เกมวิวาห์เจ้าสาวมาเฟีย

8.0

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 22.33 น.

  15 ตอน
  1 วิจารณ์
  17.42K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559 11.35 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) เกมวิวาห์เจ้าสาวมาเฟีย บทนำ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทนำ

          โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในแมนฮัตตัน สหรัฐอเมริกา

          แม้ความหนาแน่นของประชากรในนิวยอร์กและเพนซิลเวเนียจะไม่ได้แตกต่างกันนัก แต่เมื่อต้องมาฝึกงานในบริษัท ดีเอ็ม เทเลลิ้งก์ สาขานิวยอร์ก ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ต้องมาดำเนินชีวิตอยู่ในมหานครใหญ่แห่งนี้ เวลาสิบวันที่ผ่านมาพราวพุธจึงเริ่มปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ได้บ้างแล้ว

            เมื่อเริ่มคุ้นเคยกับถนนหนทางและระบบการคมนาคมซึ่งใช้รถไฟฟ้าใต้ดินเป็นหลักแล้ว สุขภาพกลับย่ำแย่โดยไม่รู้สาเหตุจนต้องลางานในช่วงครึ่งวันบ่ายมานั่งอยู่ในโรงพยาบาลเช่นนี้

            พราวพุธถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนหลังจากทั้งไอและจามติดต่อกันหลายครั้ง นึกตำหนิตัวเองไม่น้อยที่ไม่ยอมมาหาหมอตั้งแต่สองวันก่อนซึ่งเริ่มมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว สุดท้ายอาการหนัก ทั้งเจ็บคอ น้ำมูกไหล มีไข้สูงในตอนกลางคืนจนต้องขอลางานในช่วงบ่ายของวันนี้

            ทว่าร่างของชายสูงวัยที่ทรุดตัวนั่งลงข้างๆ ทำให้พราวพุธต้องขมวดคิ้วมุ่น สังเกตอาการที่เกิดขึ้นอย่างระแวดระวัง

            ฝ่ามือหนาผิวหนังเหี่ยวย่นตามกาลเวลาซึ่งยกขึ้นมาวางทาบบนหน้าอกข้างซ้ายพร้อมกับการหอบหายใจนั้นทำให้พราวพุธเอ่ยปากถามออกไปอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด “ฉันเรียกพยาบาลให้ไหมคะ คุณไหวรึเปล่า”

            ดวงตาคมกริบเหลือบมองเจ้าของน้ำเสียงร้อนใจแล้วยกมืออีกข้างโบกไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ “อย่าห่วงเลย นั่งนิ่งๆ เถอะสาวน้อย”

            หญิงสาวกลอกสายตาแล้วถอนหายใจเพราะท่าทางที่เห็นกับคำพูดของผู้สูงวัยช่างสวนทางกันโดยสิ้นเชิง “ท่าทางคุณดูแย่มากเลยนะคะ”

            เหงื่อหลายเม็ดผุดขึ้นตามหน้าผาก อ้าปากหอบหายใจเช่นนี้คงไม่ใช่แค่อาการเหนื่อยหอบธรรมดาแล้ว พราวพุธยังไม่ได้คำตอบว่าอย่างไรจึงตัดสินใจยกมือขึ้นเหนือศีรษะ ขอความช่วยเหลือจากบุรุษพยาบาลที่อยู่ไม่ไกลนัก หากผู้สูงวัยได้เห็นเพียงสายตาที่มองไปยังบุรุษพยาบาลก็รู้ทันความคิดและคว้าฝ่ามือบางเอาไว้เสียก่อน

            ร่างระหงที่กำลังจะลุกขึ้นชะงักงันในทันที

            “ฉันไม่ตายหรอกสาวน้อย” บอกด้วยน้ำเสียงเข้ม เด็ดขาด แม้จะรู้ว่าสาวเอเชียหน้าตาสดสวยไม่ยินดีกับคำเรียกขานสักเท่าไรแต่ก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง “ฉันแค่เหนื่อย นั่งพักสักครู่คงดีขึ้น”

            “แต่...”

            “นั่งลง ถ้าไม่อยากให้ฉันตายจริงๆ ก็อยู่นิ่งๆ เข้าไว้ ทำตัวให้เป็นปกติที่สุด” ทุกคำสั่งที่หลุดออกจากปากนั้นยัง

เฉียบขาด

            แน่นอนว่าความดุดันในน้ำเสียงของผู้สูงวัยนั้นทำให้เธอต้องทรุดตัวนั่งลงเช่นเดิม แล้วมองตามสายตาคมกริบซึ่งจ้องเขม็งไปข้างหน้า หากพราวพุธกลับไม่ได้พบสิ่งใดเลยนอกเสียจากเงาสะท้อนของประตูห้องตรวจโรค ยังได้เห็นเงาสะท้อนของตนและผู้สูงวัยข้างกายรวมถึงผู้คนที่เดินผ่านไปมา

            เขายังจับมือนุ่มของสาวน้อยข้างกายไว้อีกทั้งยังออกแรงกระชับมากกว่าเดิม เมื่อเห็นเงาของร่างสูงใหญ่เดินใกล้เข้ามา “ถ้าจะช่วยก็เอาโค้ตของเธอคลุมไหล่ให้ฉันก็พอ”

            ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพราวพุธถึงได้ทำตามคำสั่งนั้นอย่างว่าง่าย ซ้ำร้ายยังทำเกินกว่าคำร้องขอด้วยการดึงฮู้ดขึ้นเหนือศีรษะซึ่งปกคลุมด้วยเส้นผมสีขาวสลับดำจนเรียกได้ว่าเป็นสีเทา

            “เด็กดี...” น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นลดความดุลงกว่าครึ่ง รอยยิ้มตรงมุมปากยังแสดงให้คู่สนทนารับรู้ว่าพึงพอใจในการกระทำอยู่มากโข “นั่งลงแล้วมองไปข้างหน้า”

            ทันทีที่แผ่นหลังบางแตะกับพนักพิงเก้าอี้ เสียงห้าวระคนฉุนเฉียวของชายร่างสูงใหญ่ซึ่งเดินด้วยความรีบเร่งมาหยุดอยู่ข้างหลังก็ดังขึ้น “หายไปไหนวะ เมื่อกี้นี้ยังเห็นหลังแวบๆ”

            แม้บริเวณนี้จะมีเสียงพูดคุยของผู้คนดังแทรกขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา แต่ระยะห่างไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตรของเสียงที่ดังขึ้นนี้ก็ทำให้ได้ยินบทสนทนานั้นอย่างชัดเจน

            “ยังไงวันนี้ก็ต้องจัดการดอนดิโน่ให้เรียบร้อย โอกาสดีๆ ที่ตาแก่นั่นจะอยู่คนเดียวแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยนัก” ชายอีกคนซึ่งเดินมาสมทบกล่าว

            อาการหันรีหันขวางของชายทั้งคู่นั้นอยู่ในสายตาของผู้สูงวัยและสาวน้อยร่างระหงตลอดเวลา หากแรงบีบที่ฝ่ามือทำให้พราวพุธต้องนิ่วหน้า สัญชาตญาณบอกให้รู้ว่าชายที่ยืนอยู่ด้านหลังสองคนต้องเกี่ยวข้องกับผู้สูงวัยที่ออกแรงบีบมือเธอหนักขึ้นเรื่อยๆ นี้เป็นแน่

            “แกไปหาทางนั้น ส่วนฉันจะไปหาทางนี้” แบ่งงานจบก็รีบแยกย้ายแต่ก่อนจะเดินจากไปยังสบถออกมาด้วยความเสียดาย “ฉิบหายเอ๊ย ไอ้แก่นี่มันมีปีกหรือไงวะ ถึงได้หายตัวไปเร็วแบบนี้”

            นั่นเป็นเหตุให้ผู้สูงวัยสบถเสียงต่ำอยู่กับตัวเอง “ไอ้ลูกหมา พวกมึงไม่ได้ตายดีแน่”

            การจากไปของชายทั้งคู่ทำให้แรงบีบตรงฝ่ามือของพราวพุธคลายลงกว่าครึ่ง สีหน้าของผู้สูงวัยดูผ่อนคลายมากขึ้นอีกทั้งตอนนี้ยังขยิบตาใส่เธอและยิ้มให้อย่างขี้เล่น

            “หวังว่าคุณคงไม่ใช่ดอนดิโน่” พราวพุธถามทั้งยังมองด้วยสายตาระแวดระวัง

            รอยยิ้มพรายเกิดขึ้นอีกครั้ง “เป็นเด็กดีแถมยังฉลาดอีกด้วยนะสาวน้อย”

            พราวพุธถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สมองเริ่มประมวลข้อมูลอันน้อยนิดอย่างรวดเร็ว คำเรียกขานที่ได้ยินนั้นบ่งบอกว่าผู้สูงวัยซึ่งอยู่ข้างกายนี้ฐานะไม่ได้เล็กน้อยเลย

            ปัจจุบัน ‘ดอน’ อาจจะเป็นคำเรียกอย่างให้เกียรติ ยกย่องผู้ชายในฐานะหัวหน้าหรือผู้นำของตระกูลใหญ่ในอิตาลี สเปน รวมไปจนถึงอเมริกาใต้บางประเทศ อย่างเจ้าของบริษัท ดีเอ็ม เทเลลิ้งก์ที่เธอกำลังฝึกงานตลอดจนเจ้าของทุนการศึกษาในมูลนิธิเด มาร์คอส ซึ่งเธอเป็นนักศึกษาทุนอยู่นี้ พนักงานในองค์กรทุกคนต่างก็เรียกผู้นำว่าดอนเซเลสตร้ากันทั้งนั้น

            หากชายสูงวัยที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นผู้นำหรือเจ้าของธุรกิจแห่งหนึ่งแห่งใด คงยากที่จะมีคนตามล่าเช่นนี้ ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าในนิวยอร์กหรือเมืองใหญ่ซึ่งมีกลุ่มคนรวมตัวกันเป็นแก๊งสเตอร์แล้วล่ะ อาจหมายถึงหัวหน้ามาเฟียแก๊งใดแก๊งหนึ่งก็เป็นได้

            อาการนิ่งเงียบแต่คิ้วได้รูปกลับขมวดมุ่น ดวงตาดำขลับกลอกไปมาอย่างคนกำลังใช้ความคิดอย่างหนักนั้นก็ทำให้คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาทั้งชีวิตเดาความคิดของสาวน้อยข้างกายได้ไม่ยากนัก

            “คงไม่ใช่มา...” พราวพุธถามไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำ คู่สนทนาก็พูดโพล่งขึ้นมาก่อนเสียแล้ว

            “ฉันก็แค่ตาแก่คนหนึ่งเท่านั้น อย่าคิดมากน่าสาวน้อย” แม้คำตอบจะดูไร้กังวลแต่ในใจกลับรู้ดีว่าตอนนี้สถานการณ์ไม่ได้ปลอดภัยเลย ที่สำคัญต้องหาที่ซ่อนตัวจนกว่าจะมีคนมาช่วยเหลือ

            “ฉันไม่ชอบให้คุณเรียกว่าสาวน้อยพอๆ กับที่คุณไม่ชอบให้สองคนนั้นเรียกว่าตาแก่นั่นแหละค่ะ” พราวพุธตอบ

            “โอ... ถ้าอย่างนั้นเราควรหามุมส่วนตัวคุยกันสินะ” พูดพร้อมลุกขึ้นจากเก้าอี้ หลีกเลี่ยงการร้องขอให้เธอพยุงไปหามุมที่ปลอดภัยจากสายตาของผู้ตามล่า แม้สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เป็นอย่างดีแต่ภาพที่หลานสาวพยุงคุณตาเดินเหินทำให้ปลอดภัยมากกว่าเดินคนเดียวนัก

            ทว่าคนที่รับบทหลานสาวโดยไม่รู้ตัวกลับเกิดความลังเลใจ ช้อนดวงตาดำขลับพร้อมกับตั้งคำถามที่ทำให้คนฟังนึกชอบใจกับชั้นเชิงในการพูดคุย “ฉันควรแน่ใจว่ากำลังช่วยคนดี”

            “เธอตัดสินว่าฉันเป็นคนดีตั้งแต่สละโค้ตตัวนี้ให้ฉันแล้วล่ะ”

            พราวพุธอมยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดของผู้สูงวัยทำให้เธอไพล่คิดไปถึงพ่อบังเกิดเกล้าซึ่งมีชั้นเชิงในคำพูดไม่ต่างกันสักนิด ที่สำคัญการพูดคุยกับคนที่ผ่านชีวิตมามากจะทำให้ได้แง่คิดต่างๆ มากมายยิ่งนัก

            “ไปกันเถอะสาวน้อย โอ... ไม่สิ” ดิโน่รีบแก้สรรพนามที่เธอเพิ่งบอกไปว่าไม่ชอบใจเสียใหม่ “อะไรดีล่ะ เทพีนำโชคน่าจะเหมาะกับเธอนะ”

            พราวพุธได้ยินเช่นนั้นจึงรีบส่ายหน้าดิก “ฉันควรจะอยู่เป็นโสดงั้นเหรอคะ”

            “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกฟอร์จูนา1” ดิโน่ลากเสียงยาวราวกับจะปลอบใจ ทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นผู้หญิงตรงหน้านี้สมบูรณ์แบบยิ่งนัก “ถ้าย้อนเวลาไปได้สักห้าสิบปี ฉันคงกลายเป็นคนหูหนวกตาบอดถ้าปล่อยให้เธอเป็นโสด”

            อาจเป็นเพราะพูดคุยกันถูกคอกระมังเลยทำให้พราวพุธตัดสินใจลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วประคองผู้สูงวัยเดินออกจากบริเวณดังกล่าว ดวงตาดำขลับกวาดมองไปรอบๆ บริเวณแต่กลับไม่เห็นมุมปลอดภัยเลยสักนิด “ผู้ชายสองคนนั้นกำลังตามล่า เอ่อ... ตามหาคุณใช่ไหมคะ”

            ดิโน่หัวเราะในลำคอพร้อมพยักหน้ารับ คิดในใจว่าหากพูดออกไปตรงๆ ว่าพวกนั้นกำลังล่าเพื่อปลิดลมหายใจของตนแล้ว เทพีนำโชคที่คอยประคองตนอยู่นี้จะตกใจ หวาดหวั่นบ้างหรือไม่

            “ฉันขอใช้โทรศัพท์หน่อยได้ไหม” แม้เทพีนำโชคหน้าตาสะสวยจะทำให้คิดนอกเรื่องไปบ้างแต่ลึกๆ แล้วสมองของมาเฟียเฒ่ายังขบคิดหาทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์อันตรายนี้ตลอดเวลา

            ฝ่ามือบางสอดเข้าไปหยิบอุปกรณ์สื่อสารในกระเป๋ากางเกงยื่นให้ผู้สูงวัย หากสายตากลับจ้องมองไปยังคนกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังซักถามบางอย่างกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลอยู่ตรงสุดทางเดิน โชคดีนักที่กลุ่มคนดังกล่าวหันหลังจึงไม่มีโอกาสได้เห็นว่าเธอประคองผู้สูงวัยเดินเลี้ยวไปยังทางเดินหน้าห้องน้ำ หากเสียงของผู้สูงวัยที่กรอกลงไปในโทรศัพท์ก็ดึงความสนใจของหญิงสาวได้ไม่น้อย

            “ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนมา ไม่รู้หรือไงว่าฉันต้องการความช่วยเหลือ” ดิโน่บอกด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว

            “ย่องออกไปเองแล้วยังจะมาโวยวาย” แม้จะตอบออกไปเช่นนั้นแต่ตอนนี้เขากำลังเร่งความเร็วฝ่าการจราจรอันคับคั่งไปยังโรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งผู้เป็นพ่อได้ติดต่อเข้ามาก่อนหน้านี้ราวสิบนาทีแต่จู่ๆ ก็ไม่อาจจะไถ่ถามอะไรได้อีกโดยไม่ทราบสาเหตุ

            นั่นเป็นเพราะดิโน่ต้องเดินแกมวิ่งทั้งยังต้องคอยแทรกตัวเข้ากับผู้คนที่ยืนอยู่เป็นกลุ่มก้อนเพื่อหลบสายตาจากแก๊งมาเฟียคู่อริ รวมถึงการบอกตำแหน่งของตนให้ลูกชายเพียงคนเดียวได้รับรู้ ด้วยความรีบร้อนและไม่ทันระวังนักจึงเดินไปชนเข้ากับด้านหลังของชายคนหนึ่ง โทรศัพท์ที่ถือไว้ในมือจึงร่วงลงบนพื้นและการก้มเก็บมันขึ้นมาก็ทำให้เสียเวลายิ่งนัก มาเฟียเฒ่าจึงตัดสินใจสละอุปกรณ์สื่อสารนั้นทันที

            “ก็ถ้าตายแล้วคงไม่ได้ยินเสียงฉันโวยวาย”

            “ดอนดิโน่ไม่จบตำนานลงง่ายๆ ด้วยน้ำมือของลูกกระจ๊อกปลายแถว” คอนเนลิโอต้องเงียบเสียง เมื่อได้ยินเสียงหวานของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นที่ปลายสาย

            “ระหว่างที่รอคนของคุณมาช่วย ฉันว่าควรต้องหาที่หลบน่าจะปลอดภัยกว่านะคะ” พราวพุธแสดงความคิดเห็นเพราะนึกสังหรณ์ใจว่ากลุ่มคนที่เห็นนั้นมีอยู่หลายคน ย่อมต้องค้นหาจนทั่วบริเวณเป็นแน่

            “ฉันก็คิดอย่างเธอเหมือนกันนั่นแหละ เทพีนำโชค” ดิโน่ตอบโดยไม่ได้ลดอุปกรณ์สื่อสารที่แนบอยู่ข้างหูลง นั่นทำให้ลูกชายที่อยู่ปลายสายได้ยินบทสนทนาที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน

            “ว้าว... เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ดอนดิโน่ยังต้องมีอีหนูอยู่ข้างตัว” ดูท่าว่าจะหลงมากเสียด้วยสิ ก็นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้ยินผู้เป็นพ่อใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดจากับคนอื่น ขนาดว่าเขาเองเป็นคนแข็งกระด้างยังรับรู้ได้ถึงความเอ็นดูที่เกิดขึ้น

            “เสือก” ตะคอกใส่โทรศัพท์แต่กลับหันไปพูดกับเทพีนำโชคด้วยน้ำเสียงน่าฟัง เมื่อฝ่ามือบางดันแผ่นหลังให้ตนเข้าไปในห้องน้ำเพียงลำพัง “เข้ามาหลบด้วยกันสิจ๊ะ”

            แน่ะ! มีลูกอ้อนด้วย คอนเนลิโอคิดในใจทั้งอยากเห็นหน้าแม่เทพีนำโชคที่ว่ายิ่งนัก จะงดงามราวกับเทพธิดาในตำนานเลยเช่นนั้นหรือ พ่อของตนถึงได้ดูชื่นชมเอ็นดูนัก

            “เข้าไปเถอะค่ะ หลานสาวยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ น่าจะเป็นอะไรที่ดูปกติซึ่งคนทั่วไปก็ทำกัน” พราวพุธบอกและเป็นฝ่ายเปิดประตูห้องน้ำเสียเอง จากนั้นก็ยืนพิงแผ่นหลังกับประตูด้วยสีหน้าเป็นปกติ

            ในขณะที่อีกด้านหนึ่งของประตูห้องน้ำนี้ ผู้ทรงอิทธิพลทั้งสองรุ่นแห่งตระกูลเวนโตล่ายังสนทนากันผ่านสายโทรศัพท์

            “ระวังเถอะ... ถ้าเทพีนำโชคกลายเป็นนางนกต่อขึ้นมาแล้วจะลำบาก” คอนเนลิโอเตือนแล้วต้องสบถออกมาอย่างหยาบคายเมื่อรถยนต์คันข้างหน้าขับช้าจนต้องติดไฟแดง จะหักพวงมาลัยเบี่ยงซ้ายหรือขวาก็ไม่อาจทำได้เพราะมีรถยนต์คันอื่นมาจอดติดไฟแดงเต็มช่องจราจร

            “ก็ถ้าไม่มีเทพีนำโชค บางทีแกอาจจะต้องมารับแค่ศพฉันก็ได้” ดิโน่มั่นใจว่าหากไม่มีเสื้อโค๊ตคลุมศีรษะของตนไว้ ตอนนี้อาจจะกำลังดวลปืนอยู่ข้างนอก แล้วมีหรือที่จะเอาชีวิตรอดพ้นจากคู่ต่อสู้ที่มีมากกว่าหลายคน

            หากยังอยู่ในช่วงวัยหนุ่ม สถานการณ์เช่นนี้ท้าทายความสามารถยิ่งนักแต่ต้องยอมรับว่าวันเวลาที่ผ่านไป สังขารนั้นร่วงโรย แม้สมองยังปราดเปรื่องแต่เรี่ยวแรงนั้นไม่เอื้ออำนวยเอาเสียเลย

            “ขออีกห้านาทีน่า... พ่อไม่ใช่ตาแก่ไร้เขี้ยวเล็บ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้สักหน่อย” คอนเนลิโอบอก

            “เออ” ดิโน่รับคำ “ถ้ายังไม่ได้เห็นหน้าเวนโตล่ารุ่นต่อไป ถึงฉันตายก็จะเป็นวิญญาณเฝ้าแกไปตลอดนั่นแหละ”

            คอนเนลิโอปั้นหน้าหน่ายใจ เพราะพ่อไม่เคยเข้าใจว่าชีวิตโสดนั้นอิสระสักแค่ไหน การมีครอบครัวเป็นเรื่องเดียวที่พ่อกับลูกไม่เคยมีความคิดเห็นตรงกันเลย บ่อยครั้งที่คอนเนลิโอยกเอาการดำเนินชีวิตของผู้เป็นพ่อขึ้นมาอ้าง ในตอนที่เขาลืมตาดูโลกพ่อมีอายุสี่สิบปี ถ้าเทียบกันแล้วเขายังสามารถใช้ชีวิตโสดไปได้อีกถึงห้าปีเต็ม

            “ตอนนี้อยู่ในห้องน้ำใช่ไหม ชั้นไหน บอกพิกัดมาจะได้วางแผนถูก”

            “จอดรออยู่หน้าโรงพยาบาลนั่นแหละ ฉันจะไปหาแกเอง” ตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

            “เก่งงั้นก็น่าจะนั่งแท็กซี่กลับบ้านเองนะ ดอนดิโน่”

            “หุบปากแล้วรีบทำตามคำสั่งของฉันเถอะ ไอ้ลูกเลว”

            เป็นเรื่องชินหูชินตาที่จะเห็นและได้ยินว่าสองพ่อลูกตระกูลเวนโตล่ามักจะสนทนากันเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร หากครั้งนี้ผู้เป็นพ่อรู้ดีว่าถ้าปล่อยให้ลูกชายมีโอกาสได้เผชิญหน้ากับศัตรูแล้วล่ะก็... โรงพยาบาลคงกลายเป็นสนามซ้อมยิงปืน ทั้งยังต้องมั่นใจว่าคู่ต่อสู้จบชีวิตลงทุกคนแล้วนั่นล่ะ คอนเนลิโอถึงจะยอมรามือ

            แน่นอนว่านิวยอร์กนี้ไม่ใช่ถิ่นของเวนโตล่า ปัญหาที่ตามมาอาจจะยุ่งยาก กลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนคาดไม่ถึงก็เป็นได้

           

            ในขณะที่สองพ่อลูกยังสนทนากันผ่านสายโทรศัพท์ คนที่รับบทเป็นหลานสาวยืนเฝ้าหน้าประตูห้องน้ำก็ต้องลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อกลุ่มคนดังกล่าวเดินผ่านหน้าเธอไปโดยไม่มีวี่แววว่าจะสงสัยหรือซักถามเรื่องใดๆ

            ทว่าชายร่างกำยำ ท่าทางคุกคามความรู้สึกทั้งสามคนที่เดินผ่านหน้าไปได้ไม่กี่ก้าวนี้ จู่ๆ กลับชะงักและถอยหลังกลับมายืนตรงหน้าเธอ

            “เคยเห็นผู้ชายในรูปนี้ไหม สูงสักห้าฟุตหกนิ้ว” คำถามนั้นดังขึ้นพร้อมๆ กับรูปถ่ายที่ยื่นให้หญิงสาวดู

            พราวพุธมองรูปดังกล่าวแล้วส่ายหน้าดิก “ไม่เห็น”

            “คิดดีๆ คุณอาจจะเคยเดินสวนกับเขาในโรงพยาบาลก็ได้” น้ำเสียงคาดคั้นดังขึ้น

            ไม่มีคำตอบหลุดออกจากปาก แต่เธอกลับมองหน้าชายคนที่ตั้งคำถามแล้วประเมินในใจว่า... คนดีที่ไหนท่าทางข่มขู่ วางอำนาจเช่นนี้ แม้เธออาจจะไม่รู้ปูมหลังของผู้สูงวัยที่อยู่อีกด้านของประตูนี้แต่ท่าทางช่างแตกต่างกับกลุ่มคนตรงหน้านัก

            คนที่ถูกมองด้วยสายตาไม่ไว้ใจสักเท่าไรนักถอนหายใจแล้วเลื่อนมือเข้าไปในเสื้อดึงบางอย่างออกมาแสดง “เอ็นวายพีดี เรากำลังตามอาชญากรตัวอันตราย กรุณาให้ความร่วมมือด้วย”

            พราวพุธกะพริบตาถี่ๆ แทบจะมองตามตรากรมตำรวจนิวยอร์กไม่ทัน เมื่อเขาแสดงให้เห็นเพียงเสี้ยววินาทีแล้วเลื่อนตรานั้นเข้าเก็บเช่นเดิม ถ้าตรงหน้านี้คือเจ้าหน้าที่ตำรวจจริงๆ เธอคงไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือหรือรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้เลย

            “เออ...” พราวพุธอ้ำอึ้ง กลอกสายตาราวกับกำลังชั่งใจ

            นิ้วชี้เรียวที่ยกขึ้นจรดริมฝีปากแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังเกิดความลังเลใจ ทำให้คนที่กำลังแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจย้ำถามอีกครั้ง “ค่อยๆ คิด เคยเห็นไหม”

            “ฉันเดินสวนกับเขาสักสิบนาทีที่แล้ว” พราวพุธชะงักคำพูดเมื่อเสียงโทรศัพท์ของชายหนึ่งในนั้นดังขึ้น และเจ้าตัวก็กดรับสายอย่างรวดเร็ว เธอไม่เข้าใจในภาษาที่พวกเขาใช้สื่อสารแต่พอจะรู้ว่าเป็นภาษาอิตาลี

            “ว่าไง เจอที่ไหน”

            “ชั้นสอง ตรงหน้าห้องตรวจโรค” จบคำพูดของพราวพุธ ชายคนที่เพิ่งวางสายโทรศัพท์ก็พูดอะไรสักอย่างด้วยภาษาอิตาลีรัวเร็ว จากนั้นทั้งสามคนก็วิ่งกลับออกไปจากทางเดินหน้าห้องน้ำในทันที ปล่อยให้คนที่ถูกหลอกถลึงตามองตามเจ้าหน้าที่ตำรวจจอมปลอม

            ...ก็เอ็นวายพีดีที่ไหนจะใช้ภาษาอิตาลีสื่อสารกันเองในเวลาปฏิบัติหน้าที่ หากพวกเขาคงต้องเป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊งมาเฟียเป็นแน่ คิดในใจพร้อมเคาะประตูห้องน้ำ

            “ทางสะดวกแล้วค่ะ” พราวพุธแทบจะกระซิบบอกแล้วถอยหลังไปเล็กน้อยเพื่อหลีกทางให้ผู้สูงวัยได้เดินออกมา

            “ฉันคิดว่าเธอจะเชื่อพวกตำรวจจอมปลอมนั่นเสียอีก” บอกยิ้มๆ

            พราวพุธลอบถอนหายใจเพราะแท้จริงแล้วก็ยังไม่รู้ว่าช่วยคนดีหรือคนไม่ดี แต่ถ้าตัดความดีเลวออกไปแล้ววัดจากอายุล่ะก็ เธอคงไม่อาจทนเห็นผู้สูงวัยถูกกลุ่มชายวัยฉกรรจ์คุกคามสวัสดิภาพทางใดทางหนึ่ง

            “ถ้าให้เลือกผู้ชายกลุ่มหนึ่งกับผู้อาวุโสคนเดียว เชื่อว่าทุกคนก็ต้องเลือกเหมือนฉัน” พราวพุธบอกทั้งยังเอื้อมมือไปประคองคนที่เลือกช่วยเหลือมาตั้งแต่แรกเดินออกมาจากหน้าห้องน้ำ “ถึงไม่เชื่อว่าพวกเขาเป็นตำรวจแต่ก็ยังไม่รู้เลยนะคะว่าคุณเป็นใคร”

            จุดหมายของมาเฟียเฒ่าอยู่ไม่ไกล เมื่อเห็นเอสยูวีคันคุ้นตาแล่นเข้ามาในโรงพยาบาล จึงเอื้อมฝ่ามือไปตบลงบนหลังมือนุ่มเบาๆ “เธอรู้แล้วนี่ว่าฉันคือดอนดิโน่”

            “ก็คงไม่ได้รู้อะไรมากกว่านี้ใช่ไหมคะ” แม้จะถามเช่นนั้นแต่พราวพุธเองก็เร่งฝีเท้าประคองผู้สูงวัยให้ไปถึงด้านหน้าโรงพยาบาลโดยเร็ว

            “ฉันเป็นหนี้บุญคุณเธอครั้งใหญ่ เทพีนำโชค” กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพลางเลื่อนมือเข้าไปในกระเป๋าสูทแล้ววางโทรศัพท์ลงบนฝ่ามือนุ่ม

            ในขณะที่เอสยูวีสีดำ กระจกติดฟิล์มมืดสนิทจอดอยู่ด้านหน้า เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลซึ่งยืนอยู่บริเวณนั้นจึงเดินไปเปิดประตูเพื่ออำนวยความสะดวก หากมองผิวเผินแล้วก็เหมือนกับเธอกำลังประคองชายชราคนหนึ่งขึ้นรถ ไร้ซึ่งความรู้สึกตื่นเต้นที่พราวพุธได้เผชิญจากเหตุการณ์เมื่อครู่

            “ไม่นึกว่าจะชอบเด็กขนาดนี้” น้ำเสียงห้าวเจือไปด้วยความขบขันดังขึ้นในทันทีที่ดอนดิโน่ก้าวเข้าไปในรถ

            พราวพุธปรายตามองเจ้าของน้ำเสียงทรงพลังนั้นอยู่แวบหนึ่ง เธอไม่ได้เห็นอะไรไปมากกว่าเสี้ยวใบหน้าคร้ามคมของคนขับรถซึ่งสวมแจ็กเก็ตหนังสีดำด้าน กระทั่งมือทั้งสองข้างที่กำพวงมาลัยยังสวมถุงมือหนังเช่นกัน

            “ถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรให้โทรหาได้ทุกเวลา ฉันชอบคุยกับเธอนะ” ดิโน่บอกพลางขยับตัวให้โค้ตหลุดออกจากหัวไหล่ จากนั้นจึงส่งคืนให้กับหญิงสาว

            พราวพุธเอื้อมมือไปรับเอาโค้ตของตัวเองไว้และรู้สึกได้ว่าผู้สูงวัยวางห่อพลาสติกบางอย่างลงบนฝ่ามือ “เช่นกันค่ะ คุยกับคุณสนุกดีค่ะ”

            “ตกลงจะล่ำลากันอีกนานไหมครับดอน” จบคำพูดก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นลูบใบหน้า ท่าทางที่แสดงออกมาเช่นนั้นจึงทำให้พราวพุธไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าระอาใจชัดนัก

            “ถ้ามีโอกาสคงได้เจอกันนะ เทพีนำโชค”

            จบคำพูดพร้อมๆ กับการก้าวถอยหลังของพราวพุธ ประตูรถก็ถูกปิดลง ดวงตาดำขลับมองตามการเคลื่อนตัวของเอสยูวีสีดำสลับกับขนมห่อเล็กในมือ

            ฟอร์จูนคุกกี้2 แทนคำขอบคุณเรียกร้อยยิ้มจากพราวพุธได้เป็นอย่างดี ทั้งที่มันจะอยู่ในสภาพแตกหักจนได้เห็นแถบกระดาษสีขาวด้านในและรู้ว่ารสชาติของฟอร์จูนคุกกี้จากร้านไหนๆ ก็คงไม่แตกต่างกันแต่คำทำนายที่ซ่อนตัวอยู่ด้านในนั้นต่างหากที่ทำให้พราวพุธบรรจงแกะห่อขนมในมือ

            Finally, true love does exist. (ท้ายที่สุดแล้วรักแท้ก็มีอยู่จริง)

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา