The Chronicles of Gaia พลิกตำนานโลกใบใหม่

7.3

เขียนโดย Alcatraz

วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.09 น.

  14 chapter
  1 วิจารณ์
  16.11K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2559 13.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

14) Reunited (2)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Prologue Act

Chapter 11th

Reunited (2)

 

บ้านจัดสรรหลังหนึ่ง

บริเวณตัวเมืองชั้นนอก

คริสซาลิส เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักร

23 กันยายน ก.ศ.327

  1. 11.22 น.

          “เสร็จหรือยัง?”

            เสียงเบื่อหน่ายของหนึ่งในเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการลับแห่งราชอาณาจักรทั้งสองคนผู้ใช้บ้านจัดสรรเป็นที่หลบซ่อนตัวดังลอดผ่านประตูห้องน้ำให้อีกคนที่เหลือซึ่งพยายามขัดสีฉวีวรรณอย่างรวดเร็วที่สุดในชีวิตเร่งมือให้ไวกว่าเดิม

            “ใกล้แล้วๆ รออีกเดี๋ยวนะ”

            “ก็บอกแล้วไงว่าให้ตื่นเร็วๆ ถ้าไปไม่ทันงานจะทำยังไงเนี่ย”

            “ขอโทษที...”

            ชั่วอึดใจถัดมา เอแคลร์ก็ก้าวออกจากห้องน้ำเพื่อเจอกับใบหน้าปั้นปึ่งของอิลิยาที่จ้องเขม็งมายังเธอ มือกอดอกเคาะนิ้วลงบนแขนข้างหนึ่งอย่างอารมณ์ไม่ดี หญิงสาวเห็นดังนั้นก็รีบโลดไปยังตู้เสื้อผ้าและเริ่มแต่งองค์ทรงเครื่องทันที

            “ให้ตายเถอะ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมชุดของเธอมันต้องมีส่วนประกอบเยอะขนาดนี้ด้วย”

            ถึงแม้ปากจะบ่น แต่มือของอิลิยาก็ช่วยจัดเครื่องแต่งกายให้กับคู่หูอย่างคล่องแคล่ว ซึ่งคงเป็นเพราะเธอเคยทำแบบนี้มาแล้วเป็นสิบครั้ง

            “ลองไปถามฝ่ายออกแบบดูสิ”

            “ไม่เอาดีกว่า ฉันไม่อยากฟังเจ้าโอตาคุนั่นพล่ามยาวเหยียดเป็นชั่วโมงๆหรอก”

            เอแคลร์ขำเมื่อนึกว่าหัวหน้าฝ่ายออกแบบจะมีท่าทีอย่างไรต่อคำกล่าวว่าตัวเองเป็นโอตาคุ ซึ่งเจ้าตัวก็ปฏิเสธสุดใจขาดดิ้นมาโดยตลอดแม้คนร้อยทั้งร้อยจะลงความเห็นว่าไปในทางเดียวกันก็ตาม

            “เอาละ เรียบร้อยซะที รีบไปกันเถอะ”

            “เธอใส่ชุดนี้ทีไรดูเป็นคนละคนไปเลยนะ”

            เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการเอ่ยกับเจ้าหน้าที่สนับสนุนผู้เหลือบตาลงมองชุดสูทแบบผู้หญิงสีดำแบะด้านหน้าออกให้เห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวข้างในของตน ก็จริงที่มันต่างกับเสื้อแขนสั้นกางเกงขาสั้นที่เธอใส่อยู่ทุกวี่ทุกวันมาก เมื่อประกอบกับเส้นผมที่ได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถันกว่าปกติซึ่งมัดเป็นมวยตึงอยู่ด้านหลังศีรษะ อิลิยาก็ให้ความรู้สึกเหมือนเลขาสาวผู้เอาจริงเอาจังเลยทีเดียว

            “ก็เคยเห็นมาหลายครั้งแล้วไม่ใช่รึไง”

            “นานทีๆจะได้เห็น ขอตื่นเต้นหน่อยไม่ได้เหรอ”

            ทั้งสองสนทนาเรื่องสัพเพเหระกันระหว่างเดินไปยังโรงจอดยานพาหนะ ที่พวกเธอจะใช้ในการเดินทางไปยังที่ทำงานวันนี้คือรถขนาดสองที่นั่งติดฟิล์มดำทั้งคันจนน่าโดนตำรวจโบกมากๆ เมื่อทั้งคู่ขึ้นไปบนรถแล้ว พื้นก็เลื่อนขึ้นจนไปหยุดตรงระดับเดียวกับโรงจอดรถของบ้านจัดสรรที่เอาไว้ใช้บังหน้า

            “อยากขี่โฮเวอร์ไบค์ไปมากกว่าอ่า...”

            เอแคลร์พึมพำ ซึ่งก็ไม่รอดไปจากหูของอิลิยา

            “ชุดอย่างนั้นจะขี่ได้ไงยะยัยบ้า”

            “ก็คนมันอยากนี่นา”

            หญิงสาวผิวสีคาราเมลไม่ตอบกระไร เพียงส่ายศีรษะให้กับความเอาแต่ใจของคู่หูก่อนจะตั้งจุดหมายสถานที่ๆจะไป

            “กำหนดสถานที่เป้าหมายเสร็จสิ้น จะถึงที่หมายในในอีกหนึ่งชั่วโมง ยี่สิบนาที ขณะนี้การจราจรบริเวณจุดหมายมีความติดขัดมาก อาจเกิดการล่าช้ากว่ากำหนดได้”

            อิลิยามองไปยังนาฬิกาบอกเวลาของรถ คำนวณเล็กๆก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แม้พวกเธอจะออกเดินทางช้าไปหน่อย แต่ก็ยังคงทันเวลางานอย่างฉิวเฉียด เหล่มองเอแคลร์ที่นั่งเหม่อลอยเหมือนตกอยู่ในภวังค์ก่อนจะภาวนาในใจเงียบๆ

            ‘ขอให้วันนี้ผ่านไปได้ด้วยดีทีเถอะ’

            ในขณะที่เจ้าหน้าที่สนับสนุนพะวงถึงภารกิจอันสำคัญยิ่งของวันนี้ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลับไพล่ไปคิดถึงเรื่องอื่น

            เรื่องของเพื่อนๆที่เจอกันยาวนานถึงสิบสามปี หรืออย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่รู้ว่าได้พบเธอไปแล้วเมื่อคืนนี้

            และการที่เธอต้องหักหลังหนึ่งในนั้นทันทีที่พบหน้า

            ‘บางที นี่คงเป็นชะตากรรมของคนแบบเราสินะ’

            ชะตากรรมที่ต้องคอยลอบทำร้าย ลอบไม่ประสงค์ดีต่อทุกๆคนที่เป็นเป้าหมาย ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นใครก็ตาม

            พลันหญิงสาวสูดลมหายใจลึก ปรับจิตใจให้มั่นคงไม่หวั่นไหว วันนี้เธอมีงานชิ้นสำคัญ จะให้อารมณ์ความรู้สึกเข้ามามีอำนาจเบียดบังประสิทธิภาพในการทำงานของเธอไม่ได้ นึกถึงหนึ่งในคำสอนจากหลักสูตรฝึกเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการลับของสมาพันธรัฐ

            ‘อารมณ์เป็นเพียงภาพลวง ความรู้สึกเป็นเพียงสิ่งที่เกิดจากความไม่มั่นคงของจิตใจ ต้องตัดทิ้งให้สิ้น’

            ฟังไปก็คล้ายๆคำสอนศาสนาใดสักศาสนาที่เธอเคยอ่านเจอเมื่อนานมาแล้ว เพียงแต่ศาสนานั้นสอนให้ตัดทิ้งเพื่อปล่อยวาง แต่เธอถูกสอนมาให้ตัดทิ้งเพื่อเป้าหมายที่สูงกว่า

            ‘ใช่ เรากำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง ประโยชน์ของสมาพันธรัฐย่อมต้องมาก่อนมิตรภาพเก่าเก็บของเรา’

            เอแคลร์ไม่รู้ว่าที่เธอกำลังทำอยู่มันเป็นเพียงการหลอกตัวเองหรือเปล่า แต่เธอก็ได้เลือกเส้นทางนี้แล้ว ไม่อาจหันหลังกลับได้อีก

            เธอจมจ่อมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองเนิ่นนานคล้ายลืมเลือนสิ่งรอบข้าง มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่อิลิยาหยุดรถและสะกิดเธอเข้าที่ไหล่

            “จะเหม่อไปถึงเมื่อไหร่ยะ”

            “...พอดีคิดอะไรเพลินไปหน่อยน่ะ ถึงแล้วเหรอ”

            “อืม เร็วเข้าเถอะ”

            หญิงสาวทั้งสองลงมาจากรถ เบื้องหน้าพวกเธอคือโดมสีขาวขนาดมหึมาซึ่งกินพื้นที่กว่าครึ่งตารางกิโลเมตร ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นโดม แต่สภาพทั้งภายนอกและภายในของมันสามารถสลับสับเปลี่ยนได้หลากหลายแบบ ชื่อของมันคือพลานาเทียฮอลล์ สถานที่ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อจัดงานสำคัญต่างๆของราชอาณาจักรอย่างอเนกประสงค์ ใช้ได้ตั้งแต่จัดการแข่งขันกีฬายันงานพระราชพิธี

            ขณะนี้ได้มีเสียงสับสนวุ่นวายดังมาจากอีกฟากหนึ่งของโดมเหมือนกำลังมีคนจำนวนมากกำลังชุมนุมกันอยู่ แต่ด้านที่พวกเธออยู่นั้นคือด้านที่เปิดให้สำหรับผู้จัดงานเท่านั้นจึงแทบจะโล่งว่างไร้ผู้คน

            “ใหญ่กว่าโฮโลแชมเบอร์สักสองเท่าได้เลยมั้งเนี่ย”

            เอแคลร์พึมพำ ยกมือขึ้นป้องแสงแดดที่สาดส่องลงมากระทบกับผิวโดม ที่ฟรอนเทียร์อันเป็นเมืองหลวงของสมาพันธรัฐก็มีสิ่งก่อสร้างซึ่งมีจุดประสงค์คล้ายๆกันอยู่ และโฮโลแชมเบอร์คือชื่อของมันนั่นเอง

            “ก็บอกให้เร็วๆไง เดี๋ยวก็ไม่ทันจนได้หรอก”

            อิลิยาไม่สนที่จะมองดูสิ่งก่อสร้างของราชอาณาจักรที่เธอเห็นว่าเทียบกับของสมาพันธรัฐไม่ได้ทั้งในด้านการออกแบบและประโยชน์ใช้สอย เธอจึงรุดไปยังทางเข้าสู่ฮอลล์ซึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนรออยู่แล้ว

            “อ๊ะ รอฉันด้วยสิ!”

            เอแคลร์วิ่งเหยาะๆตามไป เธอกับอิลิยาหยุดทักทายกับคนกลุ่มนั้นสักครู่ และทั้งหมดก็เข้าไปในฮอลล์ ทิ้งลานจอดรถอันเงียบงันไว้เบื้องหลัง

หนึ่งในถนนที่มุ่งสู่พลานาเทียฮอลล์

  1. 14.40 น.         

            ถึงแม้ว่ารถคันใหม่ของร้อยเอกแห่งกองทัพราชอาณาจักรจะทำความเร็วสูงสุดได้ถึงเกือบครึ่งหนึ่งของความเร็วเสียง แต่ท้องถนนของคริสซาลิสก็มอบความเร็วอันยุติธรรมให้แก่รถทุกคัน ซึ่งก็คือความเร็วเท่าการเดินนั่นเอง

            “คริสซาลิสนี่...การจราจรติดขัดจังเลยนะคะ”

            แม้แต่ซินเธียยังอดออกปากไม่ได้ เลเดนเพียงพยักหน้าไม่ตอบคำ ทูตจากสหภาพขยับอย่างอึดอัดเล็กน้อย เธอทำตัวให้ชินกับพาหนะที่อยู่นิ่งๆไม่ได้เสียที แถมการที่ผู้ร่วมทางเพียงคนเดียวเงียบเป็นเป่าสากก็ไม่ได้ช่วยอะไรแม้แต่น้อย

            ซึ่งเธอคิดว่ามันคงเป็นเพราะสิ่งที่ถูกส่งเข้ามายัง PCD ของเธอบนจุดชมวิวในอนุสรสถานของอัลทิเซียร์ ฟาห์รอน เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน...

            หลังจากข้อความถูกส่งเข้ามาที่ PCD ของทั้งคู่ และแต่ละคนก็ได้อ่านแล้ว

          ‘เอ่อ คือว่า...’

          ‘มีอะไรเหรอคะ?’

          เลเดนยื่น PCD ซึ่งมีข้อความจากโอลิเวียโชว์หราขึ้นให้หญิงสาวดู

          ‘ฉันซื้อตั๋วการแสดงที่พลานาเทียฮอลล์วันนี้ไว้ กะจะไปดูซะหน่อย แต่เกิดไม่ว่างกะทันหัน เธอช่วยเอาไปดูกับท่านทูตทีนะจ๊ะเลเดน...’

          เธออ่านออกเสียงข้อความที่ท่วมเต็มไปด้วยอีโมติคอนนั้น ดูท่าราชินีแห่งราชอาณาจักรจะอยากให้ทั้งคู่ไปไหนมาไหนไม่เลิกซะที

          ‘จะไม่ไปก็ได้นะ ไม่ต้องไปสนใจหรอก วันนี้ก็รบกวนเวลาของเธอมาเยอะแล้วด้วย’

          ‘ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะว่า...’

          หญิงสาวส่งข้อความของตนเองให้อีกฝ่ายอ่านบ้าง ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองของเขาคือการเบิกตากว้างอย่างตกใจ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรเพราะข้อความนั้นคือ

          ‘ช่วยมาที่พลานาเทียฮอลล์ทีนะ ใช้ตั๋วนี่ผ่านเข้ามาได้เลย จากเอแคลร์ โฮป’

          จู่ๆได้ข้อความจากคนที่น่าจะตายไปแล้วตั้งแต่เมื่อสิบสามปีก่อน เป็นใครก็ต้องตกใจกันทั้งนั้น แต่ปฏิกิริยาของเลเดนไม่แรงเท่าตอนที่ได้เจอซินเธีย ซึ่งคงเป็นเพราะในเมื่อซินเธียยังไม่ตาย ก็แปลว่าเอแคลร์อาจจะรอดมาได้ด้วยเช่นกัน อีกอย่าง ข้อความนี่อาจเป็นแค่การเล่นตลกของใครบางคน

          ‘ดูท่าว่ายังไงฉันก็ต้องไปที่พลานาเทียฮอลล์อยู่แล้ว ถ้าไปแล้วคุณโอลิเวียดีใจด้วย ก็ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวไงคะ’

          ‘นั่นสินะ...งั้นไปกันเถอะ อีกไม่ถึงชั่วโมงการแสดงก็จะเริ่มแล้ว’

          หลังจากประโยคนั้น เลเดนก็ไม่ได้พูดอะไรกับเธออีกจนถึงตอนนี้

          “คุณเลเดนคิดว่าคนที่ส่งข้อความมาหาฉันจะเป็นเอแคลร์จริงๆหรือเปล่าคะ”

            แม้จะถูกยิงคำถามใส่ แต่ชายหนุ่มก็ยังคงนิ่งเงียบจนซินเธียคิดว่าเขาคงไม่ได้ยิน แต่แล้วหลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย

            “ไม่รู้สิ...แล้วเธอล่ะ”

            “ฉันคิดว่า...ถ้าเป็นตัวจริงก็คงดีมากๆเลย...”

            พอหวนกลับไปนึกถึงความทรงจำที่เคยมีกับเลเดนและเอแคลร์เมื่อนานมาแล้ว ซินเธียก็เห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายะไรที่จะสานต่อเรื่องราวของทั้งสามคนต่อ

            “ป่านนี้ ยัยนั่นจะเป็นยังไงบ้างนะ...”

            เลเดนพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง แต่ซินเธียก็อดที่จะตอบไม่ได้

            “บางทีอาจจะได้ดิบได้ดีไปซะยิ่งกว่าพวกเราก็ได้นะคะ”

            “หึๆ นั่นสินะ คนอย่างยัยนั่น ไปอยู่ที่ไหนก็คงเจิดจรัสแน่ๆ”

            ไม่ว่าคำตอบของคำถามนั้นจะเป็นอย่างไร มันก็กำลังรอให้พวกเขาไปพบอยู่ในไม่ช้า ถึงแม้คำตอบที่ทั้งสองจะได้รับนั้น จะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเสียทีเดียวก็ตาม

พลานาเทียฮอลล์

  1. 14.55 น.

          หลังจากวนหาที่จอดรถอยู่เกือบสิบนาที เลเดนกับซินเธียก็มาถึงพื้นที่จัดงานอเนกประสงค์

          ตอนนี้พื้นที่ด้านหน้าบริเวณทางเข้าพลานาเทียฮอลล์ท่วมเต็มไปด้วยผู้คนอย่างที่เลเดนคาดเอาไว้จากการเจอรถติดเมื่อเช้าไม่มีผิด ฝูงชนจำนวนนับพันพยายามเบียดเสียดยัดเยียดเพื่อผ่านด่านตรวจเข้าไปภายในฮอลล์ หลายคนในกลุ่มนั้นใส่เสื้อแบบเดียวกันแถมยังแหกปากร้องเพลงเสียงดังแสดงถึงการเป็นแฟนพันธุ์เดนตายของศิลปินที่มาแสดงในวันนี้อย่างเต็มที่ ชายหนุ่มนึกสงสัยว่าพวกเขาจะเข้าไปทันเวลาเริ่มการแสดงหรือเปล่าพลางส่ายหัวให้กับความไร้ระเบียบที่ออกจะน่าอายเมื่อมาสู่สายตาของแขกบ้านแขกเมืองอย่างซินเธีย

            “ถ้าเข้าแถวกันซักหน่อยน่าจะเร็วกว่านี้เยอะเลยนะคะ”

            ยิ่งเจอคำวิจารณ์แบบไม่มีจุดประสงค์ร้ายแต่แทงใจดำเขายิ่งพูดไม่ออก

            “อ๊ะ เหมือนตรงนั้นจะมีทางเข้าสำหรับตั๋ว VIP ด้วยนะคะ”

            เลเดนมองตามทิศที่ซินเธียชี้ไป ก็เจอทางเข้าหนึ่งที่ถูกกั้นไว้โดยเฉพาะ และมีป้ายโฮโลแกรมขนาดใหญ่ฉายภาพตั๋วเข้าชมแบบ VIP และที่สำคัญคือทางเข้านั้นมีคนบางตากว่าทางเข้าอื่นมากๆ

            ชายหนุ่มเปิดตั๋วที่โอลิเวียให้เขามา ใช่ มันเป็นตั๋ว VIP แถวหน้าสุด

            “ตั๋วที่ฉันได้มาก็เป็นตั๋ว VIP เหมือนกันค่ะ” ซินเธียบอกหลังเขายื่นตั๋วให้เธอดู ท่าทางว่าคนที่ส่งตั๋วนี่ให้ ไม่ว่าจะเป็นเอแคลร์ตัวจริงหรือไม่ก็ตามคงอยากให้เธอมาที่งานนี้มาก

            กระบวนการเข้าพลานาเทียฮอลล์นั้นเร็วและไม่ยุ่งยาก แค่ตรวจตั๋วเข้าชม และสแกนหาอาวุธหรือสิ่งของอันตรายใดๆที่อาจมีติดตัวอยู่ก็เรียบร้อย ซึ่งทั้งสองก็ผ่านมาได้โดยไม่เกิดปัญหาใดๆ

            “เชิญตามมาทางนี้เลยครับ”

            ดูท่าว่าตั๋ว VIP นั้นจะ VIP มากเสียจนมีการเตรียมเจ้าหน้าที่สำหรับนำแขกที่เข้าชมด้วยตั๋วนี้ไว้โดยเฉพาะอีกด้วย เจ้าหน้าที่ซึ่งนำเลเดนและซินเธียนั้นเป็นชายหนุ่มผมดำท่าทางไม่ค่อยสะดุดตาใคร ซึ่งก็เป็นคุณลักษณะที่ดีของพนักงานบริการทั่วไป

            ทั้งสามเดินจากด่านนอกของฮอลล์เข้าไปภายในผ่านทางเข้าพิเศษโดยมีสายตาอิจฉาของหลายๆคนในช่องทางเข้าของตั๋วธรรมดาไล่ตามหลังไป ทางเข้านี้ถูกปูไว้ด้วยพรมแดงติดโคมระย้าสว่างไสวดูหรูจนออกจะเกินความจำเป็น ตามผนังทางเดินอันกว้างขวางนั้นมีรูปของงานสำคัญๆที่เคยจัดที่พลานาเทียฮอลล์แห่งนี้ฉายเป็นรูปโฮโลแกรมเรียงรายไปตามทาง

            “คุณกับแฟนคงเป็นแฟนพันธุ์แท้ของศิลปินคนนี้เลยนะครับ ถึงได้ลงทุนซื้อตั๋ว VIP ราคาแพงหูฉี่ขนาดนี้ ผมแค่เห็นราคาก็รู้สึกขนหน้าแข้งร่วงแล้ว”

            ระหว่างเดินไปนั้น ชายหนุ่มพนักงานนำก็เอ่ยกับเลเดนอย่างติดตลก แต่ทำให้ผู้ฟังทั้งสองสะดุ้ง เลเดนนั้นสะดุ้งตรงราคาตั๋ว แต่ซินเธียสะดุ้งกับประโยคแรกของเขามากกว่า

            “คือจริงๆแล้ว.../คือว่า...”

            และทั้งสองก็คิดจะเอ่ยแก้ออกมาพร้อมกันทำให้ชะงักไปอีกรอบก่อนเลเดนจะพูดก่อน

            “...ตั๋วนี้มีคนให้มาน่ะครับ”

            “...พวกเราไม่ใช่แฟนกันหรอกค่ะ”

            “ว้า งั้นเหรอครับ น่าเสียดายจัง พวกคุณดูออกจะเหมาะสมกันขนาดนี้แท้ๆ”

            ประโยคนั้นส่งให้เลเดนปั้นสีหน้าไม่ถูกขณะที่ซินเธียแอบหันหน้าหนีซ่อนแววสีชมพูที่วูบขึ้นมาบนพวงแก้ม

            ที่เลเดนรู้ประหลาดใจกับตัวเองคือ เมื่อซินเธียเอ่ยว่าพวกเขาไม่ใช่แฟนกัน ส่วนหนึ่งเล็กๆในใจเขากลับเหมือนถูกเข็มเล่มเล็กๆทิ่ม ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นแบบนั้น ในเมื่อสิ่งที่เธอพูดมันคือความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์

            พนักงานหนุ่มกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นท่าทีของคนทั้งสอง และพวกเขาก็มาถึงหน้าลิฟต์ตัวหนึ่ง มันใช้ระบบสแกนลายมือ ชายหนุ่มยกมือขึ้นทาบ ผลคือลิฟต์กลับปฏิเสธไม่ยอมเปิดให้ เขายกนิ้วขึ้นกดเครื่องมือสื่อสารไร้สายที่ติดตรงใบหู กระซิบอะไรบางอย่างรัวเร็วกับคนที่อยู่ปลายสาย จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งสแกนเปิดประตูลิฟต์ได้สำเร็จ

            “ขอโทษทีนะครับ พอดีระบบเรารวนนิดหน่อย อ๊ะ ท่าทางการแสดงคงใกล้เริ่มเต็มทีแล้วละครับ”

            แม้จะอยู่ในลิฟต์ที่ปิดสนิท แต่เสียงโห่ร้องของผู้ชมในพลานาเทียฮอลล์ยังสามารถดังทะลุผ่านเข้ามาให้เลเดนและซินเธียได้ยิน และมันก็ทวีความดังขึ้นเรื่อยๆตามความสูงที่ลิฟต์เลื่อนขึ้นไป

            เมื่อทั้งสามก้าวออกมาจากลิฟต์ ซินเธียก็เผลออุทานออกมาเล็กน้อยเมื่อพบว่าชั้น VIP คือชั้นที่นั่งซึ่งถูกติดตั้งไว้บนพื้นซึ่งลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ เลเดนอยากจะหันกลับไปขอบคุณพนักงานผู้มาส่ง แต่เมื่อหันไป ทั้งเขาและลิฟต์ก็อยู่ห่างออกไปเสียแล้ว ชั้น VIP ทั้งชั้นกำลังลอยอย่างเอื่อยๆออกจากจุดที่เชื่อมต่อกับลิฟต์

            ทันทีที่ร้อยเอกแห่งกองทัพราชอาณาจักรและทูตจากสหภาพนั่นลงบนที่นั่งของตนเอง แสงไฟในพลานาเทียฮอลล์ก็ดับลง ส่งทั้งบริเวณจมลงสู่ความมืดมิดพร้อมกับเสียงของบรรดาผู้ชมอันสงัดลงราวกับนัดกันไว้

            ดนตรีเริ่มบรรเลงขึ้น และเมื่อจบท่อนอินโทร เสียงหวานใสดังระฆังแก้วของหญิงสาวก็ดังสะท้อนก้องไปทั่วฮอลล์

            We all have our dreams to chase; we all have something we want.

            We all have a wish that we want to come true.

            เสียงนั้นถึงจะไม่ได้ทรงพลังมากมาย แต่มันก็แทรกซึมเข้าไปในหัวใจของผู้ฟังได้ไม่ยาก แต่สำหรับผู้ชมสองคนซึ่งอยู่ในชั้น VIP แล้ว มันมีอะไรบางอย่างที่พิเศษไปกว่านั้น

            But there will be a chance only if you try.

            Following it harder, harder thanhow you did yesterday.

           To find a path that will lead you to it.

            “เสียงนี้...หรือว่า...”

            ซินเธียเผลอเอ่ยออกมา ขณะที่เลเดนเองก็นิ่งขึงไป

            Spread out your hands, reaching up to that wish.

           Grasping into the shining future!

            พลันแสงไฟทั่วทั้งฮอลล์ก็สว่างวาบขึ้นพร้อมๆกันจนตาของเลเดนและซินเธียพร่ามัว และเมื่อทั้งคู่ปรับโฟกัสสายตาได้อีกครั้ง เงาของใครคนหนึ่งก็ทาบทับลงเบื้องหน้า

            “ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะ”

            ใครคนนั้นเอ่ยทักทายกับปากที่อ้าค้างของทั้งคู่

            ใครคนนั้นยิ้มออกมาเล็กน้อย เส้นผมสีน้ำตาลอมแดงปลิวไสวน้อยๆตามแรงลม ดวงตาน้ำตาลอ่อนเกือบทองฉายแววยินดี ก่อนที่แท่นเหยียบของเธอจะทะยานขึ้นสูง พาเธอบินโฉบเฉี่ยวผ่านบรรดาแฟนๆที่กรีดร้องกันปานฮอลล์จะถล่ม

            Don’t give up and you will make it!

            Keep trying and you will make it!

            If you do it you best, everything will surely be fine!

          “ยัยนั่น เจิดจรัสยิ่งกว่าที่พวกเราจะจินตนาการได้อีกนะ...ว่าไหม?”

            ไม่มีเสียงตอบใดๆมาจากซินเธียจนเลเดนเบนสายไปมองก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังร้องไห้อยู่อย่างเงียบๆ

            “เอ้ย แล้วเธอจะร้องไห้ทำไมเนี่ย!?”

            “ขอโทษค่ะ อยู่ดีๆ...น้ำตามันก็ไหลออกมาเอง”

            หญิงสาวใช้หลังมือเช็ดน้ำตา เพ่งมองไปยังเพื่อนสมัยเด็กของตนเองที่ไม่รู้เป็นมาอย่างไรถึงกลายเป็นไอดอลไปได้

            Don’t give up and you will make it! Nothing is out of your reach!

            If you feel tired, just look back.

            Looking at all you’ve done.

          เมื่อเพลงดำเนินมาจนถึงท่อนสุดท้าย ร่างของหญิงสาวในชุดสีเหลือง-ดำก็ร่อนผ่านชั้น VIP อีกครั้งพร้อมหย่อนกระดาษแผ่นหนึ่งลงตรงหน้าเพื่อนทั้งคู่ และโลดแล่นออกไปเปล่งเสียงร้องกุมหัวใจผู้คนต่อ

            “จบการแสดงแล้ว ไว้คุยกันนะ”

            เลเดนอ่านลายมือตัวเล็กค่อนข้างหวัดที่ถูกเขียนอยู่ในจังหวะเดียวกันกับที่ผู้ชมในฮอลล์โห่ร้องกระหึ่ม

            And remember that I’m here for you!

            ท่อนสุดท้ายของเพลงสิ้นสุดลงพร้อมกับเสียงเชียร์ดังหูดับตับไหม้ของบรรดาผู้ชม แท่นเหยียบของไอดอลสาวลอยกลับมาหยุดนิ่งตรงกลางฮอลล์

            “สวัสดีค่า~ เอแคลร์เองค่า~”

            เพียงแค่เธอเอ่ยทักทาย ผู้ชมหลายคนก็ถึงกับเป็นลมล้มพับไป

            “ที่จบไปเมื่อครู่คือเพลง Wish & Effort ชอบกันหรือเปล่าค้า”

            เสียงตะโกน “ชอบ” ดังสนั่น เลเดนหันไปมองซินเธียอย่างประหลาดใจเมื่อพบว่าหญิงสาวเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ตะโกนจนคอแทบแตก ใบหน้าของเธอระบายไปด้วยรอยยิ้มที่สดใสเสียจนเขาแทบถอนสายตาไม่ได้ แต่อีกหนึ่งหญิงสาวผู้อยู่กลางความสนใจของทุกคนก็สามารถทำได้สำเร็จ

            “งั้นพวกเรามาต่อกันเลยดีกว่าค่า~ เอาละ สาม สอง หนึ่ง! Ready Set Go!”  

            เสียงดนตรีเริ่มบรรเลงอีกครั้ง และการแสดงที่มหัศจรรย์ราวความฝันก็ดำเนินไปอย่างยาวนานถึงสองชั่วโมงโดยไม่มีอุปสรรคใดๆ แม้ว่าแต่ละเพลงที่ถูกขับขานออกมานั้นจะไม่คุ้นหูของทั้งเลเดนและซินเธีย  หรือพูดให้ถูกก็คือไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ทั้งบรรยากาศและความสนุกสนานก็ตราตรึงเข้าไปในใจของทั้งคู่ เลเดนไม่เคยไปงานอย่างนี้เลยในชีวิต แต่เขาแอบสัญญากับตัวเองว่า ถ้าเป็นไปได้ เขาจะมาคอนเสิร์ตของเอแคลร์ทุกครั้งที่มีโอกาส

            “การแสดงของวันนี้ก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณทุกคนที่มาร่วมสนุกไปด้วยกันนะคะ แล้วไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้า See You Again ค่า~”

            เมื่อเพลงสุดท้ายจบลง แท่นเหยียบของไอดอลสาวก็จอดลงกลางฮอลล์และลอดลงไปในช่องที่เปิดขึ้นบนพื้น เธอจากไปอย่างรวดเร็วพอๆกับตอนที่ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมเสียงกู่ก้องครั้งสุดท้ายของเหล่าผู้ชม

            “ยังเป็นคนที่เหมือนกับสายลมไม่เปลี่ยนเลยนะคะ...”

            ซินเธียเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเล็กน้อย ซึ่งคงเป็นเพราะการตะโกนอย่างไม่หยุดตลอดช่วงสองชั่วโมง เลเดนที่ไม่มีเสียงจะตอบแล้วก็ได้แต่พยักหน้ารับ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังคิดถึงเครื่องดื่มที่เขาจะไปซื้อมาแก้กระหาย ใครบางคนก็เรียกชื่อของเขาจากทางด้านหลัง

            “ร้อยเอกเลเดน ไครส์ กับคุณซินเธีย เดอ ลาพาซ ใช่ไหมคะ?”

            เจ้าของชื่อทั้งสองหันขวับไปหาผู้เรียก ซึ่งก็คือหญิงสาวสวมแว่นท่าทางเจ้าระเบียบผิวสีคาราเมลเข้ากับเส้นผมดำขลับมัดเป็นมวย เมื่อรวมกับชุดสูทที่เธอสวมแล้ว เลเดนคิดว่าเธอคงเป็นผู้จัดการหรืออะไรเทือกๆนั้นของเอแคลร์

            “อิลิยา ชาฮัล ผู้จัดการของเอแคลร์ค่ะ”

            หญิงสาวล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ และดึงนามบัตรสองใบออกมาส่งให้เลเดนและซินเธียคนละใบ มันเป็นนามบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ประกอบไปด้วยข้อมูลของเจ้าของบัตร และสลับเปลี่ยนเป็นคำว่า No.1 Idol of the Federation ไปมา

            “เอแคลร์ให้ฉันมาเชิญพวกคุณไปพบเป็นการส่วนตัว ถ้าไม่รังเกียจก็...”

            “ไปค่ะ ใช่มั้ยคะ คุณเลเดน”

            อิลิยายังไม่ทันจะพูดจบ ทูตจากสหภาพก็ตอบรับด้วยเสียงที่เก็บอาการดีใจไว้แทบไม่อยู่ แถมยังมีการพ่วงชื่อของร้อยเอกหนุ่มเข้าไปอีกด้วย แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว จึงพยักหน้าตอบผู้จัดการสาวไปเพราะลำคอไม่เอื้ออำนวย

            “งั้นเชิญทางนี้เลยค่ะ”

            ที่นั่งชั้น VIP ลอยไปเชื่อมเข้ากับประตูทางเข้าหนึ่งซึ่งมีป้ายระบุไว้ว่า ‘สำหรับเจ้าหน้าที่เท่านั้น’ และอิลิยาก็เดินนำผู้ชมพิเศษทั้งสองเข้าไปในประตูบานนั้นท่ามกลางสายตาสงสัยใคร่รู้ของผู้ชม VIP คนอื่นๆ

            เมื่อประตูปิดลงและที่นั่งชั้น VIP ลอยออกไป สรรพเสียงภายนอกก็เหมือนถูกตัดลงไปด้วย เสียงที่หลงเหลืออยู่คือเสียงส้นสูงของผู้จัดการกระทบพื้นตามจังหวะการก้าวเดินเท่านั้น ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาจนกระทั่งทางเดินได้สิ้นสุดลงที่หน้าประตูบานหนึ่ง

            “เอแคลร์รออยู่ในห้องนี้แหละค่ะ เชิญเข้าไปได้เลย”

            อิลิยาหลีกทางให้เลเดนและซินเธีย ทั้งสองก้าวไปหยุดยืนอยู่ต่อหน้าประตูบานนั้น ชายหนุ่มเบนสายตาไปยังคนข้างๆซึ่งประสานสายตากลับมาเช่นกัน

            หลังประตูบานนี้คือเพื่อนที่พวกเขาเฝ้ารอมานานถึงสิบสามปี

            หลังประตูบานนี้คือความหวังที่ทั้งสามจะได้กลับมาอยู่เคียงข้างกันอีกครั้ง

            มือสองข้างจากคนสองคนยกขึ้นมาพร้อมกัน และผลักมันเปิดออก

            แม้ว่าหลังประตูนั้นคือจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดเดาจุดจบออกเลยก็ตาม

           

            อนึ่ง เพลง Wish & Effort ผู้เขียนได้ทำการแต่งเนื้อร้องขึ้นมาใหม่ด้วยตนเอง

          โดยใช้ทำนองของเพลง Kitto Sheishun ga Kikoeru จากวง μ's

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา