พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า

7.4

เขียนโดย Blackblood

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.

  42 บท
  0 วิจารณ์
  39.23K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 02.08 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) บทที่ 6 ขับไล่ผู้บุกรุก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 6

ขับไล่ผู้บุกรุก

 

                กล่าวกันว่า ท้องทะเลยามกลางคืนนั้นช่างน่ากลัวยิ่งนัก โดยเฉพาะในวันที่ฟ้าปิด มันดำมืด กว้างใหญ่ มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่ว่าสิ่งที่อยู่รอบด้านหรือสิ่งที่อยู่ข้างใต้ แม้ความจริงแล้วมันอาจไม่มีสิ่งใดเลย แต่ก็อดกังวลไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเข้ามาอยู่ในน่านน้ำเขตศัตรู สัตว์ทะเลหรือสิ่งอันตรายที่อยู่ใต้น้ำยังไงก็ไม่อันตรายเท่าเรือติดอาวุธของฝ่ายตรงข้าม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สมาชิกในเรือสอดแนมมนุษย์สองลำจะดูกังวลใจ พวกเขาถูกส่งมาสำรวจน่านน้ำแถบชายฝั่งแบร์ร็อค เพื่อเก็บข้อมูลสำหรับแผนบุกโจมตีชายฝั่งในอีกไม่นานนี้ จริงอยู่ที่ระยะนี้ถือว่าค่อนข้างปลอดภัย การที่กองเรือโฮเซ่พ่ายแพ้นั้นส่งผลให้เรือโฮเซ่ทุกลำถอยกลับไปประจำการใกล้ชายฝั่ง ไม่มีลำไหนลอยลำออกนอกพื้นที่ไกลเกินไป แต่ใครจะไปนิ่งนอนใจได้เวลาอยู่ใกล้ถิ่นศัตรู อาจมีอะไรไม่คาดฝันเกิดขึ้นเอาเสียดื้อๆ ก็ได้

          ดูจะเป็นเช่นนั้นเสียด้วย แม้ว่าเรือรบโฮเซ่แทบทุกลำจะประจำการอยู่ใกล้ชายฝั่ง แต่ก็มีอีกสามลำที่เพิ่งกลับมาจากเกาะแฮนดรัส โดยมีเทอร์ริน เฮนิเคม ผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อคร่วมเดินทางมาด้วย อำนาจพิเศษในการมองเห็นสิ่งที่อยู่ไกลๆ ของเขานั้นตรวจพบเรือของพวกมนุษย์ระหว่างเดินทางกลับบ้าน ความโชคร้ายของเรือทั้งสองลำนั้นจึงบังเกิด

          “หันหัวเรือไปทางกราบขวาอีกสี่สิบห้าองศา แล้วตรงไปเรื่อยๆ กางใบเรือทุกใบ” เทอร์รินสั่งการอย่างเงียบเชียบ สวมชุดเกราะ เตรียมอาวุธพร้อม “อีกไม่นานจะเห็นแสงไฟ ซึ่งเป็นตำแหน่งของเรือศัตรู ส่งสัญญาณถึงเรืออีกสองลำให้ใช้กลยุทธ์จู่โจมแบบประกบสามต่อสอง ดับตะเกียงทุกดวง เงียบเสียงให้มากที่สุด”

                ทหารที่ควบคุมตะเกียงใหญ่นั้นส่งสัญญาณไฟกระพริบไปยังเรือโฮเซ่อีกสองลำที่ล่องตามมา ซึ่งก็มีสัญญาณไฟกระพริบส่งกลับ เป็นการยืนยันว่ารับทราบ เรือโฮเซ่ทั้งสามลำจัดตำแหน่งเตรียมพร้อม เรือของเทอร์รินอยู่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยเรือโฮเซ่อีกสองลำ ล่องไปข้างหน้าด้วยความเร็วเท่าๆ กัน ทหารในเรือสวมชุดเกราะเตรียมอาวุธพร้อมรบกันทุกคน ซึ่งภายในเวลาไม่นาน พวกเขาก็เห็นแสงไฟจากเรือมนุษย์สองลำ แต่ละลำลดใบเรือลอยนิ่งอยู่กลางน้ำ เว้นระยะห่างกันพอควร

                “พวกฮาล์ฟเรดอยู่ในเรือ” เทอร์รินพึมพำขณะใช้สายตาพิเศษส่องดู “เป็นฮาล์ฟเรดกันทุกคน”

                “ฮาล์ฟเรดหรือครับโฮซอร์” ทหารโฮเซ่เด็กหนุ่มคนหนึ่งถาม “แดงครึ่งหนึ่งอย่างนั้นหรือ”(Half-red = แดงครึ่งหนึ่ง)

                “สีแดงคือสีประจำเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกฮาล์ฟเรดคือครึ่งมนุษย์ครึ่งฟอเรสเทอร์ เป็นมนุษย์แค่ครึ่งเดียว จึงถือเป็นชนชั้นสองของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถูกแบ่งแยกและดูถูกดูแคลนจากมนุษย์แท้ๆ นี่อาจเป็นเหตุผลให้ถูกส่งมาทำงานสอดแนมเสี่ยงตาย” เทอร์รินอธิบาย “แต่ที่สำคัญคือ พวกนั้นเก่งเรื่องการใช้กระบี่ อย่าประมาทว่าอาวุธเรียวๆ แคบๆ แบบนั้นจะตัดผ่านเกราะหนาๆ ของเราไม่ได้ มันคมและไวกว่าที่คิด ฉะนั้น เตรียมโล่ของพวกเจ้าให้ดีๆ ได้ใช้แน่”

                เรือรบโฮเซ่ทั้งสามลำล่องตรงเข้าหาเป้าหมายอย่างเงียบเชียบ น่านน้ำแถบนี้เป็นถิ่นของพวกเขา ย่อมรู้ทิศทางกระแสลมกระแสน้ำมากกว่าอีกฝ่าย ไม่น่าเชื่อว่าเรือขนาดใหญ่ทั้งสามลำจะล่องได้เงียบมาก อีกทั้งยังพรางไปกับความมืดได้อย่างแนบเนียนยามดับตะเกียง กว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัวก็คงสายเกินกว่าจะกลับลำเรือตั้งรับทัน

                “ปืนใหญ่ เตรียมพร้อม” เทอร์รินสั่งการด้วยเสียงกระซิบ

                ปากปืนใหญ่ทุกกระบอกถูกดันออกจากช่องข้างเรือทั้งสองด้าน บรรจุกระสุนพร้อมยิง เรือโฮเซ่อีกสองลำที่ขนาบข้างอยู่ห่างๆ ก็เตรียมปืนใหญ่พร้อมเช่นกัน ดูจากจำนวนปืนใหญ่แล้ว พวกฮาล์ฟเรดเดือดร้อนแน่

                จนกระทั่งเมื่อเข้าไปใกล้ขึ้นอีกระยะหนึ่ง ก็มีเสียงตะโกนจากยอดเสากระโดงของเรือฮาล์ฟเรดลำหนึ่งว่า “หัวหน้าแอนโทดัส เรือข้าศึกสามลำอยู่ข้างหลัง เราถูกดักโจมตีจากด้านหลัง”

                หัวหน้าฮาล์ฟเรดที่ชื่อแอนโทดัสรีบวิ่งไปที่ระเบียงท้ายเรือ ตาสีเขียวเบิกกว้าง กระบี่ที่คาดเอวถูกชักออกมา เขายังหนุ่มอยู่มาก วัยประมาณสิบแปดปี มีผมบลอนด์ซีดๆ บางๆ ยาวปรกหลัง ชุดเกราะที่เขากับพวกพ้องสวมนั้นเป็นสีแดงทองเหมือนเกราะของพวกทหารมนุษย์ แต่ก็มีลายสลับเขียวเพื่อให้ดูแตกต่างจากทหารมนุษย์แท้ๆ และบ่งบอกว่าเป็นฟอเรสเทอร์ครึ่งหนึ่ง เป็นเครื่องหมายอย่างไม่เป็นทางการว่า เป็นชนชั้นสอง

                “กลับลำเรือ เตรียมตั้งรับ” แอนโทดัสตะโกนสั่ง เขาเป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนชุดนี้ “เตรียมปืนใหญ่ให้พร้อม ทุกคนที่มีปืนยาวมาประจำที่กราบเรือ และส่งสัญญาณให้เรืออีกลำทำตามด้วย”

                พวกทหารฮาล์ฟเรดในเรือรีบปฏิบัติตามคำสั่ง เรือทั้งสองลำหันหัวกลับลำเรืออย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่แน่นอนว่าไม่ทัน เรือโฮเซ่ทั้งสามลำบุกตรงเข้ามาใกล้มาก กำลังจะเข้ามาประกบเทียบข้าง เรือของเทอร์รินจะเข้าไปแทรกอยู่ระหว่างเรือมนุษย์ทั้งสองลำ ขณะที่เรือโฮเซ่อีกสองลำจะประกบเรือมนุษย์จากด้านนอกทั้งสองด้าน เป็นกลยุทธ์การประกบเรือสองลำด้วยเรือสามลำ ที่สำคัญคือกำลังประกบตอนที่เรือของพวกมนุษย์ยังกลับลำเรือไม่เสร็จด้วย

                “เรือกำลังจะเทียบข้างเรือข้าศึก” เทอร์รินตะโกนสั่ง “พลธนู เข้าประจำที่”

                พลธนูในเรือของเทอร์รินเข้าประจำที่ตามกราบเรือทั้งสองฝั่ง ขณะที่พลธนูในเรือโฮเซ่อีกสองลำเข้าประจำที่ตามกราบเรือฝั่งที่อยู่ด้านเดียวกับเรือฮาล์ฟเรด พวกทหารฮาล์ฟเรดรีบเตรียมปืนยาวเข้าประจำกราบเรือกันใหญ่ ไม่มีทางกลับลำเรือทันแน่ ฝ่ายตรงข้ามกำลังจะเทียบข้างในอีกไม่ถึงนาที

                “เรือเทียบข้างเรือข้าศึกแล้ว” เทอร์รินตะโกน “ปืนใหญ่ ยิง!”

                ปืนใหญ่ข้างเรือโฮเซ่ทุกกระบอก ถูกจุดชนวนลั่นกระสุนใส่เรือสอดแนมมนุษย์ทั้งสองลำที่ยังกลับลำเรือไม่สมบูรณ์ดี เศษไม้ ชิ้นส่วนเรือ และทหารในเรือมนุษย์หลายคนกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง ท้องทะเลที่ก่อนหน้านี้เงียบสงัดนั้น บัดนี้ดังกังวานไปด้วยเสียงปืนใหญ่กึกก้อง

                “ยิงตอบโต้” แอนโทดัสตะโกนสั่ง

                ปืนใหญ่จากเรือฮาล์ฟเรดสองลำลั่นกระสุนยิงโต้ตอบกลับไป แต่ก็สร้างความเสียหายได้ไม่เต็มที่นัก เพราะยังกลับลำเรือไม่สมบูรณ์ดี ยิ่งเมื่อถูกพวกโฮเซ่ยิงใส่อีกในระลอกสองยิ่งเสียหายหนัก กราบเรือและข้างเรือพังรั่ว ทหารบนเรือกระเด็นกระดอนตายทั้งอยู่บนเรือและออกนอกเรือ

                “พลธนู ยิง” เทอร์รินตะโกนสั่ง

                พลธนูจากเรือโฮเซ่ทั้งสามลำกระหน่ำสาดลูกธนูใส่เรือฮาล์ฟเรดทั้งสองลำ คันธนูที่พวกโฮเซ่ใช้นั้นมีสองโค้ง เป็นธนูที่นิยมใช้ในทะเลทราย พวกทหารฮาล์ฟเรดถูกยิงกระเด็นตกเรือไปตามๆ กัน แต่ก็ใช่ว่าจะยอมถูกยิงฝ่ายเดียว ปืนยาวและปืนใหญ่ยิงสวนกลับมาเอาชีวิตทหารโฮเซ่และสร้างความเสียหายแก่เรือเท่าที่จะทำได้ เสียงระเบิดของดินปืนและเสียงดีดของสายธนูดังระงม จนท้องทะเลดำมืดไม่เหลือความสุขุมอีกแล้ว สิ่งมีชีวิตหรือสัตว์ร้ายใต้น้ำบริเวณนี้คงพากันเผ่นหนีหมดน

 

                “ใช้กระสุนทราย” เทอร์รินตะโกน

                พวกทหารโฮเซ่ที่ควบคุมปืนใหญ่ทุกกระบอกเปลี่ยนมาใช้กระสุนลูกเหล็กกลวง ที่มีทรายป่นและดินระเบิดอยู่ข้างใน เมื่อยิงเข้าใส่เรือของพวกฮาล์ฟเรด ฝุ่นทรายก็ฟุ้งกระจายไปทั่วเรือ เข้าหูเข้าตาพวกทหารฮาล์ฟเรดกันถ้วนหน้า มันไม่ใช่กระสุนทำลายล้าง แต่เป็นกระสุนเบียดบังการมองเห็นของข้าศึก เรือโฮเซ่อีกสองลำเปลี่ยนมาใช้กระสุนทรายตามเรือของเทอร์ริน เรือฮาล์ฟเรดทั้งสองลำจึงอบอวลไปด้วยฝุ่นทรายและเสียงไอสำลักของพวกทหารฮาล์ฟเรด ความแม่นยำในการยิงโต้ตอบลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

                “กระหน่ำยิงเต็มที่” เทอร์รินตะโกนสั่ง

                พลธนูโฮเซ่ระดมยิงซ้ำใส่เรือฝ่ายตรงข้าม กระสุนทรายทำให้พวกฮาล์ฟเรดมองไม่เห็นทิศทางของลูกธนู จึงหลบหลีกป้องกันไม่ทัน ถูกธนูปักตายกันเกลื่อน แอนโทดัสหัวหน้าฮาล์ฟเรดก้มหลบแทบไม่ทัน แต่ก็ยังอุตส่าห์ดึงทหารฮาล์ฟเรดสองคนให้หลบตามได้ สถานการณ์ของพวกเขาในตอนนี้ คำว่านรกยังน้อยไป

                “เราเข้าประชิดเรือข้าศึกแล้ว เชือกโหนพร้อม เตรียมโหนข้ามเรือ” เทอร์รินตะโกนสั่ง แล้วยกแตรเขาสัตว์เป่าสงสัญญาณไปยังเรือโฮเซ่อีกสองลำ

                พวกทหารโฮเซ่ขยับไปยืนที่กราบเรือ เตรียมขวานเตรียมโล่พร้อม มือจับเชือกโหน บางคนคาบขวานไว้เพื่อจะได้โหนสะดวก ทหารโฮเซ่บนเรืออีกสองลำก็เตรียมพร้อมโหนเช่นกัน

                เทอร์รินเป่าแตรส่งสัญญาณอีกครั้ง พวกทหารจากเรือโฮเซ่สามลำโหนเชือกข้ามไปยังเรือของพวกฮาล์ฟเรดทั้งสองลำ บางคนถูกยิงตกน้ำตายขณะโหน ส่วนพวกที่โหนข้ามไปได้ก็ถือขวานกับโล่บุกเข้าหาพวกทหารฮาล์ฟเรดที่ชักกระบี่ออกมาต่อสู้ แอนโทดัสหัวหน้าฮาล์ฟเรดชักกระบี่ออกมาฟาดฟันใส่พวกโฮเซ่อย่างคล่องแคล่ว ฝีมือเก่งกาจทีเดียว ทหารโฮเซ่สองคนลงไปนอนตายด้วยคมกระบี่ของเขาภายในไม่กี่วินาที

                เทอร์รินคล้องแตรเขาสัตว์ไว้ที่เข็มขัดตามเดิม แล้วคว้าเชือกโหนเส้นหนึ่ง ถีบตัวโหนข้ามไปยังเรือของแอนโทดัส ตีลังกาม้วนตัวตอนลงถึงพื้นเรือ ชักขวานสองหน้าออกมาฟันสังหารพวกฮาล์ฟเรดอย่างคล่องแคล่วไม่แพ้แอนโทดัส โล่ที่ติดแขนซ้ายขยับกำบังกระสุนที่ยิงมาจากด้านข้าง ขวานสองหน้าในมือขวาตวัดฟันใส่ทหารฮาล์ฟเรดอีกคนคอขาดกระเด็น พวกทหารโฮเซ่โหนเชือกข้ามเรือมาเรื่อยๆ เนื่องจากเรือฮาล์ฟเรดทั้งสองลำถูกเรือโฮเซ่แทรกกลางหนึ่งลำและประกบข้างอีกสองลำ จึงถูกบุกเข้ามาจากทั้งสองด้าน เป็นไปไม่ได้ที่จะตั้งรับทัน ฝุ่นทรายที่ยังฟุ้งกระจายอยู่ก็ทำให้มองเห็นได้ไม่เต็มที่ ขณะที่เผ่าพันธุ์ทะเลทรายอย่างพวกโฮเซ่นั้นไม่เดือดร้อนนัก เพราะคุ้นเคยกับฝุ่นทรายมาตั้งแต่เกิด นี่มันถิ่นของพวกเขา ต่อสู้ในรูปแบบที่พวกเขาถนัด พวกฮาล์ฟเรดหรือจะสู้ได้

                เปลวไฟร้อนจัดพุ่งออกจากปลายกระบี่ของแอนโทดัส เผาทหารโฮเซ่สองสามคนตายสนิท เทอร์รินหันไปมองอย่างสนใจ หัวหน้าฮาล์ฟเรดคนนี้เป็นพวกเลือดพิเศษธาตุไฟ สามารถปล่อยเปลวไฟออกมาโจมตีศัตรูได้ ปลายกระบี่กวาดไปมาขณะปล่อยเปลวไฟสกัดการบุกของพวกทหารโฮเซ่เป็นครึ่งวงกลม เขาอันตรายกว่าที่เห็น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าถึงตัวได้

          อย่างไรก็ตาม พวกโฮเซ่ยังคงเป็นฝ่ายได้เปรียบ พวกเขาทะลวงการต้านของพวกฮาล์ฟเรดได้แทบทุกทิศ เรือฮาล์ฟเรดทั้งสองลำมีทหารโฮเซ่ข้ามมาได้จำนวนมาก และรวมกลุ่มล้อมกรอบพวกฮาล์ฟเรดอย่างเป็นต่อ เทอร์รินยกโล่รับคมกระบี่เล่มหนึ่งและกระแทกโล่ใส่เต็มๆ หน้าเจ้าของกระบี่อย่างแรง หันไปฟันขวานใส่คู่ต่อสู้อีกสองคนที่ลอบบุกมาอีกทาง ประสาทไวมาก ขวานในมือจามใส่ศีรษะฮาล์ฟเรดที่อยู่ข้างหลังโดยไม่หันไปมอง และย้อนกลับมาจามศีรษะฮาล์ฟเรดที่อยู่ข้างหน้าในลักษณะของม้าโยก เท้าซ้ายถีบใส่ทหารฮาล์ฟเรดอีกคนล้มลงไปและแกว่งขวานตัดคอทหารคนนั้น แม้ว่าขวานจะเป็นอาวุธหนักมักเคลื่อนไหวได้ช้า แต่เขาก็สามารถใช้มันได้อย่างว่องไว บนเรือฮาล์ฟเรดอีกลำ ซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์และกองทหารของเขาก็กำลังต่อสู้บุกยึดเรือเช่นเดียวกัน พวกฮาล์ฟเรดบนเรือลำนั้นก็ทำท่าจะต้านไม่อยู่

                “หัวหน้าแอนโทดัส” ฮาล์ฟเรดผมสีน้ำตาลเข้มตะโกนข้ามมาจากเรือลำนั้น ดูจะเป็นหัวหน้าเรือลำนั้นและเป็นรองหัวหน้าฮาล์ฟเรด “เราต้านไม่อยู่แล้ว ต้องสละเรือ”

                “นำเรือบดลงน้ำ กัปตันเด็นเซล” แอนโทดัสตะโกนกลับ “สละเรือ”

                “นำเรือบดลงน้ำ สละเรือ” กัปตันเด็นเซลตะโกนบอกทหารในเรือของตน มือก็แทงกระบี่ฆ่าทหารโฮเซ่คนหนึ่ง

                พวกฮาล์ฟเรดส่วนหนึ่งช่วยกันหย่อนเรือบดลงน้ำ อีกส่วนหนึ่งก็ต่อสู้สกัดพวกโฮเซ่ไว้ แอนโทดัสพยายามต่อสู้ซื้อเวลาให้คนของตน กระบี่ในมือขวาแทงทหารโฮเซ่สองคนสองครั้งด้วยความรวดเร็ว แล้วหันไปกระแทกโกร่งกระบี่ใส่หน้าทหารโฮเซ่ที่อยู่ทางขวา ทหารคนนั้นสลบไปพร้อมกับหมวกเกราะกระเด็นหลุดจากศีรษะ มีทหารโฮเซ่อีกเจ็ดคนล้อมกรอบโจมตีเขาเป็นวงกลม ซึ่งเขาก็สามารถฆ่าได้อีกสองคนได้ในเวลาต่อมา คมขวานที่กวัดแกว่งอยู่รอบตัวบังคับให้เขาต้องใช้กระบี่ปัดป้อง และต้องขยับตัวหลบอยู่ตลอดเวลา สู้แบบนี้สู้ลำบาก

          “หัวหน้าแอนโทดัส หมอบลง”  

                ด้วยความรวดเร็ว แอนโทดัสทรุดตัวหมอบราบกับพื้นตามที่บอก กลุ่มกระสุนปืนยาวพุ่งผ่านเหนือหัวเขาไป เหล่าทหารโฮเซ่ที่ล้อมเขาอยู่ถูกยิงตายเรียบ เขารีบลุกขึ้นและใช้กระบี่แทงศัตรูที่วิ่งสวนมาในจังหวะที่สอง พวกทหารฮาล์ฟเรดถือปืนกลุ่มเดิมต่างช่วยกันยิงคุ้มกันให้หัวหน้าของตนที่กำลังต่อสู้ถอยออกมา พวกโฮเซ่ที่บุกมาข้างหลังแอนโทดัสจึงถูกยิงตาย หรือไม่ก็ถูกสกัดให้ชะงัก

                ไฟเหลวร้อนจัดพุ่งเข้าไปเผาพลปืนฮาล์ฟเรดเหล่านั้นตายเรียบทั้งกลุ่ม บางคนมีไฟลุกท่วมตัว บางคนจะกระโดดลงทะเลแต่ก็ตายก่อน แอนโทดัสหันไปดูที่มาของไฟเหลว เทอร์ริน เฮนิเคมผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อคยืนถือขวานกับโล่อย่างสง่างาม ท่ามกลางการต่อสู้ เปลวไฟ และเสียงระเบิด

                 กระบี่ในมือของแอนโทดัสตวัดฟันไปข้างหน้าเต็มแรง มันกระแทกกับโล่ของเทอร์รินที่ยกขึ้นมารับ ขวานสองหน้าในมืออีกข้างเหวี่ยงสวนกลับมาทันทีทันใด แอนโทดัสหมุนตัวหลบพร้อมกับโคจรกระบี่กลับมาอีกรอบ หนนี้เทอร์รินใช้ขวานรับและกระแทกโล่ใส่พร้อมๆ กัน แต่แอนโทดัสก็เลื่อนโกร่งกระบี่มารับการกระแทกของโล่ได้อย่างรวดเร็ว เขาตวัดฟันกระบี่ใส่เทอร์รินเป็นชุด เทอร์รินสามารถหลบหลีกและใช้โล่ป้องกันไว้ได้หมด เช่นเดียวกัน เมื่อเทอร์รินเริ่มบรรเลงขวานโต้กลับไป แอนโทดัสก็สามารถหลบหลีกและใช้กระบี่ปัดป้องออกไปได้ทั้งหมด คมขวานและคมกระบี่กระทบกระแทกกันดังร่วมไปกับการต่อสู้ของคู่อื่นๆ แอนโทดัสจะเร็วกว่าเล็กน้อยเพราะใช้อาวุธที่เบากว่าและเพรียวกว่า ขณะที่เทอร์รินจะโจมตีได้หนักหน่วงกว่า เพราะใช้อาวุธที่หนากว่าและมีน้ำหนักมากกว่า

                เรือบดของพวกฮาล์ฟเรดถูกหย่อนลงน้ำทีละลำ บางลำก็ล้มคว่ำจากลูกหลงการต่อสู้ พวกทหารฮาล์ฟเรดส่วนหนึ่งโรยตัวผ่านเชือกลงไปในเรือบดอย่างรวดเร็ว ขณะที่อีกส่วนหนึ่งยังต่อสู้สกัดพวกโฮเซ่ไว้ เมื่อเรือบดลำใดเต็ม ทหารฮาล์ฟเรดในเรือก็จะตัดเชือกผูกเรือออก และพายออกห่างเรือใหญ่ให้มากที่สุด มันคือความจำเป็นที่ต้องสละเรือ สู้ต่อไปมีแต่ตายกับตาย อีกฝ่ายได้เปรียบมากเกินไป

                เทอร์รินต้อนแอนโทดัสไปทางกราบเรือที่มีทรายอยู่เต็มพื้น การต่อสู้บนพื้นทรายจะทำให้เผ่าพันธุ์ทะเลทรายอย่างเขาได้เปรียบ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น การเคลื่อนไหวของแอนโทดัสเริ่มชะลอติดขัดด้วยทรายลื่นๆ บนพื้นดาดฟ้าเรือ ขณะที่เทอร์รินยังคงเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วเหมือนเดิม เขาชินกับทรายมาตั้งแต่เกิดแล้ว ไม่มีทางที่มนุษย์คนใดจะสันทัดเรื่องนี้มากไปกว่าเขา และในจังหวะที่แอนโทดัสแทงกระบี่ใส่เขาในมุมที่สูงเกินไปเล็กน้อยเพราะลื่นทราย เขาก็อาศัยความลื่นของทรายหมุนตัวหลบด้วยความเร็วกว่าธรรมดา พร้อมกับกระแทกโล่ที่ติดแขนซ้ายเข้าเต็มอกเสื้อเกราะของแอนโทดัส แอนโทดัสถึงกับกระเด็นลื่นตกเรือหายไป เสียงน้ำกระเซ็นบ่งบอกให้รู้ว่าเขาตกลงไปในทะเลด้วย

                เทอร์รินก้าวไปที่กราบเรือ ชะโงกหน้าไปดู สิ่งแรกที่เขาเห็นไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากเรือบดลำหนึ่งที่มีทหารฮาล์ฟเรดอยู่เต็ม รวมทั้งกัปตันเด็นเซลรองหัวหน้าฮาล์ฟเรด ทุกคนในเรือบดเล็งปืนยาวมาที่เขาเป็นจุดเดียวกัน

                ด้วยความคุ้นเคยกับทราย เทอร์รินใช้เท้าข้างหนึ่งถีบกราบเรือ อาศัยความลื่นของทรายไถลตัวถอยหลังไปด้วยความเร็วสูง หลบกลุ่มกระสุนจากพวกฮาล์ฟเรดได้ทั้งหมด แล้วใช้หลังพิงเสาเรือไว้ไม่ให้ล้ม ทหารฮาล์ฟเรดคนหนึ่งฉวยโอกาสบุกเข้ามาจู่โจมตอนเขาเสียหลัก แต่ก็ถูกเขาเตะทรายเข้าตาและใช้ขวานตัดคอขาดกระเด็น รอบตัวเขา พวกทหารฮาล์ฟเรดที่ยังเหลือรอดบนเรือต่างถอดเกราะถอดของหนัก กระโดดหนีลงจากเรือกันหมด บรรดาเรือบดฮาล์ฟเรดก็รีบไปรับพวกพ้องขึ้นจากน้ำ แอนโทดัสถูกดึงขึ้นไปบนเรือของกัปตันเด็นเซล ทั้งสำลักทั้งหอบหายใจเพราะชุดเกราะหนักๆ เอาแต่จะถ่วงให้เขาจมน้ำ

                “ท่านปลอดภัยไหมหัวหน้า” กัปตันเด็นเซลถาม

                “เรากลับไปในสภาพนี้ แรคแทนทินได้ลงโทษพวกเราแน่” หัวหน้าฮาล์ฟเรดพูดเหนื่อยๆ

                “ยังดีกว่าไม่มีใครรอดกลับไปรายงานอะไรเขาเลย” กัปตันเด็นเซลบอก “เขาส่งเรามาสำรวจพื้นที่ อย่างน้อย เราก็มีอะไรกลับไปพูดให้เขาฟังบ้าง”

                เรือบดฮาล์ฟเรดทุกลำพายถอยห่างออกไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทหารฮาล์ฟเรดบนเรือบดยิงปืนยาวโต้ตอบพวกทหารโฮเซ่ที่ยิงธนูไล่หลัง บางคนก็ถูกธนูยิงตกเรือตาย แต่ส่วนใหญ่ก็ถอยห่างออกไปได้ และหายไปกับความมืดแห่งท้องทะเล

                “หนีไปเลยพวกมนุษย์ พายไอ้เรือเล็กๆ พวกนั้นหนีไปเสีย อย่าได้หยุดพายจนกว่าจะขึ้นฝั่งที่โมราโซมอสเชียว” ซีราส ท็อกส์ฟ็อกส์ชูขวานเปื้อนเลือดขู่ไล่หลัง เขายืนอยู่บนดาดฟ้าเรือใหญ่ของพวกฮาล์ฟเรดอีกลำ ทหารโฮเซ่เดินขวักไขว่เต็มไปหมด

                “นำเรือทุกลำมาเทียบข้างกัน” เทอร์รินสั่ง “ต่อสะพานข้ามเรือ”

                เรือโฮเซ่ทั้งสามลำและเรือฮาล์ฟเรดที่ถูกยึดได้สองลำถูกขับมาเทียบข้างกันเป็นแถวหน้ากระดาน สะพานเรือถูกนำมาวางพาดเพื่อให้เรือแต่ละลำสามารถข้ามไปหากันได้ ท็อกส์ฟ็อกส์เดินข้ามมาหาเทอร์รินที่กำลังเช็ดเลือดและฝุ่นทรายออกจากอาวุธชุดเกราะ

                “นานๆ เราจะเป็นฝ่ายถล่มเรือของพวกมนุษย์ย่อยยับบ้าง” ท็อกส์ฟ็อกส์พูดอย่างคึกคัก

                “ฮาล์ฟเรดพวกนี้ถูกส่งมาเสี่ยงอันตราย ตามคำสั่งของพวกมนุษย์” เทอร์รินเก็บขวานลงเข็มขัด “แต่ก็ยังถือว่าเป็นพวกมนุษย์ ทำตามคำสั่งของพวกมนุษย์ จะด้วยความเต็มใจหรือไม่ข้าไม่สน แต่พวกนั้นคิดผิดที่เข้ามาสอดแนมในน่านน้ำของเรา”

                “เป็นเรือสอดแนมลำใหญ่ไม่น้อยทีเดียว” ท็อกส์ฟ็อกส์มองไปรอบๆ “และยังมีทั้งปืนใหญ่และกองทหารติดอาวุธ เรียกว่าเรือรบยังได้”

                “เพราะมันคือเรือรบสอดแนม” เทอร์รินรับถุงใส่น้ำจากทหารมาสองถุง ยื่นถุงหนึ่งให้ท็อกส์ฟ็อกส์ “พวกมนุษย์ส่งมาสอดแนมก็จริง แต่ถ้าหากบังเอิญได้ปะทะกับเรือลาดตระเวนของเราเข้า มันก็สามารถบดขยี้เรือลาดตระเวนของเราได้”

                “แค่หน่วยสอดแนมของพวกมัน ยังมีเรือพร้อมรบได้ขนาดนี้” ท็อกส์ฟ็อกส์รับถุงน้ำมาดื่ม “แม้พวกมนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ข้าคิดว่าควรสูญพันธุ์ไปจากดาวดวงนี้ให้เร็วที่สุด แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ทัพเรือของพวกมันมีแสนยานุภาพสูงมากจริงๆ”

                “หากไม่นับพวกเฟลมฟอร์ส จะถือว่าพวกมนุษย์มีทัพเรือที่ดีที่สุดในดาวดวงนี้” เทอร์รินถอดโล่ออกจากแขนซ้าย “นั่นล่ะปัญหาของเรา เพราะเรากำลังทำสงครามทางทะเลกับพวกมันอยู่”

                ทหารโฮเซ่กลุ่มหนึ่งขนหีบเอกสารและม้วนกระดาษมาวางกองข้างหน้าเทอร์ริน

                “เรียนโฮซอร์ เราพบเอกสารในเรือตามที่ท่านสั่งค้นครับ”

          เทอร์รินพยักหน้าให้พวกทหารไปทำหน้าที่อื่นต่อ แล้วจึงเริ่มตรวจเอกสารของพวกฮาล์ฟเรดทีละฉบับ ท็อกส์ฟ็อกส์ก็เข้ามาตรวจด้วย

          “พวกฮาล์ฟเรดถูกส่งมาสำรวจน่านน้ำและประเมินกำลังของเรา ตามที่คิดไว้” เทอร์รินตรวจดูเอกสารหลายๆ ฉบับ “ซึ่งไม่ต้องดูจากเอกสารก็พอรู้ว่า สิ่งที่พวกมันได้จากการสอดแนมครั้งนี้ คือเรือของเราถอยกลับเข้าฝั่งกันหมดหลังจากแพ้ศึกครั้งล่าสุด ไม่มีแม้แต่เรือลาดตระเวน”

          “ยังไงพวกมันก็ต้องรู้เรื่องนี้อยู่ดี หรือไม่ก็คงจะรู้อยู่แล้ว แค่ส่งหน่วยสอดแนมมายืนยันความแน่ใจ” ท็อกส์ฟ็อกซ์กล่าว “และก็เป็นโชคร้ายของหน่วยสอดแนม ที่บังเอิญมาเจอกับพวกเราที่เดินทางกลับจากเกาะแฮนดรัสพอดี”

          “การที่พวกมนุษย์ส่งหน่วยสอดแนมมากับเรือติดอาวุธ มีเอกสารและเครื่องไม้เครื่องมือเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้ ท่านรู้ใช่ไหมว่ามันหมายถึงอะไร” เทอร์รินถามหยั่งเชิง

          “พวกมันเตรียมปูทางสำหรับยกทัพเรือมาบุกถึงฝั่งของเราแล้ว ทัพเรือของพวกมันพร้อมแล้ว” ท็อกส์ฟ็อกส์ตอบ “ดูเหมือนว่ากบฏโฮเซ่ที่ท่านส่งไปนั้น จะซื้อเวลาให้เราได้ไม่นานนัก พวกมนุษย์คงมีวิธีจัดการปัญหาเร็วกว่าที่คิด”

          “กองเรือของพวกเรายังไม่พร้อมจะต้านการบุกของพวกมัน พวกแฮนดรัสก็ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับเรา” เทอร์รินพูดเสียงเครียด “คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะปกป้องชายฝั่ง”

          “เราต้องหารือกับผู้ปกครองแบร์ร็อคคนอื่นๆ” ท็อกส์ฟ็อกส์บอก “พอร์ล็อค เกร็ฟเฟ็ท ทอร์น เพื่อนสนิทอีกสามคนของเรา”

          “ข้าไม่ยอมให้แบร์ร็อคถูกพวกมนุษย์เหยียบย่ำเหมือนโฟรเซ็นทิเนลแน่” เทอร์รินพูดอย่างประสาทเสีย “หวังจริงๆ ว่าจะมีสักทางที่จะหยุดยั้งพวกมัน”

               

*************

 

                ฟิเร็นดาและกำลังเสริมจากโอมิลรอนเคลื่อนพลมาถึงฐานบัญชาการซาโมโรว์ในยามดึก ได้รับการต้อนรับจากเจ้าเมืองริฟเฟอร์เป็นอย่างดี ซาโมโรว์กับโอมิลรอนเป็นเมืองที่เกื้อกูลกันมาตลอด ไม่ว่าจะชาวเมือง ทหาร หรือผู้ปกครองเมือง ต่างก็คุ้นเคยกันดี ฟิเร็นดาคุ้นเคยกับทั้งริฟเฟอร์และอโลบัส สำหรับเธอริฟเฟอร์คือผู้ใหญ่ใจดี เป็นมิตรกับเธอเสมือนญาติสนิท ส่วนอโลบัสนั้นก็โตมากับเธอ ใช้ชีวิตในราชสำนักร่วมกับเธอมาตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าเขาค่อนข้างจะชอบเก็บตัวเงียบ ทำตัวลึกลับ ไม่สุงสิงกับใคร แต่เขาก็เป็นมิตรและให้เกียรติเธอเสมอ ไม่นิสัยเสียเหมือนพวกลูกนักปกครองคนอื่นๆ

                “ฟิเร็นดา เกรซ” ริฟเฟอร์จับไม้จับมือกับสาวน้อย ขณะที่กองกำลังจากโอมิลรอนแยกย้ายกันไปพักผ่อน “สวยวันสวยคืนเลยนะ แอนโทนิดัสเพื่อนที่แสนดีของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”

                “อาจารย์ข้าฝากความห่วงใยมาถึงท่านค่ะ และเขาใจดีมากที่ให้โอกาสข้าได้แสดงฝีมือในภารกิจครั้งนี้” ฟิเร็นดาพูดเสียงใส “หวังว่าข้าจะเป็นประโยชน์นะคะ”

                “ฟิเร็นดา” อโลบัสจับมือกับเธอ “ดีใจที่ได้พบท่าน เราซาบซึ้งที่ท่านนำกำลังเสริมมาสนับสนุน”

                “หน้าที่ของเราอยู่แล้ว โอมิลรอนและซาโมโรว์ต่างเกื้อกูลกันมาตลอด” ฟิเร็นดากล่าว อโลบัสคนนี้ยังคงเป็นอโลบัสที่เธอรู้จัก นั่นคือดูสงบนิ่ง ไม่แสดงความรู้สึก ไม่เคยแสดงอารมณ์ใดๆ “หวังว่าเราคงไม่มาช้าเกินไปนะ พอดีมีปัญหากับเรื่องเอกสารนิดหน่อย ระบบราชการก็อย่างนี้ ท่านก็รู้”

                “ข้าเองก็ไม่เคยชอบระบบราชการของโมราโซมอสเลย” อโลบัสพูดเรียบๆ “อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามแผน เราจะเริ่มทำการขจัดขับไล่กบฏโฮเซ่ในตอนเที่ยงตรงของวันพรุ่งนี้ ฉะนั้นคงไม่รังเกียจใช่ไหม หากจะมีการประชุมแผนศึกในตอนนี้ ข้าทราบว่าท่านเดินทางมาเหนื่อย แต่รับรองได้ว่าใช้เวลาไม่นาน”

                “ข้าไม่เหนื่อยอะไร เดินทางใกล้จะตายไป เมืองนี้กับเมืองโอมิลรอนอยู่ติดกัน” ฟิเร็นดาพูดอย่างกระฉับกระเฉง “เรามีเวลาเหลือเฟือกว่าจะถึงเที่ยงวันพรุ่งนี้ เริ่มประชุมกันเถอะ”

                อโลบัสและริฟเฟอร์พาฟิเร็นดาเข้าปราสาทบัญชาการ ตรงเข้าไปในห้องประชุม บนโต๊ะกลางห้องมีแบบจำลองพื้นที่ส่วนหนึ่งในซาโมโรว์ตั้งอยู่ มันทำด้วยน้ำแข็งล้วนๆ เป็นแบบจำลองพื้นที่ราบ ล้อมรอบด้วยเนินเขาเตี้ยๆ ค่ายของพวกกบฏตั้งอยู่กลางที่ราบ รอบค่ายมีเครื่องกีดขวางและไม้แหลม เป็นแบบจำลองที่คล้ายของจริงไม่น้อย

                “ว้าว! ฝีมือเยี่ยมทีเดียว” ฟิเร็นดาชม “ใครทำแบบจำลองหรือ”

                “ข้าเอง” อโลบัสบอก “รีบๆ ประชุมกันก่อนที่มันจะละลายเถอะนะ”

                ทั้งสามคนนั่งลงบนเก้าอี้รอบแบบจำลอง บางส่วนเริ่มละลาย อโลบัสยื่นนิ้วไปใกล้ๆ ไอน้ำแข็งเย็นเฉียบบางๆ พุ่งออกมาจากปลายนิ้วเขา ซ่อมแซมส่วนที่ละลายให้จับตัวกัน

                “ทุกท่านคงทราบดีว่าเหตุใดเราถึงต้องการกำลังเสริมจากโอมิลรอน” อโลบัสบอก “ในตอนนี้ทัพหลวงต้องใช้กำลังพลในการทำอย่างอื่น ตามประสงค์ของพระราชา กองทัพส่วนหนึ่งเตรียมจะถูกส่งไปบุกชายฝั่งแบร์ร็อค และอีกส่วนหนึ่งกัปตันเท็มเปิลจะนำไปปราบปรามพวกดาร์คเนสดีวิลที่โฟรเซ็นทิเนล พระองค์ต้องการแสดงให้เห็นว่า มนุษย์สามารถพิชิตศัตรูทุกคนได้พร้อมๆ กัน”

                “ซึ่งข้าว่าพระองค์คิดถูกในเรื่องนี้” ริฟเฟอร์เสริม “กองทัพมนุษย์มีแสนยานุภาพมากกว่าเผ่าพันธุ์ใด”

                “หน้าที่ของข้า คือกำจัดกบฏโฮเซ่ผู้บุกรุกเหล่านี้ ด้วยกองกำลังที่เรามี ซึ่งเมื่อรวมกับกำลังเสริมจากโอมิลรอนแล้ว ถือว่ามีเพียงพอสำหรับชัยชนะ” อโลบัสบอก “อย่างไรก็ตาม ข้าได้รับคำสั่งเพิ่มเติม ให้ฝ่ายของเราเสียหายน้อยที่สุด ใช้ทรัพยากรในการปฏิบัติการให้น้อยที่สุด และต้องชนะพวกกบฏอย่างขาดลอย เพื่อรักษากำลังพล รักษาทรัพยากรสงครามไว้ใช้ในศึกภายภาคหน้า รวมถึงสร้างความศรัทธาแก่ประชาชน ฉะนั้น เราจะใช้กลยุทธ์ที่เหนือกว่าและข้อได้เปรียบเรื่องพื้นที่ในการลดความเสียหายของฝ่ายเรา และเพิ่มความเสียหายแก่ฝ่ายตรงข้าม”

                “ท่านสองคนรู้จักพื้นที่ในเมืองซาโมโรว์มากกว่าพวกกบฏโฮเซ่” ฟิเร็นดาพูด “พวกท่านทำได้แน่นอน”

                “ในตอนนี้ พวกกบฏต่างถอยไปรวมกันที่ค่ายของพวกมันกันหมดแล้ว” ริฟเฟอร์บอก “ไม่มีตัวประกัน เราสามารถบุกเข้าโจมตีได้โดยไม่ต้องระวังความเสียหาย”

                “การที่พวกกบฏโฮเซ่ตั้งค่ายอยู่ในพื้นที่ที่มีเนินล้อมรอบนั้น ก็เพื่อใช้เนินช่วยบังการตรวจจับของพวกเรา นับว่าเป็นความคิดที่ดี เพราะก่อนหน้านี้หน่วยลาดตระเวนของเราตรวจไม่พบเสียที แต่ตอนนี้เราก็ทราบตำแหน่งแล้ว และสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่แบบนั้นได้” อโลบัสอธิบาย “เมื่อเข้าโจมตี เราจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า อีกทั้งพื้นที่แบบนั้นยังง่ายต่อการปิดล้อม ซึ่งการที่เราอยู่ในที่สูงกว่า ก็หมายความว่าเราสามารถกลิ้งหินไฟลงไปโจมตีได้”

                “ดูเหมือนว่าพวกกบฏจะคิดแผนรับมือกับเรื่องนี้ไว้แล้ว” ฟิเร็นดาชี้ไปตามเครื่องกีดขวางและไม้แหลมที่ปักรอบค่าย “หากท่านกลิ้งหินไฟไปลงไป มันก็จะติดเครื่องกีดขวางเหล่านี้”

                “ฉลาดมากฟิเร็นดา และช่างสังเกต” อโลบัสชม “เหตุนี้ข้าจึงปรับปรุงหินไฟเหล่านั้น ให้มันไม่ใช่แค่หินไฟธรรมดา ท่านจะได้เห็นเองวันพรุ่งนี้ สิ่งแน่นอนคือไม่ว่าจะเป็นอาคาร กระโจม หรือสิ่งกีดขวางในค่ายพวกกบฏโฮเซ่นั้น ล้วนทำด้วยไม้ เพราะเป็นวัสดุที่หาง่าย การโจมตีด้วยไฟคือสิ่งที่ควรทำ เราจะแบ่งกองกำลังออกเป็นสามส่วน ข้า ท่าน และเจ้าเมืองริฟเฟอร์”

                ฟิเร็นดาพยักหน้า

                “เราสามคนจะนำกองกำลังเคลื่อนพลแยกกันไปคนละทาง และไปพบกันอีกครั้งตอนปิดล้อมค่ายกบฏ” อโลบัสแจกแผนที่ให้คนละแผ่น แต่ละแผ่นถูกทำสัญลักษณ์เส้นทางไว้คนละทาง “นี่คือเส้นทางที่พวกท่านจะเคลื่อนพล”

                “ทำไมต้องแยกกันเคลื่อนพลล่ะ” ริฟเฟอร์ถาม

                “มันคลอบคลุมพื้นที่ได้มากกว่า” อโลบัสตอบ “เป็นการไล่ต้อนพวกกบฏที่กระจัดกระจายอยู่นอกค่าย ให้ถอยกลับไปรวมกันที่ค่ายทางอ้อม”

                “ฉลาด” ริฟเฟอร์ชม

                “เราจะเริ่มบุกเข้าโจมตีค่ายตอนเที่ยงตรง เพราะเป็นเวลาที่แสงแดดส่องจากมุมสูง และเราอยู่บนที่สูง ฝ่ายตรงข้ามจะเล็งอาวุธใส่เราได้ลำบากขึ้น” อโลบัสบอก “ขณะที่เราจะเล็งใส่พวกนั้นในมุมต่ำ จึงไม่มีปัญหาเรื่องแสงแยงตา”

                “ช่างคิด” ฟิเร็นดาชม

                “ส่วนกลยุทธ์ที่เหลือ ก็เพียงคอยสังเกตสัญญาณจากข้า จัดตำแหน่งกำลังพลตามที่ข้าร้องขอ แล้วทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน” อโลบัสพูด “คืนนี้ขอให้พวกท่านพักผ่อนเต็มที่ และอย่ากังวลกับภารกิจนัก มันไม่ใช่ศึกใหญ่โต แต่ก็โปรดอย่าประมาท ข้าขอรบกวนเวลาพวกท่านเพียงเท่านี้ตามที่สัญญาไว้ การประชุมใช้เวลาไม่นาน”

                แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืน ยกแบบจำลองที่กำลังจะละลายไปทิ้ง

                “ตามคำสั่งของพระราชา เราต้องฆ่ากบฏโฮเซ่ทุกคน ไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว” ริฟเฟอร์พูด “เจ้าไหวใช่ไหมฟิเร็นดา”

                “ข้าทำได้ค่ะ” สาวน้อยพูดอย่างหนักแน่น อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ เธอไม่เคยฆ่าคนมาก่อน

 

***********

 

                เช้าวันต่อมา ฐานทัพซาโมโรว์ก็เต็มไปด้วยทหารและอัศวินสวมชุดเกราะจำนวนมาก อาวุธและอุปกรณ์สงครามเตรียมพร้อมสำหรับใช้ปราบกบฏโฮเซ่ อโลบัสในชุดเกราะและผ้าคลุมสีแดงทองครบชุดยืนอ่านหนังสือเงียบๆ เป็นพฤติกรรมที่ค่อนข้างแปลก เพราะมันไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการศึกที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้เลย หนังสือก็เก่าจนแทบจะหลุดเป็นชิ้นๆ เขามายืนอ่านนานแค่ไหนแล้วก็ไม่ทราบ ทหารบางคนอ้างว่าเห็นเขายืนอ่านตั้งแต่เมื่อคืนทีเดียว ฟังดูค่อนข้างเกินจริง เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าเขาไม่ได้นอนทั้งคืน ยืนอยู่อย่างนี้ตลอด และไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนแรงเลย

                ฟิเร็นดาเดินเข้ามาหาอโลบัส เธอสวมเกราะเหล็กสีแดงทองเช่นกัน เสื้อเกราะของเธอบางและเข้ารูป มีส่วนเว้าส่วนโค้งสำหรับนักรบหญิงโดยเฉพาะ กระโปรงตัวสั้นทำด้วยเหล็ก สนับแขนสนับขาทำด้วยทองแดง ผ้าคลุมสีแดงทองลายดาวผืนเล็กๆ คาดอยู่ข้างหลังเสื้อเกราะ เป็นลายเดียวกับเสื้อคลุมของแอนโทนิดัส แรกซ์ริง ศีรษะของเธอคาดรัดเกล้าบางเฉียบติดดาวที่หน้าผาก เครื่องแต่งกายสีแดงทองทั้งหมดนี้เข้ากับผิวขาวสะอาดของเธอ ยิ่งเธอมีผมสีแดงสด ยิ่งทำให้มันดูสว่างขึ้นอีก

                “ท่านไม่ทานอาหารเช้าหรือ” เธอถามอโลบัส

                “ข้าทานแล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วง” อโลบัสยังไม่เงยหน้าจากหนังสือ “ท่านไปทานเถิดนะ”

                “ข้าเพิ่งทานเสร็จ” ฟิเร็นดาตอบ “แต่ข้ารู้ว่าท่านยังไม่ได้ทาน ข้าไม่เห็นจานที่ใช้แล้วสักใบ”

                “ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก อย่าใส่ใจ” อโลบัสพูดเรียบๆ ยังจดจ่อกับการอ่าน “เหล่าทหารพร้อมที่จะทำศึกแล้ว ทุกอย่างเตรียมพร้อม เมื่อถึงเวลาที่ดาวฤกษ์อิลิมิน่าลอยขึ้นสูงสุดยามเที่ยงวัน เราจะเริ่มเคลื่อนพล”

                ฟิเร็นดามองคทาด้ามยาวในมือของตน เป็นคทาที่ทำด้วยทองแดง ปลายคทามีความแหลมคม ใช้เป็นอาวุธแบบเดียวกับหอก คทาคืออาวุธของผู้วิเศษแห่งโมราโซมอสและเหล่าผู้ติดตาม พ่อมดแอนโทนิดัส แร็กซ์ริงเป็นอีกคนที่ใช้คทาได้เก่งกาจ ฟิเร็นดาไม่ได้มีคาถาอาคมหรือความรอบรู้ในการแปลงสภาพพลังงานเหมือนพ่อมดผู้เป็นอาจารย์ของเธอ แต่เธอก็เรียนรู้การใช้คทาต่อสู้จากเขา และวันนี้เธอจะต้องใช้มันในการเอาชีวิตศัตรูเป็นครั้งแรก

                “ไม่เคยเห็นท่านสวมหมวกเกราะเลย” ฟิเร็นดาตั้งข้อสังเกต

                “ไม่เคยเห็นท่านสวมเช่นกัน” อโลบัสพูดขณะอ่าน

                “ข้าเป็นผู้หญิงนะ นักรบหญิงไม่สวมหมวกเกราะกัน มันทำให้ดูน่าเกลียด เสียภาพลักษณ์ความเป็นหญิง” เธอหัวเราะ มือแตะที่รัดเกล้าบนศีรษะ “เราจึงหาสิ่งที่เหมาะสมกับหัวสวยๆ ของเราแทน”

                “ผู้หญิง ยอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อรักษาความสวย” อโลบัสพึมพำอย่างไร้ความรู้สึก “ดูเหมือนประโยคนี้จะไม่เกินจริง”

                “แล้วท่านล่ะ ทำไมถึงไม่สวม ทหารนักรบมนุษย์ผู้ชายต่างสวมกันทุกคน ข้าไม่คิดว่าท่านจะห่วงสวยหรอกนะ”

                “หากข้าสวมหมวกเกราะ ก็จะต้องมีมงกุฎประดับตามธรรมเนียม” อโลบัสตอบ “ข้าไม่ชอบมงกุฎ”

                “ท่านเป็นเจ้าชาย ท่านก็ต้องสวมมงกุฎ” ฟิเร็นดาท้วง “มันจะช่วยเพิ่มบารมีให้ท่าน”

                “อีกหนึ่งนิสัยที่มักจะสร้างปัญหาของมนุษย์” อโลบัสพูดเรียบๆ “ให้ความสำคัญกับเปลือกมากกว่าแก่น เป็นที่พึงพอใจแก่การมองผ่าน แต่ขาดคุณภาพอันแท้จริง”

                ฟิเร็นดาจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง พยายามวิเคราะห์ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร อโลบัสยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ เป็นคนที่สมาธิสูงอย่างน่านับถือ  

                “อักษรดาร์เคนหรือ” สาวน้อยเหลือบไปเห็นหน้าหนังสือของอโลบัส

                “มันก็แค่ตัวอักษร” อโลบัสพูดเรื่อยๆ แต่ปิดหนังสือทันที

                “ท่านอ่านภาษาดาร์เคนออกด้วยหรือ” เธอเอียงคอ “หนังสือก็เก่าจนกระดาษเหลืองหมดแล้ว ไปเอามาจากไหนน่ะ”

                “ก็แค่ดูเล่นเฉยๆ” เขาพูด ดูไม่ออกว่าพูดจริงหรือไม่ เพราะสีหน้าของเขาไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เลย “ห้องสมุดในพระราชวังมีหนังสือที่น่าสนใจมากมาย ท่านอาจพบสิ่งที่ควรค่าแก่การรู้ได้ที่นั่น”

                “ท่านก็รู้จักข้า ข้าก็สนุกสนานดื้อซนไปเรื่อย ข้าคงไม่ใช้ชีวิตในวัยเด็กไปกับการเก็บตัวอยู่ในห้องสมุดเหมือนท่าน” ฟิเร็นดาพูดยิ้มๆ “จริงๆ เลยนะ ข้าไม่เคยเห็นท่านทำอะไรที่ดูสนุกสนานเลย เวลาว่างท่านเอาแต่ซ้อมดาบ อ่านหนังสือ เก็บตัวพัฒนาตนเอง ไม่สนใจจะหาเพื่อน ไม่เล่นกับเด็กคนอื่น ไม่เล่นกับข้า จนกระทั่งบัดนี้ ท่านก็ยังไม่ได้เป็นบ้าหรือล้มป่วยเพราะความเครียดด้วย ข้าไม่เคยเห็นมนุษย์คนไหนทำได้แบบท่านเลย มันฝืนธรรมชาติมนุษย์รู้ไหม”

                “บางที ธรรมชาติของข้า ก็คือการฝืนธรรมชาติมนุษย์” อโลบัสพูดอย่างไร้ความรู้สึก “การค้นหาตัวตนที่แท้จริงนั้น บางครั้งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย คนจำนวนมากรวมทั้งข้า ใช้เวลาค้นหามันมานานแสนนาน แล้วก็ยังไม่พบ”

                ฟิเร็นดาขมวดคิ้ว นอกจากจะไม่เข้าใจแล้วยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างไรพิกล

                “ท่านเป็นเลือดพิเศษใช่ไหม” อโลบัสเปลี่ยนเรื่อง

                “ใช่” ฟิเร็นดาพยักหน้า “ธาตุไฟ”

                “สมควรแล้ว ร้อนแรงอย่างท่านคงจะเป็นธาตุอื่นไม่ได้” อโลบัสกล่าว แต่คำว่าร้อนแรงที่ออกจากปากเขานั้น ช่างไม่มีความร้อนเอาเสียเลย เนื่องด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นและท่าทางไร้ความรู้สึกของผู้พูด

                “ส่วนท่านคงเดาไม่ยาก เยือกเย็นนิ่งสนิทอย่างนี้ ต้องเป็นธาตุน้ำแข็ง” ฟิเร็นดาถอนหายใจ

                “ธาตุเหล่านี้อาจส่งผลต่อร่างกายและลักษณะอารมณ์ แต่มันก็ไม่ได้บ่งบอกถึงลักษณะนิสัยเสมอไป คนที่เป็นธาตุไฟแต่อารมณ์เยือกเย็น หรือคนที่เป็นธาตุน้ำแข็งแต่ใจร้อนบุ่มบ่าม ข้าก็เคยพบเห็นมาแล้วทั้งคู่” อโลบัสกลับไปเปิดหนังสือต่อ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่สนใจหนังสือแล้ว

                “เลือดพิเศษอย่างเรานั้นสามารถใช้ธาตุในร่างกายสร้างพลังงานขึ้นมา ที่เราเรียกกันว่าความสามารถพิเศษ บางคนถ่ายเทพลังงานออกมาจากร่างกายโดยตรง บางคนต้องอาศัยอาวุธ” ฟิเร็นดากล่าว “ข้าคือประเภทที่ต้องอาศัยอาวุธ ท่านล่ะประเภทไหนอโลบัส”

                “ข้าทำได้ทั้งสองอย่าง” อโลบัสตอบ สายตายังจับจ้องที่หนังสือ “ข้าสามารถปล่อยไอน้ำแข็งเย็นจัดออกมาจากร่างกาย หรือจากปลายดาบก็ได้”

                “ท่านทำได้ทั้งสองอย่างหรือ” ฟิเร็นดาทวนคำอย่างทึ่งจัด “อาจารย์แอนโทนิดัสบอกว่า คนที่ทำได้ทั้งสองอย่างนั้นมีน้อย เป็นคนที่คู่ต่อสู้รับมือยาก มักจะคิดกลยุทธ์ต่อสู้ใหม่ๆ ขึ้นมาได้เสมอ ทั้งนี้เพราะเข้าอกเข้าใจและมีความเป็นหนึ่งเดียวกับพลังของตนอย่างลึกซึ้ง แม้แต่ความสามารถพิเศษก็ยังพลิกแพลงให้มันถ่ายเทออกมาจากหลายช่องทางได้”

                “เชื่อว่ามีคนอีกมากที่ทำได้ และข้าก็ไม่เห็นว่ามันจะแตกต่างจากคนที่ทำไม่ได้ตรงไหน” อโลบัสพูดเรียบๆ

                “ก็ถ้าคทาหลุดมือ ข้าก็จะใช้ความสามารถพิเศษไม่ได้น่ะสิ” ฟิเร็นดาพึมพำ

                “ว่าแต่ท่านทำอะไรได้หรือ” อโลบัสละสายตาจากหนังสือมามองเธอเป็นครั้งแรก

                ฟิเร็นดาเพ่งสมาธิไปที่คทา ปลายคทาลุกติดเป็นไฟ แล้วเธอก็สะบัดคทาไปข้างหน้าอย่างแรง สะเก็ดไฟเท่าหัวแม่มือหลายลูกพุ่งกระจายเผาพื้นหญ้าเป็นจุดๆ ตามที่มันตกลงไป ความร้อนของมันสูงมากทีเดียว

                “ท่านมีความสามารถพิเศษแบบเดียวกับแอนโทนิดัส แร็กซ์ริง อาจารย์ของท่าน” อโลบัสบอก “เขาก็ทำแบบนี้ได้เหมือนกัน”

                “แต่ข้าไม่สามารถร่ายคาถาอาคมได้แบบเขา การเปลี่ยนรูปพลังงานทำนองนั้นข้าไม่มีความรู้” ฟิเร็นดาพูด “เขาบอกว่าข้าเหมาะที่จะเป็นนักรบใช้อาวุธ มากกว่ามานั่งวิเคราะห์วิจัยพลังงาน บุคลิกและความสนใจของข้าไม่เหมาะจะเป็นผู้วิเศษนัก”

                “แล้วท่านคิดว่ายังไง” อโลบัสถามต่อ

                “ข้าเห็นด้วยกับเขา การเป็นแม่มดนั้นไม่ใช่ตัวตนของข้า” ฟิเร็นดาว่า “ข้ารู้ตัวตนของข้าดี”

                “การรู้จักตนเอง คือการประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่” อโลบัสกล่าวเรียบๆ “ข้าหวังว่าสักวัน ข้าจะประสบความสำเร็จแบบท่านบ้าง”

                “ท่านหมายความว่ายังไง”

                “เจ้าชายอโลบัส เลดี้ฟิเร็นดา” ริฟเฟอร์เดินเข้ามาหา เขาสวมเกราะสีแดงทองทั่วทั้งตัว ตราสัญลักษณ์ประจำเผ่าพันธุ์มนุษย์สลักนูนที่อกเสื้อเกราะ แขนข้างหนึ่งถือหมวกเกราะมาด้วย “กองกำลังของเราพร้อมแล้ว เราแยกเป็นสามส่วน ตามคำสั่งของท่าน”

                “นำกองกำลังแต่ละชุดเคลื่อนทัพไปในทิศทางที่กำหนด พวกกบฏที่กระจายอยู่จะถูกต้อนไปรวมกันที่ค่าย หากข้าคาดคะเนไม่ผิด เราจะเข้าปิดล้อมค่ายในเวลาเที่ยงพอดี” อโลบัสสั่งการ

                ริฟเฟอร์และฟิเร็นดาแยกย้ายกันไปขึ้นม้า และนำกองกำลังของตนเคลื่อนพลแยกไปตามเส้นทางที่วางแผนไว้ ทั้งทหารราบและทหารม้า อโลบัสก็เดินไปขึ้นม้าและนำกองกำลังเคลื่อนพลไปอีกทาง เดินขบวนเป็นกองทหารแบบนี้ไม่มีกบฏโฮเซ่กลุ่มใดบ้าพอจะกล้าปะทะกับพวกเขาระหว่างทางแน่ พวกนั้นจะพากันถอยหนีกลับไปรวมกันที่ค่าย มั่นใจได้ว่าพวกกบฏย้ายค่ายหนีไม่ทัน พวกมนุษย์แยกกองกำลังเป็นสามส่วน เคลื่อนพลเข้ากวาดต้อนจากสามทิศทาง ไม่มีเส้นทางหนีแน่นอน

                จนกระทั่งใกล้เวลาเที่ยงวัน ดาวฤกษ์อิลิมิน่าลอยอยู่ในมุมสูง กองกำลังมนุษย์ทั้งสามส่วนก็เข้าปิดล้อมค่ายกบฏที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่ำ ล้อมรอบด้วยเนินเตี้ยๆ ลักษณะแนวป้องกันคล้ายกับแบบจำลองน้ำแข็งของอโลบัสมาก รอบค่ายเต็มไปด้วยไม้แหลมและเครื่องกีดขวางที่ทำด้วยไม้ ที่พักส่วนใหญ่ก็เป็นกระโจมและเพิงไม้  กลุ่มกบฏทั้งค่ายนั้นตั้งขบวนเตรียมอาวุธรอพวกเขาอยู่แล้ว ทั้งกบฏโฮเซ่และมนุษย์นอกกฎหมาย ทั้งหมดพร้อมที่จะสู้อย่างสุนัขจนตรอก ส่วนใหญ่ไม่มีชุดเกราะ อาวุธที่ใช้ก็ไม่มีคุณภาพนัก คงรู้ชะตากรรมตนเองดีเมื่อต้องสู้กับกองทหารมนุษย์ที่มีครบทุกอย่าง ไม่มีช่องทางให้หนีแล้ว ถูกปิดล้อมจากสามทิศทาง พวกที่เคยกระจายอยู่นอกค่ายก็ถูกต้อนมารวมอยู่ที่นี่กันหมด

                “ลองเข้ามาใกล้ๆ สิมนุษย์ จะฟันให้กระจุยเลย” โฮเซ่ร่างบึกบึนคนหนึ่งยกขวานขู่ หนวดเครารุงรัง แผลเป็นเต็มหน้า ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากองกบฏ “เราอาจเป็นแค่ผู้ก่อการร้าย แต่เราไม่เคยกลัวที่จะสู้กับผู้ก่อการร้ายตัวจริงหรอก”

                “แซริค” ริฟเฟอร์พึมพำ “หัวหน้ากบฏโฮเซ่ หนุ่มผู้เติบโตมากับความรุนแรง สนใจเพียงการฆ่าฟันและชำระแค้น”

                ฟิเร็นดาสูดหายใจลึกๆ การต่อสู้กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว อโลบัสผู้ซึ่งอยู่อีกฝากของเนิน ปลดแตรทองออกจากอานม้า แต่ก็ยังไม่เป่า คล้ายกับคอยสังเกตปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม ความสุขุมคือกลยุทธ์ประจำตัวของเขา ซึ่งมันสร้างความกดดันให้กับฝ่ายตรงข้ามได้เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน บรรดากบฏทั้งหลายต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด เฝ้ารอกับสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้น แต่ก็ยังไม่เกิดเสียที

                “จะโจมตีก็รีบโจมตี เจ้าพวกมนุษย์” แซริคคำรามอย่างอดรนทนไม่ไหว เดาได้ว่าเป็นเพราะนิสัยใจร้อนบวกกับความกดดัน “ผู้บัญชาการทัพของพวกเจ้าพักกินมื้อกลางวันอยู่หรือไง”

                อโลบัสเปล่าแตรทองส่งสัญญาณ แล้วเหล่าทหารราบก็ช่วยกันกลิ้งวัตถุกลมๆ ขนาดใหญ่มารออยู่ที่ริมเนิน มันไม่ใช่หินไฟ แต่มันคือท่อนฟืนจำนวนมาก มัดรวมด้วยตาข่ายจนเป็นก้อนกลม ฟืนในตาข่ายอีกหลายลูกจากกองกำลังฝั่งของริฟเฟอร์และฟิเร็นดาก็ถูกกลิ้งมารอไว้เช่นกัน พวกทหารเริ่มราดน้ำมันใส่ฟืนในตาข่าย ถือคบเพลิงไว้ใกล้ๆ เตรียมจุดไฟ

                อโลบัสเป่าแตรให้สัญญาณอีกครั้ง พวกทหารจุดไฟใส่มัดฟืนแล้วผลักมันกลิ้งลงไปสู่ฐานทัพกบฏ พวกกบฏโฮเซ่ตาค้าง ก้าวถอยหลัง มองมัดฟืนกลมๆ มีไฟลุกท่วมกลิ้งลงมาจากทุกทิศทุกทาง หากเป็นหินไฟ มันคงถูกไม้แหลมและเครื่องกีดขวางรอบค่ายสกัดไว้ แต่นี่มันคือท่อนฟืนที่มัดด้วยตาข่าย เมื่อมันชนกับเครื่องกีดขวาง ตาข่ายที่มัดกองฟืนก็ขาดเป็นชิ้นๆ เพราะถูกไฟเผาจนบาง ส่งผลให้ท่อนฟืนพุ่งกระจายลอดช่องเครื่องกีดขวางหรือลอยข้ามไปตกใส่กองกำลังกบฏและสิ่งก่อสร้างในค่าย ความโกลาหลบังเกิดแก่พวกกบฏ หลายคนถูกไฟครอก ถูกท่อนไม้ไหม้ไฟพุ่งใส่ กระโจมและเพิงไม้แต่ละหลังก็ลุกติดไฟ เครื่องกีดขวางรอบค่ายก็ลุกไหม้ พวกมนุษย์กลิ้งฟืนในตาข่ายลงมาอีกหลายลูก เพิ่มการเผาไหม้และความเสียหายแก่ค่ายกบฏมากขึ้นอีก แม้ว่าพวกกบฏจะพยายามนำน้ำมาดับ แต่ก็สุดจะบรรเทาการลุกลามของไฟได้ เกือบทุกสิ่งในค่ายทำด้วยไม้และฟาง เมื่อถูกโจมตีด้วยไฟ ย่อมวินาศสันตะโร

                “พวกมนุษย์เลวทราม สิ่งมีชีวิตที่ไม่ควรเกิดมา พวกกระหายเลือด” แซริคสบถร่ายยาว อีกหนึ่งชื่อเสียงของเขาคือปากไม่สงบ แม้ยามต่อสู้ก็ยังบ่นโวยวาย “พวกผิวชมพูไร้ความดี สร้างนรกขึ้นมาได้ทุกที่”

                อโลบัสคอยสังเกตเครื่องกีดขวางและไม้แหลมรอบค่าย จนเริ่มเห็นว่ามันถูกเผาจนเปราะบางแล้ว จึงเป่าแตรส่งสัญญาณอีกครั้ง คราวนี้พวกทหารมนุษย์กลิ้งหินจริงๆ มา หินก้อนใหญ่จำนวนมากถูกนำมาคอยท่าที่ริมเนิน ไม่มีการราดน้ำมันจุดไฟใดๆ ทั้งนั้น ไม่ได้นำมันมาใช้เผาอะไร แต่นำมาใช้เปิดทาง

                สัญญาณแตรดังขึ้นอีกครั้ง แล้วหินก้อนมหึมาจำนวนมากก็กลิ้งลงเนิน ตรงเข้าหาค่ายกบฏจากทุกทิศทุกทาง มันกลิ้งชนเครื่องกีดขวางและไม้แหลมรอบค่ายที่ถูกไฟเผาจนเปราะบางกระจัดกระจายเป็นชิ้นๆ  ชิ้นส่วนไหม้ไฟกระเด็นใส่พวกกบฏอีกหลายคนตายคาที่ เป็นกลยุทธ์เปิดทางโจมตีที่ฉลาดมาก ตอนนี้เครื่องกีดขวางต่างๆ รอบค่ายถูกกำจัดหมดแล้ว เส้นทางโจมตีเปิดโล่ง

                อโลบัสเป่าแตรครั้งสุดท้าย แล้วขี่ม้าทะยานลงเนินตรงเข้าหาค่ายกบฏ นำหน้ากองกำลังอัศวินและทหารม้าส่วนของตน ขณะที่ฟิเร็นดากับริฟเฟอร์นั้นส่งสัญญาณให้กองกำลังของตนนำหน้าไปก่อน แล้วจึงควบม้าตามไปพร้อมกับพวกที่อยู่แนวกลาง เนื่องด้วยทั้งคู่ถูกปลูกฝังด้วยกลยุทธ์การรบแบบมนุษย์ คือให้พวกทหารเข้าไปเสี่ยงตายก่อน ผู้บัญชาการค่อยตามไปทีหลัง เป็นกลยุทธ์ที่หลายคนมองว่าขี้ขลาดและเห็นแก่ตัว กลยุทธ์ที่นายทัพมนุษย์แทบทุกคนถูกปลูกฝังมาให้ใช้

          อย่างไรก็ตาม เห็นชัดว่าอโลบัสไม่ใช่หนึ่งในนั้น เขาขี่ม้าบุกเข้าไปคนแรกและประเดิมการปะทะด้วยการตัดคอกบฏโฮเซ่คนหนึ่งขาดกระเด็น ก้มหัวหลบลูกธนูสองดอก แล้วขี่ม้าเข้าชนโจรป่าที่รวมกลุ่มกันกระจัดกระจายไปทั้งกลุ่ม กองกำลังมนุษย์บุกเข้าปะทะกองกำลังกบฏโฮเซ่จากสามทิศทาง ทวนจากพวกอัศวินมนุษย์เสียบร่างพวกกบฏล้มตายระเนระนาด พวกทหารราบมนุษย์ถืออาวุธบุกลงเนินมาสมทบ พวกที่มีปืนยาวเริ่มลั่นไก ดาบ หอก โล่ ขวาน เหวี่ยงฟาดฟันกันดังสนั่น แซริคสบถคำหยาบ หลบทวนอัศวินมนุษย์คนหนึ่งแล้วใช้ขวานฟันตกหลังม้า แม้เขาจะปากมาก แต่ฝีมือการต่อสู้ก็ไม่ได้ธรรมดาเลย ชายหนุ่มผู้เติบโตมากับความรุนแรง มักจะมีความสามารถเรื่องเอาชีวิตคน

          “ไอ้พวกมนุษย์บ้าอำนาจ” แซริคฟันอัศวินมนุษย์อีกคนร่วงตกม้าตาย แล้วหันไปฟันทหารราบมนุษย์อีกสองคนที่ลอบมาทางด้านหลัง ฆ่าไปโวยวายไป “ไอ้พวกบ้าสงคราม ไอ้พวกกระหายอาณานิคม”

          ฟิเร็นดาหุบปากกัดฟันแน่น ม้าของเธอวิ่งร่วมไปกับกลุ่มอัศวิน พวกนั้นใช้ทวนแทงพวกกบฏที่ขวางหน้าอยู่ เธอต้องใช้คทาทำอย่างนั้นบ้าง ต้องตัดสินใจฆ่าใครสักคน ใช่ว่าเธอไม่เคยเห็นความตาย ก่อนหน้านี้แร็กซ์ริงเคยพาเธอไปดูการต่อสู้ในสงครามที่ผ่านมา และก็ใช่ว่าเธอจะไม่เคยฆ่าอะไรด้วย เธอเคยล่าสัตว์หลายครั้ง มันเป็นกีฬายอดนิยมของมนุษย์ชนชั้นสูง ในเมื่อเธอเคยทำได้ดีในการฆ่าหมู่ป่า กวาง สุนัขจิ้งจอก การฆ่าศัตรูสักคนคงไม่อยากเย็นนัก เธอพยายามบอกตัวเองอย่างนั้น มือขวาลดระดับคทาให้ขนานกับพื้น เล็งไปที่โฮเซ่คนหนึ่งผู้กำลังฟาดฟันขวานต่อสู้กับทหารมนุษย์ หากจะฆ่าห้ามลังเลครึ่งๆ กลางๆ  มันต้องรวดเร็วและเฉียบขาด อาจารย์ของเธอบอกอย่างนี้

          ปลายคทาคมกริบเสียบทะลุหัวใจกบฏโฮเซ่คนนั้น เลือดสีขาวพุ่งกระจายไม่น่าดู สาวน้อยถอนคทาออกในจังหวะที่ม้าควบเลยผ่านไป หน้าซีดเล็กน้อย หายใจรัวถี่ด้วยความตื่นเต้น

          “คนแรกที่ท่านฆ่าหรือ” ริฟเฟอร์ควบม้าผ่านมา ดาบในมือเขาเปื้อนเลือดทั้งสีขาวและสีแดง คงฆ่าศัตรูไปหลายคนแล้ว

          ฟิเร็นดาพยักหน้า ไม่รู้จะพูดอะไรดี

          “เริ่มต้นได้ดี เดี๋ยวก็ชินเอง อย่าได้ลังเล เพราะอีกฝ่ายก็ไม่ลังเลเช่นกัน” ริฟเฟอร์สะบัดบังเหียนควบม้าไปอีกทาง

                ม้าของอโลบัสเร่งฝีเท้าเหยียบชนพวกกบฏโฮเซ่ ในขณะที่ผู้ขี่ก็ฟันดาบสังหารศัตรูทุกคนที่ตนควบผ่าน แม้ว่าดาบของเขาจะค่อนข้างยาว เหมาะสำหรับใช้สองมือ แต่เขาก็ใช้มันได้อย่างรวดเร็วด้วยมือข้างเดียว ไม่ต่างจากดาบมือเดียว ริฟเฟอร์ควบม้าเข้าไปต่อสู้กับกลุ่มโจรภูเขา แม้จะอายุค่อนข้างมากแต่ก็ยังแข็งแรงมีฝีมืออยู่ มีโจรป่าคนหนึ่งเล็งธนูมาที่เขา เขาสะบัดฝ่ามือสวนกลับไป แล้วลมรุนแรงก็พัดพุ่งออกจากฝ่ามือผลักโจรป่าคนนั้นล้มหงาย ริฟเฟอร์ก็มีเลือดพิเศษเช่นกัน ดูเหมือนจะสามารถปล่อยกระแสลมออกจากร่างกายได้

          ควันไฟและเปลวไฟกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ต่อสู้ บนพื้นเริ่มเต็มเป็นด้วยศพ การต่อสู้ครั้งนี้พวกมนุษย์ได้เปรียบเพราะทหารนักรบแต่ละคนมีเกราะมีอาวุธครบมือ ขณะที่พวกกบฏนั้นมีบ้างไม่มีบ้าง ที่สำคัญคือพวกกบฏไม่มีทหารม้า นั่นคือข้อเสียเปรียบสูง ทหารราบแพ้ทางทหารม้าในพื้นที่ระดับเดียวกัน นั่นคือสิ่งที่นักรบทุกคนรู้ดี

                แม้กองกำลังจะเสียเปรียบ แต่แซริคหัวหน้ากบฏก็ยังคงจัดการกับพวกทหารมนุษย์ได้อย่างเก่งกาจ เกราะที่ทำด้วยหนังทำให้เขาคล่องตัว ขวานที่ใช้ก็เป็นเหล็กอย่างดีมีความคมสูง พวกอัศวินมนุษย์อาจได้เปรียบเพราะอยู่บนหลังม้า แต่ก็ไม่มีอัศวินคนใดที่ทำอันตรายเขาได้ เขารู้วิธีต่อสู้กับทหารม้าเป็นอย่างดี หลบทวนพวกอัศวินได้ทุกครั้ง และโต้ตอบกลับถึงตายได้ทุกหน แม้จะออกแรงต่อสู้ตลอดเวลา แต่ปากของเขาก็โวยวายได้ไม่หยุด ช่างมีปอดที่ทรงพลังมาก

          “ไอ้พวกเล่นทีเผลอ” เขาหันไปฟันขวานใส่ทหารมนุษย์สองคนที่บุกมาข้างหลัง หมุนตัวไปทางซ้ายขัดขาทหารมนุษย์อีกคนล้มลงไป เงื้อขวานเตรียมพิฆาต “ไอ้พวกหมาลอบกัด---ไอ้--”

          เสื้อคลุมโจรป่าตัวหนึ่งถูกโยนมาปิดหน้าปิดปากเขา ทำให้การโจมตีและการพูดสะดุด เขากระชากผ้าผืนนั้นออก เป้าหมายที่จะฆ่านั้นหนีหายไปแล้ว หัวหน้ากบฏโกรธแทบคลั่ง ส่งสายตาเคียดแค้นไปยังอโลบัสผู้โยนผ้า ผู้ซึ่งฟันดาบต่อสู้อยู่บนหลังม้าอย่างเยือกเย็นสงบนิ่ง เขาต่อสู้ไปเรื่อยๆ ราวกับไม่ได้เป็นคนทำ แซริคคำรามลั่น ถือขวานบุกเข้าไปฟันใส่พวกทหารมนุษย์ที่อยู่ใกล้ๆ เป็นการระบายอารมณ์ อโลบัสกระชากเสื้อออกจากศพกบฏคนหนึ่งแล้วหันไปโยนใส่กบฏอีกคนที่เล็งธนูมา ทำให้การยิงพลาดเป้าไปมาก กว่ามือธนูคนนั้นจะดึงเสื้อออกจากหัวได้ ดาบของอโลบัสก็ปักเข้าที่กลางหัวใจแล้ว

          ฟิเร็นดาเริ่มชินกับการฆ่าฟันมากขึ้นและต่อสู้คล่องตัวมากขึ้น เธอใช้คทาแทงใส่โฮเซ่คนหนึ่ง เสยด้ามคทาเข้าที่คางของอีกคนหนึ่ง แล้วกวาดคทาเชือดคอโจรป่าที่บุกเข้ามาทางขวา เปลวไฟลุกติดขึ้นที่ปลายคทา แล้วเธอก็สะบัดสะเก็ดไฟจู่โจมเหล่าศัตรูเหมือนที่เคยทำให้อโลบัสดู สะเก็ดไฟร้อนจัดพุ่งเข้าใส่กบฏโฮเซ่เป้าหมายล้มลงไปนอนตายหลายคน การใช้ความสามารถพิเศษในการต่อสู้หมายถึงเริ่มคุ้นเคยกับการฆ่าแล้ว เป็นธรรมดาที่ช่วงแรกจะติดๆ ขัดๆ  มีวิธีฆ่าคนแค่ไม่กี่วิธี แต่เมื่อผ่านไปได้สักพัก จะเริ่มมีกลยุทธ์มากขึ้น และจะวิตกเรื่องการเอาชีวิตน้อยลง

          นี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่เท่าเทียมนัก กองกำลังกบฏที่มีแต่พวกนอกกฎหมาย มีอาวุธและชุดเกราะคุณภาพต่ำ ต่อสู้กับกองทหารมนุษย์มืออาชีพ ที่มีพร้อมทุกอย่าง และมีจำนวนมากกว่า มันเป็นการต่อสู้ที่คาดเดาผลล่วงหน้าได้ตั้งแต่แรก อัตราส่วนจำนวนนักรบของทั้งสองฝ่ายเริ่มแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด จากสองต่อหนึ่งไปสามต่อหนึ่ง จากสามต่อหนึ่งไปสี่ต่อหนึ่ง แม้พวกกบฏจะรู้ว่ายังไงพวกตนต้องแพ้ แต่ก็จะสู้อย่างสุนัขจนตรอก เพราะพวกมนุษย์ได้รับคำสั่งให้กำจัดกบฏทุกคนไม่มีการละเว้น พวกเขาถูกสร้างมาจากความโหดเหี้ยมของพวกมนุษย์ และพวกเขาก็กำลังจะถูกกำจัดโดยความโหดเหี้ยมของพวกมนุษย์

          “เราอาจแพ้ อาจถูกฆ่าตายหมด” แซริคคำรามลั่น “แต่จงจำไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเป็น ทุกความรุนแรงที่เราสร้างขึ้น มันเป็นเพราะพวกเจ้าเป็นต้นเหตุ พวกมนุษย์ใจโหด”

          พวกกบฏบางคนยังหยิบธนูและหน้าไม้เก่าจากศพของเพื่อนขึ้นมายิงต่อสู้กับพวกทหารมนุษย์อย่างไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แต่อาวุธเหล่านี้คงจะสู้ปืนยาวอย่างดีได้ยาก แม้ว่าการต่อสู้จะอยู่ในรูปแบบประจัญบาน แต่หากทหารมนุษย์คนใดมีโอกาสได้เล็งปืนยาวใส่กบฏ กบฏคนนั้นจะต้องลงไปนอนแน่นิ่งเพราะโล่ไม้ของพวกเขาไม่สามารถทานทนกระสุนปืนยาวได้ ไม่มีใครมีโล่เป็นเหล็ก ตั้งค่ายอยู่ในป่าแบบนี้ สิ่งเดียวที่พอหาได้คือไม้ อาวุธที่มีส่วนใหญ่ก็ได้จากการยึดแย่งชิงพวกชาวบ้านและทหารรักษาหมู่บ้าน ไม่มีทางเทียบคุณภาพกับอีกฝ่ายได้ มีเพียงขวานของแซริคเท่านั้นที่ดูเป็นอาวุธอย่างดี ทำด้วยเหล็ก ความคมสูง ออกแบบมาสำหรับการรบโดยเฉพาะ

          ฟิเร็นดาถอนคทาหอกออกจากกลางหลังโจรภูเขาคนหนึ่ง สาวน้อยรู้สึกเหมือนมีอะไรพุ่งมาหา จึงหันไปดู แล้วก็ต้องกรีดร้องด้วยความตกใจ พุ่งตัวลงจากหลังม้า เมื่อขวานของแซริคที่มีไฟลุกท่วมร่อนหมุนข้ามหัวเธอไปราวกับกงจักรไฟ นี่ตาฟาดไปหรือเปล่านี่ สาวน้อยเงยหน้ามองตามและพบว่ามันร่อนเข้าไปบั่นคอพวกทหารมนุษย์ที่หลบไม่ทันขาดกระเด็นภายในครั้งเดียว แซริคเดินผ่านหน้าเธอไป ดวงตาสีน้ำตาลว่างเปล่าของเขาจับจ้องอยู่ที่ขวานพิฆาตเล่มนั้นไม่วางตา ดูเหมือนเขาจะใช้สายตาในการบังคับทิศทางการบินของมัน ยิ่งขวานมีเปลวไฟลุกไหม้ยิ่งเพิ่มอำนาจการตัด โล่ไม้ของทหารมนุษย์ไม่สามารถป้องกันการตัดของมันได้เลย ดาบของทหารมนุษย์บางคนที่ตีมาไม่ดีก็ถูกขวานไฟเล่มนี้ตัดขาดไปพร้อมกับคอเจ้าของดาบ แม้แซริคจะเริ่มหายใจหนักขึ้นเพราะใช้เรี่ยวแรงไปกับความสามารถพิเศษนี้ แต่เขาก็แข็งแรงพอที่จะใช้มันต่อไปอีกนาน มุมปากของเขายิ้มแยกเขี้ยวอย่างสะใจ ขณะที่พวกมนุษย์วิ่งหลบวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น

          อโลบัสโยนเสื้อคลุมโจรภูเขาตัวหนึ่งคลุมหัวแซริคพอดี ในเมื่อสายตาของหัวหน้ากบฏไม่ได้จับจ้องอยู่ที่ขวานเล่มนั้นแล้ว ขวานก็ร่วงลงไปบนพื้นทันที เปลวไฟที่ลุกไหม้บนขวานก็มอดดับไปด้วย แซริคตะโกนคำหยาบคายด้วยความกราดเกรี้ยวสุดขีด ฉีกเสื้อคลุมตัวนั้นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย คว้าขวานจากศพโฮเซ่คนหนึ่งขึ้นมาใช้ต่อสู้แทน เขาต่อสู้เดินหน้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปถึงขวานของตนบนพื้น ขวานในมือขว้างไปสังหารอัศวินมนุษย์คนหนึ่งร่วงจากหลังม้า มืออีกข้างหยิบขวานประจำกายของตนเข้าไปลุยกับพวกทหารมนุษย์ต่อ

          ทหารสองคนบุกเข้าสู้กับแซริค อัศวินอีกสามคนควบม้าเข้าไปร่วมวงด้วย บิลิส ริฟเฟอร์ได้โอกาสควบม้าเข้าไปโจมตีสมทบ ดาบของเขาฟันใส่แซริคเต็มเหนี่ยว แต่กลับกลายเป็นว่าแซริคหันกลับมายกขวานรับไว้ได้ พร้อมกันนั้นก็ใช้ศอกกระแทกเจ้าเมืองซาโมโรว์ตกจากหลังม้า นี่คือบทเรียนราคาแพงว่าไม่ควรขี่ม้าจู่โจมแซริคผู้เชี่ยวชาญเรื่องการต่อสู้ตอบโต้ทหารม้า ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาริฟเฟอร์ยังสามารถระวังไม่ให้ส่วนสำคัญกระแทกพื้นได้ แต่ก็ยังมึนงงเล็กน้อย นักรบมนุษย์ห้านายถูกแซริคจัดการเรียบในเวลาไม่นาน เขาหันมาหาริฟเฟอร์ ขวานในมือเงื้อขึ้น พร้อมบุกเข้าโจมตี

          ฟิเร็นดาที่ขี่ม้าต่อสู้อยู่ไม่ไกลออกไปนักตั้งสมาธิสะบัดสะเก็ดไฟโจมตีใส่แซริค แต่แซริคก็คว้าโล่เหล็กจากศพอัศวินมนุษย์ขึ้นมากำบังไว้ ผิวโล่บางส่วนละลายเป็นจุดเล็กๆ เมื่อสัมผัสความร้อนแรงของสะเก็ดไฟ แล้วโล่ใบนั้นก็ถูกร่อนใส่ฟิเร็นดาด้วยความเร็วสูง สาวน้อยถูกมันกระแทกตกจากหลังม้า

          แซริคหันกลับไปหาริฟเฟอร์อีกครั้ง คราวนี้ริฟเฟอร์ใช้สองมือปล่อยกระแสลมพัดสกัดเขาไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้ แซริคหงายหลังล้ม แต่ก็ม้วนตัวกลับหลังลุกขึ้นมายืนได้ ขณะที่ลุกขึ้น มือก็คว้าหอกเล่มหนึ่งมาปักพื้นเป็นหลักยึด มือซ้ายป้องตากำบังฝุ่นละออง มือขวาถือขวานเป็นแนวนอนไม่ให้ต้านลม ริฟเฟอร์พยายามเพิ่มแรงลมมากขึ้นจนหายใจหอบ แต่แซริคก็แข็งแรงมาก ไม่ทำให้ตัวเองปลิว เท้าข้างหนึ่งยันด้ามหอก แล้วถีบตัวบุกฝ่าลมเข้าหาริฟเฟอร์ ขวานในมือเงื้อขึ้นเตรียมฟันเต็มเหนี่ยว

          อโลบัสโยนเสื้อคลุมโจรภูเขาอีกตัวหนึ่งมาที่ปลายมือของริฟเฟอร์ กระแสลมลมพัดมันไปคลุมหัวแซริคอย่างแม่นยำ แซริคเสียหลักถูกลมพัดไถลไปกับพื้นหลายเมตร ริฟเฟอร์ลดมือลง งอตัวอ้าปากหอบหายใจ ฟิเร็นดารีบลุกขึ้นจากพื้นและเข้าไปประคองเขาไม่ให้ล้ม

          “ท่านปลอดภัยไหม” เธอถาม

          “ข้ามันก็แก่แล้ว” ริฟเฟอร์พูดไปหอบไป “ปะทะแรงกับเจ้าหนุ่มนั่นตรงๆ คงไม่ไหว”

          “เขาสู้เก่งเป็นบ้าเลย” ฟิเร็นดาพูด

          “โมโหเก่งด้วย” ริฟเฟอร์บอก “ตอนนี้คงโกรธมากแล้ว”

          แซริคใช้ขวานฟันเสื้อคลุมขาดเป็นชิ้นๆ ตอนนี้เลือดขึ้นหน้าแล้ว ไม่เคยมีใครบังอาจโยนผ้าคลุมหัวเขาแบบนี้ถึงสามครั้ง กำปั้นในมือยกชูขึ้นสี่สิบห้าองศา หันไปทางอโลบัส มันคือสัญลักษณ์ท้าสู้ตัวต่อตัว เรียกอีกอย่างว่าสัญลักษณ์ค้อน หากอีกฝ่ายชูสัญลักษณ์นี้ตอบกลับมา แสดงว่ารับคำท้า (ในดาวดวงนี้ ค้อน กรรไกร กระดาษ ไม่ใช่แค่เกมเสี่ยงดวงที่เด็กๆ ชอบเล่นกันเท่านั้น หากใช้ในแง่ของสงคราม การกำมือทำสัญลักษณ์ค้อน หมายถึงขอท้าสู้ตัวต่อตัว กางมือทำสัญลักษณ์กระดาษหมายถึงขอเจรจา การชูสองนิ้วทำสัญลักษณ์กรรไกรหมายความได้สองแบบ หากทำตอบกลับสัญลักษณ์ค้อนของศัตรู จะหมายถึงขอยอมแพ้ หากทำตอบกลับสัญลักษณ์กระดาษของศัตรู จะหมายถึงปฏิเสธที่จะเจรจา เป็นที่มาของค้อนชนะกรรไกร กรรไกรชนะกระดาษ และกระดาษชนะค้อน)

          “ข้าขอท้าสู้ตัวต่อตัวกับเจ้าชายอโลบัส” แซริคคำรามกึกก้อง

          อโลบัสถอนดาบจากร่างกบฏโฮเซ่คนหนึ่ง แล้วตีลังกาลงจากหลังม้าอย่างสง่างาม กำปั้นในมือยกชูตอบกลับด้วยท่าทีเยือกเย็นไร้ความรู้สึก

          “ข้ายินดีรับคำท้า”

          ทั้งสองก้าวฉับๆ เข้าหากัน แซริคดูโกรธหงุดหงิด ขณะที่อโลบัสเยือกเย็นไร้อารมณ์ สองมือของทั้งคู่จับอาวุธตั้งฉาก เตรียมพร้อมต่อสู้

          “ตลอดสี่สิบปีที่ข้าลืมตาดูโลก ไม่มีวันไหนเลยที่ข้าไม่เกลียดมนุษย์อย่างเจ้า” แซริคตะคอก “ต่อให้ข้าฆ่าเจ้าได้ ฝ่ายข้าก็แพ้อยู่ดี ยังไงข้าก็ตาย แต่อย่างน้อย วันนี้ข้าก็ได้ฆ่ามนุษย์มากมายแล้ว”

          “เจ้ามีเหตุผลสมควรที่จะเกลียดมนุษย์ แต่กรุณาอย่านับข้าเป็นหนึ่งในพวกนั้น” อโลบัสพูดอย่างไรความรู้สึก “การเกิดของข้า ข้าเลือกไม่ได้ วันนี้เจ้าอาจพ่ายแพ้ แต่อย่างน้อย เจ้าก็ยังได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตน ขณะที่ข้ายังไม่เคยมีโอกาสนั้น”

          “พูดบ้าอะไรของเจ้า” แซริคคำราม “พูดประโยคที่มันเข้าใจง่ายๆ ตอนที่ข้าฆ่าเจ้าแล้วกัน”

          แล้วทั้งสองก็บุกเข้าต่อสู้กันอย่างดุเดือด เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงกันทั้งคู่ แซริคเอนตัวหลบดาบที่อโลบัสตวัดไปมาอย่างคล่องแคล่ว ขวานในมือฟันสวนกลับอย่างรวดเร็ว ฝ่ายอโลบัสก็สามารถหลบหลีกและใช้ดาบป้องกันไว้ได้ ทั้งสองผลัดกันรุกผลัดกันรับ หรือไม่ก็รุกพร้อมๆ กัน ดูเหมือนว่าการต่อสู้รอบตัวนั้นเป็นเพียงฉากประกอบที่ไม่สำคัญนัก ทั้งคู่ไม่สนใจสิ่งใดนอกจากพยายามใช้อาวุธปลิดชีพอีกฝ่าย แซริคเป็นโฮเซ่ที่แข็งแรงและว่องไว น่าแปลกใจที่อโลบัสก็ดูจะแข็งแรงและว่องไวไม่แพ้กัน ปกติแล้วต้องเป็นมนุษย์ตัวใหญ่ผิดธรรมดาเท่านั้นที่จะแข็งแรงพองัดข้อกับโฮเซ่ได้ อโลบัสเป็นชายร่างเพรียวสูง ไม่ได้เน้นหนักเรื่องใช้กำลัง แต่เขากลับแข็งแรงพอที่จะงัดดาบต่อสู้กับแซริคได้ ที่ประหลาดกว่านั้นคือ ต่อสู้มาตั้งนานแล้ว เหงื่อของเขายังไม่ออกสักหยด ไม่ได้หายใจหนักด้วย หายใจอยู่หรือไม่ก็ดูไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร เจ้าชายมนุษย์คนนี้ดูจะห่างไกลจากคำว่ามนุษย์มากกว่าที่คิด

          แซริคกระแทกขวานใส่ และดันดาบของอโลบัสไว้ ทั้งสองงัดดาบกันอีกครั้ง พยายามดันอาวุธไปทางฝ่ายตรงข้าม พละกำลังก็สูสีกัน คงไม่มีใครเสียทีง่ายๆ แล้วในช่วงจังหวะหนึ่ง แซริคก็เห็นช่องทางโจมตี เขากวาดเท้าขัดขาอโลบัสตะแคงล้มลงไป ขวานในมือฟันซ้ำใส่ในจังหวะที่สอง แต่อโลบัสกลับไม่ได้ล้มลงไปนอนเสียหลักอย่างที่คิด เขาล้มลงไป แต่ก็ม้วนตัวกลับมาในท่านั่งคุกเข่าที่หันหลังให้แซริค

          แล้วในจังหวะที่สอง ก่อนที่ขวานของแซริคจะทันถึงตัวเขานั้น ดาบในมือขวาก็แทงเสยลอดใต้ชายผ้าคลุมไปทางด้านหลังโดยไม่ได้หันไปมอง มันเสียบเข้าที่คอหอยใต้คางของแซริคทะลุออกท้ายทอย เลือดสีขาวพุ่งกระจายอย่างไม่น่าดู แล้วอโลบัสก็ถอนดาบออกพร้อมกับหมุนตัวลุกขึ้นยืนอย่างนุ่มนวล ร่างของแซริคลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้นตายสนิท

          กลุ่มกบฏโฮเซ่ถูกกวาดล้างจนกระทั่งคนสุดท้าย ค่ายกบฏก็ถูกเผาวอดวาย กบฏเหล่านี้ถูกสร้างจากความรุนแรงของพวกมนุษย์ และก็ถูกทำลายด้วยความรุนแรงของพวกมนุษย์ พวกทหารมนุษย์ช่วยกันเก็บกวาดพื้นที่และพยาบาลคนเจ็บ ฟิเร็นดากับริฟเฟอร์พักเหนื่อยหาน้ำดื่ม ขณะที่อโลบัสเป็นคนเดียวที่ไม่ดื่มน้ำ แค่หาน้ำมาล้างเลือดแซริคที่เลอะเปรอะชุดเกราะ

          “ท่านปลอดภัยไหม” ฟิเร็นดาเดินเข้ามาสมทบ

          “ข้าเรียบร้อยดี ท่านก็ปลอดภัยใช่ไหม” อโลบัสเอ่ยตามมารยาท

          “หัวหน้ากบฏคนนั้นเก่งจริงๆ แต่ท่านเก่งกว่าที่เอาชนะเขาได้” ฟิเร็นดาชม “ข้าไม่เคยเห็นใครสวมผ้าคลุมยาวแล้วต่อสู้ได้คล่องแคล่วเช่นท่านเลย คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยสวมผ้าคลุมเวลาออกรบ ถ้าสวมก็มักใช้ผืนสั้นๆ ไม่สวมผืนยาวแบบท่าน”

          “แต่ละคนล้วนมีความถนัดที่แตกต่างกัน พวกกบฏถนัดเรื่องการใช้ความรุนแรง มนุษย์ก็ถนัดเรื่องการสร้างความรุนแรง” อโลบัสกล่าวเรียบๆ “ข้าตัดสินใจไม่ถูกว่าฝ่ายใดควรถูกประณามมากกว่ากัน”

          โชคดีที่ริฟเฟอร์ตามเข้ามาสมทบอีกคน ฟิเร็นดาจึงไม่ต้องขบคิดประโยคของอโลบัสให้มากนัก

          “ตอนหนุ่มๆ ข้าคงทำได้ดีกว่านี้” เขาดื่มน้ำอึกใหญ่ “ปอดแก่ๆ ของข้ามันไม่ค่อยจะได้เรื่องแล้ว”

          “ท่านยังคงต่อสู้ได้ดีเช่นเดิม ท่านเจ้าเมืองริฟเฟอร์” อโลบัสกล่าว “ท่านมีเลือดนักรบอยู่เต็มตัว”

          “เราทำได้ดีทีเดียว” ริฟเฟอร์มองไปรอบๆ “ใช้ต้นทุนและได้รับความเสียหายน้อยกว่าที่กำหนดไว้เสียอีก ต้องขอบคุณกลยุทธ์อันชาญฉลาดของท่าน ใช้แค่ท่อนไม้ฟืนในตาข่ายและหินก้อนใหญ่ๆ สิ่งที่หาง่ายและไม่สิ้นเปลือง พระราชาจะต้องพอใจเป็นแน่แท้”

          “ข้าเพียงทำตามหน้าที่อันได้รับมอบหมาย” อโลบัสพูดอย่างไร้ความรู้สึก

          “ท่านควรไปรายงานความสำเร็จแก่พระองค์” ริฟเฟอร์แนะนำ “ท่านสมควรได้รับคำชมเชย”

          “คำชมเชย สำหรับข้านั้นมีประโยชน์น้อยนัก ท่านไปเข้าเฝ้าพระองค์เถิด เจ้าเมืองริฟเฟอร์” อโลบัสบอก “ข้าจะอยู่ที่นี่ ดูแลการซ่อมแซมเมืองที่ได้รับความเสียหาย”

          “คงจะดี ถ้ามนุษย์สักครึ่งหนึ่งไม่ปรารถนาความดีความชอบอย่างท่าน” ริฟเฟอร์สรรเสริญ

          “ถ้ามนุษย์คนใดเป็นแบบข้า คงเรียกว่ามนุษย์ได้ไม่เต็มปากนัก” อโลบัสพึมพำ

          “ท่านว่าอะไรนะ”

          “ข้าจะไปตรวจดูความเรียบร้อยทางนั้น” อโลบัสเดินไปอีกทาง “ท่านเจ้าเมืองริฟเฟอร์ ฟิเร็นดา ตรวจสอบความเรียบร้อยของกองทหารของพวกท่าน แล้วรายงานข้าด้วย”

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา