Sacred Light ภัยแห่งลัทธิแสงศักดิ์สิทธิ์
เขียนโดย สิงหาศัพท์
วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.27 น.
แก้ไขเมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559 12.35 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) สาวน้อยผู้โดดเดี่ยว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ดูเหมือนว่ายังไม่มีใครรู้เรื่องที่พวกเขาเดินทางไปยังแดนต้องห้าม เครเซลไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นกับใครนอกจากเอลรี่ หรือไม่อย่างนั้น ชีวิตอันสงบสุขในวัยเรียนของเอเดรียนก็จบสิ้นลงแค่นั้น หรือเลวร้ายกว่านั้น พวกเขาอาจถูกไล่ออกจากโรงเรียนในวันถัดมา และคงไม่ต้องเจอปัญหานี้อีกแล้วก็ได้
“ขอโทษด้วยนะ แค่ฉันคนเดียวก็ทำท่าจะไม่รอดแล้ว ฉันคงช่วยนายไม่ได้จริงๆ”
“อย่างนั้นเหรอ ขอบใจนะ” เอเดรียนเอ่ยอย่างผิดหวัง ก่อนจะปลีกตัวออกมาเงียบๆ
นอกจากความลับเรื่องแดนต้องห้าม หรือเกมตามล่าแม่มดของลูน่าที่ยิ่งรุนแรงขึ้นทุกวัน ยังมีเรื่องอื่นที่เอเดรียนต้องเป็นห่วงมากกว่านั้นอีก ผลการเรียนที่ตกต่ำลงในภาคเรียนก่อนทำให้เขารู้สึกว่าต้องตั้งใจเรียนให้มากขึ้น แต่ทุกครั้งที่เขากำลังจะอ่านหนังสือ ลูน่าก็เข้ามากวนจนไม่มีความคืบหน้าสักนิดเดียว เขาจึงคิดว่าต้องหาคนช่วยติวหนังสือ เพื่อที่ลูน่าจะได้เข้ามาดึงเขาไปเล่นไร้สาระไม่ได้อีกต่อไป แต่ก็ไม่มีเพื่อนร่วมชั้นคนไหนยอมช่วยเขาเลย
กำลังเตรียมตัวล่วงหน้าสำหรับการสอบวิชาชีพเฉพาะตอนปีสาม… ไม่มั่นใจว่ามีความรู้พอจะสอน… ไม่อยากช่วยเพราะเหตุผลส่วนตัว… เขาพอจะเข้าใจเหตุผลพวกนั้น โดยเฉพาะเขาเป็นคนที่สอบตกวิชาประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยมีใครสอบตกมาก่อน มันคงแย่เกินกว่าที่ทุกคนจะยื่นมือเข้าช่วยแล้วจริงๆ
จากเดิมที่วางตัวช่วยเอาไว้หกสิบคน ตอนนี้ตอบปฏิเสธไปเกินครึ่งแล้ว
และเธอคนนี้คือคนที่สามสิบสี่ที่เขาจะไปขอร้อง
“อยากให้ฉันช่วยติวหนังสือให้เหรอคะ” ตัวช่วยคนที่สามสิบสี่เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือปรุงยาสบตากับเอเดรียน วันนี้เสื้อผ้าของเธอก็ยังมีกลิ่นหอมดอกไม้โชยอยู่เหมือนเดิม “ไม่เอาหรอกค่ะ ฉันไม่รู้ว่าเด็กปีสองเรียนอะไร แล้วก็อย่ารบกวนเวลาที่ฉันอ่านหนังสืออยู่ได้ไหมคะ หรือว่าจะให้ฉันบอกกับทุกคนว่าคุณลูกค้าไปที่ไหนกับใครเมื่อสัปดาห์ก่อน”
ถึงตรงนี้ เอเดรียนอยากกระโจนเข้าไปปิดปากของรุ่นน้องผู้หญิงแล้วคุกเข่าอ้อนวอนเธอ แต่ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในห้องสมุดโรงเรียน เขาจึงทำอย่างนั้นไม่ได้ มาริน่าเปิดอ่านหน้าถัดไป เขาฉวยโอกาสมองสิ่งที่เธอกำลังอ่านอยู่ก็พบกับสูตรปรุงยาที่ยากยิ่งกว่าครั้งก่อนจึงหลบสายตาทันที แต่เพราะเห็นว่าเธอทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้ เขาจึงคิดว่าเธอน่าจะช่วยเขาในเรื่องวิชาปรุงยาได้ ถึงในภาคเรียนก่อน เขาจะได้เกรดวิชาปรุงยา B ก็เถอะ
“หรือถ้าคุณลูกค้าคิดว่าฉันช่วยสอนเรื่องการปรุงยาได้ เลิกคิดเถอะค่ะ ฉันไม่มีเวลาช่วยสอนหรอก อีกอย่างหนึ่ง วิชาปรุงยาที่โรงเรียนนี้สอนก็เป็นแค่ภาคทฤษฎี ฉันที่เบนไปทางปฏิบัติคงสอนให้เข้าใจตรงกับบทเรียนไม่ได้หรอกค่ะ ช่วงนี้คุณลูกค้าก็ลองอ่านหนังสือเรียนด้วยตัวเองไปก่อนนะคะ”
“แล้วฉันก็ได้เกรดเฉลี่ย 2.7 มานี่ไง” เอเดรียนหัวเราะให้กับคำพูดของตัวเอง
“ได้ขนาดนั้นก็ยังไม่ดีพอเหรอคะ ฉันขอดูใบแจ้งผลการเรียนหน่อยได้หรือเปล่า” มาริน่ายื่นมือข้ามโต๊ะอ่านหนังสือ เอเดรียนที่มีสายตาหมดกำลังใจจึงส่งใบแจ้งผลการเรียนที่ม้วนเอาไว้อย่างดีให้กับเธอ หลังจากที่มาริน่าคลี่ม้วนกระดาษออก เธอก็เบิกตาโตกับสิ่งที่เห็นในบรรทัดแรก “เท่าที่เห็นก็ไม่ได้แย่อะไรนะ คณิตศาสตร์ B การใช้ภาษา B… เหลือเชื่อเลยค่ะ ฉันไม่เคยเห็นใครได้วิชาประวัติศาสตร์ต่ำกว่า C เลยนะ คุณลูกค้าทำได้ยังไงกันคะ ฉันจะได้ลองทำตามดูบ้าง”
มาริน่าอ่านผลการเรียนของเอเดรียนขณะที่กลั้นหัวเราะไปด้วย จนเขาเริ่มรู้สึกหัวเสีย
“แล้วเธอล่ะ ผลการเรียนตอนมัธยมต้นเป็นยังไง หวังว่าคงจะได้เยอะกว่าฉันนะ”
“นอกจากวิชาปรุงยาที่ฉันได้ A กับประวัติศาสตร์ที่ได้ B ทุกวิชาที่เหลือได้ C ทั้งหมดค่ะ” มาริน่าตอบอย่างภาคภูมิใจ แต่เอเดรียนหมดสิ่งที่จะพูดไปแล้ว เขามองรุ่นน้องที่มีดีแค่ความรู้ด้านวิชาปรุงยาเพียงอย่างเดียวแล้วฟุบหน้าลงกับหนังสือเรียน โดยไม่เงยหน้าขึ้นมาจนเสียงกริ่งหมดช่วงพักกลางวันใกล้จะดัง พวกเขาจึงเก็บหนังสือเดินออกจากห้องสมุด แต่ก่อนจะแยกกัน มาริน่าก็หันมาคุยกับเขาเป็นครั้งสุดท้าย
“ทำไมถึงไม่ให้รุ่นพี่ผู้หญิงที่ไปด้วยกันตอนนั้นช่วยล่ะคะ ดูท่าทางเธอจะหัวไวอยู่นะ”
เอเดรียนตอบ “ฉันจะขอให้ลูน่าช่วยแน่ แต่หลังจากที่ฉันขอร้องให้คนทั้งโลกช่วยแล้วเท่านั้นนะ” แล้วจึงเดินกลับไปที่ห้องเรียนของตัวเอง ระหว่างทางก็เดินผ่านห้องเรียนชั้นปีหนึ่ง เขาเห็นนักเรียนที่อยู่ในห้องช่วงพักกลางวันจับกลุ่มคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ไม่มีใครแตะหนังสือเรียนเลยสักคน พวกนั้นคงไม่รู้ว่าสิ่งที่ต้องเจอหลังจากที่เปิดภาคเรียนได้หนึ่งเดือนไม่ใช่อะไรที่จะทำอย่างนั้นแล้วจะผ่านไปได้ อย่างกับกำลังสั่งสอนตัวเขาเมื่อหนึ่งปีก่อนอยู่ในใจ
จนไปหยุดอยู่หน้าห้องเรียนปีสอง แต่เป็นคนละห้องกับห้องเรียนของเอเดรียน
เพื่อนร่วมชั้นต่างห้องกำลังจับกลุ่มกันระหว่างพักกลางวัน พวกนั้นแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ และสามกลุ่มเล็ก แต่มีเพียงกลุ่มเดียวที่กำลังอ่านหนังสือกันอยู่ เอเดรียนที่เห็นดังนั้นจึงมีความคิดที่จะเข้าไปร่วมวงอ่านหนังสือด้วยกันบ้าง แต่ก่อนหน้านี้ เขาเคยขอเข้ากลุ่มเด็กเรียนในห้องของเขาแล้วก็ถูกปฏิเสธ เพื่อนต่างห้องที่ไม่สนิทกันก็คงไม่ลังเลที่จะตอบปฏิเสธกลับมา
ระหว่างที่กำลังตัดสินใจอยู่นั้น เขาก็บังเอิญไปเห็นนักเรียนคนหนึ่งแยกตัวจากคนอื่นอย่างชัดเจน นักเรียนคนนั้นกำลังอ่านหนังสือเรียนอยู่ตามลำพัง แล้วยังตั้งใจอ่านยิ่งกว่ากลุ่มที่รวมตัวกันติวหนังสือเสียอีก ราวกับว่านั่นเป็นสิ่งเดียวที่เธอสามารถทำได้ในช่วงพักกลางวัน แล้วก่อนที่เขาจะรู้สึกตัว ภาพตรงหน้าก็ตัดมาตรงที่เอเดรียนกำลังนั่งอ่านหนังสือด้วยกันกับเธอ
แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงภาพในความคิดของเขาเท่านั้น
“คือว่า ขอรบกวนหน่อย” เอเดรียนที่ลังเลกำลังจะเดินเข้าไปในห้องเรียนอื่นที่ไม่ใช่ห้องของเขา
เสียงกริ่งหมดช่วงพักกลางวันดังขึ้นพอดี ทำให้เขาต้องรีบกลับไปที่ห้องเรียนก่อนที่อาจารย์จะเข้าไปแล้วเช็คชื่อให้เขาไปสาย วันนี้ลูน่าค่อนข้างสงบเสงี่ยม คงเพราะถูกพวกเครเซลประกบตั้งแต่ที่เข้ามาถึงห้องเรียนในตอนเช้า เธอจึงตามไปก่อกวนมาริน่าไม่ได้ นั่นเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นกับเอเดรียนตั้งแต่เปิดภาคเรียนใหม่เลย
แล้วการเรียนก็ดำเนินไปจนถึงบ่ายสามโมงครึ่ง
หลังจากที่คาบเรียนสุดท้ายของวันจบลงไปได้ครึ่งชั่วโมง ลูน่าหายตัวไปทันทีที่เสียงกริ่งดัง
ถึงจะไม่รู้ว่าเธอไปไหน แต่นี่ก็เป็นโอกาสที่เอเดรียนมีอยู่ เขารีบเก็บกระเป๋าเดินไปยังห้องสมุดทันที
เวลาผ่านไปเร็วมาก ระหว่างที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ เอลรี่ก็เข้ามาในห้องสมุดพร้อมกับเพื่อนของเธอ พวกเอลรี่เข้ามานั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือของเอเดรียนที่ยังมีเก้าอี้เหลือแล้วเริ่มอ่านหนังสือของตัวเอง ระหว่างนั้น เอเดรียนได้รับคำแนะนำเรื่องการเรียนจากเด็กปีสามเป็นบางครั้ง จนเมื่อรู้สึกตัวอีกที ห้องสมุดก็มีคนลดลงไปมากแล้ว โต๊ะอ่านหนังสือของเอเดรียนก็เพิ่งแยกย้ายเมื่อ 17:20 น. โรงเรียนนี้มีเวลาปิดอยู่ที่ 18:00 น. หรืออีกสี่สิบนาทีก็ต้องออกจากโรงเรียนแล้ว
“เจอกันพรุ่งนี้นะ แล้วก็เด็กปีสอง ตั้งใจเรียนให้มากหน่อยล่ะ” เพื่อนของเอลรี่ที่เหลือเป็นคนสุดท้ายโบกมือลา
“กลับบ้านปลอดภัยล่ะ ระหว่างทางก็แวะร้านเครื่องเขียนหน่อยล่ะ ฉันรู้สึกว่าเธอจะได้เจอเรื่องดีๆ ที่นั่นนะ”
“เข้าใจแล้ว ขอบใจที่แนะนำนะ” เพื่อนของเธอหันหลังเดินออกไปอย่างรวดเร็ว การก้าวเท้าราวกับกำลังมุ่งตรงไปหาสิ่งดีๆ ที่รออยู่ข้างหน้า อาจไม่ใช่ร้านขายเครื่องเขียนตามที่เอลรี่พูดกับเขาหรอกมั้ง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เพื่อนของเธอรู้ดี และเอเดรียนก็รู้มาตั้งแต่ตอนที่เอลด้าพาเขามาเจอกับเอลรี่ครั้งแรกแล้ว
คำแนะนำและการตัดสินใจของเธอถูกต้อง 100% ราวกับมีพลังมองเห็นอนาคตล่วงหน้า
เด็กสาวอายุมากกว่าที่มีพรสวรรค์มองเห็นอนาคตก้มสำรวจกระเป๋าของตัวเอง หนังสือเรียนและสมุดจดของเธอยังอยู่ครบ เท่าที่ได้เห็น กระเป๋านักเรียนของเด็กปีสามมีหนังสือเรียนอัดแน่นกว่ากระเป๋าของเอเดรียนหลายเท่า แต่หลังจากนั้นไม่นาน จากที่ใช้นิ้วพลิกสันหนังสือทีละเล่มก็เปลี่ยนเป็นการควานหาที่ไร้ระเบียบ
“แย่ล่ะสิ ฉันลืมของเอาไว้ที่ห้องเรียน ฉันจะกลับไปเอาก่อน เธอไปรอฉันที่หน้าประตูโรงเรียนเลยนะ”
“ผมไปหยิบให้ไหมครับ โต๊ะเรียนของคุณเอลรี่อยู่ตรงไหนครับ” เอเดรียนเสนอตัวเข้าช่วยเหลือ แต่เอลรี่ก็ยกมือห้าม
“เธออย่าเข้าไปในห้องเรียนของฉันดีกว่า มันมีของที่เธอไม่ควรจะเห็นอยู่ข้างในนั้น” แล้วเอลรี่ก็เดินจากไปทันที
เอเดรียนสงสัยในความรีบร้อนของเธอ ทั้งที่ตอนนั้นยังเหลือเวลาอีกสามสิบกว่านาทีก่อนที่ประตูโรงเรียนจะปิด แต่เขาก็โยนความสงสัยทิ้งไปตรงนั้น แล้วเดินไปหน้าโรงเรียนตามที่ถูกบอกเอาไว้ ระหว่างทางก็คิดถึงเรื่องของเอลรี่ไปพลางๆ เพราะการตัดสินใจของเอลรี่มักนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดทุกครั้ง การตัดสินใจเกือบทุกเรื่องในบ้านจึงเป็นหน้าที่ของเธอ รวมถึงในวันที่รับลูน่าเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านเช่นกัน
ถ้าเอลรี่บอกว่าลูน่าอยู่ในบ้านได้ เอลด้าที่เป็นแม่ของเธอก็จะไม่โต้แย้งใดๆ
“แต่จะคิดไป มันก็น่าแปลกจริงๆ”
เอเดรียนพูดกับตัวเองขณะที่กำลังเดินผ่านหน้าห้องเรียนของตัวเอง ตอนนี้กลายเป็นห้องที่ว่างเปล่าไปแล้ว เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมห้องที่เคยอบอวลเมื่อสองชั่วโมงก่อนทำให้เอเดรียนรู้สึกคิดถึงเล็กน้อย แต่มันก็จะกลับมาเป็นแบบเดิมในวันรุ่งขึ้นอยู่ดี ตอนนี้เหลืออีกหนึ่งห้องเรียนก็จะถึงบันไดลงไปชั้นหนึ่ง แล้วเขาก็จะเปลี่ยนรองเท้าเดินไปรอเอลรี่ที่หน้าประตูโรงเรียนทันที เขาคิดจะทำอย่างนั้น ถ้าไม่ได้บังเอิญไปเห็นสิ่งนี้ในห้องเรียนที่ควรจะไม่มีใครอยู่เข้าเสียก่อน
ตอนแรกเขาก็นึกว่าเส้นผมสีเงินกับดวงตาสีฟ้าของลูน่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากแล้ว แต่คนที่ยังนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียวในห้องเรียนในตอนนี้น่าจะหาได้ยากกว่าเสียอีก เด็กสาวที่กำลังอยู่ในห้องเรียนตามลำพังมีผิวสีขาวราวกับหิมะ เส้นผมสีดำถูกไว้จนยาวถึงกลางหลัง ส่วนสูงน่าจะใกล้เคียงกับลูน่า ใบหน้าของเธอที่มองจากนอกประตูห้องก็เป็นคนสวย อาจจะสวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาแล้วก็ได้ เธอคนนั้นคือ เพื่อนร่วมชั้นต่างห้องที่แยกตัวไปนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียวในช่วงพักกลางวัน
แล้วทำไมเธอถึงนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียวในห้องเรียนที่ถูกทิ้งให้ว่างเปล่าเช่นนี้ด้วย ถ้าไปอ่านที่ห้องสมุดหรือที่บ้านน่าจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ ด้วยความสงสัย เอเดรียนจึงเดินเข้าไปในห้อง แม้ตอนกลางวันจะลังเลอยู่บ้าง แต่ห้องเรียนนี้ในเวลานี้มีเธออยู่เพียงคนเดียว มันทำให้เขากล้าที่จะล่วงล้ำเข้าไปโดยไม่ลังเล เธอคงได้ยินเสียงฝีเท้าจึงเหลียวมามอง แล้วนั่นเป็นจังหวะที่เอเดรียนได้สบตากับเธอเป็นครั้งแรก
“ทำไมเธอถึงยังไม่กลับบ้านอีกล่ะ นี่ใกล้เวลาที่โรงเรียนจะปิดแล้วไม่ใช่เหรอ” เอเดรียนทักไปอย่างไม่กล้านัก แต่เพื่อนต่างห้องก็ไม่ตอบคำถามของเขา แววตาของเธอก็ไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง “ฉันเห็นเธอนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียวตั้งแต่ตอนพักกลางวันแล้ว เธอชอบอ่านหนังสือคนเดียวเหรอ หรือว่าเธอกำลังรอกลับบ้านพร้อมกับใครอยู่”
ไม่มีคำตอบจากเด็กสาวอีกครั้ง หลังจากที่เอเดรียนเอ่ยคำถามเสร็จ ความเงียบก็ปกคลุมทั่วทั้งห้องในทันที ไม่มีเสียงอื่นใดเกิดขึ้นนอกจากตอนที่เธอเปิดหนังสือหน้าใหม่ กลายเป็นช่องว่างไร้เสียงที่ทำให้รู้สึกอึดอัดพอสมควร
ในตอนนั้นเอง เอเดรียนก็นึกขึ้นได้ว่าสัญญาอะไรกับเอลรี่เอาไว้
“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไม่รบกวนเธอแล้ว แต่ยังไงก็กลับก่อนหกโมงเย็นก็แล้วกันนะ ฉันไปก่อนล่ะ”
เอเดรียนรีบวิ่งไปที่ประตูโรงเรียน แล้วก็พบเอลรี่กำลังยืนรออยู่แล้ว เธอทำสีหน้าอารมณ์เสียใส่เขาแล้วตำหนิเรื่องการรักษาเวลา ก่อนจะเดินกลับบ้านพร้อมกัน เด็กสาวที่นั่งอ่านหนังสือตามลำพังหันมองพระอาทิตย์ที่ใกล้จะลับขอบฟ้า จนถึงเวลา 17:50 น. เธอจึงเก็บกระเป๋าเดินออกจากโรงเรียน แล้วเดินกลับบ้านไปฝั่งตรงข้ามกับพวกเอเดรียน
เธอยังคงได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มคนนั้นดังอยู่ในความทรงจำ มันรบกวนการทบทวนบทเรียนในใจอย่างมาก เธอข่มให้เสียงที่ยังคงดังอยู่เงียบลงไป แต่สมองกลับไม่ทำตามคำสั่ง แล้วมันยังทำให้เธอนึกถึงใบหน้าของเอเดรียนขึ้นมาอีกด้วย ทั้งหมดที่เธอจำได้ คนที่เข้ามาคุยกับเธอก็มีหน้าตาพอใช้ได้ ถึงสำเนียงการพูดจะค่อนข้างฟังยากก็ตาม แต่สายตาตอนที่คุยกับเธอแตกต่างจากสายตาที่คนอื่นมองเธอหลังเข้าเรียนชั้นประถมลิบลับ
“เป็นคนที่แปลกจังเลยนะ…” เธอพูดกับตัวเอง ก่อนจะพาตัวเองเดินเข้าไปยังเขตที่มีผู้คนพลุกพล่านเพื่อกลับไปยังบ้านที่มีสภาพคล้ายกับบ้านผีสิง อย่างน้อยก็ในสายตาคนอื่นที่มองเข้ามายังบ้านของเธอ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ