นคนร่าเริงก็กลับพูดน้อยลง
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่สายป่านไม่ได้กินยาเพราะปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้เป็นโรคประสาท วันนั้นเกือบครึ่งวันหญิงสาวถือมีดเดินคลุ้มคลั่งไปทั่วโรงอาหาร หวังไล่เสียบผู้โชคร้ายที่เดินมาเข้าทางมีด โชคดีที่ครูและเจ้าหน้าที่ตำรวจหาจังหวะตะครุบตัวได้ทันก่อนเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ตรงกันข้ามหากเธอกินยาตามที่หมอสั่งครบถ้วนทุกวัน สายป่านจะเป็นคนปรกติที่น่ารักมากคนหนึ่งเชียวละ
ขณะที่ทุกคนเริ่มดื่มช้าลงก็เป็นเวลาตีสองครึ่งแล้ว ท้องฟ้าที่เคยปลอดโปร่งมองเห็นหมู่ดาวหลายดวงสวยงามถนัดตาในตอนแรก กลับมีหมู่เมฆร่วมใจกันบดบังเสียมิด บรรยากาศโดยรอบเย็นขึ้นเป็นระยะจนหลายคนที่ถอดเสื้อยังต้องใส่กลับคืนเพราะเริ่มสั่นด้วยอุณหภูมิที่ลดลงผิดปรกติ
“เหมือนฝนจะตกเลยเธอว่ามั้ย” ชนินทร์ถามหวานใจของเขา
“นั่นนะสิ” สาวผมบลอนด์ตอบกลับสั้นๆ
ชนินทร์คือชายหนุ่มผิวขาวออร่ายืนพิงระเบียงอยู่ข้างหลังตะวัน เขาเป็นหนุ่มเหนือจากจังหวัดเชียงใหม่ เข้ามาศึกษาอยู่ที่กรุงเทพเป็นเวลากว่าแปดปีแล้วตั้งแต่มัธยมต้นจนจบมหาลัยปีสี่ และเพราะกรุงเทพนี่เองเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขามีโอกาสได้รู้จักกับแอน
แอนเป็นสาวเอวบางร่างเล็กที่ชอบศัลกรรมเป็นชีวิตจิตใจ ทีแรกเธอขี้เหร่สิวเขรอะเต็มใบหน้า แต่เพราะมีดหมอทำให้เธอสวยจนชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นเน็ตไอดอลที่ชื่นชอบของใครหลายๆคนบนโลกอินเตอร์เน็ต
ชนินทร์กับแอนคบกันมากว่าสามปีและทั้งคู่ก็รักกันดีมาตลอด ที่สำคัญกำลังจะแต่งงานกันในเดือนหน้าซึ่งตรงกับวันเกิดของแอนพอดี
“แย่แล้ว…รีบช่วยกันเก็บของเข้าข้างในกันเถอะก่อนที่ฝนจะลงเม็ด ดูทางโน้นสิมามืดเลย”
ตะวันชี้ไปยังท้องฟ้าเบื้องบนถัดจากเรือยอร์ชออกไปไม่ไกลนัก เผยให้เห็นกลุ่มเมฆทมิฬก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่เหล่านักศึกษาไม่ทันได้ตั้งตัว ฟ้าแลบเป็นระยะ เป็นสัญญาณเตือนอย่างดีให้เหล่านักศึกษารีบหลบเข้าที่กำบังโดยเร็ว
ระหว่างที่ทุกคนเตรียมตัวเก็บสัมภาระ หยดน้ำก็ร่วงปรอยจากฟากฟ้ามาขัดจังหวะเอาเสีย เสียงเปรี้ยงสะท้านไปทั่วมหาสมุทร ผนวกกับคลื่นทะเลก่อตัวใหญ่ขึ้นจนยอร์ชลำยักษ์เริ่มโคลงเคลงไปตามแรง ลมหอบเอาข้าวของบนชั้นดาดฟ้าปลิวว่อนกระจายไปคนละทิศทาง ทั้งแก้วน้ำ ขวดเบียร์ รวมถึงภาชนะใส่อาหารทุกอย่าง
มีแต่พายุเท่านั้นที่ทำเรื่องรุนแรงแบบนี้ได้ ดูเหมือนว่ากลุ่มนักศึกษากำลังเจอเรื่องลำบากเข้าซะแล้ว ทั้งหมดช่วยกันเก็บของที่เหลืออยู่บนชั้นดาดฟ้าแล้วรีบลงไปหาที่กำบังชั้นล่างซึ่งเป็นห้องเครื่องบังคับเรือ โชคดีที่ทั้งห้าคนหลบออกจากดาดฟ้ามาได้ทันท่วงทีเพราะหลังจากนั้นเพียงอึดใจเดียวสายฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างหนัก
แมกซ์ไม่รอช้ารีบวิ่งไปยังแผงบังคับเรือระหว่างที่เพื่อนๆช่วยกันปิดประตูและหน้าต่างทุกบานเพื่อกันฝนและคลื่นที่ซัดเข้ามา หนุ่มลูกครึ่งบิดกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์อย่างรวดเร็ว ผลักคันเร่งสุดแรงเกิด หันหัวเรือกลับไปยังหาดป่าตองทันที
พวกเขารู้ดีว่ากำลังเจอกับอะไร
“อะไรกันวะเนี่ย ไอ้ฝนบ้านี่คิดอยากจะตกเวลาไหนก็ได้งั้นเหรอ ไม่ยุติธรรมเลย” แมกซ์พูดแล้วปาดคราบน้ำฝนบนใบหน้าทิ้ง ขณะอีกมือดันคันเร่งมิด
อีกด้านนึงแววตาของชนินทร์ก็จับจ้องอยู่กับความผิดปรกติบางอย่างข้างนอกหน้าต่าง เมื่อมองฝ่าห่าฝนสีขาวโพลนออกไปกลับไม่เห็นเส้นสุดขอบทะเลอย่างทุกครั้ง ชนินทร์ยกมือขยี้ตาเพื่อทดสอบว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด เพราะภาพเบื้องหน้าที่ชายหนุ่มเห็นคือน้ำทะเลก่อตัวเป็นคลื่นมหึมา มันเพิ่มระดับสูงขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะพอใจ กว่าจะรู้ตัวก็อยู่เหนือดาดฟ้าเรือไปเสียแล้ว ในระดับความสูงกว่าสิบเมตรทำให้เรือขนาดใหญ่ที่เหล่านักศึกษาโดยสารอยู่เล็กลงถนัดตา
ความสูงในระดับนี้เพียงพอที่จะทำให้เรือยอร์ชอัปปางลงได้ไม่ยากเย็น ที่สำคัญมันไล่ตามหลังเรือพวกเขามาอย่างกระชั้นชิด พร้อมจะกลืนกินทุกอย่างที่ขวางหน้าให้กลายเป็นซากจมลงสู้ก้นบึ้งแห่งท้องทะเล
“สึนามิ”
ชนินทร์อุทาน ก่อนจะหันไปมองหน้าเพื่อนๆ
“นายพูดว่าอะไรนะ” ตะวันถามย้ำอีกครั้ง ใบหน้าถอดสี ก่อนจะเดินปรี่ไปที่หน้าต่างบานข้างๆกันหวังดูให้แน่ใจ สายป่านกับแอนเดินตามไปสมทบ
สายตาทุกคู่พลันจับจ้องออกไปนอกหน้าต่าง ปรากฏความหวาดกลัวสะท้อนออกจากแววตากลับมา ร่างกายทุกคนแข็งเหมือนถูกฉาบไปด้วยคอนกรีต ยืนใจสั่นไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าพร้อมใจกันซีดลงทันทีโดยไม่ต้องซ้อม อาการสร่างเมาหายเป็นปลิดทิ้งแทนที่ด้วยความสะพรึงกลัว
ขณะที่ทั้งสี่ชีวิตกำลังยืนเสียสติกันอยู่นั้น คนที่ดูเหมือนจะควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดีที่สุดคงหนีไม่พ้นหนุ่มลูกครึ่งที่บังคับเรืออยู่ เขาตะโกนเสียงแข็งกำชับให้เพื่อนๆรีบนำเสื้อชูชีพมาใส่ ทุกคนตื่นจากภวังค์และรีบทำตามทันที แต่ถึงแม้เพื่อนลูกครึ่งจะไม่เอ่ยเตือน ก็แน่ใจได้เลยว่าพวกเขาต้องการที่จะสวมมันอยู่แล้ว อาจเป็นเพราะตกใจและผวากับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเลยทำให้สมองสั่งงานช้ากว่าที่ควรจะเป็น
“แย่ละสิ…เสื้อชูชีพมีแค่สามตัว แล้วทีนี้จะทำยังไงดีละ” ตะวันลุกลี้ลุกลนชูเสื้อชูชีพเหนือศีรษะ
“เอาให้สายป่านกับแอนก่อน เพราะพวกเธอว่ายน้ำไม่แข็ง” แมกซ์เสนอความเห็น สาวทั้งสองคนพยักหน้าขอบคุณพร้อมรับเสื้อชูชีพที่ตะวันส่งให้และสวมมันอย่างรัดกุมทันที ผู้หญิงมักได้สิทธิพิเศษเสมอเพราะผู้ชายมักคิดว่าพวกเธอเป็นเพศที่อ่อนแอ
ในบรรดาเพื่อน แมกซ์ดูมีความเป็นผู้นำสูงที่สุด เพราะไม่ว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายสักกี่ครั้ง เขาเป็นคนเดียวที่มีสติครบถ้วนมากกว่าใคร ไม่แปลกที่เพื่อนๆทุกคนในกลุ่มจะเชื่อใจและลงมติกลายๆว่าหนุ่มลูกครึ่งคนนี้เนี่ยแหละที่เป็นผู้นำและเอาอยู่ทุกสถานการณ์
แต่ครั้งนี้อาจไม่แน่
“ให้ตายสิ! เหลือเสื้อชูชีพแค่ตัวเดียวแล้ว” ชนินทร์พูด
“ตะวัน นายใส่มันซะ” แมกซ์ตัดสินใจแทนขณะหมุนซ้ายเต็มพิกัด เรือโคลงเคลงตามแรงเหวี่ยงจนทุกคนเซไปชิดริมหน้าต่าง “ฝีมือว่ายน้ำของนายนะห่วยแตกที่สุด ฉันเคยเห็นมาแล้ว”
“แล้วพวกนายสองคนละ”
“นายคิดว่าฉันกับชนินทร์มีทางเลือกมากรึไง ฉันบอกให้นายใส่ก็รีบใส่ๆไปเถอะ” หนุ่มลูกครึ่งตะคอกเพื่อนจอมดื้อเสียงดัง ตะวันถอนหายใจก่อนจะยอมสวมโดยดี
“กรี๊ดดด! พวกนายมองออกไปนอกหน้าต่างนั่นสิ” แอนกรีดร้องแทรกพร้อมกับชี้ไปทางหน้าต่างด้านหลังเรือ
เสียงเกลียวคลื่นกระทบเข้ากับโสตประสาทอย่างจังทำเอาเหล่านักศึกษาขนลุกซู่ไปตามๆกัน มฤตยูสีน้ำเงินไล่ตามเรือโดยสารเข้ามาอย่างกระชั้นชิด เหมือนเสือร้ายไล่ตะครุบเหยื่อที่ไร้หนทางสู้
เหลือเพียงไม่ถึงร้อยเมตรเรือแห่งความภาคภูมิใจของน้าประสิทธิจะถูกกลืนลงสู่ก้นบึ้งกลายเป็นอนุสรณ์ของมหาสมุทรแห่งนี้ และพวกเขาทุกคนจะต้องกลายเป็นผีเร่ร่อนคอยเช็ดขี้ตะไคร่ที่มาเกาะเรือในยามว่างแน่นอน
“ไม่นะฉันยังไม่อยากตาย หาทางทำอะไรสักอย่างสิ…ได้โปรด“ สายป่านแสดงด้านอ่อนแอให้ทุกคนเห็น เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ขณะที่มือทั้งสองข้างโอบกอดแอนเพื่อนรักที่สุดของเธอ ทั้งคู่น้ำตาไหลออกมาโดยไม่มีใครเค้นบังคับ ขณะเดียวกันก็มีน้ำใสๆซึมออกจากเป้ากางเกงของสายป่าน แต่ไม่มีใครทันสังเกต หรืออาจเห็นแต่ทำเนียนกลัวเพื่อนเขิน
“เร็วกว่านี้อีกไม่ได้เหรอแมกซ์ มันอยู่ข้างหลังเราแล้วนะโว้ย ฉันไม่อยากตายบอกเลย” ชนินทร์กำมือทุบกระจกหน้าต่างถี่ๆเร่งเพื่อน ดวงตาเถลือกจับจ้องไปที่คลื่นยักษ์อย่างไม่ลดละ
“นี่มันเรือยอร์ชนะไม่ใช่เครื่องบินเจ็ท พับผ่าสิ” หนุ่มลูกครึ่งตอบ เหงื่อซึมที่มือเพราะอาการเกร็ง “แต่ฉันมีวิธีที่ดีกว่าการขับหนีโดยมีมันตามหลังแบบนี้นะ พวกนายสนมั้ยละ”
“ยังไง” ใครสักคนเอ่ยถามขึ้น
แมกซ์ตบพวงมาลัยไปทางขวาเต็มพิกัด มันหมุนอยู่หลายรอบก่อนจะหยุดชะงัก มือซ้ายดันคันเร่งไปข้างหน้าจนมิด เขาเป่าลมจากปาก ปาดเหงื่อที่หน้าผากทิ้งขณะที่หัวเรือวกกลับไปประจันหน้ากับมฤตยูขนาดมหึมา นี่ละเขาเลย พฤติกรรมบ้าระห่ำแบบนี้เหมือนตอนสมัยเรียนไม่มีผิด
“แกทำบ้าอะไรวะ คิดจะฆ่าพวกเราทิ้งรึไง” ชนินทร์พูดพลางสบถคำหยาบต่อท้ายอีกมากมาย
“ไม่มีทางหนีมันพ้นหรอก ขืนยังดันทุรังให้มันเป็นฝ่ายไล่เขมือบเราอยู่แบบนี้ ในที่สุดพวกเราจะกลายเป็นเพียงก้อนเนื้อแสนโอชะที่จะถูกมันกลืนลงกระเพราะเท่านั้นเอง นายต้องการแบบนั้นเหรอ” แมกซ์หัวเราะในลำคอ
ในเวลาที่ไม่อาจคาดเดาได้ กับสภาพอากาศที่เลวร้ายถึงขั้นวิกฤต เรือยอร์ชลำมหึมากำลังเผชิญหน้ากับบางสิ่งที่มหึมายิ่งกว่า ชายหนุ่มที่อาสาตัวเองเป็นกัปตันชั่วคราวกำลังจะทำบางอย่างที่เพื่อนๆของเขาไม่คาดคิด โดยการนำเรือโดยสารแล่นไต่เนินคลื่นขึ้นไปเพื่อข้ามไปยังอีกฟากนึงที่คาดว่าจะปลอดภัยกว่า
ขณะที่เจ้าแห่งท้องทะเลเคลื่อนตัวด้วยความรวดเร็ว แมกซ์ตะโกนสั่งให้เพื่อนๆรีบหาที่ยึดเอาไว้ให้ดีเพราะอีกเพียงไม่กี่เมตรก็จะเข้าปะทะกันแล้ว สายป่านและแอนนาเลือกมุดเข้าไปนั่งแถวมุมห้องที่มีซอกเล็กๆให้พอแทรกตัวเข้าไปได้ ส่วนชนินทร์และตะวันเดินเข้าไปยืนข้างๆชายหนุ่มลูกครึ่งเพื่อแสดงถึงความกล้าหาญในวาระสุดท้ายของชีวิต
“ไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย คิดว่าเท่รึไง” แมกซ์ส่ายหน้า ยิ้มมุกปาก
“ถ้าตายก็ขอตายข้างๆกันเนี่ยละ” ชนินทร์ชกไหล่แมกซ์เรียกความมั่นใจ ส่วนตะวันขยับแว่นแล้วพยักหน้าเบาๆ
“ฉันเอาด้วย”
เสียงคำรามของประจุไฟฟ้าแหวกผ่านอากาศด้วยอัตราเร็วสูง ดังเป็นจังหวะสลับกับเสียงของเกลียวคลื่นเป็นระยะ เหมือนต้องการข่มขู่เหล่านักศึกษาเลือดร้อนกลุ่มเล็กๆพวกนั้นว่าไม่มีวันที่จะผ่านกำแพงมฤตยูสีน้ำเงินแห่งนี้ไปได้
ทว่าเรือยอร์ชยังคงแล่นต่อไปด้วยความเร็วสูงโดยไม่สนใจคำขู่ที่แว่วมา มันโดยสารลูกเรือทั้งหมดไปสู่เส้นชัยหรือความตายก็ไม่อาจมีใครรับรู้ได้ มีเพียงมือสองข้างของหนุ่มลูกครึ่งที่กำพวงมาลัยเอาไว้เท่านั้น ที่จะเป็นตัวชี้ชะตาพวกเขาทุกคน
เรือยอร์ชมุ่งหน้าเข้าสู่ผิวคลื่นด้วยความเร็วที่ไม่สามารถประมาณได้ แต่มันเป็นความเร็วสูงสุดเท่าที่เรือลำนี้เคยแตะถึง แล่นไต่เนินน้ำขึ้นไปบนตัวคลื่นที่เพิ่มสูงกว่ายี่สิบเมตร หัวเรือข้างหน้าแหงนตามระดับความสูงของน้ำทะเลจนอยู่ประมาณ 45 องศา อยู่ในระดับปลอดภัยที่เครื่องยนต์สามารถรับได้
เสียงกรีดร้องของหญิงสาวทั้งสองคนที่นั่งซุกหัวตรงมุมห้องดังกังวานขึ้นต่อเนื่อง พวกเธอนั่งกอดกันกลมโดยไม่มีใครคิดที่จะปล่อยมือ อีกด้านหนึ่งเรือก็โคลงเคลงตามกระแสน้ำที่รุนแรงมากกว่าปรกติ สามหนุ่มที่ยืนจังก้าคล้อยตามแรงเหวี่ยงของเรือทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะอย่างรุนแรง
ตะวันหน้าเขียวทนไม่ไหวสำรอกเบียร์และกลับแกล้มพุ่งรดเสื้อชนินทร์ แต่ผู้ถูกกระทำไม่มีเวลามาสนใจกับอ้วกของเพื่อนเขาหรอก แค่เช็ดมันออกจากเสื้อยืดตัวโปรดโดยไม่ปล่อยให้เหนอะหนะอยู่นานก็พอ
ชนินทร์หันไปตบหน้าตะวันเบาๆเพื่อเรียกคืนสติ “ตะวัน…ตะวัน…นายไหวรึเปล่า”
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่เป็นไร…แค่อ้วกนะ”
แมกซ์พยายามเร่งความเร็วเพื่อจะพาเรือโดยสารข้ามไปอีกฟากหนึ่งให้ได้ แต่เนื่องจากคลื่นสูงเกินไป ผนวกกับความอัตราเร่งของเครื่องยนต์ไม่เพียงพอ ทำให้ตัวเรือตั้งฉากกับคลื่นและหัวเรืออยู่ในลักษณะชี้ฟ้า มันไม่มีแรงขับเคลื่อนมากพอที่จะพาขึ้นไปสูงกว่านี้อีกแล้ว
เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างจึงรู้ว่าพวกเขาอยู่บริเวณใจกลางของคลื่นยักษ์ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทะเลคลั่งรอบทิศทาง ในที่สุดหายนะก็มาเยือนเหล่านักศึกษาผู้โชคร้าย เรือยอร์ชถูกคลื่นกลืนทับหายวับไปกับตา
กระแสน้ำเปลี่ยนเส้นทางให้เรือมุงหน้าโหม่งโลกแทน แรงดันรุนแรงของน้ำทะเลส่งผลให้กระจกรอบบริเวณเริ่มมีรอยร้าว ข้าวของกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นไปทั่วห้อง เหล่านักศึกษาทั้งห้าคนล้มกลิ้งตามแรงเหวี่ยงระเนระนาดไปรวมกันท้ายเรือ ทั้งหมดเสียขวัญกรีดร้องกันไม่เป็นภาษาด้วยความกลัวตาย จิตใต้สำนึกของพวกเขาเตือนให้รีบหนีเอาชีวิตรอดแข่งกับเวลาที่เหลืออยู่ก่อนเรือจะจมลงสู่ก้นบึ้งมหาสมุทร
ระหว่างที่จิตใจทุกคนดำดิ่งอยู่กับความสิ้นหวังนั่งหมดอาลัยตายอยากอย่างผู้แพ้ จู่ๆบานล็อคเกอร์ในห้องก็เปิดออกเพราะเรือพลิกกลับหัว บางอย่างหล่นออกมากองอยู่เบื้องหน้า ดูเหมือนว่าเหล่านักศึกษาจะยังไม่ถึงคราวตาย ชนวนความหวังของพวกเขาถูกจุดให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
“โชคเข้าข้างเราแล้ว” แมกซ์อุทาน
มีอุปกรณ์ดำน้ำกองเกลื่อนอยู่หลายอย่าง ทั้งหน้ากาก ถังอากาศ ชุดปรับความดัน สายช่วยหายใจและชุดดำน้ำ ทว่าพวกเขาตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นอันดับแรกออกไปก่อนเลยนั่นก็คือชุดดำน้ำ เพราะมันเป็นตัวถ่วงเวลาชั้นดีหากต้องสวมใส่ในเวลาคับขันแบบนี้
นอกเหนือจากนั้นอุปกรณ์อย่างอื่นก็เป็นประโยชน์กับพวกเขาทั้งหมด มีคุณค่าถึงขั้นที่สามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้เลยทีเดียวและมีมากพอสำหรับทุกคนด้วย พวกเขาหยิบถังอากาศขึ้นมาก่อนเป็นอันดับแรกแล้วสะพายมันไว้ข้างหลังเชื่อมกับชุดปรับความดันและสายช่วยหายใจ สวมด้วยหน้ากากดำน้ำปิดท้าย
“จำที่น้าประสิทธิสอนให้ดีละ อย่าลืมขั้นตอนเด็ดขาด” แมกซ์กำชับ เพื่อนๆพยักหน้าตอบรับ
ขณะเดียวกันกระจกหน้าต่างเรือทนแรงดันรุนแรงของน้ำทะเลไม่ไหวพร้อมใจกันแตกออกเป็นเสี่ยงๆก่อนที่น้ำทะเลจะทะลักเข้าสู้ตัวเรืออย่างรวดเร็ว ร่างกายของผู้ถูกกระทำทุกคนปลิวกระแทกผนังห้องอีกด้าน โชคดีที่พวกเขาใส่อุปกรณ์ดำน้ำทันเวลาไม่อย่างนั้นอาจทนกระแสน้ำอันเชี่ยวกราดไม่ไหวและคงสำลักน้ำตายอย่างทรมาน
เหล่านักดำน้ำออกจากตัวเรือได้สำเร็จจากบานกระจกอีกด้านที่ถูกแรงดันน้ำทำลาย พวกเขาไม่รู้ว่าออกซิเจนในถังมีมากแค่ไหนและเพียงพอสำหรับใช้ระหว่างทางมั้ย รู้แค่ว่าต้องรีบว่ายขึ้นไปบนผิวน้ำให้ไวที่สุดโดยมีเชื้อชูชีพทำหน้าที่ช่วยพยุงอีกแรง เว้นแต่แมกซ์กับชนินทร์ที่ต้องใช้พลังใจล้วนๆเนื่องจากไม่มีเสื้อชูชีพ อีกทั้งยังมีเสื้อผ้ารุงรังคอยถ่วงร่างกายให้เคลื่อนไหวลำบากอีก
เมื่อตั้งท่าได้ พวกเข้าม้วนหัวไปด้านบนและว่ายเฉียงขึ้นไป อากาศจากถังออกซิเจนถูกสูบผ่านหลอดลมลงสู่ปอดช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตของพวกเขาระหว่างอยู่ใต้น้ำได้เป็นอย่างดี เว้นแต่ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ส่งผลให้การขยับตัวเป็นไปด้วยความยากลำบาก แต่มันไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขาเท่าไหร่เพราะเปอร์เซนต์อยากรอดชีวิตมีสูงกว่า
เหล่านักศึกษาว่ายเกาะกลุ่มกันและเงยหน้ามองด้านบนอยู่เป็นระยะ เพราะหน้ากากที่พวกเขาสวมอยู่ส่งผลให้มองรอบข้างได้ถนัดตา พวกเขาเคลื่อนตัวไปยังด้านบนเรื่อยๆจนในที่สุดก็ขึ้นมาถึงระยะ 15 ฟิต
แมกซ์ส่งสัญญาณมือให้หยุด
พวกเขาหยุดอยู่กับที่เพื่อระบายไนโตรเจนออกจากร่างกาย อย่างน้อยมันก็ปลอดภัยกว่าการขึ้นสู่ผิวน้ำโดยตรง และเปิดโอกาสให้ปอดได้ปรับแรงดัน ลดความเสี่ยงในการขึ้นสู่ผิวน้ำในช่วงระยะหนึ่งถึงสองเมตรสุดท้าย เมื่อผ่านไปประมาณสามนาทีพวกเขาก็ขึ้นสู่ผิวน้ำสำเร็จ
แมกซ์ ตะวัน ชนินทร์ สายป่าน แอน ทุกคนยังอยู่ครบ ทั้งห้าคนต่างหันมายิ้มให้กันด้วยความสะใจและกู่ร้องสุดเสียงท่ามกลางทะเลคลั่งรอบด้าน มีคลื่นหลายลูกพยายามพัดพวกเขาแยกออกจากกันแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะมืออันเหนียวแน่นจับกันไว้อย่างดี ทุกอย่างควรไปได้สวยกว่านี้หากไม่มีคลื่นขนาดมหึมาอีกลูกที่กำลังจะเข้าปะทะพวกเขาในอีกไม่ช้า
●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●●
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ