มนตราดอกกุหลาบ
เขียนโดย 2305
วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.07 น.
แก้ไขเมื่อ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 14.21 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) บทที่ 3.1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 3
นับตั้งแต่อองรีมาเที่ยวเมืองไทยได้หลายเดือนแล้ว ไม่มีวันไหนที่เขาจะรู้สึกมีความสุขเท่ากับวันนี้มาก่อนเลย วันที่เขาได้เดินเคียงข้างไปกับรจนา อย่างช้าๆ บนถนนที่ปราศจากผู้คน นานๆครั้งจึงจะมีรถวิ่งผ่านมาสักคันหนึ่ง อากาศรอบตัวก็เย็นสบาย เนื่องจากเป็นช่วงฤดูหนาวของที่นี่ แต่สำหรับรจนาแล้วดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกหนาวพอสมควร เพราะเขาสังเกตเห็นเธอขยับเสื้อคลุมของเธอหลายครั้งหลายหน ถนนหนทางยามนั้นสว่างไสว ด้วยไฟประดับหลากสี หลากลวดลาย เพื่อเฉลิมฉลองวโรกาศวันเฉลิมพระชนม์พรรษาและคาบเกี่ยวไปถึงงานฉลองปีใหม่ด้วย ร้านค้าหลายแห่งในย่านนั้น ต่างพากันประดับไฟแข่งขันกันจนดูละลานตาไปหมด ต้นคริสต์มาสจำลองต้นใหญ่ สูงขนาดตึกหลายชั้น ได้รับการติดตั้งอยู่ตามห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ทุกที่ ทั้งสองคนเดินชมไฟไปตามทางด้วยความเพลิดเพลิน สลับกับการคุยกันเพื่อทำความรู้จักซึ่งกันและกัน
อองรีแนะนำตัวเขาเองว่า ชื่ออะไรและมาจากที่ไหน แต่เมื่อ รจนาแนะนำตัวเธอเอง เขากลับบอกว่า เขาทราบอยู่ก่อนแล้ว
“ผมทราบชื่อของคุณจากป้ายชื่อที่คุณติดอยู่บนเสื้อ ตอนทำงานที่ร้านอาหารแล้วก็จากสิ่งนี้...”
อองรีค่อยๆหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น ออกมาแล้วส่งให้เธอ
“ผ้าเช็ดหน้าของคุณใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ แต่ว่าทำไม...”เธอรับคืนมาด้วยความสงสัย
“มันติดมาอยู่กับผมตอนที่ผมเป็นลมที่ตลาดขายต้นไม้”
“อ๋อ เป็นคุณเองหรือคะ”
“ครับ ผมพยายามตามหาเจ้าของผ้าเช็ดหน้าผืนนี้อยู่หลายวัน ถ้าเล่าให้คุณฟังคุณอาจจะไม่เชื่อ ผมเคยพบคุณโดยบังเอิญบนสถานีรถไฟฟ้า แต่น่าเสียดายที่เรายืนอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกัน แต่นั่นก็ทำให้ผมรู้ว่าคุณกำลังศึกษาอยู่ที่ไหน ตั้งแต่นั้นมา ผมก็ไปตามหาคุณที่มหาวิทยาลัยทุกวัน สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปวันละคณะ”
รจนารำลึกถึงวันที่พบกับเขาโดยไม่ได้ตั้งใจที่สถานีรถไฟฟ้าได้เช่นกัน ซึ่งวันนั้นเธอเองก็รู้สึกแปลกๆเช่นกันที่ได้พบกับเขา โดยที่เธอเองก็อธิบายไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร
“ฉันเคยเห็นคุณมาที่คณะที่ฉันเรียนครั้งหนึ่งค่ะ”
“จริงหรือครับ”อองรีถามด้วยความตื่นเต้น
“ค่ะ ตอนนั้นฉันคิดว่าคุณเป็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามาหาอาหารราคาถูกๆ ในมหาวิทยาลัยทาน”
“ภาพพจน์ของผมดูแย่ถึงเพียงนั้นเชียวหรือครับ”อองรีกล่าวแล้วก็หัวเราะเบาๆ เพื่อสร้างความรู้สึกที่เป็นกันเอง แต่กลับทำให้รจนา ตกใจคิดว่าเธอกล่าวคำที่ดูถูกเขา จึงรีบขอโทษออกมาในทันที
“มิได้ค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกคุณนะคะ ฉันเองก็ไม่ใช่คนร่ำรวยมาจากไหน เป็นเด็กบ้านนอก ที่มาเรียนในกรุง ต้องอาศัยหอพักและอาหารราคาถูกๆของมหาวิทยาลัย เป็นที่พักพิงและประทังชีวิต ในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่”
“คุณจึงต้องหารายได้เสริม ในช่วงที่ว่างจากการเรียน”
“ค่ะ ฉันพอมีความสามารถในการเล่นดนตรีไทยอยู่บ้าง”
“การทำงานพาร์ตไทม์เป็นสิ่งที่ดีนะครับ เด็กฝรั่งหลายคนก็ทำแบบนี้ แต่ผมก็เป็นห่วงคุณว่าหากต้องทำงานเลิกดึกๆเช่นวันนี้ จนทำให้คุณไม่สามารถกลับมาที่หอพักได้ทันกำหนดเวลาแล้ว...”
รจนาหยุดเดินทันทีเมื่อได้รับฟังคำกล่าวที่แสดงถึงความเป็นห่วงของเขา
“ฉันพยายามที่จะทำตัวไม่ให้มีปัญหากับทางหอพัก เพราะหอพักของมหาวิทยาลัยนั้น ไม่เพียงพอต่อจำนวนนักศึกษาอยู่แล้ว หากฉันประพฤติตัวไม่ดี ก็อาจจะถูกตัดสิทธิ์ในการได้อยู่หอพักได้ ซึ่งนั้นจะทำให้ฉันต้องเดือดร้อนเพิ่มขึ้นอีกมาก แต่เหตุการณ์วันนี้ เป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ เพราะลูกค้าเยอะมาก อาจเป็นเพราะใกล้ช่วงเทศกาลด้วย และคนจดรายการอาหารก็ลาป่วยไปหนึ่งคน ฉันจึงต้องอยู่ช่วยงานเขาต่อ”
“ผมเข้าใจครับ ผมจึงได้เป็นห่วง”
รจนาไม่ได้กล่าวต่อแต่อย่างใด เธอก้าวเท้าออกเดินอีกครั้งอย่างช้าๆ จนในที่สุดอองรีต้องเป็นฝ่ายกล่าวขึ้นมาอีกครั้งว่า
“คุณน่าจะมีโทรศัพท์มือถือไว้ใช้สักเครื่อง เผื่อมีเหตุฉุกเฉินหรือเหตุขัดข้องอันใดอย่างเช่นวันนี้”
“ฉันเคยมีค่ะ แต่รู้สึกมีภาระต้องคอยเติมเงิน เพื่อรักษาสถานะภาพการใช้งาน จึงได้เลิกใช้เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย แม้ภายหลังจะมีกฎหมายออกมาห้ามจำกัดเวลาการใช้งานแล้วก็ตาม แต่ฉันก็ไม่คิดที่จะกลับไปมีอีก”
“ดูท่าทางคุณเป็นคนประหยัดมัธยัสถ์นะครับ”
“ฉันไม่ใช่คนรวยค่ะ ที่ต้องทำเช่นนี้ ก็เพื่อไม่ให้ตัวเองและครอบครัวต้องเดือดร้อน เท่านั้น”
อองรีเกิดความคิดอยากจะช่วยเหลือเธอให้มีรายได้เพิ่มขึ้น จึงได้เลียบเคียงสอบถามว่า
“พรุ่งนี้ เครื่องบินจะออกตอนห้าทุ่มครึ่ง เท่ากับว่าผมมีเวลาว่างช่วงกลางวันอีกทั้งวัน ไม่ทราบว่าผมจะมาพบคุณอีกได้ไหมครับ”
“พรุ่งนี้ฉันมีเรียนค่ะ”
“ถ้าเป็นเวลาหลังจากเรียนเสร็จเล่าครับ”
“ฉันก็ต้องทำงานที่ร้านอาหาร เช่นวันนี้”
“มาพบผมได้ไหมครับ แล้วผมจะชดเชยรายได้ที่คุณต้องเสียไปให้เป็นสองเท่า”
รจนาหยุดเดินในทันทีแล้วหันมาสบตากับเขาด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความเสียใจและผิดหวัง ก่อนที่จะกล่าวว่า
“ถึงฉันจะยากจน และต้องการหารายได้พิเศษเพื่อจุนเจือครอบครัว แต่ฉันก็ไม่ได้เป็นผู้หญิงอย่างที่คุณคิดนะคะ”
“ผมขอโทษ ถ้าผมกล่าวอะไรที่ทำให้คุณเข้าใจเป็นเช่นนั้น ผมเพียงแค่ขอให้คุณอยู่ทานข้าวกับผมสักมื้อ เพื่อเป็นการอำลา จะได้หรือไม่ครับ”
“ถึงบ้านของเพื่อนของฉันแล้วค่ะ ถ้าคุณไม่รังเกียจ ฉันขอยืมโทรศัพท์อีกสักครั้งได้ไหมคะ”
อองรีจำต้องยื่นโทรศัพท์ให้ตามที่เธอขอ แล้วรอคอยเธอแจ้งให้เพื่อนที่อยู่ในบ้านทราบว่าเธอมาถึงแล้ว และส่งโทรศัพท์คืนให้โดยกล่าวแต่เพียงคำขอบคุณสั้นๆ
“เดี๋ยวสิครับ คุณยังไม่ได้รับปากผมเลย”
“ขอบคุณอีกครั้งค่ะ” รจนากล่าวแค่นั้นแล้วก็รีบเดินเข้าประตูที่มีผู้มาเปิดรับในทันที เธอหันมามองเขาอีกครั้ง ขณะที่อองรีที่พยายามส่งสายตาวิงวอนเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ประตูเหล็กทึบจะถูกปิดเข้าหากัน พร้อมกับความหวังของเขาที่ดับวูบลง
อองรีเดินทางกลับมาที่พักด้วยความรู้สึกที่ผสมผสานกันไป ระหว่างความสุขในช่วงที่เพิ่งผ่านมากับความทุกข์ที่เขากำลังจะต้องเดินทางกลับไปในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เขามองดูกุหลาบต้นนั้น แล้วก็ต้องรำพึงในใจว่า
“ต่อแต่นี้ไป เมื่อเห็นดอกกุหลาบครั้งใด ผมคงอดไม่ได้ที่จะต้องคิดถึงคุณ”
วันรุ่งขึ้น อองรีไปนั่งเฝ้ารจนาที่คณะเรียนของเธอตั้งแต่เช้า เขานั่งลงที่ม้านั่งที่อยู่ใกล้อาคารเรียนที่สุด ด้วยหวังว่าจะได้พบเธอขณะใดขณะหนึ่ง นักศึกษาหลายคนมองดูเขาด้วยความแปลกใจ บางคนก็เข้ามาถามว่า จะให้ช่วยอะไรหรือไม่ เมื่ออองรีบอกว่า เขากำลังคอยเพื่อนอยู่ นักศึกษาเหล่านั้น ก็พากันล่าถอยไป
เมื่อจบชั่วโมงเรียนวิชาหนึ่ง นักศึกษากลุ่มหนึ่งก็ทยอยลงมาจากอาคารเรียน อองรีพยายามกวาดสายตามองหารจนา แต่ก็ไม่พบเห็นเงาร่างของเธอแต่อย่างใด จนนักศึกษาพากันกลับเข้าห้องเรียนอีกครั้ง เขาก็ยังคงนั่งรออยู่เช่นเดิมด้วยความอดทน จนได้เวลา 11 นาฬิกา เขาก็เริ่มรู้สึกหิว จึงตั้งใจที่จะไปหาอาหารทานก่อนที่จะได้เวลาพักเที่ยง เขาลุกขึ้นจากโต๊ะ หันกายเพื่อที่จะไปยังโรงอาหาร แต่แล้วความหิวโหยก็หายเป็นปลิดทิ้ง มีแต่ความปีติยินดีท่วมท้นขึ้นมาในใจ เพราะตรงหน้าของเขาเวลานี้ รจนาซึ่งหอบหนังสือแนบอกในท่วงท่าที่เขาเห็นอยู่เสมอ กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าเขา เธอมายืนอยู่ตรงนี้ นานเพียงใด เขาก็ไม่ทราบได้ แต่ว่าเธอได้เอ่ยปากถามเขาอย่างมีไมตรีว่า
“คุณมาคอยพบใครหรือเปล่าคะ”
“ผมมาคอยพบคุณครับ ตามที่ผมได้บอกคุณเมื่อคืนนี้”อองรีรีบกล่าวอย่างยินดี
“ฉันไม่ได้นัดคุณสักหน่อย แล้วคุณมาคอยตั้งแต่เมื่อไรกันคะ”
“ตั้งแต่เช้าเลยครับ ผมกลัวที่จะพลาดโอกาสที่จะพบกับคุณอีก”
“คุณอยากพบฉันถึงเพียงนี้เชียวหรือคะ”
“ครับ ผมอยากใช้เวลาทุกนาที ที่ยังอยู่ที่ประเทศไทย ให้อยู่กับคุณให้นานที่สุด”
เกิดความเงียบขึ้นมาในชั่วขณะ คงได้ยินแต่เสียงลมหายใจลึกๆยาวๆของทั้งสองเท่านั้น รจนาเงยหน้าขึ้นสบตากับอองรีอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวว่า
“ตามฉันมาสิคะ”
อองรีเดินตามเธอไปด้วยจิตใจที่ลิงโลด เธอพาเขาเดินไปยังอาคารหอประชุมใหญ่ แล้วหยุดอยู่ที่หน้าพระบรมราชานุสวรีย์ของอดีตพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ก่อนที่จะคุกเข่าลงนั่งพับเพียบแล้วก้มลงกราบด้วยความเคารพอย่างสวยงาม ทำให้เขาต้องรีบนั่งลงแล้วกราบตามเธอ
“นี่คือพระบรมราชานุสวรีย์ของพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และที่ 6 ของเรา ผู้ซึ่งก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ให้ลูกหลานชาวไทยได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้”
“คุณพาผมมากราบท่านทำไมหรือครับ”
“ฉันไม่ได้พาคุณมากราบ ฉันตั้งใจจะมากราบลาท่าน แต่คุณก็มากราบลาตามฉันเอง”
“กราบลา” อองรีทวนคำด้วยความสงสัย “คุณจะจากไปไหนหรือครับ จึงต้องมากราบลา”
“วันนี้ฉันไม่มีเรียนแล้วล่ะ จึงมากราบลาท่านเพื่อกลับไปเตรียมตัว...”
“เตรียมตัวทำอะไรหรือครับ”เขาถามด้วยความกังวลว่าเธอจะมีธุระอื่นอีกที่จะทำให้เขาไม่มีเวลาได้อยู่กับเธอ
“เตรียมตัวพาฝรั่งจอมตื๊ออย่างคุณไปเที่ยวไงคะ”
“พาผมไปเที่ยว” อองรีกล่าวแล้วก็กระโดดตัวลอยแล้วเปล่งเสียงไชโยด้วยความดีใจ จนรจนาต้องหันมาดุเบาๆว่า ยังมีบางชั้นเรียนยังคงเรียนหนังสืออยู่ จึงทำให้เขาสงบลงได้ แต่ถึงกระนั้น ในใจก็ยังตื่นเต้นยินดีอยู่ไม่คลาย
“ฉันอยากกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่หอพักก่อน คุณจะรอได้ไหมคะ”
อองรีไม่ขัดข้องอันใด ทั้งสองคนจึงพากันเดินไปยังหอพักที่รจนาอยู่ อองรีนั่งคอยอยู่ที่ชั้นล่างเพื่อให้เธอขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเก็บหนังสือ ในเวลาไม่นาน รจนาก็กลับลงมาในเครื่องแต่งกาย เสื้อเชิ้ตหลวมกับกางเกงยีนส์ ส่วนรองเท้าก็เปลี่ยนเป็นสวมใส่รองเท้าผ้าใบ ทำให้มองดูโฉบเฉี่ยวและน่ารักดี ในสายตาของเขา
“วันนี้คุณต้องเป็นหนูทดลองให้ฉันนะคะ”
“หนูทดลอง ยังไงหรือครับ ผมไม่เข้าใจ”
“คือว่าฉันกำลังอบรมเป็นมัคคุเทศก์อยู่ค่ะ ตอนนี้ยังไม่ได้ใบอนุญาต แต่จะขอทดลองพาคุณเที่ยว เท่าที่เวลาจะมี ได้ไหมคะ”
อองรีรับคำด้วยความยินดี และเมื่อรจนาถามเขาว่า เขาสนใจจะเที่ยวสถานที่แบบใด เขาก็บอกตรงๆว่า อยากชมวัดและวิถีชีวิตแบบไทยๆ เพราะที่ผ่านมานั้น อลิสามักจะนำเขาไปเที่ยวแต่ตามสถานที่ ที่หรูหราทั้งสิ้น
“แต่ว่า ตอนนี้ หาอะไรทานก่อนนะครับ ผมหิวแล้ว”
“ทานแบบธรรมดา เรียบๆง่ายๆนะคะ”
อองรีมอบหมายทุกสิ่งทุกอย่างให้เธอดำเนินการ รจนาเรียกรถแท็กซี่แล้วพาเขาไปยังย่านเยาวราช อองรีมองดูร้านรวงสองข้างทางด้วยความสนใจ เพราะเห็นมีแต่อักษรภาษาจีนเต็มไปหมด
“บริเวณนี้เราเรียกว่า เยาวราชค่ะ เป็นย่านไชน่าทาวน์ของกรุงเทพ คุณจะเห็นว่าสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าของคนจีนที่มีตัวอักษรจีนกำกับอยู่เต็มไปหมด” รจนาอธิบายให้เขาฟัง
รถแท็กซี่จอดที่ริมถนน ก่อนที่เธอจะพาเขาเดินเข้าไปในซอยเล็กๆ ลัดเลาะไปตามทางที่แออัดไปด้วยผู้คนจนมาถึงร้านขายบะหมี่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านห้องแถวธรรมดา ไม่ได้หรูหราแบบภัตตาคารตามที่เขาคุ้นเคยแต่อย่างใด เธอช่วยเขาแนะนำอาหาร ซึ่งเขาก็สั่งเหมือนกับที่เธอสั่งคือบะหมี่แห้ง คนละชาม เพราะเขาเคยทานจากร้านรถถีบที่ มาขายที่หน้าคอนโดที่เขาอาศัย แต่เมื่อคนขายยกบะหมี่ที่เขาและเธอสั่งมา อองรีก็ต้องตกใจในปริมาณที่มากมายของเส้นบะหมี่ ที่กระจุกตัวอยู่ในชามนั้น รวมทั้งลูกชิ้นอีกนับไม่ถ้วน อองรีมองไปยังหน้าร้านที่คนขายยืนลวกบะหมี่อยู่ด้วยความสนใจ บะหมี่ที่นี่ ไม่ได้จัดเรียงเป็นก้อนๆเพื่อความสะดวกในการขาย แต่กองกันอยู่เป็นภูเขา เวลาคนขายจะลวก ก็จะขยุ้มขึ้นมากำมือหนึ่งแล้วส่งลงหม้อน้ำเดือด ขณะที่ลูกชิ้นที่จะให้ลูกค้านั้น ก็ไม่ใช้วิธีนับจำนวน แต่ใช้ทัพพีคันใหญ่ ตักเอาพอประมาณแล้วเทลงใส่ชาม โดยไม่สนใจว่า จะได้จำนวนเท่าไร
“ร้านนี้ มีชื่อว่าร้านบะหมี่จับกังค่ะ” รจนาอธิบายให้เขาฟัง เมื่อเห็นเขามองดูด้วยความสงสัย ขณะเดียวกัน เธอก็หยิบถุงพลาสติกใบหนึ่งออกจากกระเป๋าถือของเธอ แล้วแบ่งอาหารจำนวนหนึ่งในชามของเธอใส่ถุงใบนั้น
“ปกติ ถ้าฉันมาทานร้านนี้ จะพาเพื่อนมาด้วย สั่งชามหนึ่งแล้วแบ่งกันทานสองคน”
อองรีไม่ได้ถามว่า อาหารที่เธอแบ่งใส่ถุงนั้นเพื่อวัตถุประสงค์อันใด เพราะมัวแต่สนใจรสชาติอันโอชะของอาหารที่อยู่เบื้องหน้า ทั้งสองคนใช้เวลาทานไม่นาน ก็เริ่มออกเดินทางต่อ คราวนี้รจนาเรียกรถสามล้อเครื่องให้มารับ อองรีรู้สึกตื่นเต้นและสนุกสนานที่ได้นั่งรถพาหนะที่ดูเหมือนจะเป็นสัญญลักษณ์ของกรุงเทพฯอย่างหนึ่ง ยิ่งยามที่คนขับเร่งเครื่อง จนบังเกิดเสียงดังที่แผดออกมา ผสานกับไอร้อนจากอากาศรอบกาย ทำให้ความรู้สึกเหมือนกับกำลังนั่งรถผจญภัยในสวนสนุกอย่างสนุกสนาน รถสามล้อคันนั้นมาจอดลงที่หน้าประตูวัดแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล อองรีมองจากประตูเข้าไป ก็เห็นวิหารที่ใหญ่โตงดงาม จนไม่อยากจะกระพริบตา ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
“ที่นี่คือวัดไตรมิตรค่ะ คุณจะได้พบกับพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประดิษฐานอยู่ภายในวิหารแห่งนี้”
อองรีเดินตามเธอขึ้นบันไดไปยังวิหารด้วยความสำรวมและเมื่อได้เข้าไปชมพระพุทธรูปทองคำที่ประดิษฐานอยู่ในวิหารนั้นแล้ว เขาก็ต้องทึ่ง และศรัทธาในความมีวัฒนธรรมและอารยะธรรมของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง หลังจากสักการะพระพุทธรูปเสร็จแล้ว รจนาก็พาชมดูวิหารหลังนั้น ทีละชั้นๆ จนครบทุกชั้นและในระหว่างที่เดินลงมาจากวิหารนั้น พ่อค้าคนหนึ่งก็ได้รี่เข้ามาหาอองรีเพื่อเสนอขายเข็มกลัดที่ระลึก ที่พวกเขาแอบถ่ายไว้ในระหว่างที่อองรีเดินขึ้นไปบนวิหาร อองรีได้ขอให้รจนาแจ้งแก่พ่อค้าคนนั้นว่า เขายินดีที่จะซื้อเข็มกลัดนั้น แต่ขอให้ถ่ายใหม่โดยเขาจะตั้งใจยืนเป็นแบบให้ถ่าย เพื่อภาพที่ออกมาจะได้สวยงาม ซึ่งพ่อค้าคนนั้นก็ตกลง อองรีจึงขอให้รจนามายืนข้างๆเขาเพื่อให้ช่างภาพถ่ายรูปคู่กัน ซึ่งรจนาก็ไม่ได้ขัดข้องอันใด เมื่อถ่ายเสร็จแล้ว พ่อค้าคนนั้นได้ขอเวลา 20 นาที เพื่อไปทำเข็มกลัด รจนาจึงพาเขาไปเดินชมรอบๆบริเวณวัดเพื่อเป็นการฆ่าเวลา ระหว่างที่อองรีกำลังสนใจดูร้านค้าที่จำหน่ายพวกวัตถุมงคลอยู่นั้น รจนาได้ขอตัวไปทำธุระส่วนตัวสักครู่ อองรีมองตามไปและเห็นเธอเดินไปหาขอทานผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ริมกำแพงวัด เธอหยิบบะหมี่ที่เธอห่อเก็บไว้ออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้ขอทานผู้นั้นอย่างไม่นึกรังเกียจแต่อย่างใด อองรีมองการกระทำของเธอแล้ว ก็รู้สึกชื่นชมในตัวเธอมากขึ้นไปอีก
พ่อค้านำเข็มกลัดที่มีรูปของเขาและรจนาถ่ายคู่กัน มาให้ 2 อัน อองรีจ่ายค่าตอบแทนให้โดยไม่ได้ต่อรองราคาสักคำ เขาส่งเข็มกลัดให้เธอ 1 อัน แล้วบอกให้เธอเก็บไว้เป็นที่ระลึก รจนารับมาแล้วกลัดเข้าที่อกเสื้อด้านซ้ายของเธอ ก่อนที่จะเปิดกระเป๋าเงินแล้วหยิบเงินออกมา
“คุณกำลังจะทำอะไรครับ ผมบอกแล้วไงว่าผมให้คุณ”อองรีร้องด้วยความตกใจ
“ฉันทราบค่ะ แต่คนไทยเขาถือว่าไม่ควรให้ของมีคมแก่กัน เพราะมันจะทิ่มแทงให้ได้รับความเจ็บปวด เอ้านี่ค่ะเงินเก้าบาท ฉันให้คุณเป็นการแก้เคล็ดค่ะ”
“อย่างนี้ผมก็ขาดทุนแย่นะสิครับ” อองรีกระเซ้าด้วยความสนุกก่อนที่ทั้งสองคนจะหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน อย่างมีความสุข จากนั้นรจนาก็พาเขานั่งรถสามล้อเครื่องอีกครั้ง เพื่อไปยังท่าเรือแห่งหนึ่ง เธอพาเขาลงเรือโดยสารล่องไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา เวลานั้นผู้คนบนเรือยังไม่มากนัก เนื่องจากยังเป็นช่วงเวลาทำงานหรือยังเรียนหนังสือกันอยู่ ทั้งสองคนจึงเลือกนั่งบริเวณกลางๆเรือ เพื่อให้ไกลจากเสียงและกลิ่นน้ำมันจากเครื่องยนต์ สายลมเย็นๆผสานกับละอองน้ำที่โปรยปราย ทำให้เกิดความสดชื่นขึ้นเป็นอย่างมาก อองรีนั่งดูทิวทัศน์และวิถีชีวิตของชาวบ้านริมสองฝั่งแม่น้ำด้วยความเพลิดเพลิน และต้องหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปด้วยความประทับใจอยู่ตลอดเวลา
เรือแล่นทวนน้ำขึ้นมาเรื่อยๆจนมองเห็นสะพานข้ามแม่น้ำขนาดใหญ่สองสะพานที่อยู่ติดๆกัน สะพานหนึ่งมีโครงสร้างเป็นเหล็ก ทาสีเขียว คล้ายกับสะพานหลายแห่งในกรุงปารีสบ้านของเขาแต่ใหญ่กว่าที่ปารีสมาก เมื่อเรือแล่นลอดสะพานดังกล่าว อองรีก็รู้สึกว่า บรรยากาศรอบกายของเขากลับเงียบสงบจนถึงกับวังเวงขึ้นมาในทันที เสียงเครื่องยนต์ที่เคยกระหึ่มก้องหูก็เงียบลงสนิท แต่แล้วก็กลับปรากฏเสียงร้องตะโกนสั่งงานกันจนแทบจะแสบแก้วหู แต่สิ่งที่ทำให้อองรีต้องตกตะลึงคือ เสียงร้องนั้นเป็นเสียงผู้คนตะโกนสั่งงานกันเป็นภาษาฝรั่งเศส!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ