สาวโอตาคุกู้วิกฤตพิชิตโลก
เขียนโดย Yaksa
วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 01.14 น.
แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 02.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ชีวิตแบบเลือกได้!?
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
‘เฮ้ย! หมอนั้นมันมาเรียนด้วยว่ะ’
‘ชิ น่าขยะแขยงจริงๆไอ้โอตาคุ เอ๊ย!’
‘เป็นคนที่มืดมนจริงๆแฮะหมอนั้น’
เพียงแค่เพราะผมเปิดประตูเข้ามายังห้องเรียนคำพูดนินทาว่าร้ายต่างๆดังระงมมาจากนักเรียนบางส่วน แม้จะเป็นการพูดด้วยน้ำเสียงราวกับกระซิบกันแต่ผมก็ยังคงได้ยินอย่างชัดเจน ผมก้มหน้าต่ำลงเล็กน้อยและปล่อยให้คำพูดต่างๆนั้นๆลอยผ่านไปและอย่างที่ทุกคนในห้องบอกไม่มีใครอยากจะเข้ามาพูดคุยกับคนที่มีท่าทีมืดมนอย่างผมหรอก
หลังจากเดินผ่านนักเรียนบางส่วนไปยังที่นั่งของตนเอง เมื่อวางกระเป๋าแล้วผมก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะทันทีนั้นทำให้คนในห้องต่างหมดความสนใจในตัวผม ที่ต้องทำตอนนี้ก็แค่รอให้เวลาเดินผ่านไป
ไม่นานนักอาจารย์ก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมจะเริ่มการเรียนการสอน นักเรียกทุกคนต่างเดินกลับไปนั่งยังที่ของตนและหยิบตำราพร้อมด้วยอุปกรณ์การเรียนออกมา แต่นั้นก็เป็นแค่บางส่วนเท่านั้น เพราะยังคงมีพวกที่ไม่สนใจเรียนหยิบมือถือขึ้นมาเปิดเล่นระหว่างสอนเช่นเคย
ส่วนผมก็ได้แต่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะเหมือนเดิมสาเหตุก็มาจากอาจารย์มักมองว่าผมนั้นไม่มีความจำเป็นต้องให้ความสนใจมากนักก็ได้ อาจเรียกได้ว่าเป็นสิทธิพิเศษของผมเพียงคนเดียวก็ได้แม้จะไม่ค่อยน่าดีใจเสียเท่าไหร่
‘เฮ้...ได้ดูการแข่งเมื่อคืนไหม?’
นักเรียนชายที่นั่งอยู่ข้างหน้าผมเริ่มหันไปพูดคุยกับเพื่อนของเขาที่อยู่โต๊ะข้างๆ
‘อ๊ะ! พลาดไปแฮะลืมไปซะสนิดเลยล่ะ แล้วเป็นไงบ้างวะ’
‘อ่า...อย่างที่คิดนั้นแหละ เอสแคป(Escap)ชนะ ได้สู้กับแชมป์แน่นอน’
‘ว่าแล้ว...งั้นวันนี้ตอนเย็นขอไปดูที่บ้านแกหน่อยแล้วกัน’
เรื่องที่ชายทั้งสองพูดอยู่คงหมายถึงหนึ่งในเกมที่ฮิตกันมากอยู่ในขณะนี้ RWX (Real War X) เกมประเภท Strategy Game หรือก็คือวางแผนการรบนั้นเอง แต่ทว่าอาจารย์เริ่มสงสายตาอาฆาตมาให้นักเรียนชายทั้งสองจึงกลับไปนั่งเรียนตามปกติ
ส่วนผมเมื่อได้ยินเรื่องนี้เข้าทำให้ความสนใจของผมไปอยู่ในหัวข้อเรื่องเมื่อครู่เสียแล้ว ผมจึงหยิบมือถือขึ้นมาเปิดหาข้อมูลของเกมอย่างสนอกสนใจโดยเรื่องการเรียนนั้นไม่มีอยู่ในหัวเสียแล้ว
หลังจากเวลาผ่านไปจนเสียงกริ่งดังขึ้นบอกเวลาว่าเข้าสู้ช่วงพักเที่ยง ผมค่อยๆดันตัวเองขึ้นจากโต๊ะเพราะเผลอหลับไประหว่างเรียนที่จริงก็ไม่ได้เรียนเลยเสียเท่าไหร่
“เฮ้ย!.ไอ้แห้ง! มาโรงเรียนด้วยเหรอพวก?”
นักเรียนชายร่างใหญ่เดินเข้ามาเตะโต๊ะอย่างแรงเสียงดังจนดึงสายตาของคนทั้งห้องให้สนใจ แน่นอนว่าผมได้แต่นิ่งเงียบไม่ตอบโต้อะไรไปก็เพราะอีกฝ่ายเป็นนักเลงของห้องและยังหมัดหนักมากเสียด้วย
“ไหนๆก็มาแล้วช่วยทำเหมือนทุกทีด้วยล่ะ...”
ชายคนนั้นก้มหน้าลงมาหาผมและพูดด้วยเสียงเชิงข่มขู่ ซึ่งแน่นอนว่าผมนั้นไม่อยากจะมีปัญหาอะไรมากจึงหลบสายตาและพยักหน้าอย่างว่าง่าย
“ดีมาก...งั้นฉันจะไปรอที่เดิมนะ...”
เขาเปลี่ยนสีหน้าข่มขู่เมื่อครู่เป็นการยิ้มให้อย่างรวดเร็วก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมด้วยเพื่อนอีกสองคน ผมเองก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายพลางมองแผ่นหลังนั้นหายลับไป ก่อนจะหยิบมือถือและหูฟังมาเปิดเพลงฟัง
เมื่อดนตรีสิ้นการบรรเลงไปหนึ่งบทเพลงผมก็เก็บมือถือไปและหยิบกระเป๋าเดินออกมาจากห้อง
สำหรับเรื่องที่นักเลงประจำห้องขอไว้ถ้าเหมือนทุกทีก็พอจะยอมๆได้อยู่นะ แต่วันนี้นั้นเห็นทีคงจะไม่ได้
ระหว่างที่คิดแบบนั้นก็เดินตรงไปยังทางออกของโรงเรียนแต่ทว่า...
“กะไว้แล้วว่าแกต้องไม่ทำตามที่ฉันบอก...”
กลุ่มชายหน้าเหี้ยมทั้งสามยืนอยู่ตรงทางออกพร้อมกับกำหมัดกันแน่น ผมถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะโยนกระเป๋าทิ้งไปจากนั้นจึงตั้งการ์ดขึ้นมาด้วยหัวใจที่สั่นระรัว
เสียงออดเข้าเรียนดังขึ้นมาอีกครั้งช่วยบอกเวลาว่าถึงเวลาเข้าเรียนช่วงบ่ายแล้ว ผมที่นอนมองท้องฟ้าสีครามอยู่นั้นค่อยๆใช้มือยกขึ้นมาบีบจมูกที่มีเลือดไหลอยู่ รู้สึกเจ็บปวดตามร่างกายไปหมด อย่างน้อยก็ไม่หมดสติไปเสียก่อน
ผมค่อยๆดันตัวเองขึ้นมาจากพื้นก่อนจะลากเท้าไปหยิบกระเป๋าที่โยนทิ้งไปขึ้นมา ผมล้วงมือถือพร้อมด้วยหูฟังถูกหยิบขึ้นมาอีกครั้งผมปล่อยให้เรื่องเมื่อครู่ผ่านไปอย่างไม่คิดอะไรและเปิดเพลงฟัง
หลังจากสำรวจความเสียหายตามร่างกายและปัดเศษดินที่ติดตามชุดออกไปบ้างแล้วผมก็เดินออกมาจากประตูโรงเรียนทันที
“เจ็บเป็นบ้าเลย…แต่ก็ดีกว่าต้องอยู่จนเย็นล่ะนะ...”
ระหว่างที่เดินจนพ้นเขตโรงเรียนมาและปล่อยใจไปตามเสียงเพลง จู่ๆเสียงดนตรีที่เล่นอยู่ก็ดับไป เพราะมีเสียงเตือนข้อความเข้ามาแทนผมจึงถอดหูฟังหยิบมือถือมาเปิดอ่านข้อความบนแอพแชท
[ยังเรียนอยู่เหรอเปล่า...] : HRs
เมื่ออ่านข้อความนั้นผมเปลี่ยนความสนใจจากตัวอักษรไปยังชื่อผู้ส่งแทน
อ๊ะ! เปลี่ยนรูปโปรไฟล์อีกแล้วแฮะ...
[ไม่ครับ] : Saki
และพิมพ์ตอบกลับไปเหมือนทุกทีด้วยคำที่สุภาพ
[วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ว่างหรือเปล่า?] : HRs
[คิดว่าว่างนะครับ ทำไมเหรอ?] : Saki
[จะชวนไปอีเวนท์ที่เราเคยไปด้วยกันครั้งแรกไง...] : HRs
ผมพยายามนึกว่าอีเวนท์แรกที่เคยไปกับอีกฝ่ายคืออะไร แต่ก็นึกไม่ออกจึงพิมพ์แบบเลี่ยงไว้ก่อน
[เหรอครับ? ก็ดีนะครับถือว่าเป็นการลำลึกความหลัง] : Saki
[นาย... ช่างเถอะ! ไว้จะทักมาใหม่แล้วกัน] : HRs
[เอ่อ...งั้นก็โชคดีนะครับ] : Saki
แล้วสีที่อยู่รอบกรอบโปรไฟล์ของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนจากสีเขียวไปเป็นสีแดงทันที
สำหรับคนอย่างผมแล้วในโลกจริงก็เรียกได้ว่าไม่ค่อยจะมีเพื่อนซักเท่าไหร่ หากเป็นผู้หญิงนั้นยิ่งแล้วใหญ่เลยแต่ก็มียกเว้นไว้บ้างอย่างเช่นคนที่ผมคุยตอบในแชทเมื่อครู่
แม้ว่าเธอคนนั้นจะมีงานอดิเรกแบบเดียวกับผมแต่ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงที่หน้าตาดีมาก ซึ่งแน่นอนว่าอย่างเธอก็คงคบผมเป็นเพื่อนคุยอยู่แล้วและไม่แน่ว่าอาจมีแฟนแล้วด้วยก็ได้
“เฮ้อ...ช่างเถอะอยู่เป็นโสดไปชั่วชีวิตก็ไม่เลวเท่าไหร่”
ระหว่างที่บ่นออกมาแบบนั้นผมก็ใส่หูฟังและเปิดเพลงฟังอีกครั้ง
เนื่องจากว่าโดดเรียนช่วงบ่ายมาเพราะจุดประสงค์บางอย่างผมจึงแวะร้านขายหนังสือเจ้าประจำเสียหน่อย เมื่อเปิดประตูร้านเข้าไปผมก็หาซื้อนิตยสารเกมก่อนจะเดิรตรงเข้าไปยังโซนหนังสือที่เป็นแนวโปรด
ร้านนี้นั้นยิ่งเดินเข้ามาลึกเท่าไหร่ก็ยิ่งบ่งบอกได้ถึงแนวหนังสือและเรทอายุในการอ่าน แม้ว่าผมจะไม่เดินเข้าไปลึกสุดแต่ก็เรียกได้ว่าเกือบเข้าโซนผู้ใหญ่เลย ผมหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดผ่านๆพลางพินิจภาพบนปกอย่างตั้งใจก่อนจะใช้เวลาราวสิบห้านาทีหยิบหนังสือมาจ่ายเงินด้วยจำนวนสามเล่ม
“ยังอ่านแนวเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ แล้วหน้าไปโดนอะไรมาล่ะนั้น?”
เจ้าของร้านหน้าโหดเอ่ยถามอย่างเป็นกันเองเมื่อเห็นว่าเป็นผมที่มาซื้อ
“ครับ...ของที่ชอบยังไงก็ยังชอบอยู่เหมือนเดิมนั้นแหละครับ”
ผมตอบคำถามแรกไปและเลี่ยงการตอบคำถามที่สอง
“ไม่สนใจเปลี่ยนมาแนวเดียวกับฉันบ้างเหรอ”
“แนวเสี่ยงคุกแบบนั้นผมไม่อยากจะมีส่วนร่วมเสียเท่าไหร่นะครับ”
ระหว่างคุยกันอยู่นั้นทางเจ้าของร้านก็หยิบหนังสือไปคิดเงินส่วนผมก็หยิบกระเป๋าเงินออกมาเตรียมจ่าย
“เอ่อ...ใช่เกือบลืมฉันมีอะไรจะแถมให้ด้วย”
ว่าแล้วเจ้าของร้านก็ก้มลงไปหยิบม้วนกระดาษออกมายืนให้ซึ่งผมก็รับมาแต่โดยมีและเปิดดูเนื้อหาภายใน ภาพที่ถูกพิมพ์ลงไปนั้นคือภาพวาดของหญิงสาวสองคนที่กำลังจับมือกันอยู่ท่ามกลางฉากหลังเป็นโลกที่ล่มสลายไปแล้ว แนวคิดออกจะแปลกๆแต่ภาพก็สวยอย่างที่บอกจริงๆ
“เป็นไงล่ะงานดีมาเลยใช่ไหมล่ะ รับเอาไว้แทนคำขอบคุณที่มาร้านฉันบ่อยๆแล้วกัน”
“ขอบคุณครับ”
ผมนำหนังสือและโปสเตอร์เก็บลงกระเป๋าอย่างระมัดระวังก่อนจะกล่าวลาเจ้าของร้านและเดินออกมา
ใช่แล้ว...ถ้าจะให้พูดก็คือผมนั้นเป็นโอตคุแถมยังอยู่ในประเภทวายยูริเสียด้วย สาเหตุที่ชื่นชอบแนวนี้เป็นพิเศษก็เพราะว่าตอนม.ต้นผมเคยไปเห็นการสารภาพรักของผู้ที่น่ารักที่สุดในห้องแต่ว่าคนที่เธอบอกความในใจไปกลับเป็นผู้หญิง
แถมยังเป็นสาวนักกีฬาที่ที่สวยมาก เธอคนั้นตอบตกลงไปผมได้เห็นภาพนั้นก็ถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความยินดีพร้อมด้วยหัวใจที่เต้นระรัวเพราะได้ค้นพบตัวเอง แล้วนี้ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมถูกเปิดเผยตัวตนจริงๆในฐานะโอตาคุอีกด้วย
เรื่องในอดีตช่างมันเถอะ...คิดย้อนไปก็ได้แต่จะทำให้น้ำตาไหลเสียเปล่าๆ...
ผมหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลาก่อนจะเปิดเพลงฟังอีกครั้ง ในตอนนี้นักเรียนส่วนใหญ่ต่างก็เลิกเรียนกันบ้างแล้ว ผมเดินผ่านผู้คนส่วนใหญ่ตรงกลับบ้านอย่างสบายๆไม่รีบร้อนเสียเท่าไหร่อาจเพราะร่างกายที่ยังคงปวดร้าวจากการถูกอัดจนลงไปกองกับพื้น
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่จะทำในคืนนี้ผมก็มาหยุดตรงทางม้าลายพอดี สัญญาณไฟเป็นสีแดงบ่งบอกว่าห้ามข้ามผมจึงหยุดรอและคิดอะไรไปเพลินๆพลางมองรถที่สวนกันไปมา
แต่ทันใดนั้นเองสิ่งที่ผมไม่คิดว่าได้พบเจอกับตัวก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า เมื่อเด็กสาวคนหนึ่งวิ่งข้ามถนนไปเพราะลูกแมวของเธอที่อุ้มไว้มันกระโจนไปกลางถนน ในตอนนี้ผมเห็นทุกสิ่งรอบตัวราวกับมันเคลื่อนไหวไปอย่างช้าๆ
ทุกคนในที่นี้ต่างแข็งทื่อด้วยความตกใจ รถที่วิ่งมานั้นส่งเสียงแตรออกมาไม่ขาดสาย พริบตานั้นภาพผมเห็นเปลี่ยนไปจากจุดเดิมที่เคยอยู่
เรามาทำอะไรตรงนี้กัน...
ผมใช้แรงที่มีอยู่ทั้งหมดโยนเด็กสาวที่อยู่ข้างตัวออกไปให้พ้นถนน และพยายามผลักตัวเองออกจากจุดนี้แต่ทว่าขาของผมกลับหมดสภาพไปเสียแล้ว และภาพที่ผมเห็นก็เปลี่ยนไปอีกครั้งเป็นท้องฟ้าที่ถูกย้อมด้วยสีแดง...
อาจเพราะมีความเป็นโลลิคอนแฝงอยู่ในตัว ผมถึงได้กล้าบ้าพอที่จะแลกชีวิตตัวเองกับเด็กสาวคนนั้นระหว่างที่นึกอะไรเล่นอย่างตลกร้าย สัมผัสต่างๆก็เริ่มหายไป...
ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด มีเพียงความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดพรั่งพรูออกมาแต่ไม่สามารถส่งเสียงออกไปได้ สิ่งสุดท้ายที่นึกออกก็คือ...
‘...ยังไม่ได้อ่านหนังสือที่ซื้อมาเลย...ช่างเถอะ...ทำอะไรไม่ได้แล้ว...’
ผมพยายามฉีกยิ้มให้เต็มที่ก่อนความรู้สึกทั้งหมดจะหายไป...
~ ~ ~
สีขาว? สีดำ? ดวงดาว? ผืนน้ำ?
ไม่เข้าใจ...เกิดอะไรขึ้นกัน เราน่าจะ... ตาย?
“ยังอาวรณ์อยู่หรือ?”
“ก็นิดหน่อยนะ...หืม! ใครน่ะ!”
“เราเอง~ ”
อีกฝ่ายปรากฏตัวตรงหน้าพร้อมกับเอ่ยทักผมอย่างเป็นมิตร แต่เพราะอย่างนั้นกลับทำผมรู้สึกตกใจเล็กน้อย
“รู้สึกเป็นไงบ้างล่ะ?”
“ก็...โหวงๆ เหมือนขาดอะไรไป...”
อีกฝ่ายส่งเสียง หืม...ออกมาก่อนจะหายไปและปรากฏตัวขึ้นโดยการลอยอยู่ตรงหัวของผม หญิงสาวหน้าตาดีแต่ทั้งการแต่กาย สีผม ดวงตา ไม่สิ...เรียกว่าเกือบทั้งหมดออกแนวไปทางแฟนตาซีแทบทั้งนั้น
ทั้งผมที่เปลี่ยนสีไประยะๆ ดวงตาที่เหมือนผลึกแก้วและยังมีประกายของดาวหางลอยออกมา ทั้งแขนขาตั้งแต่ศอกและเข่าลงไปมีลักษณะราวกับดึงอวากาศมาอยู่ในนั้น ส่วนชุดที่เธอสวมก็เรียกได้ว่าหาคำมาอธิบายแนวชุดได้ยากมากไม่รู้จะเรียกว่าไซไฟหรืออีโนติกดีล่ะ
“แล้ว...คุณเป็นใครครับ”
“เราเหรอ? อืม...เป็นตัวตนแห่งอำนาจ (Energy/Space) ล่ะมั้ง แต่คนที่ส่งตัวเธอมาให้เราน่ะคือตัวตนที่พวกเธอเรียกกันว่าความตาย (Death/Rule) ล่ะนะ”
“สรุปง่ายๆก็...พระเจ้า?”
“ไม่ถึงขนาดนั้นแต่ก็เป็นตัวตนที่ไกล้เคียงล่ะนะ”
อีกฝ่ายยิ้มให้อย่างสบายๆ
“อ่า...งั้นผมก็ตายไปแล้วจริงๆสินะครับ”
“ถูกต้องแล้วจ้า...”
เธอเปลี่ยนที่ตัวเองอีกครั้งโดยการมาปรากฏอยู่ด้านหลังของผมแทน
“ว่าแต่...เรียกผมมาทำไมล่ะครับ”
“ก็ไม่มีอะไรพิเศษหรอก...ก็แค่ว่างน่ะ...”
“ถ้าอย่างนั้นก็เรียกคนอื่นมาจะไม่ดีกว่าเหรอครับ?”
“พอดีเธอทำอะไรน่าสนใจน่ะ ก็เลยอยากพบ...”
“งั้นเข้าเรื่องเลยก็ได้นะครับ?”
ได้ยินดังนั้นผมก็เรียกหาจุดประสงค์ของอีกฝ่ายทันที อีกฝ่ายได้ยินผมพูดไปเช่นนั้นก็หายไปและปรากฏตัวขึ้นในจุดที่ห่างออกไป
โดยทีแสงไฟส่องลงมายังเก้าอี้สองตัวอีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้ที่ดูหรูหราก่อนจะผายมือเชิญผมให้นั่งที่เก้าอี้อีกตัว เห็นดังนั้นผมจึงเดินไปยังเก้าอี้ตัวนั้นและนั่งลงอย่างช่วยไม่ได้
“ใจเย็นจังนะ ไม่โวยวายอะไรหน่อยเหรอ?”
“ถึงจะน่าเสียดายแต่ก็ตายไปแล้วนี่ครับ โวยวายไปก็ไม่ได้อะไร...”
ถึงจะเคยอ่านิยายที่ตัวเอกตายไปแล้วหลายเรื่อง แต่พอมาเจอกับตัวจริงๆก็ไม่คิดว่าจะใจเย็นได้ขนานนี้เหมือนกัน
“อืม...ความจริงแล้วเธอยังต้องมีชีวิตอีกนานเลยนะ”
“...ห๊ะ!?”
“จำเรื่องตอนตายได้ใช่ไหม?”
“...ลางๆน่ะครับ”
“เด็กผู้หญิงที่เธอช่วยเอาไว้น่ะเธอหมดอายุขัยแล้ว แต่ว่าเพราะเธอช่วยไว้อายุขัยของนายก็เลยถูกโอนไปให้เด็กคนนั้นแล้วล่ะ”
ผมได้ยินดังนั้นก็พูดอะไรไม่ออก
“...คุณทำเหรอ”
“...เปล่าๆ เจ้าสิ่งที่ส่งนายมาให้เราน่ะทำ ถึงเราจะมีอำนาจมากกว่าเจ้านั้นแต่เรื่องอายุขัยของสิ่งมีชีวิตอื่นน่ะเรายุ่งไม่ได้เลย”
ผมรู้สึกหดหู่ลงเล็กน้อย ก่อนจะถามอะไรออกไป
“...อายุขัยผมสามารถทำให้เด็กคนนั้นมีชีวิตไปได้ถึงเมื่อไหร่เหรอครับ?”
“...เอ่อ...ราวๆแต่งงานมีลูกเลยล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะครับ”
ผมยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ ถ้าชีวิตของผมจะสามารถส่งต่อให้เด็กคนนั้นมีชีวิตที่ดีได้ก็ยินดีเลยล่ะ
“...ใจดีจังนะ เพราะงั้นแหละเราเลยจะบอกว่า ถึงจะเข้าไปยุ่งเรื่องอายุขัยไม่ได้แต่ถ้าเป็นการแทรกแซงสามารถทำได้อยู่นะ”
เธอพูดพร้อมโบกมือไปในอากาศจากนั้นตำราเล่มหนาๆมากมายก็ลอยไปมารอบตัวผม
“เราอยากจะให้โอกาสเธอน่ะ แบบพิเศษๆเลยด้วย”
เป็นการกล่าวพร้อมรอยยิ้มแต่ผมกลับรู้สึกอันตรายๆชอบกล
“เราจะให้เธอกลับไปเกิดอีกครั้งนะ แต่ถึงจะบอกว่าไปเกิดใหม่ก็สามารถเลือกโลกที่จะเกิดได้ด้วยเป็นไงล่ะ โอกาสดีๆแบบนี้หาไม่ได้แล้วนะ”
อีกฝ่ายกล่าวมาราวกับโฆษณาชวนเชื่อด้วยท่าทีดี๊ด้าสุดๆ
“อ๊ะ! แต่จะกลับไปเกิดที่โลกเดิมก็ได้อยู่นะถ้าต้องการแบบนั้น”
“ขอลองดูก่อนก็แล้วกันนะครับ”
ว่าแล้วผมก็สุ่มดึงตำรา(โลกอีกใบ)ที่ลอยอยู่มาเปิดผ่านๆ
“เชิญเลยๆ”
โดยเล่มที่ผมเปิดดูอยู่นี้เป็นเล่มที่ว่าด้วยโลกกำลังเข้าสู่ยุคสงครามระหว่างเทพกับมาร อ่านมาถึงตรงนี้ผมก็ปิดและโยนมันไปลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ
เล่มต่อไปว่าด้วยโลกที่มีดาบและเวทมนต์ มังกรและการผจญภัย รวมไปถึงการต่อสู้เพื่อต่อกรกับราชาปีศาจ(จอมมาร) ผมปิดมันลงและโยนไปลอยเคว้งกลางอากาศอีกเล่ม
“ขอโทษนะครับ... ช่วยตัดตัวเลือกออกให้หน่อยได้ไหมครับ?”
“ไม่มีปัญหาๆ ว่ามาได้เลย”
“งั้นก็...เอาโลกที่ไม่มีสงครามออกไปด้วยครับ”
ตำราทุกเล่มหายไปทันทีที่ผมเอ่ยออกไป เห็นดังนั้นผมก็เอ่ยไปอย่างสงสัย
“? ทำไมเก็บไปหมดล่ะครับ”
อีกฝ่ายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เปลี่ยนมานั่งไขว้ห้าและปิดตาลงแต่ก็ยังคงมีร้อยยิ้มอยู่บนใบหน้าเช่นเดิม
“ฟังนะ...ในโลกที่มีสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาน่ะ ไม่ว่าโลกไหนก็มีสงครามเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
เมื่อกล่าวปรัชญาออกมาจบเธอก็เรียกตำรากลับมาอีกครั้ง
“เว้นแต่นายจะไปเกิดบนโลกที่มีแต่สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวล่ะนะ”
เธอพูดพร้อมกับเปิดตาซ้ายมองผมมาเชิงหยอกล้อ ได้ยินดังนั้นผมก็พยายามหาโลกที่จะอยู่ได้อยากเป็นสุขมากที่สุด หากจะมีส่วนกับสงคราม(การต่อสู้)จริงก็จะไม่พยายามไม่ลงไปเป็นแนวหน้าเพราะผมไม่ค่อยจะมั่นใจเรื่องต้อสู้เสียเท่าไหร่
ระหว่างเลือกก็เริ่มทำใจกับเรื่องต่างๆที่อาจจะได้พบในโลกที่ต้องไป จนในที่สุดขณะเปิดผ่านๆโดยเลิกสนใจจะดูหน้าปกไปแล้วนั้นผมก็พบกับโลกน่าสนใจ
ในหน้าที่ผมเปิดมาเจอนั้นมีภาพของหญิงสาวอยู่และเมื่อเปิดผ่านไปอีกสองถึงสามหน้าก็เป็นภาพของหญิงสาวเผ่าอื่นอย่างเช่น เอลฟ์ หรือ นางฟ้า ทุกๆภาพที่ได้ดูทำให้ผมรู้สึกว่าพวกเธอช่างงดงามจริงๆ ผมปิดตำราเล่มนี้เสียงดังและปิดตาลงอย่างใจเย็น
“เอ่อ...ขอเลือกเล่มนี้ครับ”
สิ้นเสียงกล่าวยืนยันตำราในมือผมก็หายไปและไปปรากฏตรงหน้าของอีกฝ่ายที่นั่งรอคำตอบผมอยู่ ตำราเล่มๆหนาๆนั้นเปิดออกทั้งๆที่ลอยอยู่ในอากาศเธอผู้เรียกผมมาดูตำราเล่มนั้นอย่างใจเย็นทุหน้าแม้ว่ามันจะเปิดเร็วมากก็ตาม
“จะเลือกโลกนี้จริงๆเหรอ? โลกที่ใกล้เคียงแบบนี้แต่อะไรๆอาจจะดีกว่าก็มีนะ ถึงแม้ว่าจะเป็นโลกที่โหดหินกว่านิดหน่อยก็เถอะ”
“ไม่ล่ะครับผมของเลือกโลกนี้แหละครับ”
บอกกล่าวไปอย่างหนักแน่นเพราะหากฟังต่อไปได้เกิดอาการลังเลที่จะเลือกแน่
“อะไรที่ทำให้เธอสนใจโลกนี้ขนานนั้นล่ะ”
เมื่อถูกถามมาแบบนั้นผมจึงปิดตาลงอีกครั้งก่อนจะตอบคำถามนั้นไป
“เพราะผมรู้สึกโดนใจผู้หญิงในโลกนั้นครับ…”
เป็นการตอบที่จริงจังที่สุดใจชีวิตแม้ว่าจะตายไปแล้วก็ตาม เหมือนกับการเลือกหนังสือนั้นแหละคนส่วนใหญ่ก็ตัดสินจากภาพปกก่อนเสมอส่วนเนื้อในก็ต้องซึมซับด้วยตัวเอง แล้วในโลกนั้นก็เหมือนจะมีหลากหลายเผ่าเสียด้วย
“ฮะๆ... แปลกดีนะเธอเอาเถอะถ้ายืนยันแบบนั้นก็จะส่งไปเกิดที่นั้นให้แล้วกัน”
พริบตานั้นผมก็มายืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในสภาพเปลือยเปล่า
“ช่วยเลิกสลับภาพไปมารวมถึงโดดข้ามมิติไปมาด้วยก็ดีนะครับ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่น่ะ ว่าแต่...จะจ้องผมอีกนานไหมครับเนี่ย”
ถึงจะภูมิใจในสิ่งที่มีขนาดไหนก็เถอะ แต่เล่นจ้องกันขนาดนี้ผมก็อายนะ เฮ้อ...ต่อไปจะให้ทำอะไรอีกล่ะเนี่ย
“ต่อไปจะให้ตั้งค่าร่างกายนะ”
“ห๊ะ...!?”
“อืมได้ยินไม่ผิดหรอก”
สิ้นเสียงนั้นอินเตอร์เฟสส่วนต่างๆราวกับในเกมโผล่ออกมามากมาย ละเอียดมากขนาดที่ชวนให้เวียนหัวเลยทีเดียว แต่สายตาของผมก็สังเกตเห็นส่วนๆหนึ่งที่น่าสนใจมาก ส่วนที่มีไว้สำหรับตั้งค่าเพศ
“อืม...”
ผมแอบชำเลืองมองไปยังตัวตนผู้เรียกผมออกมาอย่างเขินอายเล็กน้อยก่อนจะกดเลือกในสิ่งที่ปรารถนาลงไป มีเสียงเหมือนกับตอบรับสิ่งที่ผมเลือกออกมาสั้นๆเหมือนกระดิ่งก่อนที่แสงสีขาวจะห่อหุ้มร่างของผมเอาไว้และปรากฏเรือนร่างของหญิงสาวในกระจกตรงหน้า
“แหมๆ เลือกส่วนนี้เป็นส่วนแรกเลยเหรอ?”
“กะ...ก็... ให้เลือกได้ก็อยากเป็นผู้หญิงเสียมากกว่า”
ผมหลับสายตาและพูดออกไปอย่างเขินอาย ก็เหมือนคนที่เล่นเกมส่วนใหญ่จะเลือกตัวละครตรงข้ามกับตัวจริงเลยน่ะสิ ไม่เกี่ยวที่ว่าชอบเรื่องแนวยูริหรอกนะ อ่า...แต่ในใจลึกๆก็...นิดๆหน่อยๆล่ะมั้ง
ระหว่างที่หยุดคิดถึงเรื่องที่เลือกเพศหญิงได้ก็หันกลับมามองอินเตอร์เฟสที่เหลือรอบๆ ด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่ายเพราะขี้เกียจจะปรับแต่งส่วนต่างๆแล้ว ผมจึงมองหาส่วนที่อาจจะมีหากเป็นการปรับแต่งที่ระเอียดระดับนี้
“อ๊ะ... เจอแล้วซ่อนอยู่ซะลึกเลย”
อินเตอร์เฟสเล็กๆที่มีเพียงรูปภาพลูกเต๋าปรากฏอยู่ ผมดึงมันออกมาจากส่วนลึกและกดไปทันทีเมื่อมันมาอยู่ต่อหน้า แสงสีขาวเข้ามาห่อหุ้มร่างกายของผมอีกครั้งก่อนจะสลายไปปรากฏเป็นเรือนร่างที่ต่างจากเมื่อครู่บนกระจก
เรือนร่างของหญิงสาวหุ่นดีที่มีผิวสีไข่มุกเรียบเนียน แม้ใบหน้าจะออกจะเรียบๆแต่ก็จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดีพอสมควรแต่เพราะผมสีดำยาวถึงเอวนั้นเข้ากับรูปหน้าจึงช่วยยกระดับให้ดูดีเป็นอย่างมาก นัยน์ตาสีเฉกเช่นเดียวกับสีไวน์ชั้นดีแต่กลับมีประกายของอัญมณีปรากฏออกมาเล็กน้อย
ผมมองร่างกายของตนภายในกระจกพลางจับริมฝีปากสีชมพูอ่อน ภาพรวมนับว่าดีแม้ว่าหน้าอกหน้าใจจะกลางๆไม่สีเรียกว่าน้อยไปเสียหน่อยแต่ก็ใช้ได้แล้ว หากปรับอะไรเพิ่มเติมอีกเสียหน่อย ระหว่างที่ปรับอะไรเล็กๆน้อยๆอยู่นั้นก็ชำเลืองมองผู้ที่เรียกผมมาเป็นระยะ เธอลอยไปมามองผมอย่างสนอกสนใจ
เมื่อเลือกส่วนต่างๆจนเสร็จแล้วผมก็มองไปรอบเพราะว่าอาจจะพลาดตรงไหนไปและก็อย่างที่คิดไว้มีส่วนที่ต่างไป อินเตอร์เฟสกรอบสีแดงเพียงชิ้นเดียวที่ลอยอยู่ผมเรียกมันมาพินิจอย่างใจเย็น มีเพียงพื้นที่ทรงหกเหลี่ยมและแถบสีแปลกๆอีกสามแถบ
ไม่รู้สึกว่าจะเข้าใจเลยว่ามันคืออะไรจึงใช้นิ้วลองเลื่อนๆดูเผื่อว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ถึงขนาดถึงลองปรับทุกส่วนดูแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยผมจึงหันไปหาตัวตนที่กำลังลอยอยู่ในอากาศ
เธอกำลังอ่านตำรา(โลก)ที่ผมเลือกไปอย่างสงบนิ่งจนรู้สึกเกรงใจที่จะถาม ผมจึงเปลี่ยนใจกดไปที่ปุ่มคืนค่าแทนเพื่อกันเหนียวไว้ก่อน หลังจากจัดการเรื่องร่างกายเสร็จแล้วผมก็ส่งสัญญาณบอกให้อีกฝ่ายรู้ทันที
“เสร็จแล้วเหรอ?”
“อื้ม...”
เมื่อยืนยันออกไปเธอก็โปกมือไปในอากาศเรียกเก็บอินเตอร์เฟสไปจนหมด จู่ๆภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไปผมมานั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิมพร้อมด้วยอยู่ในชุดเดรสสีขาว
อุ!...รู้สึกแปลกๆแฮะที่จู่ๆก็สวมชุดผู้หญิง แล้วก็เลิกสลับผมไปมาซักทีจะได้ไหมเนี่ยรู้สึกไม่ค่อยดีเลย
“เอาล่ะ...พร้อมจะไปหรือยังล่ะ?”
ผมนิ่งเงียบไปอย่างลังเลเล็กน้อยให้คำถามนั้นก่อนจะถอนหายใจออกและพยักหน้าให้
“งั้นก็...”
จังหวะที่เธอตรงหน้าผมกำลังยกมือขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง ก็ทำสีหน้าเหมือนนึกอะไรบางอย่างที่สำคัญออก
“เกือบลืมไปเลย! ถึงจะเป็นต่างโลกแต่ก็เป็นโลกแฟนตาซีล่ะนะ มนุษย์น่ะในหลายๆเรื่องแล้วนับว่าเสียเปรียบอยู่ ถ้ายังไงเราจะมอบความสามารถอะไรเล็กๆน้อยๆให้ด้วยเอาไหม?”
“ถ้าผมตอบว่าไม่ล่ะครับ…”
“ฮะๆ แต่ยังไงเราก็จะมอบให้เธออยู่ดีนั้นแหละนะ”
เธอกล่าวจบก็เข้ามาอยู่ตรงหน้าผมโดยการสลับมิติและประทับริมฝีปากของเธอลงบนปากของผม เกิดความตกใจขึ้นเล็กน้อยจนเผลอออกแรงผลักเธออกไป แต่อีกฝ่ายก็จับแขนและดึงแผ่นหลังของผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
ก่อนจะรับรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในตัวแต่ไม่อาจรับรู้ได้ว่าคืออะไร เมื่ออีกฝ่ายได้จูบอย่างพอใจแล้วก็โดดกลับไปอยู่ที่เดิมทันที ผมแตะริมฝีปากของตัวเองอย่างเบลอๆด้วยความรู้สึกใจเต้นระรัว
“เฮ้~ ฟังอยู่รึเปล่า...”
“คะ...ครับ...แล้ว...ให้อะไรมาเหรอ?”
“อืม...ไม่รู้สินะ”
“ห๊า?”
เธอยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะยกนิ้วชี้ขึ้นมาแต่ที่ริมฝีปากเป็นนัยว่าคือความลับ
“ให้เธอลองค้นหาเอาเองก็แล้วกัน”
“เหมือนจะยุ่งยากเสียแล้วสิ...”
รู้สึกเหนื่อยใจจนอยากจะขอคืนให้เลยแฮะ
“แต่ก็ขอโทษด้วยที่ไม่ใช่พลังพิเศษแบบโอเวอร์อย่างในโลกอื่น...แล้วก็...ก่อนจากกันเราขออะไรเธอบ้างสิ...”
ได้จูบแรกผมไปแล้วยังต้องการอะไรอีกเหรอครับ...แต่ก็พูดออกไปไม่ได้เพราะอีกฝ่ายอุสาห์จะคืนชีพให้
“ได้สิครับ…”
“ขอทราบชื่อของเจ้าหน่อยสิ”
ชื่อ...? ชื่อของเราสินะ ผมอ้าปากหมายจะเอ่ยนามออกไปแต่ก็หยุดไว้ด้วยความคิดบางอย่างจึงก้มหน้าลงครุ่นคิดบางอย่าง อีกฝ่ายเป็นถึงตัวตนที่ใกล้เคียงพระเจ้าย่อมไม่ถามสิ่งที่รู้อยู่แล้วออกมาแน่นอน
สำหรับคนที่ตายไปแล้วอย่างเราตัวตนเดิมคงจะไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้วรวมทั้งชื่อด้วย เพราะฉะนั้นในตอนนี้ชื่อของเราก็คือ
ผมเงยหน้ามองใบหน้าของอีกฝ่ายผู้ที่มอบโอกาสให้คนที่ตายไปแล้วและอาจเรียกได้ว่าเป็นคนที่ไร้ค่าอย่างผม
“เจรา ( jēra- ) ”
เอ่ยออกไปอย่างมั่นใจเพราะนี้คือชื่อของผม ชื่อแท้จริงผมที่ได้รับความหวังจากเธอมา
“เจราสินะ เป็นชื่อที่ดี...”
เธอยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะ ยกมือขึ้นเป็นการบอกว่าได้เวลาที่ต้องจากลากันแล้ว
“เอาล่ะ ขอให้โชคดีนะเจรา หากเธอตายอีกเราก็จะขอเรียกเธอมาเพื่อฟังเรื่องราวที่เธอได้เจอมาก็แล้วกันนะ”
“อืม ได้เสมอ...ขอบคุณนะ...”
ผมส่งรอยยิ้มให้เธอผู้เสมือนพระเจ้าอย่างน้อยก็ในความคิดของผมเป็นครั้งสุดท้าย ทันทีที่อีกฝ่ายวาดมือลงมาภาพทั้งหมดก็ถูกตัดไปเหลือเพียงความมือไม่นานสติของผมก็ดับไปเช่นกัน...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ