บัลลังก์เลือด ตอน เริ่มบรรจบ

9.1

เขียนโดย นางแกงพเนจร

วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 00.20 น.

  1 ตอน
  1 วิจารณ์
  3,679 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559 01.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) เริ่มบรรจบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     

     .. ณ เมือง จตุราชิต เมืองแห่งอารยะธรรม สิ่งปลูกสร้างที่สวยงาม การค้าขายขนส่งทางเรือ เมืองแห่งแสงสี เมืองแห่งการท่องเที่ยว และที่นี่ คือเมืองแห่งจุดเริ่มต้น ..

 

     ร้านเหล้าแห่งหนึ่งในเมือง ย่านเมียงออก.. สาวสวยผมลอนสีดำ หน้าคมเข้มเช่นเดียวกับสีผิว หุ่นดีเข้ารูป มีสะโพก เธอมีปานที่หลังใต้บ่าด้านซ้าย มันมีลักษณะเหมือนลูกตาที่นัยน์ตาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว นั่งอยู่หน้าบาร์ เธอคือ เหมือนจันทร์ ..

“ครั้งที่ 3 แล้วนะ สำหรับอาทิตย์นี้” พนักงานในบาร์คนหนึ่ง เอ่ยทักเธอ

“ฉันกำลังเซ็ง พวกคนแก่เจ้าของห้องเช่าอยู่น่ะ ..จรุงจิต..” เหมือนจันทร์พูดกับสาวบาร์ที่ชื่อว่าจรุงจิต เธอเป็นหมอผีตระกูลใหญ่จากหมู่บ้านเมียงออก ทำงานในบาร์นี้ จรุงจิตจะดูมีอายุมากกว่าเหมือนจันทร์แต่ไม่ห่างมาก ผมยาวตรงสีดำ หน้าใส ตาโต มีริ้วรอยบ้าง ร่างบางและมีสะโพกนิดๆ

“สมิตาน้องเธอ ...ขยันดีเนอะ” เหมือนจันทร์หันไปเห็นน้องสาวของจรุงจิตจึงเอ่ยทัก ผู้หญิงที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัว ..สมิตา.. มีผมยาวสีดำ ตาโตเหมือนพี่สาว แต่เธอหน้าคม มีโหนก มีกราม ที่เข้ารูป หุ่นดีและสูงกว่าพี่สาว

“แม่เฒ่าคนหนึ่งของหมู่บ้านฉัน บอกว่า น้องสาวฉัน เธอมักจะใส่จิตวิญญาณลงไปในอาหารทุกจานที่เธอทำ” จรุงจิตพูดอวยน้องสาว

“ฉันไล่ถามทุกคนในย่านนี้เกี่ยวกับครอบครัวของฉัน” เหมือนจันทร์ดึงเข้าเรื่อง เหตุผลที่นำเธอมาที่เมืองแห่งนี้

“แล้วไง... ไม่มี... ศูนย์” จรุงจิต พูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ราวกับว่าเธอฟังมาเป็นร้อยๆรอบ

“ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จำพวกเขาได้” เหมือนจันทร์พูดต่อ เป็นไปตามที่จรุงจิตคาดไว้

“ก็เพราะว่าเธอ ..เหมือนจันทร์.. เธอไม่ได้เกิดและโตที่นี่ อีกอย่างพวกเขาก็หายตัวไปจากเมืองนี้หลายปีแล้ว” จรุงจิตช่วยขยายความ

“หมายความว่าไง หลายปีแล้ว” เหมือนจันทร์สงสัยว่าเพื่อนคนเดียวของเธอในเมืองนี้ ไปรับรู้อะไรมา

     จรุงจิตเดินออกจากบาร์ เธอหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งแล้วเดินไปหาเหมือนจันทร์ มันคือแผนที่ สมิตาหันมามอง ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก

“ห่างออกไปทางเหนือของเมือง มีเมืองชื่อว่าไพรราช ที่นั้นมีคนร่ำลือกันว่าเป็นถิ่นอาศัยของพวก ..อสูร.. เธอไปที่นั้น เธอจะพบสิ่งที่เธอกำลังตามหา” จรุงจิตพูดจบก็ยื่นกระดาษให้เหมือนจันทร์ เธอรับมันไว้ทันที

“ระวังตัวด้วย มันอาจเป็นที่สุดท้ายที่เธออยากจะไป” จรุงจิตพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงพร้อมกับเอามือลูบผมของสาวหน้าคม

     เหมือนจันทร์หันมายิ้มให้เพื่อนก่อนที่จะเดินจากไป โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเส้นผมของเธอ อยู่ในมือของจรุงจิตเรียบร้อยแล้ว จรุงจิตหันไปยิ้มและสบตาน้องสาว สมิตาถอนหายใจและยิ้มกลับ เหมือนจันทร์ขับรถออกจากร้านมุ่งตรงไปที่เมืองไพรราชทันที

               .. ณ สุสานบรรพบุรุษ ที่ๆเปรียบเสมือน สวนสาธารณะของเหล่าหมอผีทั่วทั้งเมือง พวกเขาจะมาชุมนุมหรือทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมทั้งประกอบพิธีกรรมที่นี่ สุสานแห่งนี้มีพื้นที่ขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยห้องลับ และหลุมศพของเหล่าหมอผีที่จากไปมากมาย .. จรุงจิตและน้องสาวกำลังเดินอยู่ในสุสาน

“อย่าทำเลย ฉันขอร้อง ...แล้วถ้าฉันมองเธอผิดไปล่ะ?” สมิตาพูดกับพี่สาว

“นั้นคือจุดเด่นของเธอ ...เธอไม่เคยมองพลาด หล่อนเป็นวิธีเดียว ที่ทำให้เราเข้าถึงตัว ..นคเรศ.. ได้” จรุงจิตดึงสติของน้องสาว เธอเอ่ยชื่อผู้ชายคนหนึ่ง

“เราให้คนอื่นใช้อาคมแทนได้ไหม?” สมิตาถาม

     ทั้งสองคนเดินมาถึงตรงจุดแท่นปูนโล่ง สี่เหลี่ยม กว้างพอทำพิธีได้ จรุงจิตนั่งลงและจัดของทันที

“ใครล่ะ? ...ครึ่งหนึ่งของหมู่บ้านไม่มีใครไว้ใจเธอเลย ส่วนอีกครึ่งก็กลัว” จรุงจิตหันไปพูด และเทข้าวสารเสกใส่ถาดที่เตรียมไว้

“ก็เพราะว่าพวกเขารู้ว่าเราจะถูกจับได้ยังไงล่ะ จรุงจิต!” สมิตาเริ่มขึ้นเสียง เธอกังวล

“เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วสมิตา” จรุงจิตลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาน้องสาว ทั้งสองสาวจับมือกันทั้งสองข้าง สมิตาเริ่มน้ำตาคลอ

“ไปตอนนี้เลย เธอรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง” จรุงจิตสั่งให่น้องสาวเดินตามแผน สมิตาพยักหน้า

     .. ตกดึก ณ สุสานบรรพบุรุษ พระจันทร์ที่เต็มดวง เหมาะแก่การเล่นคุณไสย .. จรุงจิตจุดเทียนเตรียมพิธี เทียนสีขาวนวลเต็มไปหมด เธอนำข้าวสารเสกมาโรยให้เป็นอักขระทางไสยเวทย์

          .. ณ เมืองไพรราช เมืองนี้ 90% เป็นป่ารกทึบ .. เหมือนจันทร์เดินทางมาถึงก็มืดค่ำแล้ว เธอจอดรถข้างทางที่มีแต่ต้นไม้ เพื่อดูแผนที่อีกครั้ง เธอสงสัยว่าเธอจะหลงทาง

     กลับมาที่จรุงจิต เธอจุดไม้ขีดเพื่อต่อกับเทียนสีแสด ให้ไฟในเทียนนั้นติด ทันใดนั้นแผนที่ที่เหมือนจันทร์กำลังกางอ่านเกิดไฟลุกขึ้น ...ไหม้แผนที่ทันที

“อะไรกันวะ ...อ้า!” เหมือนจันทร์อุทาน เปลวไฟรนมือเธอจึงต้องปาแผนที่ออกจากรถ เธอปิดกระจกถอยรถออกจากที่ตรงนี้ทันที

     จรุงจิตนำถ้วยขนาดใหญ่ที่ใส่น้ำร้อนเดือด ยกมาวางไว้ตรงกลางอักขระที่สร้างจากข้าวสารเสก ทันใดนั้นเอง รถของเหมือนจันทร์เกิดดับทันที สตาร์ทเครื่องก็ไม่ติด จู่ๆก็มีไอน้ำจำนวนมากจากกระโปรงรถ ราวกับว่าหม้อน้ำของรถเธอแห้งไปเอง

“ล้อเล่นกันใช่ไหมเนี้ย!” เหมือนจันทร์อุทานก่อนที่จะลงมาจากรถ เธอมองหาใครก็ไม่เจอสักคน ขณะเดียวกันจรุงจิตใช้ข้าวสารเสกวาดอักขระเพิ่มขึ้น

“สวัสดีค่ะ ฉันต้องการรถลาก...” เหมือนจันทร์โทรศัพท์หาศูนย์ช่วยเหลือแต่ยังไม่ทันได้พูดจบ ดันเกิดเสียงที่ทำเอาแสบแก้วหูดังออกมาจากมือถือของเธอ เหมือนจันทร์เขวี้ยงมือถือทิ้งแต่เสียงยังดังไม่หยุด เธอจึงกระทืบมือถือจนพัง เสียงถึงหยุด สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากอาคมของจรุงจิตเพียงแค่เธอฮัมเสียง

     .. จรุงจิตสร้างอักขระเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นส่วนสุดท้าย ทางด้านเหมือนจันทร์ เกรงว่าเธอจะไม่ได้อยู่คนเดียว เพราะมีคนจำนวนหนึ่งโผล่ออกมาจากป่า ทุกทิศทาง รอบตัวเธอ พวกเขาค่อยๆเดินเข้ามาล้อมตัวเธอไว้ เหมือนจันทร์กำลังตกใจ จรุงจิตหยิบเทียนสีแสดเล่มเดิมขึ้นมาแล้วเป่าให้มันดับ ทันใดนั้นเองเหมือนจันทร์ก็สลบลงไปทันที สมิตาปรากฏตัวขึ้นโอบรับตัวเธอไว้ที่พื้น สองพี่น้องหมอผีได้ตัวเธอไปในที่สุด

..........................................................................

     “ยินดีต้อนรับเข้าสู่เมืองจตุราชิต ดินแดนสวรรค์ของเหล่าอมนุษย์ ที่ที่เป็นเหมือนวงจรนักล่ากับเหยื่อ ที่ที่คนตายเดินย่ำบนถนนเหมือนกับคนปกติ…” ผู้ชายคนหนึ่งยืนฟังไกด์ทัวร์กำลังเดินพูดเพื่อบิวท์อารมณ์ของลูกทัวร์ระหว่างเดินชมรอบๆเมือง ผู้ชายคนนี้มีใบหน้าหล่อเหลา มีเสน่ห์ที่ดึงดูดทุกคน ตาโตคมชัดแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ จมูกโด่ง ปากเป็นกระจับ ผมสีน้ำตาลประกายทอง หยิกหยักศก ตัดสั้น รูปร่างสูง ตัวไม่หนา แต่ก็ไม่ดูแห้ง กำลังพอดี เขาคือ ..นคเรศ วิรุฬห์กร.. ลูกผสมตนแรกของเผ่าพันธุ์ ด้วยพละกำลังของเลือดอสูรบวกกับความเป็นอมตะของผีดิบ จึงทำให้เขาแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พี่น้อง ในหมู่เผ่าพันธุ์ ไม่มีอมนุษย์ตนไหนไม่รู้จักเขา

     เขาเดินตรงมาที่ย่านตลาดลานกลางเมือง ตรงไปหาผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งดูมีอายุเธอแต่งกายเหมือนกับแม่หมอ ดูขลัง ผมเธอสีดำหยิกจึงต้องเอาผ้าพันไว้ เป็นคนผิวสี ตาโตคล้ำ ปากเป็นกระจับ รูปร่างอ้วนสมบูรณ์ตามวัย ก่อนหน้านั้นเขาได้รับสายโทรศัพท์ปริศนาให้กลับมาที่เมืองเพราะว่ามีหมอผีวางแผนจะต่อต้านเขา

.. ณ คฤหาสน์หลังใหญ่ อยู่ห่างไกล จากเมือง ..

“จตุราชิต ...นคเรศไปทำบ้าอะไรที่นั้น!” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นในบ้านหลังนั้น เธอมีหน้าตาสะสวย ตาโตชัด จมูกโด่งเข้ารูป ปากกระจับ ผิวขาวเนียนละเอียด ผมลอนสีน้ำตาลประกายทอง ตัวเล็ก มีเนื้อมีนวล ทรวดทรงองค์เอวเป็นรูปนาฬิกาทราย เธอคือ ..รวิภา วิรุฬห์กร.. หนึ่งใน 4 ผีดิบตนแรกของเผ่าพันธุ์ น้องสาวของนคเรศ

“จากที่รู้มา หมอผีที่นั้นวางแผนที่จะต่อต้านเขา ก็นะ...รู้ๆกันอยู่ น้องสาว นี่คือภารกิจ ...ลอบสังหาร” เสียงของผู้ชายอีกคนพูดแทรกขึ้นมา เขาดูดี มีสง่าราศี ใบหน้าเข้มนิดๆ จมูกโด่ง ตาโต ปากเล็ก ผมสีดำ ตัดสั้นและเซ็ทผม แต่งตัวเนียบอยู่ตลอดเวลา รูปร่างแบบชายชาตรี พูดจาด้วยสำเนียงที่มีเอกลักษณ์ ดูดี กระชับและเข้าใจง่าย เขาคือ ..อาคิน วิรุฬห์กร.. พี่ชายของนครเรศ และรวิภา หนึ่งใน 4 ผีดิบตนแรกของเผ่าพันธุ์ เขาคือบุตรลำดับที่ 3 ของตระกูลที่ทรงอำนาจที่สุดในหมู่อมนุษย์ ปัจจุบัน เขาคือพี่ชายคนโตที่ต้องคอยดูแลน้องๆ เนื่องจากบุตรคนโตอีกสองคน ตายไปเรียบร้อยแล้ว

“แต่พวกหมอผีหมู่บ้านเมียงออก ไม่ใช่พวกที่จะเล่นด้วยได้ง่ายๆ ...โดยเฉพาะ 4 ตระกูลใหญ่ของกลุ่ม ไม่ใช่ว่าพวกมันหาวิธีฆ่าพวกเราได้แล้ว เลยล่อเขาไปหรอกเหรอ จากนั้นก็ทุกคนทั้งหมด” รวิภาพูดต่อ

“รวิภา เพื่อครอบครัวของเรา น้องก็ควรจะทำตัวให้ครอบครัวภูมิใจนะ” อาคินพูดประชดน้องสาว

“ครอบครัวอะไรกัน คนพวกนั้นก็แค่รู้จักไอบ้าสามคนที่ไม่มีวันตาย เป็นต้นสายของพวกเขา และบ้าเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์ ฉันหวังว่าหมอผีพวกนั้นจะหาทางกำจัดลูกนอกไส้นั่นซะที” รวิภาสวนกลับเป็นชุด เธอดูรำคาญ แล้วก็รินเหล้าใส่แก้ว ดื่ม ไปหนึ่งช็อต

“พี่จะไปไหน?” รวิภาถามพี่ชายที่กำลังเดินออกจากการสนทนาที่ไม่เป็นผล

“ไปหาคนที่คิดจะต่อต้านนคเรศ หลังจากนั้น... ฉันอาจจะหยุดพวกเขา ...หรืออาจจะช่วยพวกเขา ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของฉันแล้วกัน” อาคินพูดจบก็เดินออกจากคฤหาสน์ไป

     .. กลับมาที่จตุราชิต .. แม่หมอคนนั้นเมื่อเห็นนคเรศตรงเข้ามา เธอก็รีบเก็บของแต่ก็คงไม่ทัน...

“สวัสดี มีเวลาสำหรับอีกหนึ่งคนไหม?” นคเรศทักทายหล่อน เขานั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้าม

“ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ” เธอตอบปฏิเสธทันที หล่อนชื่อว่า ..อรนาท.. เป็นหมอผีแม่เฒ่าของหมู่บ้านเมียงออก ปกติยามบ่ายอากาศดี เธอจะมานั่งดูดวงให้กับผู้คนและนักท่องเที่ยวที่ลานเมืองแห่งนี้

“โอ้ว นั้นไม่น่ารักเอาซะเลยนะ คุณไม่รู้จักผมด้วยซ้ำ” นคเรศติดเล่นเสมอ

“ฉันรู้ว่าคุณเป็นใคร ครึ่งผีดิบ ครึ่งอสูร คุณเป็นลูกผสม” อรนาทตอบแบบนิ่งๆ เธอจ้องมองชายที่อยู่ตรงหน้าและไม่เกรงกลัว

“ที่จริงผมเป็นลูกผสมตนแรกน่ะ แต่เรื่องมันยาวไว้ค่อยมาเล่าให้ฟังที่หลังแล้วกัน ตอนนี้ผมกำลังมองหาหมอผีคนหนึ่งจากหมู่บ้านของคุณ ..จรุงจิต เดชาภัทรจินดา.. บางทีคุณอาจจะช่วยผมหาตัวหล่อนได้” นคเรศพูดคุยกับหล่อนอย่างสบายใจ สายตาที่เจ้าเล่ห์แฝงไปด้วยแรงกดดันที่ส่งไปให้กับอีกฝ่าย

“ขอโทษที ฉันไม่รู้จัก” อรนาทอึ้งนิดๆและตอบปฏิเสธไป

“เอ่อ... นั่นอะเหรอ ที่เขาเรียกว่าโกหก ...ทีนี้เห็นไหม ผมรู้ว่าคุณเป็นหมอผีตัวจริง ในหมู่พวกที่แสร้งว่าเป็น ดังนั้นพอได้แล้วกับการเล่นละคร ผมค่อยข้างอารมณ์ร้อน” นคเรศสีหน้าเปลี่ยนไป แววตาดุดันและเยือกเย็น

“หมอผีจะไม่สนทนากับหนึ่งใน 4 เผ่าของเมืองนี้ นั้นก็คือผีดิบ มันเป็นกฎ ฉันจะไม่ทำผิดกฎของ ..มนชิต..” อรนาทพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกลับบ้าง

“กฎของมนชิต... คุณคิดว่าผมจะไปพบคนที่ชื่อมนชิตได้ที่ไหน?” นคเรศสะดุดกับชื่อนี้และเขารู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก

     .. ณ ผับแห่งหนึ่งในเมือง ผู้ชายคนหนึ่ง ผมสีดำ ตัดสั้น หน้าคมเข้ม ตาหวานแฝงด้วยความดุร้าย ดูมีเสน่ห์ชวนหลงใหล หุ่นล่ำกำยำ รูปร่างสูง ผิวสีเข้ม เขายืนร้องเพลงอยู่บนเวทีเล็กๆของร้าน ดูเหมือนพวกเจ้าถิ่น เขาคือ ..มนชิต.. ผีดิบที่เป็นผู้นำของเมืองนี้ อายุไม่ต่ำกว่า 300 ปี ..

               นคเรศเดินเข้าไปในร้านจ้องมองไปที่ชายเป้าหมาย มนชิตร้องเพลงจบ เขาลงมาจากเวทีเดินเข้าไปหาเพื่อนและลูกสมุนของเขา ทันใดนั้นเอง เขารู้สึกว่ามีสายตาที่รุนแรงจ้องมองเขาอยู่ เลยหันไปมอง ทั้งสองคนมองหน้ากัน ทำให้บรรยากาศในร้านดูอึมครึม

“นคเรศ” มนชิตเรียกชื่อของอีกฝ่ายราวกับว่ารู้จักกันมานาน

“มนชิต” นคเรศก็เช่นกัน

“ร้อยกว่าปีแล้ว ตั้งแต่มีเรื่องแย่ๆนั่น เรื่องพ่อของนาย” มนชิตอึ้งกับการกลับมาของเขา เพื่อนและสมุนของเขาต่างพากันสงสัย

“มันนานขนาดนั้นเลยเหรอ?” นคเรศพูดต่อ

“เท่าที่ฉันจำได้ พ่อของนายไล่ล่านาย จนต้องหนีออกจากเมือง ทิ้งให้ไอผีดิบล่าผีดิบนั้น ป่วนเมืองไปพักใหญ่” มนชิตพูด

“และช่างโชคดีจริงๆ ที่นายยังมีชีวิตรอด พ่อของฉัน ...ฉันเพิ่งเผาเขาเป็นธุลีไปเมื่อไม่นานมานี้เอง” นครเรศสวนกลับ เมื่อไม่นานมานี้ พ่อของเหล่าผีดิบตนแรกเพิ่งสิ้นชีพไปด้วยน้ำมือของลูกๆ (*จะมีขยายความที่หลัง) เหล่าลูกสมุนของมนชิตเกือบครึ่งร้านเริ่มลุกขึ้นยืน

“ถ้าฉันรู้ว่านายจะกลับมาที่เมืองนี้ ถ้าฉันรู้อนาคตล่วงหน้าได้...” มนชิตพูดต่อ

“จะทำอะไร... มนชิต… นายคิดจะทำอะไร” นคเรศสวนอีกรอบ น้ำเสียงที่เย็นชา เขาเดินเข้าไปใกล้มนชิต

“...ฉันก็จะจับแกแห่ขบวนฉลองรอบเมืองไง” มนชิตพูดจบ ทั้งสองคนหัวเราะออกมาด้วยความดีใจ บรรยากาศตรึงเครียดเริ่มจางหาย ทุกคนในร้านต่างก็โล่งอก เมื่อกี้เป็นแค่มุขในการทักทายของพวกเขาเท่านั้น

“..นคเรศ วิรุฬห์กร.. ที่ปรึกษาของฉัน ผู้ช่วยชีวิตฉัน เหนือหัวของฉัน ...ไปหาอะไรดื่มกัน” มนชิตกอดคออีกฝ่ายลากเข้าไปในโต๊ะ

..........................................................................

     ทั้งสองหนุ่มนั่งลงที่โต๊ะพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

“ดีใจว่ะ ...ที่ได้เจอนายอีก ดีใจที่นายกลับมา” มนชิตพูดไป รินเหล้าให้นคเรศไป

“ได้โปรดบอกฉันที ว่าพวกมาเฟียปัจจุบันของถนนบัวบุญนี่ไม่ใช่ฝีมือของนาย” นคเรศพูดแซวเพื่อนเก่า

“ฮ่าฮ่า ...มันก็ต้องมีบ้าง ไม่งั้นพวกเราก็คงหิวตายกันหมด” ผู้นำของเหล่าผีดิบในเมืองพูดต่อ นคเรศหันไปสังเกตเห็นแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วของลูกสมุนคนหนึ่ง

“ฉันเห็นเพื่อนๆและสมุนของนายเดินไปเดินมาตอนกลางวันได้” นคเรศสงสัยว่าใครเป็นคนสร้างแหวน

“แน่นอน ฉันจะบอกความลับของฉัน เกี่ยวกับแหวนอาทิตย์ที่ฉันและเพื่อนฉันอีกสองสามคนมี รู้กันแค่คนวงในเท่านั้นล่ะ คนที่ฉันนับเป็นครอบครัว” มนชิตไม่กระอักกระอวนใจใดๆ เขาเต็มใจที่จะบอก พูดจบก็ดื่มเหล้าไปอีกหนึ่งช็อต

“บอกฉันหน่อย นายทำได้ไง ...หมอผีที่เต็มใจทำแหวนอาทิตย์ให้กับนาย” นคเรศเกิดความสงสัยใคร่รู้

“ฉันก็มีหมอผีที่คบหากันมาบ้าง พวกเขายอมทำทุกอย่างเพื่อฉัน” มนชิตพูดต่อ

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า อย่างนี้นี่เอง ...ฉันกำลังตามหาหมอผีสาวที่ชื่อ ..จรุงจิต เดชาภัทรจินดา.. เรื่องธุระส่วนตัว ฉันต้องการพบหล่อน” นคเรศพูดเข้าเรื่อง

“พูดถึงยัยจรุงจิต งั้นนายก็ต้องมากับฉัน ..ได้เวลาโชว์ของ” มนชิตหันไปสบตากับ..ทยุต.. หนุ่มหล่อใส่หมวกแฟลตแค๊ป หน้าหวาน ตัวขาว เตี้ยและตัวเล็กกว่ามนชิต เขาเป็นมือขวาและเป็นเพื่อนสนิทของผีดิบผู้นำ อายุน้อยกว่ามนชิตแค่ 100 กว่าปี มนชิตหันไปสบตากับนคเรศแล้วพาเขาออกจากร้าน ทยุตสั่งให้สมุนผีดิบทุกตนออกจากร้านราวกับว่าจะมีการชุมนุมครั้งใหญ่ของพวกผีดิบ

     .. ณ ถนน บัวบุญ ผีดิบมากมายเป็นสิบๆตน ต่างพากันปรากฏตัวออกจากทุกมุมมืดของเมือง พวกเขาดูสนุกสนาน ปีนป่ายตึก กระโดดด้วยความเร็ว มนชิตเดินคู่มากับนคเรศ ตามหลังมาด้วยทยุตและมือซ้ายของมนชิต ..ดนัย.. ผีดิบผิวเข้มไม่หล่อมาก ผมสีดำทรงอัฟโฟร ตัวเตี้ย อายุพอๆกับทยุต และลูกสมุนอีกสองสามคน ..

“ครอบครัวของนายเป็นไงบ้าง?” มนชิตเดินไปคุยไป

“ตอนนี้น่ะเหรอ ...พวกเขาเกลียดฉันมากกว่าที่เคยเกลียดซะอีก ลืมเรื่องนี้ไปได้เลย” นคเรศพูดด้วยอาการเซ็ง

“ถ้าครอบครัวของนายทำให้นายผิดหวัง นายก็สร้างมันขึ้นมาเองสิ นายเป็นคนสอนฉัน และอะไรที่เป็นของฉัน มันก็เป็นของนายด้วยเช่นกัน ทั้งพวกผีดิบ มนุษย์ที่เป็นอาหารของพวกเรา มนุษย์ที่แสนจะบอบบาง หนึ่งใน 4 เผ่าของที่นี่” มนชิตดูชื่นชมในตัวนคเรศมาก

“ไม่มีอะไรที่เรียกว่าบอบบางหรอก เชื่อเถอะ” นคเรศพูดเป็นในๆ

     ทั้งคู่และผีดิบฝูงหนึ่ง เดินกันมาจนถึงแยกจัตุรัสชัยชินี ย่าน เมียงออก มนชิตผิวปากให้เป็นเสียงนกหวีด เป็นการให้สัญญาณ เหล่าผีดิบรวมตัวกันส่งเสียงร้องดังสนั่นไปทั้งจัตุรัส ทยุตเดินมาพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่ง เธอคือจรุงจิต เธอถูกจับมัดแขนด้วยเชือกไว้ที่ด้านหลัง ทยุตส่งตัวจรุงจิตให้ไปยืนตรงกลาง ล้อมรอบด้วยฝูงผีดิบ

“..จรุงจิต เดชาภัทรจินดา..” มนชิตเรียกชื่อและนามสกุลของเธออย่างเต็มยศ เหล่าผีดิบส่งเสียงชอบใจ ดูคึกคัก

“มานี่ สาวสวย ..จรุงจิต เดชาภัทรจินดา.. เธอถูกกล่าวหาว่าใช้คุณไสยอาคมนอกเหนือกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และบังคับใช้โดยฉัน เธอจะแก้ตัวยังไง... โอ้! นั้นเป็นการหลอกล่อใช่หรือเปล่า ฉันเคยเรียนกฎหมายน่ะ ย้อนกลับไปยุค 2225 กรงศรีอยุธยา ฉันจำได้แค่นั้น ...เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า จรุงจิต ติ๊กต๊อก เธอใช้อาคม จะแก้ตัวยังไง” มนชิตพูดเล่นติดตลกเหมือนกับนคเรศ แต่นคเรศไม่ขำด้วย

“ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย” จรุงจิตพูดแก้ตัวเสียงของเหล่าผีดิบหัวเราะออกมา พวกเขากำลังยืนสมเพชตัวหล่อน

“โกหก ...เธอก็รู้ ฉันก็รู้ และเธอก็เกลียดที่ฉันรู้ ฉันทำให้พวกหมอผีหมู่บ้านของเธอแทบบ้า ...ฉันรู้ทุกย่างก้าวของพวกแก รู้ว่าพวกแกไม่สามารถใช้คุณไสยในเมืองนี้ได้โดยที่ไม่ถูกจับ ...งั้นทำไมเราไม่เข้าประเด็นเลยล่ะ บอกฉันว่าคาถาที่เธอใช้ไปเป็นมนต์อะไร บอกมา แล้วฉันจะพิจารณาโทษของเธอ ...ฉันน่ะ เป็นคนที่มีเมตตานะ” มนชิตพยายามหาทางออกที่ดีที่สุด จรุงจิตสังเกตเห็นนคเรศ ส่วนนคเรศได้แต่ยืนนิ่งมองดูเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า

“ไปลงนรกซะ! ไอเดรัจฉาน!” จรุงจิตสวนกลับไป เธอไม่สนใจในคำพูดของมนชิตและไม่กลัว มนชิตหน้านิ่งไปพักหนึ่ง

“ฉันจะบอกอะไรให้นะ ฉันจะให้โอกาสอีกแค่ครั้งเดียว” มนชิตพูดจบก็ใช้ปลายนิ้วกรีดคอของจรุงจิตอย่างรวดเร็ว

“หรือไม่ต้องให้” จรุงจิตเลือดทะลักไหลไม่หยุด เธอสิ้นใจตายอย่างทรมานกลางถนน เหล่าผีดิบส่งเสียงดีใจ โวยวาย ราวกับเป็นเรื่องดีๆของพวกเขา ส่วนนคเรศไม่ค่อยพอใจกับเหตุการณ์ในครั้งนี้นัก

(*แหวนอาทิตย์ คือแหวนที่เกิดจากการปลุกเสกของวิชาอาคมหมอผี ทำให้แหวนมีอำนาจต่อต้านแสงแดดไม่ให้ทำอันตรายพวกผีดิบได้ หากผีดิบตนใดสวมแหวนไว้ พวกเขาก็จะเดินตอนกลางวันได้เฉกเช่นคนปกติ)

(*การตายของผีดิบ 1 ผีดิบนั้นแพ้แสงแดด เพียงแค่สัมผัสไอแดดนิดเดียว ผิวหนังก็จะไหม้ทันที แต่ถ้าถูกอาบแดดทั้งตัวพวกเขาจะลุกเป็นไฟแล้วตายในที่สุด มันคือคำสาปของพวกเขา แต่กับพวกเผ่าพันธุ์ตนแรก พวกเขาจะไม่ตายด้วยแสงแดด ถึงจะถูกเผาจนมอดไหม้ ก็จะฟื้นตัวขึ้นมาทันที แต่เพื่อความสะดวกในการใช้ชีวิตพวกเขาจึงต้องสวมแหวนไว้ นคเรศเป็นข้อยกเว้นเรื่องคำสาป เพราะเขาเป็นลูกผสมซึ่งก็มีเลือดของอสูรอยู่ในร่างอีกครึ่งหนึ่ง)

(*อำนาจพิเศษของผีดิบ 1พวกเขาเป็นอมตะ โดยเฉพาะผีดิบตนแรกของเผ่าพันธุ์ พวกเขาเป็นอมตะอย่างแท้จริง)

(*อำนาจพิเศษของผีดิบ 2 พวกเขามีพละกำลังเหนือมนุษย์)

(*อำนาจพิเศษของผีดิบ 3 พวกเขาว่องไว ไวกว่าเสือและนกกระจอกเทศ)

..........................................................................

“นี่มันอะไรกัน!” นคเรศเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อของมนชิต

“ใจเย็น มากับฉัน ...พวกหมอผีในย่านนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้เล่นคุณไสยหรือใช้อาคม เธอแหกกฎ...” มนชิตกอดคอแล้วดึงเขาออกมาจากที่ตรงนั้น

“ฉันบอกนายแล้วไงว่าฉันจะเป็นคนคุยกับหล่อนเอง” นคเรศพูดสวนขึ้น เขาหงุดหงิด และกำลังโมโห

“โทษที แต่ฉันจำเป็นว่ะเพื่อน พวกหมอผีอาจจะกำลังคิดว่ายังสามารถใช้วิชาคุณไสยในย่านนี้ได้อยู่ ฉันต้องทำให้พวกนั้นรู้ว่าไม่มีวันที่ฝันจะเป็นจริง …และฉันจะไม่ยอมเสียโอกาสที่จะแสดงอิทธิพล นี่ก็เป็นอีกหนึ่งบทเรียน ที่ฉันได้มาจากนาย ...ส่วนเรื่องของหล่อนกับนาย ฉันจะเป็นคนหาคำตอบให้นายเอง และจะหาให้ได้ ฉันสัญญา” มนชิตพูดจนนคเรศใจเย็นลงบ้าง

“ก็ดี... แต่ช่างเหอะ มันไม่สำคัญแล้วล่ะ จริงไหม?” นคเรศอารมณ์ดีขึ้นมาทันที

“เยี่ยม ไปหาอะไรกินกันเถอะ พอนังนั่นเลือดสาด ฉันก็หิวขึ้นมาทันทีเลยว่ะ” มนชิตเดินนำหน้าไป สีหน้าของนคเรศเปลี่ยนกลับมาเป็นเหมือนเดิม เมื่อกี้เป็นแค่การแสดง

“เฮ้ ชื่อทยุต ใช่ไหม? ฉันจะไปตามหาหมอผีตระกูลเดชาภัทรจินดาได้จากที่ไหนอีก” นคเรศเห็นทยุตกำลังเดินผ่าน เลยเอามือดันอกขวางไว้ เขาถามถึงคนอื่นจากตระกูลคู่กรณี

     .. ณ ร้านเหล้าแห่งหนึ่งในเมือง สมิตากำลังหั่นผักทำอาหาร เธอร้องไห้ออกมาราวกับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่สาวของเธอ เธอหันกลับไปหยิบของถึงกับตกใจเมื่อพบชายที่ยื่นอยู่ตรงหน้า ..

“คุณคือ ..นคเรศ.. ” เธอเอ่ยชื่อเขา

“ใช่ ผมเอง ...คุณดูอารมณ์เสียนะ สมิตา ขอเดานะว่าเป็นเรื่องพี่สาว…แยกจัตุรัสชัยชินี ” นคเรศตอบรับ

“แล้วสนุกไหมล่ะ?” สมิตาพูดประชด

“มันไม่ค่อยถูกจริตของผมสักเท่าไหร่ ...พี่สาวของคุณต้องการอะไรจากผม แล้วทำไมมนชิตถึงต้องฆ่าเธอ” นคเรศเข้าประเด็นทันที สมิตาทำท่าเหมือนจะตอบ จนเธอสังเกตเห็นผีดิบสองตนที่นั่งอยู่หน้าบาร์กำลังมองมาที่เธอ

“ฉันเห็นคุณพาเพื่อนมา” เธอพูดอ้อมๆว่าามีคนสะกดรอยตาม นคเรศจึงหันกลับไปมองที่ผีดิบสองตน

“พวกนั้นไม่ได้มากับฉัน” นคเรศตอบปัด

“คนของมนชิต ...นั้นล่ะที่สำคัญ ฉันรู้ว่าคุณเป็นคนก่อตั้งเมืองนี้ขึ้นมา แต่ตอนนี้มันกลายเป็นของเขาไปแล้ว เขาฆ่าพี่สาวฉัน ก็เพราะว่าเธอแหกกฎ เพราะงั้น... ถ้าฉันคุยกับคุณตอนนี้ต่อหน้าพวกเขา ฉันโดนแน่” เธอพูดจบแล้วก็กลับไปทำอาหารต่อ นคเรศหงุดหงิดขึ้นมาทันที เขาพุ่งตรงไปที่ผีดิบทั้งสองตน เอามือจับบ่าเอาไว้แล้วบีบอย่างรุนแรง

“สุภาพบุรุษทั้งสองท่าน พวกนายตามฉันมางั้นเหรอ?” นคเรศถาม

“มนชิตบอกว่า ให้พวกเราคอยแนะนำคุณ” หนึ่งในสองผีดิบพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอึดอัด

“โอ้ว เขาบอกแบบนั้นเหรอ เขาพูดเองสินะ ดีเลย... งั้นให้ฉันทำบางอย่างที่ชัดเจนขึ้นนะ ถ้าใครคนใดคนหนึ่งตามฉันมาอีกล่ะก็... พวกแกจะทำยังไงเวลาไม่มีกระดูกสันหลัง” นคเรศบีบบ่าแรงขึ้นจนสีหน้าของผีดิบทั้งสองเริ่มออกอาการ

“ขอโทษนะที่ปล่อยให้รอ ถ้ามาหาน้ำกระเจี๊ยบกินที่นี่ เสียใจด้วยนะ พวกเราเพิ่งออกมา...” เสียงของสาวบาร์คนหนึ่งดังขึ้น เธอเดินเข้ามาหาทั้งสามคน เธอดูสวย ตากลมโต ผมยาวลอน สีบลอนด์ หุ่นดี ตัวเล็ก

“เอาเหล้าที่ดีที่สุดให้เพื่อนของฉันหน่อย ที่รัก” นคเรศไม่อยากให้มีอะไรมาขัดจังหวะ เขาจึงหยิบเงินวางให้บนโต๊ะ เธอหยิบเงินแล้วเดินไปหาเหล้ามารินให้ทันที เขากลับมาบีบที่บ่าของทั้งสองคนต่อ

“ถ้ามนชิตอยากรู้ว่าฉันจะทำอะไร ให้มาถามฉันด้วยตัวของมันเอง” นคเรศพูดจบ จึงปล่อยทั้งสองคนแล้วเดินจากไป สมิตามองดูด้วยสายตากังวลจากในครัว

..........................................................................

     .. นคเรศเดินเข้ามาในผับอโคจร ที่ซึ่งเบื้องหลังคือถิ่นอาศัยและสังสรรค์ของเหล่าผีดิบ อยู่ภายใต้การบัญชาของมนชิต พวกมันมักจะล่อมนุษย์ให้เข้ามาติดกับและกินเป็นอาหาร ..

“มนชิตอยู่ที่ไหน?” นคเรศเห็นดนัยจึงเดินเข้าถามแบบห่ามๆ เขากระชากเสื้อของอีกฝ่าย

“ใครถามวะ” ดนัยเกิดหงุดหงิด จึงกวนประสาทกลับ

“แกแค่ล้อเล่นใช่ไหม?” นคเรศไม่เล่นด้วย

“ฉันตอบแต่มนชิตเท่านั้น” ดนัยก็ไม่เล่นด้วยเหมือนกัน

“ก็ได้ ถ้างั้นในกรณีแบบนี้ แกคงจะตอบแบบนี้ได้” นคเรศไม่รอช้า บีบคอของดนัยด้วยมือข้างซ้าย

“แกรู้ใช่ไหมว่าเขี้ยวของอสูร สามารถฆ่าผีดิบได้เพียงแค่การกัด หืม... ที่นี้เห็นแล้วสิ ฉันเป็นลูกผสม งั้นฉันขอถามแกอีกแค่ครั้งเดียว มนชิตอยู่ที่ไหน!” นคเรศเดือดขึ้นเรื่อยๆ เขาบีบคอดนัยรุนแรงขึ้น ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำ นัยน์ตาเป็นสีทอง เส้นเลือดสีดำขึ้นรอบๆดวงตา เป็นอาการที่แสดงออกว่าพวกผีดิบตนแรกกำลังโกรธแบบสุดๆ

“เฮ้ๆ ฉันอยู่นี่แล้ว ...ฉันอยู่นี่แล้ว ใจเย็นก่อน ดนัยกำลังไปตามหาฉันอยู่ ผีดิบไม่ทำร้ายกันเอง มันเป็นกฎ” มนชิตมาได้จังหวะพอดี เขาเข้ามาแทรกกลางทั้งสองคน เอามือของนคเรศออกจากคอดนัย

“ฉันไม่สนใจกฎของแกหรอกนะ มนชิต ฉันไม่ต้องการคนคุมกฎ ทำไมแกต้องให้คนของแกสะกดรอยฉัน?” นคเรศเข้าประเด็นทันที

“มานี่ ฉันเข้าใจละ ยังไง... แสดงอิทธิพล... แกทำสำเร็จแล้ว ...ปล่อยมันไปเถอะนะเพื่อน ฉันขอล่ะ” มนชิตดึงตัวนคเรศออกห่างจากลูกสมุนเขา

“ก็ได้ ...ทำไมแกไม่พาฉันไปดู ว่าแกทำอะไรกับเมืองนี้ไปบ้าง? แล้วแกก็อธิบายมา จริงๆแล้วมันคืออะไรที่แกได้ครองเมืองของฉัน” นคเรศใจเย็นลง เขาเริ่มตั้งคำถาม

“ตามฉันมาสิ” มนชิตพานคเรศขึ้นไปที่ดาดฟ้าของผับ ที่นี่วิวสวยเห็นเมืองจตุราชิตชัดเจน

“มองไปที่เส้นขอบฟ้า ที่นั่นไง นั้นคือความก้าวหน้า... โรงแรมเพิ่มขึ้น นักท่องเที่ยวเยอะขึ้น เลือดสดๆก็เช่นกัน แล้วผู้คนล่ะ ฉันสอนพวกเขาให้มองไปทางอื่น” มนชิตกำลังชื่นชมในสิ่งที่ตัวทำตลอด 300 ปี มานี้

“แล้วพวกหมอผีล่ะ... ในยุคของฉัน พวกหมอผีถูกบังคับให้กล้าแสดงออก แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ด้วยความหวาดกลัว... แล้วนายรู้ได้ไงว่าพวกนั้นใช้อาคมตอนไหน?” นคเรศสงสัยเรื่องนี้

“ฉันอาจจะมีอาวุธลับเพิ่มขึ้นบนแขนมั้ง บางอย่างที่ทำให้ฉันควบคุมที่นี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ อยู่เหนือพวกผู้ใช้อาคม” มนชิตบอกใบ้เป็นในๆ

“อืม... นี่คือเรื่องจริงงั้นเหรอ?” นคเรศถามย้ำ

“อาจจะจริง หรือแค่เรื่องแต่ง” มนชิตพูดจบก็หยิบกล่องใบเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อนอก หยิบเม็ดบางอย่างกิน สีหน้าของเขาดูทรมาน

“นายกินวังเวียน” นคเรศพูดชื่อสิ่งที่มนชิตกินเข้าไป

“แสบร้อนเป็นบ้าเลย แต่ฉันคิดว่าฉันควรจะกำจัดมัน ...สิ่งที่เป็นจุดด้อยของฉัน อย่าโมโหเลย เรื่องผู้คุมกฎอะไรนั่น ฉันแค่บอกให้คนของฉันคอยดูแล แค่นั้นเอง นั่นเป็นสิ่งที่เราทำกันที่นี่ ดูแลซึ่งกันและกัน ...อืม เหยื่อคนใหม่” มนชิตหันไปเห็นสาวบาร์ที่ร้านของสมิตา

“บาร์เทนเดอร์สาวคนเดียวยามวิกาล ถ้าไม่เรียกว่ากล้าก็คงจะโง่” นคเรศพูดขยาย

“มาดูกัน ถ้าหล่อนกล้าฉันจะปล่อยหล่อนไป แต่ถ้าโง่... ของหวานล่ะทีนี้” มนชิตเกิดสนุกกับสาวบาร์ตรงหน้า เขากระโดดลงอย่างว่องไวจากบนดาดฟ้า หล่อนหันมาเห็นเขาพอดี

“คุณรู้หรือเปล่า เดินคนเดียวแถวนี้มันไม่ปลอดภัย” มนชิตเริ่มก่อน

“แล้วนายรู้ไหม ฉันน่ะเรียนมวยมา” สาวบาร์สวนกลับ เธอคือ ..กรองขวัญ.. หลานสาวของผู้นำฝ่ายมนุษย์ ทำงานในบาร์ และเป็นจิตแพทย์ มนชิตดูท่าจะถูกใจเธอ เขาจึงปล่อยเธอไป

(*อาหารของผีดิบ สิ่งที่เหล่าผีดิบโปรดปราณมากที่สุดคือ เลือด และเนื้อหนังมังสา โดยเฉพาะมนุษย์ เหยื่ออันโอชะของพวกเขา หากผีดิบไม่ได้ดื่มเลือดหรือกินเนื้อ พวกเขาจะมีผิวซีด จนเส้นเลือดขึ้นเป็นสีดำ ผิวแห้ง ไม่มีพละกำลังใดๆ แต่จะไม่ตาย แม้แต่พวกผีดิบตนแรกของพันธุ์ก็ไม่สามารถหลีกหนีข้อยกเว้นนี้ได้)

(*การตายของผีดิบ 2 ผีดิบตายได้หากถูกอสูรกัด เขี้ยวของอสูรนั้นมีพิษชนิดพิเศษซึ่งจะทำให้ผีดิบที่ถูกกัด ป่วยตายในที่สุด)

(*หญ้าวังเวียน มีลักษณะหัวดอกเป็นน้ำตาลอมดำ เป็นพวงๆ พืชชนิดเดียวที่จะทำให้เหล่าผีดิบเจ็บปวดได้ หากได้รับพืชชนิดนี้เข้าสู่ร่างกาย จะทำให้ทรมานและหมดพละกำลังอย่างมากที่สุด แต่ถ้าหากฝึกกินมันเข้าไปเรื่อยๆ การสะสมพืชชนิดนี้ปนกับเลือดในร่างกายจะทำให้ผีดิบสามารถต่อต้านการสะกดจิต “อีกหนึ่งในความพิเศษ” ของผีดิบที่อาวุโสกว่าตนได้ ไม่ยกเว้นแม้แต่ผีดิบตนแรก)

..........................................................................

(*ในส่วนนี้คือช่วงเวลาที่หายไป ติดตามอ่านได้ในเรื่องเต็ม) อาคินมาถึงเมืองแล้ว เขากำลังคุยโทรศัพท์กับน้องสาว

“เขาทำสิ่งที่เขาอยากทำ ได้รับโอกาสที่มีความสุข นคเรศทำทุกอย่างตรงข้ามกันหมด” อาคินเดินไปคุยไปในเมืองยามราตรี

“งั้นปล่อยให้เขาทำไปสิ เด็กนั่น ถ้าเป็นลูกเขา ไม่มีพ่อยังจะดีซะกว่า” รวิภายังคงไม่สบอารมณ์เหมือนเดิม

“เขาจะไม่มีทางดีขึ้น ถ้าไม่มีเด็กคนนั้น รวิภา” อาคินพูดต่อ

“เราทั้งคู่ก็ด้วย ที่รัก แนวอาคินอีกแล้วสินะ ...หมอนั้นแทบจะไม่เคยหาอะไรมาให้เลยนอกจากความเจ็บปวด แล้วอะไรล่ะ คือจุดยืนของความเป็นอมตะ พี่จะเลิกช่วยนำชื่อเสียงของเขากลับมาไหม?” รวิภาถาม

“พี่จะไม่ช่วยเขากู้เมืองคืน... ก็ต่อเมื่อพี่เชื่อว่าไม่เหลือใครอีกแล้ว” อาคินพูดจบก็วางสายไป

..........................................................................

(*ในส่วนนี้คือช่วงเวลาที่หายไป ติดตามอ่านได้ในเรื่องเต็ม) อาคินกลับมาที่คฤหาสน์ เขากำลังยืนอยู่กับรวิภา

“งั้นก็แค่นี้ ฉันควรรีบเก็บประเป๋าและจากไปดีกว่า ลืมชีวิตที่นี่แล้วแสวงหาที่ใหม่ เพื่อเยียวยารักษาจิตใจของฉัน” รวิภาไม่โอเคกับการตัดสินใจของพี่ชาย

“เยียวยาจิตใจ... เรื่องของคนโง่ ฉันกำลังหมายถึง ไอสิ่งที่เธอพยายามจะทำ เธอกำลังเสแสร้ง เพื่ออะไร ปาร์ตี้เรียบจบอีกรอบงั้นเหรอ?” อาคินขึ้นเสียง

“ฉันอยากเป็นคนปกติ ฉันอยากมีลูก มีครอบครัว” รวิภาสวนกลับ

“ฉันยืนอยู่ตรงหน้าเธอเพื่อยื่นข้อเสนอของเราทั้งคู่”อาคินดึงเข้าเรื่อง

“แล้วถ้าฉันไม่เห็นด้วยกับพี่ล่ะ แทงกริชใส่อกฉัน จากนั้นก็กลับมาอยู่ในโลงใช่ไหม?” รวิภาพูดประชด

“ฉันเข้าใจแล้ว เมื่อครอบครัวเธอต้องการตัวเธอ แล้วเธอตัดสินใจ...” อาคินพูดขึ้น รวิภานิ่งไปพักหนึ่ง

“ฉันไม่ได้ติดค้างอะไรเขา ฉันขอให้เขาไม่มีความสุข ไม่มีความรัก ฉันจะอยู่ที่นี่แล้วใช้ชีวิตของฉัน หนทางที่ฉันต้องการ แล้วถ้าพี่ฉลาด พี่จะเข้าใจว่ามันก็พอๆกัน” รวิภาพูดจบก็เดินหนีออกไป ปล่อยให้อาคินอารมณ์ค้าง

(*กริชเหล็กนิล วัตถุที่ถูกสร้างขึ้นโดยนคเรศ เขาสั่งให้หมอผีร่ายคำสาปลงไปในกริช มีทั้งหมด 5 เล่ม อดีตเขาเลยใช้มันกับพี่น้องทั้งหมดของตน เมื่อกริซปักลงไปที่อกของผีดิบตนแรก มันจะทำให้ร่างกายของพวกเขาแห้งและหลับเป็นนิทราไปตลอดกาล จนกว่าจะดึงกริชนั้นออก)

..........................................................................

     .. ณห้องใต้หลังคาที่ใดที่หนึ่งในเมืองจตุราชิต หญิงสาวคนหนึ่ง เธอมีผมยาวลอน สีดำ หน้าคมสวย ดูมีเนื้อมีนวล ตัวเล็ก ผิวสีน้ำผึ้ง เธอกำลังเปิดหน้าต่างของห้องใต้หลังคานี้ หากแต่ว่าไม่มีคนเข้ามาเสียก่อน ..

“..ดารายา.. เธอก็รู้ว่ามนชิตไม่ให้เธอเข้าไปใกล้หน้าต่าง” ผู้หญิงคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา เธอนำอาหารมาให้ หญิงสาวที่ชื่อ ..ดารายา..

“ฉันรู้แล้วน่า ฉันแค่อยากจะ...” ดารายาพูดกลับ

“เรื่องนี้ไม่อนุญาต” ผู้หญิงสวนขึ้น

“ฉันบอกว่ารู้แล้ว ฉันแค่ต้องสูดอากาศบ้าง” ดารายาขึ้นเสียง ผู้หญิงคนนั้นถอนหายใจ ก่อนที่จะเดินไปหยิบจานอาหารมื้อเก่า

“แต่นั้นอาจจะทำให้พวกหมอผีเห็นเธอได้นะ” ผู้หญิงพูดต่อ

“เข้าใจ ฉันถึงใช้อาคมครอบคลุมพื้นที่ตรงนี้ไว้ไง” ดารายาพูดจบ เธอหันไปจะเปิดหน้าต่าง

“พอได้แล้วสาวน้อย เธอไม่ควร...” ผู้หญิงเริ่มขึ้นเสียง

“ไม่ควร... ไม่ควร ไม่ควร ไม่ควร! ฉันเบื่อที่จะต้องขลุกอยู่ตรงนี้กับเธอเต็มทีแล้วรู้ไหม!” ดารายาระเบิดอารมณ์ พลังอันแข็งแกร่งของเธอ เพียงแค่สะบัดมือ ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็กระเด็นออกไปนอกหน้าต่างทันที เธอคือหมอผีเด็กสาวที่มีอาคมแก่กล้า และเธอทำงานให้กับมนชิต

จบตอน เริ่มบรรจบ

ติดตามอ่านเรื่องเต็มกันได้ เร็วๆนี้

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา