พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  42 บท
  0 วิจารณ์
  39.23K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 02.08 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

บทนำ

จดหมายเหตุพื้นที่สงคราม โดย ผู้มองไกล

 

          พื้นที่สงคราม ช่างเปรียบเปรยได้เหมาะสมนัก สงครามคือสิ่งเดียวที่พื้นที่แห่งนี้มีไม่เคยขาด หรือว่ามันเป็นดาวที่กำเนิดขึ้นเพื่อเกิดสงครามจริงๆ

 

          ทฤษฎีกำเนิดดาวนั้นมีหลากหลายนักและยังคงหาข้อสรุปไม่ได้ หรืออาจเป็นเพราะดาวแต่ละดวงมีจุดกำเนิดไม่เหมือนกัน สำหรับดาวที่ชื่อแอเรีย (Area = พื้นที่) ดวงนี้น่าจะเกิดจากการรวมตัวกันของธาตุต่างๆ ในอวกาศ ประกอบด้วยสามธาตุ ไฟ น้ำแข็ง และสายฟ้า เพราะธาตุทั้งสามนี้ล้วนเป็นส่วนประกอบของทุกสิ่งในดวงดาว ไม่ว่าจะเป็นภูเขา แม่น้ำ ป่า มหาสมุทร สิ่งมีชีวิตต่างๆ โดยเฉพาะมังกร สิ่งมีชีวิตแสนมหัศจรรย์ที่มีอยู่ทั่วทั้งดวงดาว แทบจะเรียกว่าเป็นดาวแห่งมังกรทีเดียว

          แต่ใครจะรู้ว่ามังกรนั้นเริ่มลดลงเรื่อยๆ เพราะมีสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่เรียกว่าเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นเรื่อยๆ ระบบการดำรงชีวิตของพวกมันถูกเบียดบังโดยสิ่งที่เจริญกว่า

           ข้าก็ไม่รู้ว่าเผ่าพันธุ์ไซคัส กับเผ่าพันธุ์เอลิลของข้านั้นกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร ไม่มีทางจะกำเนิดขึ้นโดยธรรมชาติ วิวัฒนาการของเราทั้งคู่ก้าวกระโดดเกินไปอย่างที่ธรรมชาติตามไม่ทัน เราต่างมีอารยธรรม วัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ อย่างที่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ไม่สามารถมีได้

          พอมีหลักฐานเป็นเค้าโครงว่าสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว เอเลี่ยน หรืออะไรตามแต่เราจะเรียกกันเดินทางมายังดาวดวงนี้และสร้างเผ่าพันธุ์ทั้งสองขึ้น ไซคัสกับเอลิล สร้างเพื่อทดลอง สร้างเพื่อเป็นแรงงาน หรือจะสร้างเพื่อจุดประสงค์ใดก็สุดรู้ได้เพราะพวกเขาไม่ได้อยู่ให้คำตอบ พวกเขาทิ้งเราสองเผ่าพันธุ์ที่ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ไว้และจากดาวดวงนี้ไปด้วยความรีบร้อน อาจจะหนีอะไรสักอย่าง หรืออาจจะทนรังสีและพลังงานภายในดาวดวงนี้ไม่ไหว ด้วยเหตุผลอันใดมันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้วเพราะพวกเขาจากไปอย่างไม่มีวันกลับมาอีก พวกเขาไม่มีวันได้รับรู้ว่าสองสิ่งที่ตนสร้างขึ้นมีวิวัฒนาการต่อยอดจนก้าวหน้า สูงกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการไว้ สูงจนกระทั่งทำสงครามกันได้

          เผ่าพันธุ์เอลิลของข้าเป็นเผ่าพันธุ์ผี ฉลาดเลิศล้ำ เย็นชา ไม่มีความรู้สึก ไม่สิ้นอายุขัย ไม่ต้องการอาหาร และไม่ต้องพึ่งพาธรรมชาติ

ส่วนเผ่าพันธุ์ไซคัสมีร่างกายสูงใหญ่ ลักษณะคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน ผิวเป็นเกล็ดเลื่อม ลิ้นสองแฉก มีหางยาว เป็นเผ่าพันธุ์ที่ต้องพึ่งพาธรรมชาติ ดำรงชีวิตอยู่ได้เพราะธรรมชาติ

          เอลิลอาศัยอยู่ในดินแดนบนพื้นดินที่หนาวเย็นด้วยหิมะ ไซคัสอาศัยอยู่ในดินแดนใต้ดินที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณธรรมชาติ เราทั้งคู่ต่างไม่รู้ว่ามีอีกเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ในดาวนี้ด้วย เราทั้งสองเอาแต่พัฒนาดินแดนของตน พวกไซคัสเก่งเรื่องการปลูกสร้าง ส่วนพวกเราเอลิลเก่งเรื่องการประดิษฐ์คิดค้น แต่ที่เราทั้งสองเผ่าพันธุ์ต่างมีความสามารถทั้งคู่คือการดึงรังสีและธาตุพลังงานที่มีอยู่ทั่วดวงดาวมาประยุกต์ใช้ เรียกเชิงไสยศาสตร์ว่าเวทมนตร์

          สำหรับดาวดวงนี้เวทมนต์ไม่ใช่สิ่งสำคัญเลย กองทัพที่ถืออาวุธสงคราม ดาบ หอก โล่ต่างหากที่เป็นตัวแปรของเรื่องทั้งหมด เราทั้งสองเผ่าพันธุ์ต่างมีกองทัพนักรบซึ่งถือเป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุด พลังงานเวทมนตร์นี่มันแค่ส่วนเสริมยิบย่อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรละเลยความสำคัญของมัน พลังงานหากรู้จักใช้ให้เป็นก็มีประโยชน์มหาศาล เผ่าพันธุ์เอลิลของข้ามีกลุ่มนักวิจัยผู้ฉลาดเลิศล้ำ กลุ่มนี้ถูกเรียกว่าพ่อมดไร้ชีวิต (Lifeless Wizards) พวกเขาศึกษาพลังงาน ประดิษฐ์คิดค้นวัตถุพลังงาน สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ขึ้นมามากมาย พ่อมดไร้ชีวิตที่ฉลาดและมีความสามารถมากที่สุดชื่อว่าเอเลียส เขาคือผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์เอลิล เขาคือผู้นำของข้า ผู้สร้างน้ำแข็ง (Ice Creator) คือฉายาที่ทุกคนเรียกเขา

          ประโยคที่เขาพูดให้ทุกคนได้ยินเสมอ “ข้าคือน้ำแข็ง ข้าคือเอลิล”

          เขาคือผู้ตั้งชื่อให้ดาวดวงนี้ แอเรีย (Area)

          ข้ายังจำอาวุธสองชิ้นของผู้สร้างน้ำแข็งได้ อาวุธสองเล่มที่ทำจากแร่คาร์ฟเวน โลหะที่ไม่พบเจอตามธรรมชาติ ว่ากันว่ามันคือชิ้นส่วนยานพาหนะที่เอเลี่ยนผู้สร้างเราใช้เดินทางข้ามจักรวาล ราซานเซลรองผู้นำสูงสุดแห่งเอลิลเป็นคนสร้างอาวุธแดนน้ำแข็งฝาแฝดทั้งสองขึ้น ไอซ์ (Ice) และโฟรเซ็น (Frozen) อาวุธอันแสนพิเศษที่จะเปลี่ยนชนิด สภาพ และรูปลักษณ์ไปตามความถนัดและความเป็นตัวตนของผู้ครอบครอง

          พวกไซคัสเองก็มีผู้นำสูงสุดผู้มากความสามารถ หัวก้าวหน้า ฉลาดหลักแหลม และทะเยอทะยาน ไลท์นิงธันคือชื่อของเขา เผ่าพันธุ์ไซคัสที่เคยตกต่ำนั้นเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดหลังจากที่เขาทำการปฏิวัติปลดปล่อยประชาชนของตนจากอำนาจระบอบกษัตริย์ ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของเขาคือการสร้างเผ่าพันธุ์ใหม่ๆ ขึ้นมา อะไรจะมหัศจรรย์ไปมากกว่านี้ได้อีกหนอ เผ่าพันธุ์สร้างเผ่าพันธุ์ มันเป็นไปไม่ได้ง่าย ๆ หรอก แต่ไลท์นิงธันก็มักจะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้เสมอ ทั้งเอลิลและไซคัสต่างเหมือนสองด้านของเหรียญ ฝ่ายหนึ่งอยู่บนดิน อีกฝ่ายอยู่ใต้ดิน แต่กระนั้นโลกคู่ขนานแบบนี้ก็ยังมาบรรจบกันจนได้ มันคงเป็นสัจธรรมอันเป็นนิรันดร์ พื้นที่ใดมีสิ่งมีชีวิต พื้นที่นั่นหลีกหนีการต่อสู้ไม่พ้น

          ต่างฝ่ายต่างก็ทำการสำรวจค้นคว้า ค้นหาดินแดนที่พวกตนสงสัยว่ามี พวกเอลิลขุดลงไป พวกไซคัสขุดขึ้นมา ทั้งคู่ขุดมาเจอกัน จะด้วยเหตุผลใดก็ตามที่ทำให้สองเผ่าพันธุ์ขัดแย้งกัน สงครามได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

          ทั้งสองฝ่ายทำสงครามกันยืดเยื้อ ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ สูญเสียหนักกันทั้งคู่  แต่ในที่สุดพวกไซคัสก็เป็นฝ่ายเหนือกว่า พวกเอลิลต้องล่าถอยไปตั้งหลักอยู่ในพื้นที่ที่มั่นคงที่สุด เป็นพื้นที่น้ำแข็งที่หนาวเย็นที่สุด พวกเขาก่อตั้งเป็นเขตอาณาจักรอันมั่นคงเพื่อปักหลักสู้กับพวกไซคัสอย่างไม่ลดละ อาณาจักรไอซ์เมส อาณาจักรที่หนาวจับใจ

          สงครามดำเนินต่อไป คนตายนับไม่ถ้วน ไอซ์เมสแข็งแกร่งยิ่งนัก ไลท์นิงธันพยายามเท่าไรก็พิชิตไม่ได้ จนกระทั่งพวกไซคัสคิดค้นวัตถุวิเศษชนิดหนึ่งขึ้นมา พวกเขาเรียกวัตถุเหล่านี้ว่าความลับแห่งการเดินทาง เป็นเพียงเหรียญเล็กๆ จำนวนหนึ่งเท่านั้น แต่คาดไม่ถึงว่าจะมีพลังงานสูงส่งยิ่ง เพียงแค่เหรียญเดียวกองทัพไซคัสก็สามารถพิชิตอาณาจักรไอซ์เมสอันแข็งแกร่งได้อย่างน่าอัศจรรย์

          ราซานเซลรองผู้นำสูงสุดแห่งเอลิลถูกกำจัดโดยแอสแทรินแม่ทัพคนสนิทที่สุดของไลท์นิงธัน ส่วนไลท์นิงธันก็ได้ใช้ไอซ์อาวุธของเอเลียสหรือผู้สร้างน้ำแข็งกำจัดเจ้าของเสียเอง ในวันนั้นอำนาจแห่งผีได้จบสิ้นลง ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่าพวกเอลิลถูกกวาดล้างโดยพวกไซคัส

          แต่ก็มีบางสิ่งที่ยังไม่คลี่คลาย แม้ว่าร่างของเอเลียสได้ถูกทำลายจนหมดสิ้น แต่ผ้าคลุมประจำตัวของเขายังคงอยู่ในสภาพเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง หลายครั้งที่ไลท์นิงธันพยายามทำลายก็ยังไม่อาจสร้างความเสียหายแก่มันได้ ความหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่วไซคัสทุกคน พวกเขาพากันคิดว่าเหตุที่ไม่สามารถทำลายผ้าคลุมของผู้สร้างน้ำแข็งได้นั้นเป็นเพราะเจ้าของผ้าคลุมยังมีชีวิตอยู่ สุดท้ายไลท์นิงธันจึงต้องนำผ้าคลุมนั่นไปปิดผนึกไว้ในถ้ำน้ำแข็งลึกลับที่ไม่มีใครรู้ แล้วให้พลังงานที่หมุนเวียนในถ้ำกับกาลเวลานั้นค่อยๆ ทำลายผ้าคลุมไป

          เมื่อสงครามสงบลง พวกไซคัสก็เริ่มทำการปรับปรุงดินแดนบนพื้นดินทั้งหมดที่เคยเป็นของพวกเอลิล โดยแบ่งครึ่งดวงดาวเป็นสองส่วน ส่วนแรกพวกเขาสร้างอนุสาวรีย์หอคอยขนาดมหึมาไว้ ชื่อว่าอนุสาวรีย์ระฟ้า อนุสาวรีย์ยักษ์นี้มีพลังงานเชื่อมต่อกับธรรมชาติที่พวกไซคัสสร้างขึ้นใหม่ เสมือนเป็นไม้ค้ำประคองต้นไม้ที่ยังไม่แข็งแรงในช่วงแรก ดังนั้นหากอนุสาวรีย์พังลง ธรรมชาติและระบบนิเวศทั้งหมดที่ถูกสร้างใหม่ก็จะปั่นป่วนสูญสลาย สิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างใหม่จะไม่สามารถดำรงอยู่ได้ เป็นเหตุให้อนุสาวรีย์จะได้รับการป้องกันหลายรูปแบบ

          หนึ่งในการป้องกันนั้น พวกไซคัสได้นำอาวุธแดนน้ำแข็งทั้งสองที่เคยเป็นอาวุธประจำกายของเอเลียสไปจองจำอยู่ในอุโมงค์ลึกลับเพื่อประยุกต์พลังงานของพวกมันปกป้องอนุสาวรีย์  จองจำไว้แยกกัน ตราบใดที่อาวุธทั้งสองยังคงถูกจองจำอยู่เช่นเดิม ไม่ว่าใครก็ตามจะไม่สามารถทำลายอนุสาวรีย์ได้

          ลือกันว่าเมื่อตอนที่อนุสาวรีย์เพิ่งถูกสร้างเสร็จใหม่ๆ มันส่งประจุสายฟ้าออกมาส่งผลให้เกิดเมฆสีเข้มวนเวียนอยู่บนยอด ไลท์นิงธันดึงเมฆทั้งหมดลงมาไว้ในขวดแก้วและเก็บมันไว้กับตัว บางคนเรียกสิ่งนี้ว่าเมฆสายฟ้าในขวดแก้ว เมฆนี้สำคัญอย่างไรน่ะหรือ มันไม่ได้มีบทบาทในยุคของไลท์นิงธันมากนัก แต่ยุคหลังจากเขานั้น มันสร้างสายฟ้าที่พลิกทิศทางประวัติศาสตร์ทีเดียว

          สำหรับภูมิภาคครึ่งซีกแรกนี้ พวกไซคัสเรียกว่าดินแดนระฟ้า เป็นภูมิภาคอันอุดมสมบูรณ์ที่หลากหลายด้วยธรรมชาติ มันไม่ได้สูงระฟ้าหรอก เพียงแต่เมื่อเทียบกับดินแดนใต้พิภพของพวกไซคัสแล้วก็เหมือนว่ามันอยู่ใกล้กับท้องฟ้าและจักรวาลมากกว่า จึงเรียกกันแบบนี้ 

          เมื่อภูมิภาคครึ่งซีกแรกเสร็จสมบูรณ์ พวกไซคัสก็หันไปปรับปรุงภูมิภาคอีกครึ่งซีกหนึ่ง พวกเขาปรับปรุงดินแดนได้ทุกส่วน ยกเว้นส่วนเดียว อาณาจักรไอซ์เมสที่ยังคงเป็นดินแดนน้ำแข็งหนาวเย็น ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย สร้างความวิตกแก่พวกไซคัสไม่น้อย พวกที่เชื่อในไสยศาสตร์บอกว่ามันเป็นดินแดนต้องคำสาป แต่หากอิงตามวิทยาศาสตร์มันก็แค่ชั้นบรรยากาศที่อยู่เหนือพื้นที่นี้ไม่สามารถปรับแก้ไขได้ มันจึงกรองระดับความเข้มข้นของรังสีและรักษาพลังงานหมุนเวียนในสภาพเดิม แต่ก็อีกนั่นล่ะ ชั้นบรรยากาศนี้มันมีพลังงานเชื่อมต่อกับอะไรบางอย่างถึงทำให้แก้ไขไม่ได้ และอาจจะเป็นอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับพวกเอลิล พวกนั้นอาจยังไม่ถูกกวาดล้างอย่างแท้จริง

          จะอย่างไรก็แล้วแต่ โครงการสำคัญที่สุดต้องดำเนินต่อไป บรรดาเผ่าพันธุ์และอาณาจักรใหม่จะต้องถูกสร้างขึ้นในดินแดนซีกนี้ เพื่อเป็นแหล่งทรัพยากรให้แก่พวกไซคัสทั้งผ่านการซื้อขายแลกเปลี่ยนหรือบรรณาการ ทดแทนหล่อเลี้ยงดินแดนใต้พิภพของพวกเขาที่ฟอนเฟะจากการปกครองระบอบกษัตริย์มาช้านาน ด้วยความที่เป็นเผ่าพันธุ์ใต้ดินทำให้พวกไซคัสไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ที่ดินแดนด้านบนได้นานนัก หลังจากเปลี่ยนแปลงชั้นบรรยากาศส่วนใหญ่เพื่อปรับปรุงพื้นที่รังสีที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ใช่สิ่งปลอดภัยต่อร่างกายพวกเขา ส่วนไอซ์เมสที่ยังมีตัวกรองชั้นบรรยากาศเหมือนเดิมก็ไม่ได้เหมาะแก่การตั้งรกราก พวกเขาจึงสร้างเผ่าพันธุ์ใหม่ที่สามารถอาศัยอยู่บนนี้ได้มาขับเคลื่อนแต่ละอาณาจักรแทน อาณาจักรทั้งสี่ถูกสร้างล้อมอาณาจักรไอซ์เมสไว้ห่าง ๆ สี่ทิศสี่ทาง มีชื่อว่าอาณาจักรโมราโซมอส อาณาจักรแบร์ร็อค อาณาจักรกาโกคอล และอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล

          อาณาจักรโมราโซมอส ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของไอซ์เมส ช่างมีความอุดมสมบูรณ์และภูมิประเทศงดงาม พวกไซคัสสร้างเผ่าพันธุ์ที่มีชื่อว่ามนุษย์ขึ้นมาดูแลอาณาจักรนี้ ว่ากันว่ามนุษย์คือข้อพิสูจน์ว่าเอเลี่ยนที่สร้างเราไม่ใช่เทพเจ้าและไม่ได้มีอะไรเหนือกว่าเราเลย เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับเอเลี่ยนผู้สร้างเรามาก ประหนึ่งว่าพวกไซคัสสามารถสร้างเผ่าพันธุ์ที่สร้างพวกเขาขึ้นมาได้ ถือเป็นการตบหน้าพวกคลั่งศาสนางมงายที่ไลท์นิงธันเกลียดได้ดีที่สุดทีเดียว มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีอายุเฉลี่ยราวหนึ่งร้อยปี ด้วยอายุขัยอันสั้นอาจทำให้พวกเขามีนิสัยเร่งพัฒนาเร่งกอบโกย มีความกระตือรือร้นและทะเยอทะยานอย่างยิ่งราวกับรับสัญชาตญาณมาจากเอเลี่ยนผู้สร้างโดยตรง โมราโซมอสจึงเป็นอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดและมีอาณาเขตมากที่สุดในบรรดาสี่อาณาจักร รวมทั้งอาณาจักรไอซ์เมสด้วย

          อาณาจักรแบร์ร็อค ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของไอซ์เมส เป็นดินแดนที่ราบกึ่งทะเลทราย มีทั้งพื้นที่แห้งแล้งและอุดมสมบูรณ์ พวกไซคัสสร้างเผ่าพันธุ์ที่มีชื่อว่าโฮเซ่ขึ้นมาดูแลอาณาจักรนี้ โฮเซ่เป็นเผ่าพันธุ์ตระกูลพืช อาจเรียกได้อีกอย่างว่าภูตตะบองเพชร ร่างกายเป็นสีน้ำตาลอ่อนคล้ายสีเปลือกไม้ มีเขาคล้ายหน่อพืชม้วนขดเป็นวงแทนตำแหน่งหูเรียกกันอีกอย่างว่าหน่อตะบองเพชรเพราะเขาคู่นี้จะใช้สำหรับสืบพันธุ์ โฮเซ่ทุกคนถือกำเนิดจากต้นตะบองเพชรที่มีชื่อว่าโฮเดเรีย จึงเป็นเหตุให้โฮเซ่ล้วนมีแต่เพศชาย การเจริญเติบโตของพวกโฮเซ่จะช้ากว่าพวกมนุษย์สองเท่า มีอายุขัยราวสองร้องปี เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีโครงร่างใหญ่บึกบึนและมีร่างกายที่อดทนต่อความร้อนความแห้งแล้ง

          อาณาจักรกาโกคอล ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของไอซ์เมส เป็นดินแดนป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ยิ่ง พวกไซคัสได้สร้างเผ่าพันธุ์ชื่อว่าชาวป่า (Forester) ขึ้นมาดูแล ลักษณะเด่นคือทุกคนจะมีผมสีเข้มเงางาม มีผิวขาวนวลหมดจด เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่มีอายุขัยมากที่สุดในดาวดวงนี้ เฉลี่ยประมาณหนึ่งพันปี เนื่องจากพวกชาวป่าอาศัยอยู่ในป่าดงดิบที่มีแสงสว่างผ่านได้น้อยสายตาของพวกเขาจึงมองเห็นในที่มืดได้ดีกว่าที่สว่าง พวกเขามีความเข้าอกเข้าใจธรรมชาติ มีชีวิตสงบเรียบง่าย อ่อนโยนและเป็นมิตรกับผู้อื่น เป็นนักล่าสัตว์ที่เก่งกาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การยิงธนู

          อาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของไอซ์เมส เป็นดินแดนน้ำแข็งอีกแห่งหนึ่งที่แม้จะไม่หนาวเย็นเท่าเพราะชั้นบรรยากาศได้รับการปรับปรุงแล้วแต่ก็ยังถือว่าหนาวเย็นอยู่ไม่น้อย พวกไซคัสสร้างเผ่าพันธุ์ที่ชื่อว่าปีศาจ (Devil) ขึ้นมาดูแลอาณาจักรนี้ ปีศาจเหล่านี้มีผมสีโลหะเงินเลื่อมเงา ผิวละเอียดซีดขาวเหมือนหิมะ โครงร่างสูงโปร่ง ดวงตาโตและมีรูม่านตาแคบ มีเลือดเป็นสีดำ เพศชายจะมีเขี้ยวงอกหากอยู่ในภาวะก้าวร้าว คงจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่พวกไซคัสโปรดน้อยที่สุดหากดูจากความยากในการดำรงชีวิต ดินแดนที่หนาวเย็นมีแต่หิมะปกคลุมย่อมขาดแคลนพื้นที่เพาะปลูกและแหล่งอาหาร ที่มีมากมายทั่วดินแดนก็เห็นจะมีแต่แร่ราคาแพงซึ่งไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาเห็นว่ามีค่า พวกไซคัสทำเสมือนโฟรเซ็นทิเนลเป็นแค่แหล่งเงินแหล่งทองที่ไว้ใจได้ว่าจะไม่มีการยักยอก ช่างไม่มีความใยดีเอาเสียเลย สภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบากทำให้พวกปีศาจค่อนข้างจะไม่เป็นมิตรต่อเผ่าพันธุ์อื่น เก็บตัวอยู่แต่ในถิ่น หวงพื้นที่ ไม่ชวนให้ผูกสัมพันธ์ด้วย เฉลี่ยแล้วปีศาจจะมีอายุขัยราวสี่ร้อยปีและมีการเจริญเติบโตช้ากว่าพวกมนุษย์ถึงสองเท่าเช่นเดียวกับพวกโฮเซ่

          เวลากลางวันและกลางคืนของดาวดวงนี้ถูกกำหนดโดยดาวฤกษ์สีทองที่มีนามว่าอิลิมิน่า ราชินีแห่งแสงสว่างที่ทุกคนเปรียบเปรยกัน เธอจะคอยส่องแสงมายังแอเรียน้องสาวดวงนี้ของเธอ เป็นความสว่าง เป็นพลังงานความร้อน เป็นผู้สร้างฤดูกาล เป็นแหล่งกำเนิดรังสีที่สร้างพลังงานหมุนเวียนในดาวดวงนี้ การสร้างดาวอันสมบูรณ์แบบนี้ถือเป็นการประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของไลท์นิงธัน ปวงชนไซคัสของเขาก็มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นหลังจากมีอาณาจักรทั้งสี่ช่วยเป็นแหล่งทรัพยากรหล่อเลี้ยง ช่วงเวลาสงครามนั้นเกาะกินประวัติศาสตร์มาช้านานแล้ว เหนื่อยยาก ลำบาก และสูญเสียมามากมาย ควรถึงช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูเสียที

          ไม่ใช่กับดาวต้องคำสาปดวงนี้ ไม่ใช่กับพื้นที่สงครามแห่งนี้ บางความสงบมันก็ช่างมีอายุที่แสนสั้น และมักหายไปก่อนที่เราจะทันได้รับรู้ถึงมันด้วยซ้ำ

          แอสแทรินผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยนับถือไลท์นิงธันเหมือนพ่อ กลับเกิดเหตุการณ์ให้พวกเขาขัดแย้งกันอย่างหนัก ไม่รู้ว่าทั้งคู่บาดหมางกันเรื่องอะไร ไม่รู้ว่าทั้งไลท์นิงธันและเผ่าพันธุ์ไซคัสกระทำสิ่งโหดร้ายอันใดต่อยอดนักรบผู้ซื่อสัตย์และทรงคุณธรรมผู้นี้ แต่มันทำให้แอสแทรินเคียดแค้นและแตกหักกับไลท์นิงธันและไซคัสทั้งเผ่าพันธุ์ ประจวบเหมาะกับตอนที่ทัพไซคัสบุกเข้าพิชิตไอซ์เมสนั้นเขาบังเอิญค้นพบวัตถุดิบพิเศษและข้อมูลโครงการวิจัยของราซานเซล มันกลายเป็นช่องทางสนองความอาฆาตของเขา ทำลายทุกสิ่งที่ไลท์นิงธันและพวกไซคัสสร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรของไซคัสในดินแดนใต้พิภพ หรืออาณาจักรทั้งสี่ที่อยู่ด้านบน ความอาฆาตพยาบาทช่างเป็นสิ่งที่น่ากลัว มันไม่ต่างจากเปลวไฟ เมื่อลุกติดขึ้นมาแล้วก็จะลุกลามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเผาผลาญทุกสิ่งหมดสิ้น

          ในคืนหนึ่งที่เงียบสงัด แอสแทรินลอบเดินทางไปยังอนุสาวรีย์ระฟ้าโดยใช้ทางลัดที่น้อยคนจะรู้ ร่วมกับคณะนักวิทยาศาสตร์ผู้ซึ่งเป็นแกนหลักในการสร้างอนุสาวรีย์และมีความแค้นต่อไลท์นิงธันเหมือนกัน ด้วยวัตถุดิบพิเศษที่ได้จากราซานเซลประกอบกับนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นที่รู้วิธีใช้พลังงานอันมหาศาลของอนุสาวรีย์อย่างถูกต้อง พวกเขาก็สามารถทำการประยุกต์ดึงพลังจากอนุสาวรีย์สร้างอาวุธอันทรงพลังที่สุดที่ดาวดวงนี้เคยมีมา อาวุธที่สามารถต่อกรและทำลายทุกสิ่งที่ต้องการทำลายได้

          อาวุธอันทรงพลังที่สุดในดาวดวงนี้ จะเป็นสิ่งใดกันเล่าหากไม่ใช่กองทัพทหาร แม้คณะนักวิทยาศาสตร์ของแอสแทรินจะไม่สามารถใช้พลังงานอนุสาวรีย์สร้างกองทัพทหารขึ้นได้โดยตรง แต่พวกเขาก็อัจฉริยะจนพลิกแพลงสร้างผู้ที่มีพลังมากพอจะสามารถสร้างกองทัพเองได้ นักรบผู้มหัศจรรย์ถูกสร้างจากเซลล์มังกรแทบทุกชนิดในดาวดวงนี้ นักรบผู้ทรงพลังที่สุดที่ดาวดวงนี้เคยมีมา มาร์กอลลอส ความเกรียงไกรในภายหลังของเขาส่งผลให้ถูกขนานนามมากมาย ที่โด่งดังมากที่สุดคือฉายาจอมพิชิต (The Conqueror) โดยจอมพิชิตผู้นี้ได้ใช้พลังอันมหาศาลสร้างกองทัพของตนขึ้นมา

          ไม่มีกองทัพใดจะไร้เทียมทานเท่าเฟลมฟอร์ส (Flame Force) ทุกคนล้วนเป็นทหารมังกรที่มีวิวัฒนาการสูงสุด ขนาดใกล้เคียงกับเผ่าพันธุ์อื่นๆ เพื่อสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของดาวดวงนี้ มีสองมือสองขาสามารถถืออาวุธและสวมชุดเกราะ มีระเบียบวินัย มีแบบแผน มีกลยุทธ์ แข็งแกร่ง เก่งกาจ ทนทาน กล้าหาญ ไร้ความกลัว ไร้ความเจ็บปวด เพิ่มจำนวนได้เร็วจากการถูกสร้างด้วยพลังงานมหาศาล พร้อมสู้รบตลอดเวลาตามการบัญชาของมาร์กอลลอสผู้ให้กำเนิด

          หากจะกล่าวถึงมาร์กอลลอสนักรบผู้ทรงพลังที่สุด ก็ต้องกล่าวถึงผู้ที่เกิดขึ้นเพราะผลพลอยได้จากการสร้างเขาด้วย เมื่อไฟถูกสร้างย่อมเกิดควันเป็นผลพลอยได้ เฮเวนล็อคคือผลพลอยได้จากการสร้างมาร์กอลลอสโดยไม่ตั้งใจ แม้ไม่ทรงพลังเทียบเท่า แม้ไม่อาจสร้างกองทัพของตนขึ้นมาได้เหมือนกัน แต่ก็เชื่อกันว่าเขาผู้นี้คือสิ่งเดียวที่มาร์กอลลอสแพ้ทางประหนึ่งไฟที่ไม่อาจเผาผลาญควัน เป็นอันตรายและเป็นคนที่จอมพิชิตผู้เก่งกาจหวาดกลัวที่สุด เนื่องด้วยเฮเวนล็อคเชี่ยวชาญการนำพลังงานจากสิ่งต่างๆ มาประยุกต์สร้างประโยชน์แก่ตนโดยเฉพาะพลังงานจากตัวมาร์กอลลอส อย่างไรก็ตาม เขาค่อยไม่แสดงบทบาทโดดเด่นนอกจากดำเนินเป้าหมายของตนอยู่ลับๆ ขณะที่มาร์กอลลอสและกองทัพเฟลมฟอร์สดำเนินบทบาทสงครามอย่างสะท้านฟ้าสะเทือนดิน

          ไลท์นิงธันอาจสร้างดาวที่มหัศจรรย์ที่สุดขึ้นมา แต่ความมุ่งมั่นทำให้เขาตาบอด เลือกที่จะมองข้ามผลกระทบต่างๆ ที่เกิดจากผลงานตน เดิมทีดาวดวงนี้มีมังกรอยู่มากมาย แค่มีเผ่าพันธุ์ไซคัสและเอลิลเกิดขึ้นก็ส่งผลกระทบต่อการดำรงอยู่ของพวกมันแล้ว นี่ยังสร้างเผ่าพันธุ์ใหม่ขึ้นมาอีกสี่ ถือเป็นการนับถอยหลังที่มังกรจะสูญพันธุ์ได้เลย พวกเฟลมฟอร์สในฐานะที่เป็นเผ่าพันธุ์มังกรย่อมทำทุกอย่างที่จะไม่ให้เกิดขึ้น วิธีที่ดีที่สุดและเกิดผลมากที่สุดคือกำจัดสิ่งที่เบียดบังวงจรชีวิตของมังกรเสีย นั่นคือเผ่าพันธุ์ทั้งสี่ รวมทั้งผู้ที่สร้างเผ่าพันธุ์เหล่านี้ขึ้นมา พวกไซคัส

          พวกเฟลมฟอร์สไม่เหมือนพวกเอลิล พวกนี้เก่งกาจกว่ามาก พวกไซคัสถึงกับต่อกรไม่ไหวและถูกกวาดล้างไปในที่สุด ไลท์นิงธันผู้เคยยิ่งใหญ่นั้นไม่มีอะไรเหลือ แม้แต่ร่างของเขาซึ่งถูกมาร์กอลลอสกำจัดจนไม่เหลือซาก ดินแดนใต้พิภพที่เดิมเป็นของพวกไซคัสถูกยึด กลายเป็นฐานทัพสร้างทหารและอุปกรณ์สงครามของพวกเฟลมฟอร์ส แอสแทรินตระหนักได้ว่าตนทำสิ่งเลวร้ายลงไปก็ตอนสายเกินแล้ว เขาก็ไม่ต่างจากไลท์นิงธันที่ก่อความเดือดร้อนเพราะการสร้างอย่างไม่คำนึงถึงผลกระทบ แม้จะพยายามแก้ไขความผิดพลาดแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ สุดท้ายก็จบชีวิตด้วยไฟของมาร์กอลลอสเช่นเดียวกัน อนิจจา ผู้ที่จิตใจมีแต่ไฟแห่งความเคียดแค้นนั้นจะพบจุดจบด้วยการถูกมันเผาผลาญเสียเองเสมอ  

          และแล้ว เฟลมฟอร์สก็ดำเนินภารกิจสงครามที่เหลือให้เสร็จสิ้น ด้วยการยกทัพไปโจมตีเผ่าพันธุ์ทั้งสี่ที่พวกไซคัสสร้างขึ้น ซึ่งจากการประเมินของมาร์กอลลอสนั้นสรุปได้ว่าอาณาจักรที่มีความรุ่งเรืองมากที่สุดและดูจะเป็นภัยมากที่สุดคืออาณาจักรโมราโซมอส อาณาจักรของพวกมนุษย์ เผ่าพันธุ์ที่มีความทะเยอทะยาน กระหายความยิ่งใหญ่ และมีความโลภมากกว่าเผ่าพันธุ์ใด ควรรีบกำจัดก่อนที่จะกำจัดยากกว่านี้

          แต่ในขณะเดียวกัน มาร์กอลลอสก็ยังได้อีกผลสรุปที่ไม่น่าเชื่อว่าอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนล อาณาจักรของพวกปีศาจ อาณาจักรที่เล็กที่สุด กลับเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งและโจมตีให้แตกยากที่สุด เนื่องด้วยภูมิประเทศเป็นปราการธรรมชาติและความสามารถการรบในรูปแบบตั้งรับของพวกปีศาจ แม้ว่าพวกปีศาจจะไม่เป็นปัญหานอกเขตอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลเพราะสันทัดเฉพาะรบอยู่ในเขตแดนของตนไม่เก่งเรื่องรุกรานสร้างอาณาเขตเหมือนพวกมนุษย์ แต่หากไม่คอยยกทัพไปสร้างความเสียหายก็อาจทำให้พวกนั้นมีโอกาสพัฒนาความแข็งแกร่งจนกำราบยากขึ้น พวกเฟลมฟอร์สจึงเลือกกระหน่ำโจมตีอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลหนักกว่าเผ่าพันธุ์อื่น ให้อยู่ในสภาพเสียหาย ไม่ให้โงหัวออกมาจากอาณาจักรได้ เพื่อเฟลมฟอร์สจะได้ใช้พื้นที่รอบนอกที่ใกล้กับอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลในการสร้างเส้นทางไปโจมตีอาณาจักรอื่นๆ อย่างสะดวก

          ทัพแล้วทัพเล่าถูกส่งไปโจมตีโฟรเซ็นทิเนลอย่างดุเดือด การบุกโจมตีนั้นยืดเยื้อกว่าที่คาดไว้เพราะพวกปีศาจปกป้องดินแดนได้อย่างเหนียวแน่นไม่น่าเชื่อ แต่เมื่อถูกบุกโจมตีด้วยเผ่าพันธุ์ที่รบเก่งที่สุดครั้งแล้วครั้งเล่า ความแข็งแกร่งของพวกปีศาจก็สุดจะทานทนได้ โฟรเซ็นทิเนลตกอยู่ในสภาพเสียหายจนไม่อาจรับศึกใดได้อีก พวกเฟลมฟอร์สทำงานสำเร็จไปหนึ่งขั้นและเตรียมบุกโจมตีอาณาจักรอื่นต่อไป เป้าหมายหลักคือโมราโซมอส

          แต่ใครจะไปคาดว่าพวกมนุษย์นั้นไร้มนุษยธรรมกว่าที่คิด พวกนั้นถือโอกาสยกทัพไปโจมตีอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลที่กำลังเสียหาย ล่าอาณานิคมสำหรับแรงงาน ทรัพยากร และจุดประสงค์หลักคือเพื่อเป็นหน้าด่านให้แก่อาณาจักรของตน เนื่องจากโฟรเซ็นทิเนลถูกพวกเฟลมฟอร์สโจมตีจนเสียหายหนักแล้ว การถูกบุกยึดจึงไม่ใช่เรื่องยาก พวกมนุษย์บังคับให้พวกปีศาจคอยส่งทองคำ อัญมณี และทรัพยากรต่างๆ มาบรรณาการอาณาจักรของตน ใช้แรงงานพวกปีศาจในการสร้างป้อมและกำแพงในโมราโซมอสอย่างไม่ปราณีปราศรัย แต่ที่โหดร้ายที่สุดนั้นพวกมนุษย์ใช้อาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลเป็นกันชนป้องกันอาณาจักรโมราโซมอสจากการโจมตีของพวกเฟลมฟอร์ส พวกเฟลมฟอร์สเองก็ไม่มีทางเลือก เหตุการณ์นี้ทำให้แผนเดิมที่วางไว้ผิดระบบเสียหมด การที่โฟรเซ็นทิเนลตกเป็นอาณานิคมของโมราโซมอสส่งผลให้พวกเฟลมฟอร์สไม่สามารถใช้เส้นทางเดินทัพและสร้างจุดส่งกองทัพได้ตามแผน ทางเดียวที่ทำได้คือต้องโจมตีโฟรเซ็นทิเนลให้แตกและสร้างจุดส่งกองทัพที่นั่นแทน จึงจะส่งกำลังบุกโจมตีโมราโซมอสได้เต็มที่

          โฟรเซ็นทิเนลที่บอบช้ำจากศึกสงครามที่ผ่านมานั้นต้องทนรับศึกสงครามต่อไปไม่จบสิ้น ในฐานะอาณานิคมผู้ต่ำต้อยของอีกเผ่าพันธุ์ ปีศาจจำนวนมากมายต้องพลีชีพในสงคราม เมืองต่างๆ ในอาณาจักรโฟรเซ็นทิเนลก็ได้รับความเสียหายจนพังพินาศ แต่ถึงอย่างไรโฟรเซ็นทิเนลก็ยังไม่ถึงจุดจบ ทั้งนี้เป็นเพราะพวกมนุษย์จะคอยส่งทัพมาสนับสนุนหากว่าโฟรเซ็นทิเนลทำท่าจะแตกจริงๆ คอยพยุงไม่ให้ล้มแต่ก็ให้ยืนเพียงเพื่อใช้รับคมดาบแทน สิ่งใดหนอที่ทำให้พวกปีศาจต้องเผชิญกับความโหดร้ายเช่นนี้ ถูกพิชิตกำจัดทิ้งไปเสียยังดีกว่าถูกใช้เป็นโล่ให้พวกมนุษย์ไม่จบไม่สิ้น สักวันโล่ร้าวๆ ใบนี้คงต้องแตกเป็นเสี่ยงๆ

          เฟลมฟอร์สไม่เพียงจะคอยโจมตีแต่โฟรเซ็นทิเนลเท่านั้น พวกเขายังส่งกองทัพไปโจมตีแบร์ร็อค กาโกคอล และโมราโซมอสในเส้นทางอื่นเท่าที่จะทำได้ ทั้งหมดยังพอต่อต้านได้เพราะไม่ได้ถูกกระหน่ำหนักเหมือนโฟรเซ็นทิเนล แต่แน่นอนว่าการต่อสู้กับพวกเฟลมฟอร์สย่อมเป็นงานที่หนักหนาและสูญเสีย สงครามนี้ยิ่งใหญ่และยืดเยื้อกว่าครั้งใด ดวงดาวแทบจะลุกเป็นไฟ จำนวนผู้ตายในสงครามแทบจะท่วมภูเขาได้ทั้งลูก

          ในที่สุด เฟลมฟอร์สก็เข้าใกล้ที่จะชนะสงคราม เผ่าพันธุ์ทั้งสี่กำลังจะถึงคราวชะตาขาด ปีศาจคือเผ่าพันธุ์แรก และอีกสามเผ่าพันธุ์จะตามไปในเวลาไม่นาน ไม่มีสิ่งใดสามารถหยุดยั้งได้

                

          และนั่น คือตอนที่ข้ามองเห็นสายฟ้า และการเกิดขึ้นของความหวัง

 

บันทึกโดย ผู้มองไกล

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา