KADILON CLAN สายเลือดเทพมังกร
เขียนโดย kanticha
วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 22.46 น.
แก้ไขเมื่อ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) บทนำ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทนำ
เปลวเพลิงสีแดงแผ่ไอร้อนระอุครอบคลุมไปทั่วชุมชนแห่งเล็กกลางป่า เสียงอวดครวญอย่างสิ้นหวังของเหล่าผู้อยู่อาศัยดังลั่นระงมไปทั่ว พวกเขาต่างร่ำไห้เว้าวอนและสาปแช่งผู้เป็นต้นเหตุแห่งเรื่องราวทั้งหมด ผู้เป็นต้นเหตุทำให้หมูบ้านต้องถูกทำลายย่อยยับลงในพริบตา
น่าแปลกที่สรุเสียงและภาพทั้งหมดกลับสะท้อนเด่นอยู่ภายใต้ทุกประสาทการรับรู้ของเด็กชายวัยแปดปีที่กำลังขบกัดฟันแน่น แม้เขาซ่อนตัวอยู่ภายในพุ่มไม้หนาทึบที่อยู่ไกลออกไปราวยี่สิบเมตร ทว่าภาพและเสียงกลับสัมผัสได้อย่างชัดเจน
ร่างของผู้เป็นพ่อที่ถูกตัดหัวทิ้งต่อหน้าต่อตายังวนเวียนอยู่ในหัวของเขา เอเทียส กระชับแขนกอดตัวน้องสาวที่ร้องไห้จ่า มือหนาลูบศีรษะของเธอเบาๆอย่างต้องการปลอบประโลม น้องสาวของเขายังเด็กเกินไป... เกินกว่าที่จะต้องมาเจอเรื่องร้ายๆแบบนี้
“เราควรไปจากที่นี้” เสียงของมารดาที่น้ำตาคลอเบ้านั้นสั่นระริก เด็กหนุ่มหันกลับไปมองแม่ของเขาที่กำลังพยายามเอามือปาดน้ำตาทิ้ง เธอต้องไม่แสดงความอ่อนแอให้ลูกๆเห็น เพราะในตอนนี้พวกเขาเหลือเธอคนเดียวเท่านั้นที่เป็นที่พึ่ง
เอเทียสเม้มริมฝีปากเข้าหากัน คำถามที่ต้องการคำตอบลอยว่อนไปทั่วทั้งสมองของเขา
ทำไม....คนพวกนั้นถึงต้องการตัวเขา ทำไม....คนพวกนั้นถึงใจดำอำมหิตได้ถึงเพียงนี้ พรากคนในครอบครัวของเขาไปแล้วยังมาเผาและทำลายคนในหมู่บ้านที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเขาเลยสักนิด
ทำไม.... ทำไม.... ทำไม.....
เพลิงแห่งความแค้นปรากฏขึ้นบนดวงตาสีเขียวเข้มของเขา เอเทียสกำมือแน่นด้วยแรงที่มากพอจะบดท่อนไม้หนาให้แหลกละเอียดหากมันอยู่ในมือ เด็กชายคำรามในใจอย่างคับแค้น
คอยดูเถอะครับ ท่านพ่อ ผมจะแก้แค้นคืนพวกนั้นให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันได้ทำกับพวกเราเอาไว้ ผมจะแข็งแกร่งขึ้น ผมจะไม่หนี ผมจะไม่ขี้ขลาด!
น้องสาวตัวน้อยขย้ำไหล่เสื้อของพี่ชายแน่น ปากเล็กๆพึมพำกับแม่และพี่ชายเสียงสั่นเทา“พี่เอส แม่จ้า....หนูกลัว”
เอเทียสกล้ำกลืนความคิดบ้าๆที่อยากจะแก้แค้นลงคอ เขาหันไปมองใบหน้าของแม่ที่ยังคงเปื้อนคราบน้ำตา ปาดน้ำตาที่เปรอะบนหน้าของตัวเองทิ้งแล้วหันไปจูงมือเด็กหญิงที่ยังร้องไห้ไม่หยุด
เด็กชายฝืนฉีกยิ้ม กระชับฝ่ามือบางแน่น “พี่สัญญาว่าจะไม่ปล่อยให้ใครต้องตายอีกเด็ดขาด” เขาให้คำมั่นกับตัวเองรวมทั้งวิญญาณของท่านพ่อที่ยอมสละชีพเพื่อให้ตัวเขา น้องและแม่มีชีวิตอยู่ต่อ เอเทียสก้มหน้าพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบากับน้องสาวและแม่เพียงคนเดียวของตัวเอง “ไปกันเถอะครับ เราต้องรีบไปจากที่นี้”
“จ๊ะ รีบไปกันเถอะ ไม่ร้องไห้นะอลิส” สตรีผู้มีศักดิ์เป็นแม่ของเด็กทั้งสองเดินไปจูงมือลูกสาวที่ยังส่งเสียงสะอื้นไม่หยุด หันไปดึงกระเป๋าย่ามเก่าๆที่คว้ามาใส่สิ่งของเครื่องใช้มาเพียงน้อยนิดขึ้นแบก เธอหันไปมองบ้านเรือนที่ลุกลามด้วยเปลวไฟเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะฝืนใจพาร่างของเด็กชายวัยแปดปีและเด็กหญิงอายุห้าปีเดินออกห่างจากที่ตรงนั้น
สามแม่ลูกเดินออกมาจากป่าทึบได้สำเร็จ พวกเธอเลือกที่จะหยุดพักเพื่อให้คนอายุน้อยสุดได้พักผ่อนร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการพบเจอเรื่องราวที่เธอไม่ควรเจอ เอเทียสเหลือบตามองน้องสาวที่กำลังนอนหนุนตักแม่ ดวงหน้าที่ปรกติแล้วสดใสเปื้อนเปรอะไปด้วยคราบน้ำตาที่เกิดจากความอ่อนแอของเจ้าตัว เอลล่า หญิงร่างบางลูบปอยผมของเด็กน้อยบนตักอย่างเบามือ เธอหวังว่าเมื่อตื่นขึ้นมาเด็กหญิงตัวน้อยจะถามเธอว่าสิ่งที่เกิดก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมงเป็นความฝัน
แต่แน่นอนว่ามันก็เป็นได้เพียงแค่ความหวังที่ริบหรี่และพร้อมจะมอดดับหากเพียงมีสิ่งใดมาราดทับ
เสียงอึกทึกที่ดังขึ้นทำลายความสงบของทั้งสาม เอเทียสสะดุ้ง เขาหันหน้าไปตามทิศที่ได้ยินเสียงก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างเมื่อกลิ่นควันไฟที่เขาคุ้นเคยล่องลอยมาพร้อมสายลมและฝูงนกที่แตกตื่น
“ไม่นะ...” เอลล่าพึมพำเสียงสั่นเทา และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เหล่าผู้ทำลายล้างจะปรากฏตัวขึ้นเหนือชายป่า มันห่างจากพวกเธอไม่ถึงสิบเมตร และหญิงสาวมั่นใจว่าม้าที่พวกเขาใช้เดินทางมาสามารถขับเคลื่อนตัวได้เร็วกว่าเธอและลูกๆ
เอเทียสถูกจ้องมองด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ราวหมาป่า เด็กชายนั่งอึ้งเป็นหินได้ไม่นาน สัญชาตญาณปลุกเร้าให้เขาดิ้นรน มือเล็กๆที่เคยแต่จับมีดหั่นผักและอุปกรณ์ทำอาหารคว้าไปดึงเอาตอไม้ผุๆที่อยู่ข้างตัวมาถือไว้ป้องกันตัว
เอลิซเซีย กรีดร้องด้วยความผวากลัวสุดขีด เธอตะกายเอาหน้าซุกอกผู้เป็นแม่ที่เอื้อมมือไปคว้ามีดทำครัวมาไว้ในมือ สามแม่ลูกดีดตัวขึ้นจากพื้นเมื่อไม่ถึงนาทีเหล่าคนชุดดำบนหลังม้าได้เคลื่อนตัวมาล้อมรอบพร้อมอาวุธหอกดาบครบมือ
ชายชุดดำคนหนึ่งกระโดดลงมาจากหลังม้า ในมือถือถุงอะไรบางอย่างติดมือมายืนอยู่ตรงหน้าเหยื่อทั้งสามที่กอดกันแน่น
เขาเทสิ่งของในถุงผ้าสีดำลงพื้น และสิ่งๆนั้นทำให้ครอบครัวตระกูลคาร์ดิลอนต้องเบิกตากว้าง
“!!” เอลล่าอ้าปากค้าง เธอเบือนใบหน้าหนีทั้งน้ำตาที่ไหลพรากอีกครั้งเพื่อที่จะได้ไม่เห็นภาพที่น่ากลัวตรงหน้า.... ภาพของศีรษะชุ่มเลือดของสามีที่เบิกตาโพล่งหันมาทางเธอและลูกๆที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้น
เด็กชายคำรามลั่น เขาแผดเสียงร้องและผละร่างมาจากอ้อมกอดของแม่และน้องสาว
“แก!!” ร่างเล็กโผเข้าหาชายร่างยักษ์ที่ฉีกยิ้มและดึงดาบเล่มหนาออกมาจากฝัก เอเทียสเห็นเพียงว่าร่างตรงหน้าสะบัดดาบวูบก่อนที่สติทั้งหมดของตัวเองจะถูกดึงเข้าสู่ห่วงมิติสีดำมืด
“เฮือก!!” ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก ดวงตาสีเขียวเบิกกว้างเหมือนเห็นผี ร่างสูงหอบหายใจถี่รวน อกแกร่งกระเพื่อมขึ้นลงแทบไม่เป็นจังหวะราวกับเสียงกลองที่ตีรัว เขายกมือที่มีเหงื่อติดเปียกโชกขึ้นกุมใบหน้าก่อนจังหวะการเต้นของหัวใจจะเริ่มเป็นปรกติหลังผู้เป็นเจ้าของเริ่มสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้
เขาหันไปมองนาฬิกาไม้ที่แขวนติดอยู่ข้างผนัง ถึงหนังตาของเขาจะหนักอึ้งแต่ก็ยังสังเกตเห็นเข็มนาฬิกาที่ชี้เป็นเวลาตีสาม ดูเหมือน... ภาพที่เขาเห็นเมื่อครู่ก็เป็นเพียงฝันร้ายที่ยังวนเวียนตามหลอกหลอนทุกคืน
“ฝันร้ายอีกแล้วหรอ...” เอเทียสสางผมที่ยุ่งเหยิงของตัวเองด้วยนิ้วมือลวกๆ อ้าปากหาวหวอดรอบหนึ่ง ก่อนสะบัดผ้าห่มสีมัวๆผืนเล็กขึ้นคลุมตัวและไม่ถึงสองนาที ร่างของเขาก็ดำดิ่งสู่ห้วงพวังการหลับใหลอีกครั้ง......
ความง่วงงุนทำให้เจ้าของห้องไม่ทันได้สังเกตเห็นสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งร่อนลงมาเกาะตรงขอบหน้าต่าง เหยี่ยวสีน้ำตาลดำตัวใหญ่จ้องมองผ่านผ้าม่านสีฟ้าโปร่งแสงด้วยดวงตาสีทองอร่าม มันหรี่ตาลงเพื่อจดจำรายละเอียดของภาพที่ตัวเองเห็นให้เยอะเท่าที่สมองของมันจะจำได้แล้วจึงค่อยๆถ่ายทอดความทรงจำทั้งหมดไปให้ผู้เป็นนาย
“เจอแล้วสินะ เคลวิน” เสียงทุ้มนุ่มของเจ้านายดังขึ้นในหัวของเหยี่ยวปีศาจ ร่างของมันสลายเป็นควันดำแล้วรวมตัวกันอีกครั้งมาในร่างของเด็กหนุ่มวัยสิบถึงสิบสามปีที่กำลังนั่งห้อยขาอยู่บนหลังคาบ้านเช่าเก่าๆ
เคลวินฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วตอบกลับ “ขอรับ ไม่ผิดแน่ ข้าสัมผัสไอพลังเวทมหาศาลจากตัวเขาได้เลย”
ณ บ้านพักแห่งหนึ่งในชานเมืองคอร์เวเรีย บุรุษในชุดคลุมดำส่งเสียงหัวเราะในลำคอ เขายกมือขึ้นลูบปลายคางพลางเหล่ตามองสตรีผมบลอนด์ที่กำลังบรรจงลูบไล่ทำความสะอาดคมดาบสีเงินอยู่บนโซฟาไม่ไกลจากจุดที่เขากำลังนั่งอยู่ ใบหน้ารูปเดียวกันหันมาสบตาอย่างรู้ใจ
“เจอแล้วหรอ” เธอกระตุกยิ้มมุมปากก่อนเก็บดาบเข้าฝัก มองหน้าฝาแฝดที่ยิ้มระคนยินดีตอบรับ
“สิบสามปีแล้วนะ” หญิงสาวพูดต่อ ล้มตัวพิงโซฟาสีแดงที่ทำมาจากเนื้อผ้านุ่มฟูแล้วจึงหันไปมองอีกคนในห้องที่กางแขนรับเหยี่ยวตัวใหญ่ที่โผเข้ามาทางหน้าต่าง มันแปรสภาพร่างเป็นแมวสีดำวิ่งเข้ามาคลอเคลียเจ้านายทั้งสองเป็นการทักทาย
ชายหนุ่มร่างสูงก้าวมาทรุดตัวลงบนโซฟาอีกตัวที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับตัวที่แฝดสาวของตัวเองจับจองอยู่ โต๊ะตัวเตี้ยตรงกลางจึงกลายเป็นที่นอนของเคลวินในร่างแมวดำไปโดยปริยาย
ถึงห้องพักจะมีเตียงนอนแต่ฝาแฝดทั้งสองกลับตัดสินใจที่จะปล่อยว่างไว้เพื่อไม่เป็นการเอาเปรียบฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง พวกเขาเคารพซึ่งกันและกันเสมอ ทั้งการตัดสินใจและการทำงานจึงแทบไม่มีจุดบกพร่อง
......ก็คงมีงานตามตัวครั้งนี้ที่พวกเขารับมาตั้งแต่เมื่อสามปีที่แล้ว โดยได้รับช่วงต่อจากคู่ปฏิบัติงานอีกคู่ที่พึ่งปลดเกษียรไป แต่แท้ที่จริงแล้วงานชิ้นนี้มีอายุการดำเนินงานมาแล้วถึงสิบปี แน่นอนว่าเมื่อรวมกับสามปีของพวกเขาจึงตกเป็นสิบสามปีเต็ม !
จากการตามตัวผู้ชายคนนั้นมาตลอดสิบสามปี ในที่สุดก็เจอตัวเสียที ถึงจะน่าเสียดายที่การเล่นไล่จับครั้งนี้ต้องจบลงเพียงเท่านี้ แต่เมื่อเทียบกับค่าตอบแทนที่มีมูลค่ามากกว่าหลายล้านเหรียญทอง สองฝาแฝดจึงไม่คิดปล่อยโอกาสครั้งนี้ไปเด็ดขาด
ซีรัส หัวเราะในลำคอขณะปลดผ้าคลุมสีดำออกจากตัว เขาโยนมันข้างหลัง และเผยให้เห็นรูปร่างกำยำใต้เชื้อเชิ้ตสีดำอีกตัว ดวงตาสีทองฉายประกายวาววาบเมื่อมันกระทบเข้ากับแสงสีเงินจากดวงจันทร์เต็มดวง
“บุรุษผู้ถูกเลือกแห่งคาร์ดิลอน หยุดคอยพวกเราสักครู่ แล้วแกจะตกเป็นของเฮเดส !!”
...............................................................................................................
ถ้าคุ้นก็ไม่ต้องสงสัยนะคะ เราลงเรื่องนี้ในเด็กดีด้วย เห็นเพื่อนแนะนำให้ลองลงดู เราก็เลยเอาเรื่องคาร์ดิลอนมาลง นี่ก็เป็นเรื่องแรกที่ลง ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าความเห็นของนักอ่านในขีดเขียนจะเหมือนเด็กดีหรือเปล่า ถ้าผิดพลาดตรงไหน ก็ช่วยติชมกันด้วยนะค้าา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ