พื้นที่สงคราม 1 (Wars Area 1) : ความหวังสายฟ้า
เขียนโดย Blackblood
วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.22 น.
แก้ไขเมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 02.08 น. โดย เจ้าของนิยาย
32) บทที่ 32 กำแพงเพลิง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 32
กำแพงเพลิง
“คำสั่งของท่านเจ้าเมืองแร็กซ์ริง ยื้อเอาไว้ให้ถึงที่สุด” ฟิเร็นดาวิ่งอยู่บนกำแพงเมืองโอมิลรอน ท่ามกลางเสียงปืนยาวที่ยิงโต้ตอบกันไปมา เธอสวมเกราะ สวมรัดเกล้า สวมกระโปรงเหล็ก ถือคทาหอกพร้อมรบ บนเชิงเทินกำแพงที่เธอคอยวิ่งสั่งการไปมานั้นมีพวกทหารมนุษย์และฮาล์ฟเรดยิงปืนยาวต่อสู้กับพวกเอลิลเบื้องล่าง กำแพงไม่สูงมากนัก ความได้เปรียบเสียเปรียบเรื่องตำแหน่งยิงจึงไม่มาก พวกเอลิลแต่ละกลุ่มก็ต่อโล่กำบังเป็นครึ่งวงกลม แล้วให้พวกพลปืนยาวพาดเล็งบนขอบโล่ เสมือนเป็นการตั้งป้อมยิงเป็นจุดๆ เลยทีเดียว
โอมิลรอนไม่ใช่เมืองที่เหมาะแก่การรับศึก ตอนทำสงครามกับพวกเฟลมฟอร์สก็มีโฟรเซ็นทิเนลเป็นหน้าด่านมาตลอด หลายอย่างของเมืองไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรับศึก กำแพงเมืองไม่สูง ประตูกำแพงก็มีหลายบานและไม่ค่อยแข็งแรงด้วย จึงเป็นเหตุให้แอนโทดัส แร็กซ์ริง กองกำลังฮาล์ฟเรด และกองกำลังป้องกันนครส่วนหนึ่ง ต้องเปิดประตูเมืองออกไปต่อสู้สกัดพวกเอลิลหน้ากำแพง พยายามกันไม่ให้พวกเอลิลพาดบันไดปีนขึ้นไปบนกำแพง หรือเอาเสามากระทุ้งประตู แต่ก็คงสกัดไว้ได้ไม่นาน พวกเอลิลมีจำนวนมากเกินไป
“หัวหน้า ทางข้าไม่ไหวแล้ว” กัปตันเด็นเซลรองหัวหน้าฮาล์ฟเรดตะโกนบอกแอนโทดัส
“ถอยกลับเข้าไปกัปตันเด็นเซล แล้วยันประตูฝั่งของท่านไว้” แอนโทดัสเอากระบี่ฟันคอทหารเอลิลคนหนึ่ง หมุนตัวแทงหน้าอกอีกคนหนึ่ง
ประตูกำแพงด้านหลังกัปตันเด็นเซลเปิดออก แล้วเขากับกองกำลังส่วนหนึ่งก็รีบถอยเข้าไป พวกที่มีอาวุธยาวๆ ก็พยายามกันไม่ให้พวกเอลิลเข้ามา แล้วปิดประตู เอาเสามาค้ำยัน แอนโทดัสและกองกำลังอีกส่วนยังคงต่อสู้กับพวกเอลิลอยู่หน้ากำแพง พวกมนุษย์ที่อยู่บนกำแพงและพวกเอลิลที่ตั้งขบวนอยู่แนวหลังก็ยิงปืนยาวตอบโต้กันไปมา ฟิเร็นดาที่คอยสั่งการบนกำแพงต้องคอยก้มหัวหลบกระสุนจากฝ่ายตรงข้าม พลปืนข้างหน้าเธอถูกยิงตกกำแพงตายไปต่อหน้าต่อตา
ท่ามกลางการต่อสู้อันชุลมุนนั้น คนเดียวที่ยืนอยู่ห่างๆ และกำลังทำสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับการศึกเลย คือแอนโทนิดัส แร็กซ์ริง เจ้าเมืองโอมิลรอน เขายืนอยู่เบื้องหน้าโต๊ะที่จุดเทียน ขีดลายเสี้ยวจันทร์และดาวไว้ทั่วโต๊ะ มือข้างหนึ่งถือคทาประจำตัว มีเปลวไฟลุกโชนที่หัวคทา มืออีกข้างขีดเขียนข้อความและสัญลักษณ์ลงไปในแผ่นกระดาษสีขาว ปากพึมพำไม่ได้ศัพท์ ดูเหมือนเขากำลังรวบรวมและประยุกต์พลังงานบางอย่าง หากเรียกเชิงไสยศาสตร์ก็เรียกได้ว่า กำลังร่ายเวทมนต์
“เลดี้เกรซ” กัปตันเด็นเซลขึ้นมาสมทบบนกำแพง ชุดเกราะมีรอยชำรุดและบาดแผลเล็กน้อย “ท่านเจ้าเมืองบอกให้เราต้านข้าศึกให้ถึงที่สุด แต่เขากลับทำอะไรอยู่”
“เขารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เขาเป็นพ่อมด เขามีความรอบรู้เรื่องประยุกต์พลังงาน” ฟิเร็นดาบอก
“ข้ายังเคยไม่เห็นเวทมนตร์ไหนช่วยให้ชนะศึกมาก่อน” กัปตันเด็นเซลยกโล่กำบังกระสุนนัดหนึ่ง
“เขาเคยใช้เวทมนต์ปกป้องเมืองนี้จากพวกเฟลมฟอร์สมาหลายครั้ง ก่อนที่เราสองคนจะเกิดเสียอีก” ฟิเร็นดาว่า “เพียงแต่เขาไม่ได้ใช้มันมานาน แล้วเขาก็ต้องดัดแปลงมันให้มาใช้กับพวกเอลิลแทน”
“ท่านแน่ใจหรือ มันไม่เห็นจะใช้ป้องกันพวกดาร์คเนสดีวิลได้”
“พวกดาร์คเนสดีวิลมีธาตุสมองเหมือนกับเรา เวทมนตร์ที่ว่านี้จึงใช้กับพวกนั้นไม่ได้” ฟิเร็นดาอธิบาย “แต่พวกเอลิลมีสมองเป็นธาตุอากาศเหมือนพวกเฟลมฟอร์ส มันจะใช้ได้เหมือนกัน”
“ไม่ว่ามันจะได้ผลหรือไม่ได้ เขาก็ควรทำให้มันสำเร็จโดยเร็ว” กัปตันเด็นเซลมองที่หน้ากำแพง “เพราะหากอีกฝ่ายเริ่มพาดบันไดบุกขึ้นมา เราจะต้านลำบากกว่าเดิม”
กัปตันโพรเฟดยกโล่กำบังกระบี่ เอาโล่กระแทกหน้าอีกฝ่ายให้มึนงงก่อนจะฟันแสกหน้า เขาแตกต่างจากทหารเอลิลทั่วไปตรงที่มีพู่หางม้าสีเงินบนยอดหมวกเกราะ และฝีมือการต่อสู้ที่เก่งกาจ ดาบในมือขวาเชือดคอทหารมนุษย์คนหนึ่ง โล่ในมือซ้ายปัดหอกที่ทหารมนุษย์อีกคนแทงใส่ให้พลาดไปแทงทหารมนุษย์คนที่อยู่ด้านหลัง พร้อมทั้งแทงดาบสังหารเจ้าของหอก ม้วนตัวหลบกระสุนที่ยิงมาจากบนกำแพง เบี่ยงตัวหลบกระบี่ที่แทงมาจากฮาล์ฟเรดคนหนึ่ง ยกโล่รองใต้แขนที่ถือกระบี่เล่มนั้น พร้อมกับใช้ดาบเคาะกลางกระบี่ ปลดมันออกจากมือผู้ถือ ดาบเชือดคอในจังหวะที่ตามมาทันที ทหารมนุษย์คนหนึ่งถือดาบโล่บุกเข้ามา เขาหมุนตัวถีบเข้าที่โล่ด้วยรองเท้าเหล็ก ทำเอาทหารคนนั้นกระเด็นไปชนกำแพงและเซมาข้างหน้าด้วยความมึนงง แล้วก็ถูกดาบของเขาฟันคอขาด
แอนโทดัสต่อสู้ได้ดี ฆ่าทหารเอลิลได้มากพอดู นำกองกำลังต้านพวกเอลิลไว้ได้นานพอควร แต่ก็นานไม่พอ พวกเอลิลเจาะแนวรับได้เร็วกว่าที่คาด ตอนนี้เขาต้านไม่ไหวแล้ว
“ท่านฟิเร็นดา ทางข้าไม่ไหวแล้ว” เขาตะโกนขึ้นไปบนกำแพง ยกกระบี่รับดาบของทหารเอลิลคนหนึ่ง และใช้เท้าถีบอีกฝ่ายไปให้พ้นทาง
“ถอยกลับเข้ามาแอนโทดัส” ฟิเร็นดาบนกำแพงตะโกนบอก
แอนโทดัสและกองกำลังหน้ากำแพงที่เหลือจึงถอยกลับเข้าไปในเมือง ใช้อาวุธยาวคอยกันพวกเอลิล แล้วปิดประตู นำเสามาค้ำยันอย่างแน่นหนา กัปตันโพรเฟดและพวกทหารเอลิลเข้าไปชิดโคนกำแพง ยกโล่ต่อกันกำบังเหนือศีรษะเพื่อป้องกันสิ่งต่างๆ ที่พวกมนุษย์บนกำแพงทิ้งลงมาใส่
“นำเสามากระทุ้งประตู” กัปตันโพรเฟดสั่งเสียงเรียบๆ ผ่านซี่ตะแกรงกระบังหมวกเกราะ แต่ได้ยินชัดเจนกันทั่ว “พาดบันไดขึ้นไป”
เสากระทุ้งมุงหลังคาสี่ห้าต้นถูกนำไปจ่อหน้าประตูเมืองแต่ละบาน แล้วเริ่มโยกกระแทก บันไดยาวแต่ละตัวพาดเข้าที่ขอบกำแพง กัปตันโพรเฟดประกอบด้ามดาบในมือขวากับฝักดาบที่คาดอยู่กับเข็มขัดให้เป็นง้าว เปลี่ยนมือจับโล่ถือเป็นแนวนอน จากนั้นก็ปีนบันไดขึ้นไปเป็นคนแรก เอาปลายง้าวเสียบเข้าที่ช่องริมซ้ายด้านหลังโล่ กลายเป็นท่ายกโล่กำบังเหนือศีรษะในมุมสี่สิบห้าองศา โดยมีง้าวที่เข็มขัดช่วยค้ำยันการถือ มันช่วยให้การปีนสะดวกมากและกำบังการสกัดจากข้าศึกบนกำแพงได้เป็นอย่างดี พวกมนุษย์เอาหินโยนใส่ เอาปืนยิงใส่ เอาหอกยาวๆ แทงสกัดไว้ มันก็ติดโล่กำบังของเขาหมด การมีง้าวค้ำอยู่ข้างหลังโล่ช่วยให้การกำบังมั่นคงยิ่งขึ้นแม้จะปีนบันไดอยู่ด้วยมือข้างเดียว พวกทหารเอลิลคนอื่นๆ ปีนตามหลังเขามา มีเขาเป็นกำบังให้ บันไดตัวอื่นๆ นั้น ทหารเอลิลคนที่ปีนอยู่ข้างหน้าสุดก็ใช้การกำบังแบบเขาเช่นกัน กำแพงไม่สูงมากปีนเดี๋ยวเดียวก็ถึง กัปตันโพรเฟดถอนโล่ออกจากปลายง้าวเมื่อปีนใกล้ถึงยอด ถอดการประกอบของง้าวให้กลับมาเป็นดาบอีกครั้ง แล้วใช้ปลายดาบแทงทหารมนุษย์ที่พยายามสกัดเขาอยู่ข้างหน้าร่วงตกกำแพงไป จากนั้นก็ขัดขอบโล่และด้ามดาบที่ขอบกำแพงเชิงเทิน ถีบตัวทำโหกสูงข้ามขอบกำแพงเชิงเทินขึ้นไปยืนบนเชิงเทิน ตวัดดาบฟันสังหารทหารมนุษย์ทุกคนที่อยู่ใกล้ๆ มือซ้ายเปลี่ยนมาจับโล่เป็นแนวตั้งเหมือนเดิม
พวกทหารเอลิลเริ่มปีนกำแพงขึ้นมาได้หลายคน ถูกสกัดลงไปบ้างแต่ก็ไม่มากเท่าที่ควร ฟิเร็นดาและกัปตันเด็นเซลต้องแยกกันไปต่อสู้กับพวกเอลิลที่ขึ้นมาพร้อมกันหลายตำแหน่ง แอนโทดัสที่เพิ่งจะต่อสู้อยู่หน้ากำแพงไปหมาดๆ ต้องขึ้นมาต่อสู้บนกำแพงด้วย ส่วนเจ้าเมืองแร็กซ์ริงยังคงประกอบพิธีกรรมต่อไป แต่สีหน้าเคร่งเครียดกว่าเดิมมากเมื่อเห็นพวกเอลิลเริ่มขึ้นมาบนกำแพงได้
“สกัดข้าศึกไว้” ฟิเร็นดาตะโกน หอกแทงเข้ากลางหัวใจทหารเอลิลคนหนึ่ง
“ทางปีกขวากำลังแย่ เรามีคนต้านไม่เพียงพอ” เสียงจากแอนโทดัสตะโกนมา
ประตูแต่ละบานก็ถูกเสากระทุ้งจนสั่นสะเทือน คานไม้บางอันกระเด็นออกมา พวกมนุษย์หน้าประตูต้องตาเหลือกเอาไปค้ำยันใหม่ ประตูบางบานเริ่มร้าว คงจะแตกพังเป็นชิ้นๆ ในอีกไม่ช้านี้ จากสถานการณ์ตอนนี้ หากพวกเอลิลพังประตูบุกเข้ามาได้สักสองบาน พวกมนุษย์เสียเมืองแน่
กัปตันโพรเฟดเดินหน้าต่อสู้อยู่บนกำแพง ฟันแทงพวกทหารมนุษย์ตกกำแพงตาย และคอยช่วยดึงทหารเอลิลที่ปีนบันไดให้ขึ้นมาบนกำแพง บางจังหวะก็สะพายโล่ไว้ข้างหลัง แล้วประกอบดาบกับฝักเป็นง้าว ใช้เป็นอาวุธยาวต่อสู้ บางจังหวะก็ถือง้าวด้วยมือข้างเดียว มืออีกข้างถือโล่ บางจังหวะก็กลับมาใช้ดาบกับโล่อีกครั้ง เป็นนักรบอีกคนที่ใช้อาวุธได้หลากหลาย ก่อนหน้านี้ช่วงแรกๆ เขาก็ยิงปืนยาวอยู่หน้ากำแพง แล้วก็ยิงแม่นเสียด้วย เขาต่อสู้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาเผชิญหน้ากับฟิเร็นดา ฟิเร็นดาไม่พูดพล่ามทำเพลง แทงหอกใส่ทันที
กัปตันโพรเฟดยกโล่กำบังไว้ ดาบแทงสวนลอดใต้โล่โต้ตอบอย่างรวดเร็ว ฟิเร็นดาเบี่ยงตัวหลบแทบไม่ทัน เธอควงหอกเหนือศีรษะจะให้มันปั่นใส่กัปตันโพรเฟดจากมุมสูง กัปตันโพรเฟดย่อเข่าหลบ ดาบฟันสวนกลับไป ฟิเร็นดารับด้วยกลางด้ามหอก และเบี่ยงด้านคมใส่คออีกฝ่าย กัปตันโพรเฟดเอี้ยวคอหลบ ขอบโล่ด้านบน เสยหอกให้กระดกสูงขึ้นไป และดาบในมืออีกข้างก็แทงลอดใต้โล่อีกครั้ง ฟิเร็นดาต้องเบี่ยงตัวหลบเพราะหอกถูกกระดกขึ้นสูงเกินไป นำมาใช้ป้องกันแนวต่ำไม่ได้ การหลบแบบนี้ทำให้เธอเสียจังหวะ เมื่อกัปตันโพรเฟดฟันดาบใส่อีกครั้ง เธอจึงต้องรีบใช้หอกปัดป้องออกไปแบบฉุกละหุก จังหวะนี้ท้ายด้ามหอกของฟิเร็นดาไปจ่ออยู่ที่ท้องของเธอพอดี กัปตันโพรเฟดจึงตอกโล่เข้าที่ปลายหอก ส่งผลให้ท้ายด้ามหอกกระทุ้งที่ท้องฟิเร็นดา แม้เธอจะสวมเกราะโลหะ แต่แรงกระแทกก็ทำเอาเธอจุกจนตัวงอ กัปตันโพรเฟดจ่อดาบที่คอหอยของเธอ มือข้างที่ถือโล่นั้นยึดหอกมาจากเธอ ฟิเร็นดาไอสำลัก เงยหน้ามองผู้กุมชีวิตของตน อดรู้สึกกลัวไม่ได้
แต่กัปตันโพรเฟดก็โยนหอกของเธอทิ้งไป และเอาดาบออกจากคอของเธอ นักรบที่ดีจะพยายามไม่ฆ่าผู้หญิง เขาชี้ดาบคล้ายกับบอกให้เธอออกไปจากการต่อสู้ตรงนี้ได้แล้ว
“ท่านฟิเร็นดา”
แอนโทดัสแทงกระบี่ใส่กัปตันโพรเฟดจากด้านหลัง กัปตันโพรเฟดยกโล่ข้ามไหล่ไปกำบังหลังโดยไม่ต้องหันไปมอง วินาทีต่อมาก็ม้วนตัวและแทงดาบสวนด้วยความเร็วสูง แอนโทดัสแทบจะหลบไม่ทัน ดาบตวัดใส่แอนโทดัสอีกสองสามจังหวะ แอนโทดัสใช้โกร่งกระบี่ปัดป้องออกไปได้ ฟันสวนกลับหลายจังหวะ กัปตันโพรเฟดยกโล่กำบังไว้ได้หมด มือขวาควงดาบหนึ่งรอบและฟันแทงเข้าใส่อีก แอนโทดัสปัดป้องด้วยกระบี่และฟันแทงโต้ตอบด้วยเช่นกัน ทั้งคู่ฟันแทงต่อสู้กันอยู่หลายจังหวะ ด้านขวาของกัปตันโพรเฟดอยู่ชิดกำแพงเช่นเดียวกับด้านซ้ายของแอนโทดัส พื้นที่บนกำแพงก็ค่อนข้างแคบ แต่ทั้งคู่ก็สู้กันได้ดุเดือดทีเดียว จนกระทั่งเมื่อแอนโทดัสเห็นว่ากัปตันโพรเฟดหันโล่ไปทางซ้ายมากเกินไป มือขวาก็ยกดาบสูงเกินไป ถือว่าเปิดช่องว่างด้านขวาล่าง เขาจึงฉวยโอกาสแทงกระบี่เข้าใส่
แต่กลับกลายเป็นว่ากัปตันโพรเฟดม้วนดาบลงเป็นวงกลม ดันปลายกระบี่ของแอนโทดัสให้เบี่ยงไปชิดกำแพงเชิงเทิน พร้อมกันนั้น มือซ้ายก็กระแทกขอบโล่เข้าใส่กระบี่ ทำให้กระบี่ถูกกระแทกติดกำแพงเชิงเทิน มือของแอนโทดัสที่จับด้ามกระบี่ก็ถูกกระแทกติดด้วย จึงต้องปล่อยกระบี่หลุดจากมือ โล่ของกัปตันโพรเฟดถูกดันมากระแทกใส่ตัวแอนโทดัสในจังหวะต่อมา ทำเอาเซถอยหลังด้วยความมึนงง แล้วกัปตันโพรเฟดก็หมุนตัวไปข้างหน้า กระแทกโล่ใส่แอนโทดัสอีกครั้งด้วยความแรงยิ่งกว่าเดิม หนนี้แอนโทดัสล้มลงไป หมวกเกราะกระเด็นหลุดจากศีรษะ กัปตันโพรเฟดขยับตามมาอีกก้าวหนึ่งโดยไม่ให้เสียเวลา จับดาบกลับหัวเงื้อขึ้นเตรียมแทง แอนโทดัสไม่ใช่ผู้หญิง กัปตันโพรเฟดไม่หลีกเลี่ยงที่จะฆ่าแน่
แอนโทนิดัส แร็กซ์ริงร่ายมนต์และเขียนสิ่งต่างๆ ลงในแผ่นกระดาษจนเสร็จ เปลวไฟที่ลุกโชนอยู่บนคทาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง กัปตันโพรเฟดชะงักหันไปมอง ฉับพลันทันใด เขารีบเก็บอาวุธ แล้วใช้สองมือไล่ต้อนไล่ดันพวกทหารเอลิลของตนให้ไต่บันไดกลับลงไปจากกำแพงโดยเร็ว
“เร็วเข้า ทุกคนออกห่างจากกำแพงให้หมด” เขาพูดเร็วๆ แต่ก็ไม่ร้อนรน ไม่มีความรู้สึก ตามแบบฉบับเอลิล “เลิกกระทุ้งประตูแล้วถอยออกไป ถอยลงจากกำแพงให้หมดทุกคน เร็วกว่านี้อีก”
พวกทหารเอลิลทำตามคำสั่ง รีบปีนกลับลงไปอย่างรวดเร็ว กัปตันโพรเฟดคอยช่วยดันให้ไปเร็วขึ้น พ่อมดแร็กซ์ริงก้าวออกจากโต๊ะร่ายมนต์ ก้าวขึ้นบันไดกำแพงเมือง มือซ้ายยกคทาที่มีเปลวไฟสีแดงลุกโชนขึ้นสูง มือขวาถือแผ่นกระดาษร่ายมนต์สีขาว มันดูเหมือนแผ่นกระดาษจารึกอักขระธรรมดา แต่กัปตันโพรเฟดรู้ว่ามันไม่ใช่แค่แผ่นกระดาษแน่
“ในนามของเมืองอันศักดิ์สิทธิ์ เมืองอันเป็นแสงสว่างของมนุษยชาติ” เขากล่าวกึกก้อง ช่วงเวลานี้เขาดูมีอำนาจมาก “เวทมนตร์จะสำแดงเดช ปกป้องเมืองจากผู้รุกรานที่ไร้ลมหายใจ”
แล้วเขาก็ทิ้งแผ่นกระดาษในมือลงบนกำแพง ทันทีที่แผ่นกระดาษตกลงไปสัมผัสกำแพง เปลวไฟสีแดงก็ลุกโชนออกมาจากแผ่นกระดาษ และขยายวงลามไปทั่วกำแพงอย่างรวดเร็ว มันไม่ทำอันตรายพวกมนุษย์บนกำแพงแม้แต่น้อย แต่มันแผดเผาพวกเอลิลที่อยู่บนกำแพงจนมอดไหม้ กัปตันโพรเฟดช่วยดันทหารเอลิลที่อยู่ข้างหน้าตนให้ไต่ลงบันไดไป แล้วตนก็ถีบตัวกับขอบกำแพงผลักบันไดให้ล้ม เกาะยอดบันไดตามไปในจังหวะที่เปลวไฟเกือบจะลุกลามมาถึงเท้าเขาพอดี แล้วเขาก็ทรงตัวอยู่บนยอดบันได เฉลี่ยน้ำหนักให้มันตั้งตรง พวกทหารเอลิลที่อยู่ด้านล่างช่วยกันจับบันไดให้ตั้งตรงอยู่อย่างนั้น เพื่อพวกที่เกาะบันไดอยู่ข้างบนจะได้ปีนลงมาได้ กัปตันโพรเฟดลงมาเป็นคนสุดท้ายอย่างรวดเร็ว ด้วยการไต่ลงในลักษณะคล้ายตีลังกาโหกสูงหลายตลบ ดูเหมือนว่าเกราะแข็งๆ ของเขาจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวที่คล่องตัวเลย อย่างไรก็ตาม ทหารเอลิลจำนวนมากที่ลงจากกำแพงไม่ทันก็ถูกไฟคำสาปสีแดงเผาตายกันหมด พวกมนุษย์ส่งเสียงเฮลั่น ท่ามกลางเปลวไฟสีแดงลุกโชนบนกำแพงที่ไม่ทำอันตรายพวกเขา พลังงานชนิดนี้รักษาเมืองไว้ได้
แอนโทนิดัส แร็กซ์ริง เจ้าเมืองโอมิลรอนก้าวมาที่ริมกำแพง เปลวไฟบนคทาของเขาดับลงแล้ว มืออีกข้างถือแผ่นกระดาษร่ายเวทย์ ฟิเร็นดายืนอยู่ข้างขวา แอนโทดัสยืนอยู่ข้างซ้าย เปลวไฟสีแดงลุกโชนอยู่รอบตัว
“นำมันไปเก็บไว้ในปราสาทของข้า บนหอคอยที่สูงที่สุดซึ่งเป็นห้องทำงานของข้า วางมันบนแท่นหินอ่อนกลางห้อง แล้วรีบออกจากหอคอยก่อนอาคมป้องกันจะทำงาน” แร็กซ์ริงส่งแผ่นกระดาษร่ายคำสาปให้แอนโทดัสลูกชาย “จัดให้พวกทหารยามคอยเฝ้าหน้าปราสาทอย่างดีที่สุด อย่าให้ใครขึ้นไปบนหอคอยได้ แล้วกลับมารายงานข้า”
แอนโทดัสโค้งศีรษะ รับแผ่นกระดาษแล้วลงจากกำแพงไป แร็กซ์ริงหันไปหากัปตันโพรเฟดที่มองกลับมา เลื่อนกระบังหมวกเกราะซี่ตะแกรงเปื้อนเลือดมนุษย์ขึ้น เพื่อจะได้มองชัดๆ
“แม้กำแพงนี้จะดูไม่แข็งแกร่ง แต่มันคือสิ่งที่เหล่าผู้วิเศษในอดีตร่วมกันสร้างขึ้น มันถูกสร้างจากวัตถุดิบที่มีพลังงานแฝงหลายชิ้น” แร็กซ์ริงประกาศกร้าว “ผู้วิเศษแห่งโมราโซมอสสามารถดึงพลังงานของมันมาแผดเผาสิ่งมีชีวิตที่มีสมองเป็นธาตุอากาศได้ มันจึงปกป้องเราจากพวกเฟลมฟอร์สตลอดมา และในวันนี้ มันก็ปกป้องเราจากเผ่าพันธุ์เอลิลที่มีสมองเป็นธาตุอากาศเช่นกัน” เขาชี้คทาไปยังกัปตันโพรเฟด “ถอนทัพของท่านกลับไปเสีย อันไดอิ้ง เวทมนตร์อันสูงส่งนี้จะอยู่ปกป้องเมืองแห่งเวทมนตร์เสมอ บุกมาอีกครั้ง สิ่งที่ท่านจะได้คือเถ้าถ่านและความตายของตนเอง”
“ความรอบรู้ด้านการประยุกต์พลังงานของท่านสูงส่ง ท่านพ่อมดแร็กซ์ริง ข้าขอแสดงความนับถือ ท่านแน่มาก” กัปตันโพรเฟดโค้งศีรษะอย่างให้เกียรติ “แต่ท่านควรทราบไว้ว่า ลำพังเพียงเวทมนตร์นั้นคงไม่อาจปกป้องเมืองไว้ได้นาน ครั้งนี้มันอาจแก้ปัญหาให้ท่านได้ แต่ครั้งต่อไป มันอาจแตกต่างจากนี้”
แร็กซ์ริงยืนนิ่งไม่พูดอะไร เปลวไฟสีแดงลามเลียอยู่รอบๆ ตัวเขา เขาจะไม่ไปไหนจนกว่าพวกเอลิลจะถอยกลับไป
“แม้เมืองจะไม่แตก แต่เราก็สร้างความเสียหายให้พวกมนุษย์ได้ตามเป้าหมาย” กัปตันโพรเฟดหันไปสั่งการกองกำลังของตน “ถอยทัพ นำคนเจ็บและคนตายกลับไอซ์เมส”
**************
ค่ำคืนนี้ระยิบระยับไปด้วยแสงดาว อาร์รอส ไอวิวรี่เดินอยู่ในสวนอันกว้างใหญ่ในพื้นที่วังของตน เป็นสวนที่มีสิ่งจำลองหลายอย่างจากในนิทานแทบทุกเรื่อง ทั้งไม้ดัดรูปสัตว์สวยงาม รูปปั้นนางฟ้า รูปหล่อทองแดงยูนิคอร์น และอื่นๆ อีกมากมาย ถือว่าเป็นสวนที่กว้างใหญ่และสวยงามที่สุดในโมราโซมอส เดิมแล้วเมืองเซร่าไม่ได้สวยงามเหมือนทุกวันนี้ พื้นที่ในวังก็เช่นกัน มันเพิ่งมาเปลี่ยนแปลงหลังจากที่เจ้าเมืองคนเก่าตายไป ผู้บัญชาการทัพเรือแอร์โรรอท ไอวิวรี่ บิดาของอาร์รอส แอร์โรรอทนั้นเป็นคนเข้มงวด ยึดกฎระเบียบอย่างสุดโต่ง ถือวินัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด จึงเป็นที่มาของฉายามนุษย์ไม้บรรทัด คาดว่าพวกดาร์คเนสดีวิลเป็นผู้ตั้งและเรียกเขาลับหลังเช่นนี้
อาร์รอสเดินไปยังแนวรั้วต้นไม้วงกลมล้อมรอบพื้นที่ส่วนหนึ่ง เดินผ่านซุ้มประตูโค้งสีทองซึ่งเป็นทางเข้า พบซอร์โรร่าในชุดนอนผ้าแพร กำลังนั่งอยู่บนแท่นหินสีขาวบริสุทธิ์ บนตักมีครอบแก้วใบหนึ่งที่มีบางสิ่งเรืองแสงสีชมพูอ่อนโยนอยู่ในครอบแก้ว มันคือกุหลาบดอกโต กุหลาบที่มีกลีบเรืองแสงสีชมพูอ่อนๆ และมีกลุ่มละอองแสงเล็กๆ ลอยวนเวียนอยู่ตามกลีบ เป็นกุหลาบที่ไร้หนาม ไร้กลิ่น ไร้ใบ และเติบโตอยู่บนฝักเล็กๆ ที่ถูกจับให้ตั้งตรงโดยฐานครอบแก้ว มีกลีบร่วงอยู่ที่ฐานครอบแก้วสองสามกลีบ กลีบที่ร่วงหลุดออกมาจากดอกนั้นจะไม่เรืองแสงอีกต่อไป ซอร์โรร่าลูบไล้กลีบกุหลาบอย่างทะนุถนอม มันอ่อนนุ่มกว่ากลีบกุหลาบใดๆ ในดาวดวงนี้
“ถึงเวลาที่มันเริ่มร่วงโรยแล้วสินะ” อาร์รอสเอ่ยขึ้น “กุหลาบแฟร์รี่(Fairy Rose) มีอายุราวหนึ่งเดือน แล้วมันก็ร่วงโรยไป ใช้เวลาสักพักจึงจะงอกดอกใหม่ออกมาจากฝักเดิม”
“ข้ากลัวว่าสักวันมันจะไม่งอกขึ้นมาอีกแล้วน่ะสิคะ” ซอร์โรร่ายังคงลูบไล้ดอกกุหลาบ “กุหลาบแฟร์รี่ไม่ใช่พืชที่ดูแลง่ายๆ แล้วมันก็หาไม่ได้ง่ายๆ ด้วย อาจเป็นดอกไม้ที่หายากที่สุดเลยด้วยซ้ำ หากมันตาย ข้าก็ไม่รู้จะไปหาได้ที่ไหนอีกแล้ว ทั้งอาณาจักรของเรามีเพียงดอกนี้ดอกเดียวเท่านั้น”
“ทุกสิ่งทุกอย่างก็ย่อมมีสูญสลายทั้งนั้น” อาร์รอสนั่งลงบนแท่นหินข้างลูกสาว “อย่าไปยึดติดกับวัตถุมากนักลูกรัก มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง”
“ข้าไม่ใช่พวกวัตถุนิยมแน่นอนค่ะ วัตถุนิยมคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่เลวที่สุด” ซอร์โรร่าพูด “แต่กุหลาบดอกนี้มีค่าต่อจิตใจของข้ามาก อย่างน้อยมันก็ทำให้ข้ามีชีวิตในวัยเด็กอย่างมีจินตนาการ และจินตนาการก็ทำให้ข้าเป็นคนช่างฝัน มีความคิดเป็นนามธรรม ไม่ตกเป็นทาสวัตถุนิยมเหมือนพวกลูกขุนนางส่วนใหญ่”
“นั่นคือสิ่งที่พ่อภูมิใจในตัวลูกยิ่งนัก” อาร์รอสลูบศีรษะเด็กสาว “เมืองเซร่าแห่งนี้คือเมืองแห่งนิทานและเทพนิยาย มันจำลองสิ่งที่มีในนิทานเรื่องต่างๆ แต่กุหลาบดอกนี้ มันจำลองสิ่งที่มีในนิทานเรื่องโปรดที่สุดของลูก โฉมงามกับเจ้าชายอสูร”
“ดอกกุหลาบของเจ้าชายอสูร” ซอร์โรร่ามองกุหลาบบนตักอย่างรักใคร่ “ข้าจำได้ว่าตอนเด็กๆ ช่วงหนึ่ง ข้าต้องฟังนิทานเรื่องนี้ก่อนนอนทุกคืน ไม่อย่างนั้นจะนอนไม่หลับ”
“ลูกนี่แตกต่างจากเด็กผู้หญิงทั่วไปนะ” อาร์รอสหัวเราะ “เด็กหญิงคนอื่นมักชื่นชอบนิทานที่พระเอกเป็นเจ้าชายสง่างามรูปงาม บุกเข้าช่วยเจ้าหญิงที่ตกอยู่ในกำมือของปีศาจร้าย เจ้าชายกำจัดปีศาจร้ายได้แล้วก็อยู่เคียงคู่กับเจ้าหญิงอย่างมีความสุขในปราสาทอันแสนงดงาม เมื่อลูกได้ฟังนิทานทำนองนี้ ลูกจะร้องโวยวายตลอด ลูกทนไม่ได้ที่ปีศาจร้ายถูกกำจัด”
“ข้าคิดว่ามันไม่ยุติธรรม” ซอร์โรร่าว่า “ไม่สังเกตบ้างหรือคะว่านิทานแบบนั้นทุกเรื่อง เจ้าชายจะต้องบุกไปกำจัดปีศาจในพื้นที่ของปีศาจ มันเป็นการปลูกฝังให้เด็กๆ ตระหนักว่า การรุกรานเข้าไปในพื้นที่คนอื่นนั้น เป็นเรื่องน่ายกย่อง นี่อาจเป็นสาเหตุว่าทำไมมนุษย์เราถึงไม่อายสักนิดที่รุกรานเผ่าพันธุ์อื่น”
“ลูกรัก ลูกเหมือนเบลล์ นางเอกในเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูรเลย” อาร์รอสหัวเราะ “ลูกมีมุมมองที่แตกต่างจากคนทั่วไป ลูกมองเห็นสิ่งดีๆ ในสิ่งที่คนทั่วไปมักจะมองไม่เห็นเสมอ เด็กหญิงคนอื่นๆ ชอบเจ้าชายที่หล่อเหลาสง่างาม เปลือกนอกดูดีไปเสียทุกอย่าง ส่วนลูกนั้นมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเจ้าชายอสูรที่ทุกคนเกลียดกลัว ลูกมองทะลุเปลือกอันน่ากลัวไปสู่ตัวตนที่ดีของเขาได้”
“และที่สำคัญ เจ้าชายอสูรอาจน่ากลัว แต่เขาก็น่ากลัวอยู่ในพื้นที่ของเขาเอง ไม่เคยออกไปรุกรานใครเหมือนกับเจ้าชายในนิทานเรื่องอื่นๆ เกือบทุกเรื่องด้วยค่ะ” ซอร์โรร่าเสริม
“คิดในแง่ดี อย่างน้อยตอนนี้มนุษย์เราก็คงไม่มีปัญญาส่งเจ้าชายคนไหนไปรุกรานพวกอสูรดาร์คเนสดีวิลอีกนาน” อาร์รอสหัวเราะ “ในที่สุดก็คิดกันได้เสียที ว่าใช้กองทัพสิ้นเปลืองเปล่าประโยชน์มานาน คิดแต่จะรุกรานคนอื่น โดยไม่สนใจความมั่นคงของตนเลย”
“ข้ายินดีนะคะที่โอมิลรอนรอดพ้นจากพวกเอลิล” ซอร์โรร่าว่า “เมืองนั้นอาจเป็นเมืองที่น่าขยะแขยง แต่เจ้าเมืองแร็กซ์ริงก็เป็นคนดี ฟิเร็นดาก็ด้วย แอนโทดัสก็ด้วย ข้าดีใจที่พวกเขาทุกคนปลอดภัยและรักษาเมืองไว้ได้”
“พ่อมดเฒ่าแร็กซ์ริงเก่งและฉลาดกว่าที่หลายคนคิด” อาร์รอสพยักหน้า “ยังไงเขาก็เป็นผู้รอบรู้เรื่องกระบวนการของพลังงานและการประยุกต์ใช้พลังงาน หากเรียกเชิงไสยศาสตร์ก็จะหมายถึง เขาเป็นพ่อมดผู้มีฤทธิ์มากคนหนึ่งทีเดียว”
“เขาเป็นหนึ่งในขุนนางมนุษย์ไม่กี่คนที่ข้าชอบค่ะ”
“พ่อก็เหมือนกัน” อาร์รอสถอนหายใจ “ลูกรู้ไหม งานสายการเมืองมันไม่เหมาะกับคนที่รักสงบเลย หามิตรแท้ได้ยากยิ่งนัก หาศัตรูได้ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ ประจบประแจงไม่เก่ง ฉาบฉวยไม่เป็น ก็จะกลายเป็นแค่สิ่งที่น่าสมเพชในสภา”
“แล้วทำไมพ่อถึงทนทำงานสายการเมืองต่อไปล่ะคะ” ซอร์โรร่าข้องใจ
“ก็เพราะพ่อเป็นแค่ไอ้กระจอกที่ละทิ้งความฝันไปนานแสนนานแล้วน่ะสิ” อาร์รอสหัวเราะอย่างสมเพชตัวเอง “ปู่ของลูกเป็นคนวินัยจัด แล้วเขาก็ชอบที่จะให้พ่อเดินไปในแนวทางที่เขาวางไว้ หลายครั้งที่พ่อพยายามแหกกรอบ ก็ทำไม่สำเร็จเสียที ความยำเกรงที่พ่อมีต่อเขา ความรักที่พ่อมีต่อเขา การที่พ่อใส่ใจกับความรู้สึกของเขา สุดท้ายแล้วมันก็ทำให้พ่อต่อต้านเขาไม่สำเร็จ พ่อเลือกที่จะเป็นลูกกตัญญู แต่อกตัญญูต่อตัวเอง ผลจากการเลือกของพ่อ ก็คือสิ่งที่พ่อต้องทนอยู่ทุกวันนี้ และคงจะเป็นเช่นนี้ยาวนานตราบชั่วชีวิต”
“พ่อเคยใฝ่ฝันอยากเป็นอะไรหรือคะ”
“นักเขียน” อาร์รอสยิ้มเมื่อระลึกถึงความหลัง “ตอนเด็กๆ พ่อเป็นคนมีจินตนาการ พ่อโปรดปรานนิทานและเรื่องแต่งยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด พ่อมักจะถูกปู่ตำหนิเรื่องนอนดึกตื่นสายเพราะพ่ออ่านนิทานแต่งนิยายจนดึกดื่น บางวันก็จนฟ้าสาง”
“มิน่า ตอนข้าเด็กๆ พ่อถึงมีนิทานดีๆ มาเล่าให้ข้าฟังเสมอ” ซอร์โรร่าพูดเสียงใส
“ในอาณาจักรแห่งความฉาบฉวยของเรา เส้นทางนักเขียนคือเส้นทางที่ยากลำบาก ไร้ซึ่งอำนาจหรือความร่ำรวย นักเขียนบางคนแทบไม่มีจะกิน น้อยมากที่จะมีใครประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ เพราะประชาชนของเราไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ พวกเขาเอาแต่ลุ่มหลงกับวัตถุและความหรูหราฟุ้งเฟ้อ เยาวชนของเราเฉลี่ยแล้วอ่านหนังสือปีหนึ่งไม่เกินแปดบรรทัด บ้านเมืองมันถึงฟอนเฟะกันไม่จบไม่สิ้น นั่นคือสิ่งที่ปู่พร่ำบอกพ่อเสมอ” อาร์รอสถอนหายใจ “ผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากวงศ์กษัตริย์ มีแม่เป็นเจ้าหญิง มีพ่อเป็นผู้บัญชาการทหารระดับสูง จะกลายเป็นแค่นักเขียน นั่นคือสิ่งที่ปู่ของลูกยอมรับไม่ได้ เขาจึงไม่เคยสนับสนุนอะไรพ่อในเรื่องนี้เลย คอยหาอย่างอื่นให้พ่อทำ เพื่อจะได้ไม่ต้องมามีเวลากับงานเขียนที่เขาคิดว่าไร้สาระ อีกทั้งยังคอยพร่ำบอกให้พ่อเลิกฝันเฟื่อง สุดท้ายแล้ว แรงบันดาลใจของพ่อก็ค่อยๆ เหือดหายไป ไฟแห่งความฝันก็มอดดับไปทีละน้อย พ่อถอยห่างจากเส้นทางที่ตนเคยวาดฝันไว้ ก้าวไปในเส้นทางที่ปู่ต้องการ จะกลับไปไขว่คว้าความฝันอย่างเก่า มันก็สายไปเสียแล้ว พ่อไม่มีแรงและไม่เข้มแข็งเหมือนแต่ก่อน พ่อกลายเป็นแค่คนแก่ ที่มีชีวิตอยู่กับความผิดหวังไปวันๆ”
“ข้าเสียใจกับพ่อจริงๆ ค่ะ” ซอร์โรร่าซบไหล่กอดพ่อ น้ำตาคลอ
“ในฐานะที่เป็นเชื้อพระวงศ์ พ่อก็ต้องทำสิ่งที่บรรดาคนอื่นๆ เรียกว่าหน้าที่” อาร์รอสพูดอย่างไม่เห็นด้วย “นั่นคือทำงานสายการเมืองต่อไป แม้จะทำได้ห่วยก็ต้องทนทำ ชีวิตมันไม่มีอะไรง่าย บางครั้งทางเลือกดีๆ ก็แทบไม่มีเลย จริงอยู่ที่มีคำกล่าวว่าทุกคนมีทางเลือกของตนเสมอ แต่พ่อจะขอต่อประโยคว่าทางเลือกทางเลือกดีๆ มันก็มักจะไม่โผล่มาให้เห็น”
“พ่อคะ” ซอร์โรร่าเอ่ยขึ้น “ข้ามาคิดดูแล้ว ข้าก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่อยู่เฉยๆ ให้พ่อเลี้ยงแบบนี้ บางทีอาจจะถึงเวลาที่ข้าจะหางานทำ--”
“ไม่เด็ดขาด” อาร์รอสรีบพูด “ตราบที่ไม่ใช่งานที่ลูกชอบจริงๆ พ่อขอห้าม”
ซอร์โรร่ายกศีรษะออกจากบ่าอาร์รอส มองหน้าเขา
“ซอร์โรร่า พ่อทนทำงานที่ปู่ของลูกต้องการ พลางนึกในใจว่าทำสิ่งนี้เพื่อประทังชีวิตให้รอด ขณะเดียวกันก็จะไล่ตามความฝันของตนไปพร้อมๆ กัน นั่นคือการตัดสินใจที่ผิดพลาดในชีวิตของพ่อ เพราะยิ่งทำงานที่ปู่ต้องการมากขึ้นเท่าไหร่ แรงบันดาลใจที่จะเป็นนักเขียนของพ่อก็ถดถอยลงเท่านั้น มันคือผลจากความเคยชิน ไม่สำคัญแล้วว่าเราจะชอบสิ่งที่ทำอยู่หรือไม่ แต่เราก็ทำมันไปเรื่อยๆ จนเป็นกิจวัตรเสียแล้ว เรื่องนี้มีผลวิจัยทางจิตวิทยาด้วย สุดท้ายแล้ว พ่อก็ทำสิ่งที่เคยชินมากกว่าจะไปไล่ตามความฝัน” อาร์รอสพูดอย่างจริงจัง “พ่อกลัวยิ่งนักว่าลูกจะซ้ำรอยพ่อ พ่อยอมให้มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้ ลูกจะต้องไม่มีชีวิตอยู่กับความผิดหวังอย่างพ่อ ลูกจะต้องมีความฝันต่อไป และไขว่คว้ามันต่อไปจนกว่าจะคว้าได้ พ่อจะไม่ยอมให้อะไรมาทำให้ลูกวอกแวก มาทำให้ลูกเดินออกนอกเส้นทางที่ลูกอยากเดินแม้แต่ก้าวเดียว การมีชีวิตอย่างสิ้นหวังสักพันปี มันไม่มีค่าเท่าการมีชีวิตอย่างมีหวังแม้เพียงเสี้ยววินาที และลูกสาวของพ่อ จะต้องมีชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความฝันและความหวัง เป็นชีวิตที่เธอต้องการ เป็นชีวิตที่ดีกว่าพ่อของเธอ”
ซอร์โรร่ายิ้ม น้ำตาซึม
“ตลอดเวลาที่เป็นพ่อลูกกันมา พ่อไม่เคยบังคับลูกเลย พ่อตามใจลูกแทบทุกอย่าง บางคนบอกว่ามันจะทำให้ลูกเสียนิสัย ก็ช่างปะไร เสียนิสัยเพราะถูกตามใจ มันเป็นอันตรายน้อยกว่าเสียนิสัยเพราะถูกบังคับ อย่างน้อยลูกก็จะมีโอกาสในการใช้สมองของตนมากกว่า” อาร์รอสยิ้มอย่างรักใคร่ เช็ดน้ำตาให้ลูกสาว “แต่เรื่องนี้พ่อต้องขอบังคับลูกแล้ว ห้ามลูกทนอยู่กับสิ่งที่ลูกไม่ต้องการ มันจะบั่นทอนความฝันและแรงบันดาลใจของลูก ตกลงไหมลูกรัก ปู่ของลูกตีกรอบแคบๆ ให้กับลูกของเขา พ่อจะขอทำสิ่งตรงกันข้าม”
“ข้ารักพ่อนะคะ” ซอร์โรร่าโผเข้ากอดอาร์รอส
“พ่อก็รักลูกจ้ะ” อาร์รอสลูบศีรษะลูกสาว “ปู่ของลูกก็รักพ่อเหมือนกัน แต่เขาแสดงออกในแบบที่พ่อไม่ต้องการเท่านั้นเอง”
“พ่อคะ แล้วจริงหรือเปล่าที่เมืองนี้ เดิมแล้วมันไม่ใช่แบบนี้ มันไม่ใช่เมืองที่สวยงามจำลองสิ่งต่างๆ ในนิทาน” ซอร์โรร่าถามอย่างสงสัย “แต่มันก็เปลี่ยนแปลงเป็นแบบนี้ ด้วยฝีมือของท่านปู่”
“ยามคนเราใกล้ตาย มักจะนึกได้ว่าตนทำสิ่งใดพลาดไป หรือควรจะทำให้ดีกว่านี้” อาร์รอสยิ้มเศร้าๆ “ก่อนที่ปู่จะไปออกรบครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขา เขาเขียนพินัยกรรมไว้ว่า หลังจากที่เขาล่วงลับไป ขอให้บรรดาช่างสถาปนิกได้แต่งเมืองให้เป็นเมืองแห่งจินตนาการ จำลองทุกสิ่งทุกอย่างในนิทาน อย่างที่พ่อชอบ ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ปู่ตระหนักได้ว่าตนทำผิดที่ตีกรอบบังคับพ่อ ผิดที่คิดว่าจะวางเส้นทางให้ชีวิตพ่อดำเนินไปในทางที่ดีที่สุด เขาตระหนักได้ในที่สุดว่า ชีวิตที่ดีที่สุด คือชีวิตที่เป็นไปตามที่เจ้าของชีวิตต้องการ ไม่ใช่เป็นไปตามที่ใครอื่นต้องการ มันไม่ใช่เรื่องเสียหายหรอกที่พ่อจะเป็นแค่นักเขียน หากนั่นเป็นสิ่งที่พ่อทำแล้วมีความสุข เขาจึงหวังว่าเมืองแห่งจินตนาการอันสวยงามจะเรียกแรงบันดาลใจและจินตนาการของพ่อกลับคืนมาได้ เรียกสิ่งที่เขาเอาจากพ่อไปคืนให้พ่ออีกครั้ง นั่นคือสิ่งที่คนเจ้าระเบียบผู้ซึ่งยึดติดกับโลกแห่งความเป็นจริงอย่างเขาจะพอทำได้ พ่อซาบซึ้งในความพยายามของเขา” เขาเอื้อมมือไปจับครอบแก้วดอกกุหลาบแฟร์รี่ “แต่น่าเสียดาย มันสายไปเสียแล้ว ตอนนี้แม้แต่เมืองทั้งเมือง ก็ไม่อาจกระตุ้นแรงบันดาลใจของพ่อที่เหือดหายไปนานให้กลับมามีพลังได้มากพออีกแล้ว เมื่อใดที่เราหันหลังให้ความฝัน ก็เป็นเรื่องยากที่จะหันกลับไปมองเห็นมันได้ชัดเจนเหมือนเก่า”
***************************
ร่างไร้ชีวิตของซีราส ท็อกซ์ฟ็อกซ์นอนอยู่บนกองฟืน รายล้อมไปด้วยทหารโฮเซ่จำนวนมากและเหล่าผู้ปกครองอาณาจักรแบร์ร็อค ซึ่งก็คือกลุ่มเพื่อนทุกคนของเขา แต่ละคนสวมชุดเกราะเต็มยศให้เกียรติศพ ยกเว้นพอร์ล็อค แดโมมิกซ์ ที่สวมชุดสุภาพแต่ไม่ใช่ชุดเกราะ เพราะกำลังถูกพักงานถอดถอนตำแหน่ง เทอร์รินวางเหรียญที่สลักตราสัญลักษณ์โฮเดเรียไว้บนหน้าผากของเพื่อนรัก เพื่อนคนอื่นๆ ก้มหน้าอย่างเศร้าใจ ทอร์น แอนดรอสส่งคบเพลิงให้เทอร์ริน เทอร์รินจุดไฟเผาศพท็อกซ์ฟ็อกซ์ แล้วยืนดูการมอดไหม้ แดโมมิกซ์จับที่เกราะหัวไหล่ของเขาจากด้านหลังอย่างให้กำลังใจ
“ตอนพวกเรายังเล็กๆ ข้าถูกรังแกโดยเด็กที่โตกว่าสามคน ตัวพวกนั้นอย่างกับยักษ์” เทอร์รินยิ้มเศร้าๆ “ซีราสกระโดดเข้าไปช่วยข้าแบบไม่คิดเลย เขาตัวสูงแค่เอวของเด็กพวกนั้นด้วยซ้ำ แล้วก็โดนอัดน่วม แพ้ไปตามระเบียบ ข้าต้องหามเขากลับเลยทีเดียว”
“ซีราสเป็นคนใจถึงเสมอ โดยเฉพาะกับเพื่อน เขาทุ่มเทให้เต็มร้อย” แดโมมิกซ์พูด
“แล้วยังตอนที่เขาปฏิเสธตำแหน่งรองผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อค” เทอร์รินพูดต่อ “เพราะเขารู้ว่าข้าจะดูแลอาณาจักรได้ลำบาก หากเขาไม่เป็นผู้ดูแลเมืองหน้าด่าน”
“เพื่อนที่ดีอย่างเขา คงหาไม่ได้อีกแล้ว” แดโมมิกซ์กระซิบ
“แล้วเขาก็จากไป” เทอร์รินมองกองไฟตรงหน้าที่ลุกสูงขึ้น คนอื่นๆ รอบตัวเริ่มแยกย้าย “เพราะพยายามกอบกู้ศักดิ์ศรีของพ่อและวงศ์ตระกูลคืนมา”
“พ่อของเขาเป็นคนดี” แดโมมิกซ์พยักหน้า “เป็นหนึ่งในคนที่ดีที่สุดที่ข้าเคยรู้จักมา”
“พวกเขาไม่ควรจะมาพบเจอชะตากรรมแบบนี้ ทั้งพ่อและลูก” เทอร์รินว่า “เป็นนักรบก็ย่อมมีศักดิ์ศรี ซีราสอาจเป็นคนใจร้อนมุทะลุ แต่เขาก็มีเหตุผลที่ต้องการกู้หน้าให้วงศ์ตระกูลของตน น่าเศร้าที่เขาตายไปทั้งที่ยังทำไม่สำเร็จ ข้าไม่อยากจะยืนดูความทรงจำที่ดีของเขาและตระกูลของเขาต้องหายไปกับเปลวไฟแบบนี้ โดยไม่ทำอะไรเลย”
“เทอร์ริน ท่านจะทำอะไร” แดโมมิกซ์หันมาถาม
“ข้าต้องการจะจบเรื่องพวกนี้” เทอร์รินกล่าว “และจบสิ่งที่ซีราสทำไม่จบเอาไว้”
“ท่านคงจะไม่ตามรอยเขาอีกคนใช่ไหม” แดโมมิกซ์ไม่อยากจะเชื่อหู “ท่านจะไปท้าต่อสู้กับพวกดาร์คเนสดีวิลอีกอย่างนั้นหรือ”
“ซีราสทำเพื่อข้ามามากมายแล้ว ขอข้าทำเพื่อเขาบ้าง ข้าจะไปกอบกู้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลให้เขา” เทอร์รินพูดเรียบๆ “ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ทำให้มันบานปลาย ข้าจะขอดวลกับแบล็กไรดิงฮู้ดในแบบที่ซีราสแพ้มา หากข้าชนะ พวกดาร์คเนสดีวิลจะต้องมอบหนังสือยืนยันบอกเล่าเหตุการณ์จริงทั้งหมดเกี่ยวกับพ่อของซีราสและเอโมลิล แบล็กโฟรเซ็นสตอร์ม ยอมรับว่าแบล็กโฟรเซ็นสตอร์มเป็นผู้จุดชนวนสงครามระหว่างมนุษย์กับโฮเซ่ ไม่ใช่พ่อของเพื่อนข้า และไม่ว่าใครจะชนะการประลองครั้งนี้ จะไม่มีการถือสาเอาความกันอีก ยุติเรื่องนี้กันไป”
“แล้วหากท่านแพ้ล่ะ” แดโมมิกซ์ย้อน “เผ่าพันธุ์ของเราไม่ขาดผู้นำสูงสุดหรือ”
“พอร์ล็อค วันนั้นข้าขอโทษนะที่ทำร้ายท่าน” เทอร์รินยิ้มให้ ตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “ยอมรับว่าตั้งแต่ข้ามาเป็นผู้นำสูงสุด ข้าก็เป็นไอ้งี่เง่าอยู่บ่อยครั้ง”
“ท่านเป็นไอ้งี่เง่าอยู่บ่อยครั้งจริงๆ” แดโมมิกซ์ยิ้มตอบ “แต่ไม่ใช่ครั้งนั้น ครั้งนั้นข้าสมควรโดน”
“หลังจากที่ข้าเดินทางไปแล้ว ท่านกลับมาคืนตำแหน่งเดิมได้ อำนาจทางการเมืองทางการทหาร ข้าคืนให้หมด” เทอร์รินจับบ่าอีกฝ่ายทั้งสองข้าง “แล้วถ้าหากข้าไม่กลับมา เพื่อนยาก ท่านโปรดขึ้นแทนตำแหน่งข้า เป็นผู้นำสูงสุดแห่งแบร์ร็อคคนใหม่”
“เทอร์ริน ได้โปรด อย่าทำแบบนี้”
“ท่านเป็นเพื่อนที่ดี พอร์ล็อค ข้าดีใจที่ได้เป็นเพื่อนของท่าน” เทอร์รินตบแก้มอีกฝ่ายเบาๆ แล้วเดินจากไป แต่เดินไปไม่กี่ก้าว กอร์รินก็เดินมาขวางหน้า
“นั่นคือสิ่งที่เทอร์ริน เฮนิเคม ผู้ปกครองเลือดใหม่ผู้ฉลาดเฉลียว เลือกที่จะทำอย่างนั้นหรือ” กอร์รินพูดอย่างไม่พอใจ “ไปต่อสู้กับพวกดาร์คเนสดีวิล เพื่อแก้แค้นให้ซีราส”
“มันไม่ใช่เพื่อแก้แค้น” เทอร์รินตอบกลับ
“งั้นจงเอ่ยมาอย่างชัดเจน ว่าท่านไม่ได้แค้นพวกดาร์คเนสดีวิล” กอร์รินยืนกราน
“ข้าไปเพื่อยุติเรื่องนี้” เทอร์รินไม่ยอมเอ่ยตรงๆ
“ไม่แบล็กไรดิงฮู้ดก็ท่านจะต้องตาย นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น คือสิ่งที่เซ็ทซาร์ดเดลิลวาสและพวกเอลิลต้องการ” กอร์รินพูดเสียงดัง “นี่คือการกระทำของคนที่คอยจ้ำจี้จ้ำไชข้าให้รู้จักคิดและระมัดระวังก่อนทำอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าไม่อยากให้ข้าไปสู้กับเพื่อนของเจ้า ข้ารู้” เทอร์รินว่า “มันก็ไม่แปลกหรอกที่เจ้าจะเกิดความไม่พอใจ”
“ข้าไม่อยากให้พี่ชายของข้า ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของข้า ไปสู้กับเพื่อนของข้า ตามความต้องการของศัตรูที่แท้จริง” กอร์รินพูดเสียงดัง “เราควรจะร่วมมือกัน ไม่ใช่รบรากันเองแบบนี้ ศัตรูของเรายังแข็งแกร่งไม่พออีกหรือไง”
“เราไม่มีทางร่วมมือกับพวกนั้นได้ อย่างที่ซีราสเคยพูดไว้” เทอร์รินเถียง “ร่วมมือแล้วผลมันเป็นอย่างไรจำได้ไหม”
“ก็เลยคิดว่าเป็นความผิดของข้าตลอดมาสินะ” กอร์รินกัดฟัน “ข้ายอมได้ที่ท่านมักจะมองข้ามความสำคัญของข้า ไม่เคยทำให้ข้ารู้สึกว่าตนมีความสามารถ ไม่ค่อยจะเห็นข้าเป็นส่วนหนึ่งของคณะปกครอง ข้าเป็นรองผู้นำสูงสุดแต่เพียงเปลือก ไม่มีอำนาจหรือสิทธิ์ขาดใดๆ แม้แต่เมื่อกี้ท่านก็ยังจะแต่งตั้งพอร์ล็อคให้เป็นผู้นำสูงสุดหากท่านตาย ไม่เป็นไร ข้ายังพร้อมจะทนต่อไปที่ถูกท่านข้ามหัว บางทีข้าก็คงจะไร้ความสามารถอย่างที่ท่านคิดจริงๆ โฮซอร์ ท่านจะทำให้ข้ารู้สึกแย่ยังไงก็ได้ แต่โปรดไตร่ตรองเรื่องที่จะไปโฟรเซ็นทิเนล ท่านเตือนข้าอยู่เสมอให้เหตุผลอยู่เหนืออารมณ์ ตอนนี้โปรดฟังคำเตือนจากข้าบ้าง”
“ข้ามีเหตุผลเพียงพอที่จะไปที่นั้น” เทอร์รินพูดเรียบๆ “แล้วข้าก็ไม่อาจปล่อยให้เพื่อนของข้าต้องตายเปล่าได้”
“จะให้เขาตายเฉยๆ หรือให้ท่านตายไปกับเขาด้วย หรือให้ท่านฆ่าผู้นำสูงสุดแห่งโฟรเซ็นทิเนลแล้วปิดกั้นความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพวกดาร์คเนสดีวิลตลอดกาล” กอร์รินตะคอก “ไม่มีเผ่าพันธุ์ไหนสู้พวกเอลิลไหวแล้วนะ แล้วถ้าแต่ละเผ่าพันธุ์ยังแตกแยกกันอย่างนี้ ก็เตรียมยกธงขาวยอมแพ้ได้เลยทั้งหมด”
“ข้าตัดสินใจไปแล้ว” เทอร์รินพูดเสียงหนักแน่น “ข้าจะไปยุติเรื่องทั้งหมด ในสนามรบที่พรากชีวิตซีราสไป”
“ข้ายอมให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้” กอร์รินกำมือแน่น
“จะขัดขวางข้าหรือ” เทอร์รินพูดเชิงท้าทาย
“อย่างน้อย ข้าก็เป็นรองผู้นำสูงสุด มันจะไม่มีอำนาจถ่วงดุลท่านเลยหรือ”
“เจ้าจะทำอะไร ออกคำสั่งระงับทหารของข้า ไม่อนุมัติปฏิบัติการของข้า หรือจะยื่นเรื่องโต้แย้งการกระทำของข้า” เทอร์รินถาม “เกรงว่าเจ้าจะไม่มีอำนาจเหล่านี้”
“ที่ท่านแต่งตั้งข้าขึ้นมา มันไม่เคยมีอะไรเหล่านี้เลยหรือ” กอร์รินกระซิบอย่างเจ็บปวด
“ไม่เคยมี” เทอร์รินพยักหน้า
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้ารู้ว่าท่านไม่เชื่อมั่นในความสามารถของข้านัก แต่ข้าไม่คิดว่าจะเป็นถึงขนาดนี้” กอร์รินพูดเสียงเบา
“มันก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือ” เทอร์รินพูดอย่างเย็นชา
แล้วเขาก็เดินจากไป ทิ้งให้กอร์รินได้แต่ยืนหลับตาก้มหน้าอยู่เบื้องหน้าศพของท็อกซ์ฟ็อกซ์ที่กำลังมอดไหม้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ