นักรบจันทรา

7.0

เขียนโดย Sagestone

วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 22.34 น.

  29 ตอน
  0 วิจารณ์
  24.45K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม พ.ศ. 2560 20.05 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ตอนที่ 6

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 6

    ไบรอัน แบล็คสโตนต้องกล่าวว่าเป็นความผิดของเขาเองที่มัวแต่ยุ่งกับการจัดการท่านหญิงโรเซลลิน่า ทำให้สหายต้องถูกลากมาเกี่ยวด้วยจนไม่ทันสังเกตว่าฝ่ายปิศาจมีความเคลื่อนไหว ปิศาจของฝ่ายมืดระดับหัวหน้าตนหนึ่งนำขบวนกองทัพสัตว์ฝ่ายมืดเข้าโจมตีทางใต้ของทวีปใหญ่ แม้เขาจะใช้เวทเคลื่อนย้ายทันทีที่ได้ข่าวแต่ก็เกือบสายไป

    กองทัพของมนุษย์โดยการนำของอัศวินที่เขาคัดเลือกเองกำลังตั้งรับเปล่าสัตว์ร้ายพันธุ์ต่างๆที่ถือกำเนิดจากความมืด ถามกองหลังได้ความว่า ทัพปิศาจเข้าจู่โจมทันทีที่อัศวินส่งข่าวไปยังเมืองข้างเคียงและผู้กล้าแสงตะวัน

    “คราวนี้ถือเป็นกรณีฉุกเฉินดาริอุส เราจะไปช่วยที่กลางวงล้อมเลย แสดงฝีมือดาบของเจ้าให้ข้าเห็นด้วยการคุ้มกันที่ยอดเยี่ยม หลังจากนั้นเราค่อยแบ่งเงินทุนที่ได้รับมาจากท่านหญิงโรเซลลิน่ากัน”

    ผู้กล้าแสงตะวันไล่ลูกจ้างให้โยนสัมภาระไปกองข้างกระโจมหลังหนึ่งก่อนใช้มนตร์เคลื่อนย้ายเพื่อนช่วยเหล่ามนุษย์ที่กำลังล่าถอย พวกเขาโผล่อยู่กลางอากาศพอดีกับแท่นดินใหญ่งอกขึ้นมารองรับ ดาริอุสกระชับดาบในมือเตรียมป้องกันนายจ้าง

    ภาพด้านล่างคือนรกแดงฉาน เลือดของสัตว์อสูรและมนุษย์เจิ่งนองเป็นทุ่งดอกไม้สีแดงสด ไบรอันเริ่มงานของเขาทันที อย่างแรกที่ควรทำคือทำที่กั้นทั้งสองฝ่ายเอาไว้ ปักหลักเป็นกำแพงกั้น

    พลังเวทแห่งผืนปฐพีหลั่งไหลออกจากมือทั้งสองข้าง เสาดินขนาดสองคนโอบงอกเงยขึ้นเรียงกันสองฟาก ประหนึ่งจะกางกั้นกองทัพของมนุษย์และอมนุษย์ไว้ฉะนั้น เหล่าทหารเห็นว่าความช่วยเหลือมาถึงก็ใช้เสาดินเป็นจุดกำบังและหลบหลีก ฝ่ายปิศาจเห็นว่าผู้กล้าปรากฏตัวจึงแบ่งกำลังปีนเสาหินขึ้นมา ซึ่งเป็นหน้าที่ของดาริอุสที่จะกำจัดพวกนั้นก่อนถึงตัวผู้กล้า!

    “ความจริงไม่อยากใช้เจ้าตัวนี้เท่าไหร่นักหรอก แต่เพื่อเมืองของเอมี่ จะให้พวกนี้บุกเข้าไปไม่ได้” ผู้กล้าแสงตะวันถอนหายใจกับตัวเองแล้วดึงบางอย่างออกมาจากเข็มขัด ตรงจุดที่คนทั่วไปมักใช้คาดดาบ มันคือขลุ่ยผิวสีเงินบริสุทธิ์ สะท้อนแสงตะวันอย่างไม่แยแสต่อสภาพเบื้องล่างที่ชุลมุนดั่งนรกคลั่ง

    เสียงเพลงเปี่ยมล้นด้วยพลังเวทของไบรอันดังกังวานสั่งการผืนดินให้เคลื่อนตัว มังกรธาตุดินงอกร่างขึ้นจากผืนดินอันอุดมไปด้วยปิศาจ ร่างของมันแกร่งดุจหินผา ดวงตาสีดำเลื่อนลอย ไม่ว่าจะบินไปทางใดก็มีเข็มดินจำนวนมหาศาลงอกเงยขึ้นเสียบร่างที่หยั่งเท้าบนพื้นอย่างน่าอนาถ

    แล้วฝั่งมนุษย์ก็เป็นต่อ เหล่าปิศาจถูกล้อมด้วยกรงดินด้วยฝีมือของผู้กล้าแสงตะวัน!

    ขณะที่เหล่าสัตว์ปิศาจนอกเขตหนามดินถอยทัพ พลันมีบางสิ่งส่องประกายขาววาบพุ่งมาทางผู้กล้าที่มิอาจขยับตัวได้ ดาริอุสโผเข้ามาปัดไว้ทัน มันคือดาบเล่มใหญ่หลายแฉกจากที่ใดไม่ทราบได้

    ไม่ทันให้สงสัยที่มาของดาบเล่มนั้น ตัวเจ้าของก็พุ่งเข้ามาดั่งมังกรทะยาน ดาริอุสไหวทันคว้าตัวนายจ้างหลบได้อย่างหวุดหวิด มังกรดินสลายร่างเป็นฝุ่นผงร่วงสู่พื้น เงาร่างสีดำยืนขึ้นอย่างผ่าเผยให้เห็นเกราะสีดำเลื่อมดั่งนิลกาฬ ผ้าคลุมไหล่ที่พลิ้วสะบัดคือดาบและกระบี่ที่ติดกันเป็นพืดดั่งแผ่นเหล็กสีขาวที่บิดงอได้เหมือนผ้า

    ผู้กล้าแสงตะวันถ่มดินออกจากปากแล้วลุกขึ้นในทันใด ดาริอุสก็เช่นกัน เหมือนจะปรับตัวกับสถานการณ์ฉุกละหุกได้อย่างรวดเร็ว ตามข้อมูลที่ได้รับมา หมอนี่อยู่ระดับหัวหน้าเทียบเคียงกับเวเบอร์ เป็นปิศาจอย่างแท้จริง

    นามนั้นคือ ชาโดว์สตีล! ปิศาจแห่งสรรพาวุธ!

    “มาทักทายตามธรรมเนียมก่อนดีไหมผู้กล้า” เสียงของชาโดว์สตีลนั้นแหบพร่าผิดจากสภาพที่สวมเกราะและหมวกเหล็กใหญ่โต “ท่านคงรู้ชื่อข้าแล้ว เพราะท่านมีสายอยู่ในหมู่พวกเรา”

    “แต่คงไม่รู้กระมังว่าเป็นใคร” ไบรอันยกมือห้ามดาริอุสที่เตรียมดาบเข้าต่อกร “รอก่อนดาริอุส รอจังหวะก่อน”

    “ที่จะมาคุยไม่ใช่เรื่องนั้น ข้าต้องการให้ท่านเปิดทางให้ข้าผู้กล้าแสงตะวัน” ปิศาจในเกราะเหล็กประนีประนอม “เพื่อยาตราทัพของข้าสู่ซีเนีย ทางเรารู้วิธีเข้าไปแล้ว...ท่านดัชเชลกล่าวว่า เราไม่ได้มีความบาดหมางโดยตรงกับผู้กล้าแสงตะวัน หากมีกับจักรวรรดิทั้งสองต่างหาก ดังนั้นโปรดหลีกทางให้เราด้วย”

    “ข้าถือคติไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน” ผู้กล้าแสงตะวันหมุนขลุ่ยผิวในมือรอส่งสัญญาณ “แต่ทางที่พวกเจ้าจะผ่านไปมีอดีตคนรักของข้าอยู่ ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่านางจะปลอดภัยจากการเดินทัพของพวกเจ้า”

    “อย่างที่เวเบอร์เตือนเลย ท่านไม่ได้ทำเพื่ออุดมการณ์หรือเพื่อโลก แต่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น”

    “ซึ่งมันสวนทางกับความเห็นของพวกเจ้า ช่วยเข้าใจข้าด้วยนะ” ผู้กล้ายิ้มเยาะ “แล้วเจ้าว่าอย่างไรดาริอุส ผู้กล้าควรทำเพื่อช่วยโลกหรือเพื่อความต้องการส่วนตัว”

    ดาริอุสผู้ถูกดึงเข้าสู่การสนทนานิ่งไปด้วยความประหลาดใจ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ว่า

    “หากการช่วยโลกคือความต้องการส่วนตัว ข้าเลือกความต้องการส่วนตัว!”

    ไม่ทันสิ้นเสียงร่างของดาริอุสและไบรอันก็ลอยขึ้นไปในอากาศ ก่อนที่บรรดามีดดาบจากผ้าคลุมจะพุ่งเข้าใส่เพียงเสี้ยววินาที ในพริบตาที่ผู้กล้าแสงตะวันคว้าตัวลูกน้องเอาไว้ ทั้งนี้เพื่อหลบดาบจากศัตรูเบื้องหน้า และเปิดโอกาสให้นางอัศวินมังกรไซเรน่าส่งกระสุนหอกเข้ามาแทรกกลางการสนทนา เป้าหมายคือศัตรูในเกราะดำ!

    “มาช่วยช้านะ” ไบรอันหันไปบอกหญิงสาวบนหลังมังกร นางอยู่ในชุดรบเต็มยศ กำลังเรียกหอกประจำตัวกลับสู่มือเพราะมันถูกปัดไปไม่ถึงตัวเป้าหมาย ท่าทางนางอิดโรยหากยังมีความแจ่มใสเหลือในดวงตาสีอำพัน

    นางอัศวินมังกรไซเรน่าจะบ่นกลับมาอย่างไรเขาไม่รู้ ผู้กล้าแสงตะวันยืดอกพูดกับศัตรูอย่างหน้าไม่อายว่าตอนนี้ตนมีกำลังเสริมแล้ว

    “ข้าไม่ใช่ผู้กล้าตามขนบ เรื่องสู้ตัวต่อตัวเจ้าอย่าฝันหวานไป” ไบรอันแยกเขี้ยวขู่ “พวกเราทั้งสามคนจะรุมเจ้าคนเดียวนี่ล่ะ”

    ไม่พูดเปล่า ผู้กล้าแสงตะวันใช้เวทมนตร์สั่งการอากาศธาตุให้ใบดาบของดาริอุสปกคลุมด้วยเปลวไฟ มืออีกข้างใช้เวทมนตร์กระตุ้นสายฟ้าในอากาศให้อาวุธของนางอัศวินมังกรดูดซับเอาไว้ เพื่อให้ทั้งคู่เข้าประจัญบานส่วนเขาจะช่วยจากทางด้านหลังด้วยเวทมนตร์

    “พอได้แล้วชาโดว์สตีล!” เสียงคำรามกึกก้องดั่งฟ้าถล่มหยุดการต่อสู้ทั้งเบื้องล่างและเบื้องบน

    เจ้าของเสียงคือเวเบอร์ เฟียร์เลส เขากำลังลอยอยู่กลางอากาศอย่างงามสง่า สีหน้ากราดเกรี้ยวหันมาทางเพื่อนปิศาจเกราะดำ ทั้งมนุษย์และปิศาจต่างตะลึงงันจนหยุดต่อสู้กัน

    “กล้ามากนะที่ขัดคำสั่งข้า! ยกกองทัพมาทางนี้โดยพลการ” คำพูดแต่ละคำของเวเบอร์แฝงพลังอำนาจจนพื้นดินสะเทือน ดั่งจะทลายขุนเขาได้ด้วยการคำรณในครั้งเดียว

    “ข้าไม่ใช่ลูกน้องของเจ้า!” ปิศาจเกราะดำตอบอย่างอหังการ

    “ไม่ใช่ลูกน้องแต่เป็นลูกไล่” เวเบอร์แฝงความขบขันในคำพูด “ข้าสามารถกลับไปตามพวกนั้นมากุดหัวเจ้าซ้ำอีกรอบได้นะ จะกลับไปกับข้าดีๆ หรืออยากรับมือกับผู้กล้าอีกคนหนึ่ง...ซึ่งผู้กล้าแสงตะวันคนนี้เทียบไม่ติดฝุ่น”

    แทนคำตอบ ผ้าคลุมสีดำติดอาวุธสะบัดปล่อยดาบสองเล่มออกมาปักฉึกเบื้องหน้าผู้กล้าแสงตะวันและผู้ติดตามเป็นการข่มขวัญ แล้วกลายเป็นกลุ่มก้อนสีดำหายไปในอากาศ ไบรอันถอนหายใจอย่างโล่งอก คลายเวทมนตร์ที่คลุมดาบและหอกของผู้ติดตามออก

    “วันนี้ขอตัวก่อนผู้กล้าแสงตะวัน” เวเบอร์ก้มหน้าพูดด้วยแววตาดูถูก ราวกับไม่ได้เจอกันมานานแล้ว “หากข้าเป็นท่านจะรีบไปเตรียมตัวที่เพียรซ์ แล้วเจอกัน”

    แล้วเวเบอร์ก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีเหลืองทองพุ่งไปอีกฝั่งฟากฟ้า การต่อสู้ระหว่างทหารและปิศาจก็ใกล้จบแล้ว ผู้กล้าแสงตะวันทรุดลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน

    “โชคดีที่มันถอยกลับไปเอง ข้าไม่เหลือแรงสู้ต่อแล้ว” ไบรอัน แบล็คสโตนหอบหายใจ การใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายกินพลังมาก แถมยังต้องควบคุมมังกรธาตุอีก หากศัตรูไม่ถอยเขาคงต้องเป็นฝ่ายถอยเสียเองแน่

    “ไซเรน่า ฝากต้อนปิศาจในกรงขังไปทางด้านตรงข้ามทีข้าจะเปิดทางให้มันหนี เจ้าก็นั่งพักก่อนดาริอุส เลือดโชกเลยนี่”

    “ทั้งเลือดข้าและเลือดพวกมันทั้งสองอย่างนั่นล่ะ” ท่านลูกจ้างนั่งพักแล้วถอนหายใจยาวเหยียด “โชคดีที่นางมาช่วยทัน ข้าคนเดียวไม่แน่ว่าจะเอาอยู่หรือเปล่า”

    “ต่อไปเจ้าต้องประเมินสถานการณ์ให้มากกว่านี้ และต้องแม่นยำในแผนการ” ผู้กล้ากล่าวลอยๆ “ที่สำคัญคือเจ้าต้องเชื่อใจพวกพ้อง จำคำข้าไว้นะ”

    “แล้วเราจะไปเพียรซ์กันต่อเลยไหม ท่านผู้กล้า”

    “เจ้าเห็นว่าข้ายังใช้มนตร์เคลื่อนย้ายไหวอีกหรือ! เดี๋ยวบอกให้ไซเรน่าพาข้าลงไปด้วย” ไบรอันตอบด้วยอารมณ์ฉิว...


    ภายหลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น เหล่าทหารที่บาดเจ็บถูกพาไปรักษาตัว ปิศาจที่เหลืออยู่หนีกระจัดกระจายในเมื่อขาดตัวหัวหน้าสั่งการ เหล่าแม่ทัพและผู้กล้าแสงตะวันได้รับสินน้ำใจจากพระราชาในฐานะที่ช่วยปกป้องเมืองเอาไว้ ไบรอันทิ้งดาริอุสเอาไว้ที่สถานพยาบาลเหล่าทหารแล้วแอบไปที่แห่งหนึ่ง แม้จะอยากลืมเท่าไรแต่เท้าและหัวใจมันนำทางไปเอง

    “ไม่เจอกันนานนะไบรอัน โทรมมาเชียว” หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเขากำลังหอบผ้ามัดใหญ่ร้องทัก ผู้กล้าแสงตะวันกำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจที่มิอาจอยู่ใกล้ๆได้อีก

    “สบายดีแล้วใช่ไหมเอมิลี่” เขากำลังพบหน้าคนรักเก่า ความจริงต้องการแค่มาเห็นหน้า ไม่คิดว่าจะเจอกันแบบนี้ “เห็นว่าก่อนข้าเดินทางออกจากเมืองเจ้าไม่ค่อยสบายนี่นา”

    “ท่านพ่อบอกว่าเป็นคำสาปโบราณ แปลกดีที่มันเป็นเองหายเอง” หญิงสาวหัวเราะน้อยๆ ทำให้วันที่คุกกรุ่นด้วยแผนการและคาวเลือดของไบรอันกลายเป็นวันที่สดใสไปได้ เหมือนกับได้รับความชุ่มชื้นจากน้ำค้างยามเช้า

    ไม่มีคำสาปใดที่เป็นเองหายเองได้หรอกนะ ไบรอันคิดด้วยความเจ็บปวด

    “แต่หายดีแล้วใช่ไหม ไม่เป็นอะไรอีกแล้วนะ” ความห่วงใยไหลออกมาทางริมฝีปากอย่างช่วยไม่ได้ เขารักนางผู้นี้ เคยรัก แต่ตอนนี้คงรักไม่ได้อีกแล้ว

    “กลับเป็นปกติแล้ว” หญิงสาวพยักหน้าแล้วชูนิ้วนางข้างซ้ายให้ดูแหวนวงหนึ่ง “หลังจากนั้นท่านพ่อก็ให้ข้าหมั้นกับลูกชายเศรษฐี ไม่ถามข้าสักคำว่ารอท่านกลับมาหรือเปล่า”

    ข้านี่ล่ะที่เป็นคนบอกให้พ่อเจ้าจับคลุมถุงชนเอง ไบรอันกลืนคำพูดนี้ลงไปทั้งน้ำตา

    “ดีแล้ว” ผู้กล้าแสงตะวันแสร้งขยี้ตา ทำเป็นพิงกำแพงเพราะแทบหมดแรงยืน “อยู่กับคนอื่นดีกว่าอยู่กับคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างข้า”

    “แล้วท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ ท่าทางอย่างกับไปสู้กับอะไรมาอย่างนั้น หรือจะเกี่ยวกับสงครามที่ชายแดน!”

    “ก็มีธุระนิดหน่อย แวะมาทัก คนรักของข้ามาตามแล้ว” ไบรอันปดเมื่อเห็นมังกรของไซเรน่าบินมาลงเทียบ “หลังจากนี้ขอให้โชคดีนะเอมิลี่ แล้วสักวันคงได้เจอกันอีก” ผู้กล้าแสงตะวันโผเผขึ้นหลังมังกรคู่กับไซเรน่าที่ไม่เข้าใจสถานการณ์เท่าไรนัก

    “คนรู้จักหรือไบรอัน” ไซเรน่าโยนสายคล้องบังเหียนกันตกให้

    “ฝากไบรอันด้วยนะ บางเวลาเขาเป็นเจ้าบื้อน่ะ ต้องฝึกเขาให้เชื่องรู้ไหม” คนรักเก่าของไบรอันร้องทักไซเรน่าที่ยังทำตัวไม่ถูก “แล้วจะส่งข่าวไปบอกวันแต่งงานนะไบรอัน” หญิงสาวโบกมืออย่างร่าเริง

    ผู้กล้าสะท้อนเฮือกด้วยความเจ็บปวดยิ่งกว่าโดนดาบแทง เขากล่าวลาหญิงสาวแล้วเร่งไซเรน่าให้รีบเอามังกรขึ้นบิน

    “คนรู้จักหรือ” นางอัศวินมังกรถามซ้ำ “แล้วจะร้องไห้ทำไมล่ะนั่น”

    “หุบปากแล้วพากลับเร็วๆ มีธุระอะไรจึงมาตาม รู้อยู่ว่าข้าไม่ไปไหนไกลหรอก” ไบรอันเช็ดน้ำตาอย่างเอาจริงเอาจัง อย่างน้อยนางก็มีความสุขเมื่อไม่มีเขา

    “ร้องไห้อย่างกับโดนสาวทิ้งอย่างนั้นล่ะ” นางอัศวินมังกรไม่วายล้อ

    ไม่รู้ว่านางพยายามปลอบใจเขาด้วยการสั่งให้มังกรบินตีลังกาผาดโผนหรือเปล่า กว่าจะถึงค่ายพักทหารไบรอันก็งอมเหมือนกล้วยแก่จัดอีกหน เดินหน้าเข้ากระโจมพักอย่างทุลักทุเล

    “มาแล้วนั่นไง ข้าบอกแล้วว่าท่านผู้กล้าแค่ออกไปสูดอากาศ” ดาริอุสกำลังคุยกับใครสักคนผ่านเวทติดต่อรูปวงกลม เมื่อมันหันมาอีกด้านจึงรู้ว่าอีกฝ่ายคือท่านหญิงโรเซลลิน่าเจ้าเก่า พระนางคงติดต่อหาเขาที่ค่ายแต่ไม่พบจึงพูดคุยกับดาริอุสแทน

    “สมศักดิ์ศรีผู้กล้าจริงๆ ต่อสู้เพื่อข้าไปขนาดนั้นยังมีแรงเหลือพอให้เล่นไล่จับกับปิศาจอีก” คำเหน็บแนมไม่ทำให้เขากระเทือนแม้แต่น้อย “จุดหมายต่อไปของท่านคือเพียรซ์สินะ ข้าจะให้ม้าเร็วส่งข่าวนำข้อมูลที่รวบรวมได้ไปให้แม่ทัพที่ท่านแต่งตั้งไว้ที่นั่น” แววตาสีฟ้าคมกริบของพระนางหรี่ลงเล็กน้อย คงตั้งใจตำหนิเรื่องที่ยังหาตัวเจ้าชายมาเวอร์ริคไม่พบแต่ทำไม่ได้

    “ข้าบาทรับบัญชา” ไบรอันโค้งน้อยๆแสดงความเคารพ แล้วภาพของท่านหญิงโรเซลฯก็หายไป

    “ท่านถึงกับให้ทหารขี่ม้าไปส่งคงไม่ใช่แค่ไปสูดอากาศใช่ไหม” ดาริอุสยิ้มอย่างรู้ทัน

    “เข้ามาก่อนไซเรน่า ปิดกระโจมด้วย” ไบรอันเดินเขยกไปจุดตะเกียง อย่างน้อยก็อยู่ในที่ส่วนตัวระดับหนึ่ง “บอกข้ามาดาริอุส เจ้าคุยอะไรกับพระนางบ้าง”

    “พอรู้ว่าท่านไม่อยู่พระนางก็ถามความเห็นข้าเกี่ยวกับสมาคมพ่อค้า พระนางอยากให้การเอารัดเอาเปรียบคนซื้อลดลง” ดาริอุสตอบซื่อๆ “ข้ากำลังบรรยายเกี่ยวกับการคุ้มครองคาราวานให้ท่านหญิงฟังตอนท่านกลับมา”

    หวังว่าหมอนี่คงไม่รู้จักความเชื่อเรื่องรักแรกพบของชาวเพอลานต้านะ ไบรอันแอบคิดกับตัวเอง


    “บอกเฉพาะสิ่งที่คิดว่าบอกได้ก็แล้วกัน” ไบรอันบอกเรียบๆ “อะไรที่ข้าหรือไซเรน่าต้องการให้เป็นความลับจะกระซิบบอก อันนี้ละที่ห้ามบอกใครเด็ดขาด” เขาเสริม

    “อย่างเช่นอะไรล่ะ”

    “ความจริงข้าพบเจ้าชายมาเวอร์ริคแล้ว” ไบรอันตอบหน้าตาย ดาริอุสและไซเรน่าอ้าปากค้างด้วยความตกใจ “หากยังไม่ถึงเวลาเอาออกจากที่หลบซ่อน ต้องระวังไม่ให้ตกอยู่ในเงื้อมมือฝ่ายนั้น”

    “ข้าก็มีความลับเหมือนกัน” นางอัศวินมังกรพูดด้วยสีหน้าจริงจังจนไม่ใช่นิสัย “เมื่อตอนไปรับหมอนี่ร้องไห้ด้วย คงถูกผู้หญิงทิ้งนั่นแหละ” นางกับดาริอุสฮาครืน ส่วนไบรอันมองค้อนเพราะถูกหลอกให้เครียดไปด้วย

    “คนรักเก่า เราเลิกกันไปนานแล้ว” ไบรอันแหว “แค่อยากเห็นหน้าเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องลับสักหน่อย”

    “แล้วเหตุใดจึงเลิกกันล่ะ หรือท่านใช้ความรุนแรงกับนาง”

    “ท่านเป็นพวกชอบทำร้ายร่างกายหรือไบรอัน โอ ไบรอัน พ่อคนหัวรุนแรง” ไซเรน่าหัวเราะก๊ากออกมาอีกครั้ง

    “คำสาปต่างหาก หากข้ารักใคร คนนั้นจะป่วยตายเพราะคำสาป” ไบรอันตอบด้วยเสียงแผ่วเบาเกือบกระซิบ แล้วเปลี่ยนเรื่องด้วยการยื่นตัวไปดึงถุงใส่เงินขึ้นมาวางตรงหน้า “เรามาแบ่งเงินกันดีกว่า สามส่วนเท่าเศษบริจาคให้กองทัพ”

    แล้วทั้งสองคนก็หันมาสนใจเรื่องเงินๆทองๆมากกว่าเรื่องส่วนตัวของผู้กล้าแสงตะวัน...
    

    หลายวันต่อมา ในมหาราชวังของเพียรซ์ นางผู้หยั่งรู้ของยุคนี้กำลังมองออกไปยังทิวทัศน์นอกหน้าต่างห้องรับรองใหญ่ ท้องฟ้าเป็นสีหม่นน่าประหลาดมาพักหนึ่งแล้ว ตั้งแต่ผู้กล้าแสงตะวันและผู้ติดตามสองคนมายังเพียรซ์

    “อีกไม่นานที่นี่จะมีสงคราม” นางผู้หยั่งรู้ หรือเนอร์วาน่าที่ 17 กล่าวลอยๆ “ทั้งผู้กล้าแสงตะวันและนักรบจันทราจะเป็นผู้ช่วยเหลือ ผู้ที่เฝ้ารอจะได้รับ แล้วก็สูญเสีย”

    “นักรบจันทราคือใครหรือขอรับ” ใครคนหนึ่งในห้องเอ่ยถามอย่างสุภาพ

    “หากผู้กล้าแสงตะวันได้รับการเลือกโดยมนุษย์ นักรบจันทราก็ได้รับเลือกจากชะตากรรม” นางผู้หยั่งรู้หรี่ตาสีมรกตอย่างอิดโรย “ร่างนี้ยังอ่อนล้าจากการศึกครั้งที่แล้ว พวกท่านคงไม่ว่าหากเราจะยุติแค่นี้”

    “ท่านไม่ได้บอกอะไรเราจริงจังเลย!” ขุนนางชั้นแม่ทัพคนหนึ่งคำราม “เรียกค่าตอบแทนแพงหูฉี่แล้วก็บอกเรานิดเดียว”

    นางผู้หยั่งรู้ผู้มีผมสีเหลืองยาวสยายและดวงตาสีมรกตชำเลืองมองแล้วยิ้มอย่างเดือดดาล

    “แม้ข้าจะเป็นผู้พยากรณ์ของดาวดวงนี้ หากสิ่งที่เอ่ยได้มีเพียงที่ได้รับการยอมรับจากเบื้องบนเท่านั้น และยิ่งมีรายละเอียดมากราคาค่างวดก็ยิ่งสูงขึ้น รู้หรือไม่ว่าเงินคือสิ่งที่ใช้ได้แม้ในนรกนะ”

    “พูดอ้อมไปอ้อมมาอยู่ได้!” แม่ทัพคนเดิมบ่น

    “ถ้าข้าพูดตรงๆจะยอมให้พักใช่ไหม” นางผู้หยั่งรู้เปลี่ยนสีหน้าจากดุดันเป็นใสซื่อในพริบตาเดียว พระนางสูดหายใจลึกเตรียมระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ข้างใน “ข้าคือเนอร์วาน่าที่ 17 แห่งเรมิสต์นี้จริง! หากสายเลือดอันสูงส่งของข้านั้นคืออดีตหนึ่งในแปดเทพศักดิ์สิทธิ์จากแดนอันไกลโพ้น!” พระนางเริ่มคำรามทำให้อากาศในห้องทะลักด้วยความพิโรธ “บรรพบุรุษของข้าตั้งใจลงมาสถิตที่นี่ด้วยตัวเองจึงมีระดับชั้นใกล้เคียงเทพ ใกล้เคียงเทพ!”

    “ข้าขออภัย” แม่ทัพผู้นั้นหน้าถอดสี เมื่อนางผู้หยั่งรู้เปลี่ยนจากลูกแมวเป็นนางเสือดาว

    “ร่างของข้าอยู่ที่เมืองแก้วผลึกทางใต้” นางผู้หยั่งรู้เชิดหน้าอย่างยโส “พวกเจ้าคงรู้เงื่อนไขที่จะได้ตัวข้ามารับใช้ แค่ส่งกองทัพเข้าไปยึดปราสาทแก้วผลึกของข้าให้ได้เท่านั้น ซึ่งข้ารู้ว่าทั้งพวกเจ้าและซีเนียได้ลองเป็นร้อยครั้งแล้วนับแต่ตั้งจักรวรรดิมา เอาชนะให้ได้แล้วข้าจะตอบให้ทั้งหมดที่ถามเลย...คราวนี้จะให้ร่างนี้ของข้าได้พัก หรืออยากสัมผัสโทสะของข้า!” ดวงตาสีมรกตฉายความโกรธออกมาจนทุกคนรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น  

    ในเมื่อทุกคนกลัวจนไม่กล้าพูด นางผู้หยั่งรู้จึงถือว่าเป็นมติให้ร่างทรงของนางได้พักต่อ พระนางเดินตรงไปยังกระจกเงาแล้วเดินเข้าไปอย่างเยือกเย็นดั่งกระจกเงานั้นเป็นประตูบานใหญ่ให้เดินผ่าน อีกฟากหนึ่งของกระจกผู้กล้าแสงตะวันเดินออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน ท่าทางมีชัยระคนขบขัน กระนั้นยังเหนื่อยหอบจากการที่เป็นร่างทรงให้นางผู้หยั่งรู้

    “เป็นอย่างไรเล่า เตือนแล้วว่าอย่าทำให้นางโกรธ” ผู้กล้าแสงตะวันหัวเราะน้อยๆแล้วทรุดตัวนั่งบนพรมเนื้อดี คิดไตร่ตรองถึงสิ่งที่นางผู้หยั่งรู้พูดเอาไว้ นักรบจันทราจะเปิดเผยตัวคราวนี้หรือ...




 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา