[Yaoi] うんめい(Unmei) ชะตาขีดรัก (ผมว่าไม่ใช่หรอก)
เขียนโดย gamma_focus
วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.50 น.
แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2559 15.15 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) บทที่ 1.1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
*****อ่านบทนำก่อนนะคะ :)*****
“เห้ย..มึงกูได้ข่าวว่ามีศาลเจ้าเปิดใหม่ว่ะ มึงว่าเราลองไปกันมั้ย?”
“ไปทำไม? มึงนับถือพุทธ ไอ้สัด”
ผั้วะ!
“ศาลเจ้าก็ศาสนาพุทธไงสัด! เอาเป็นว่ากูถือว่ามึงตอบรับการไปศาลเจ้ากับกูแล้ว เจอกันตอนเลิกเรียน”
ผมไปตอบรับมันตอนไหนวะ..
ในเช้าวันแรกของการเปิดเทอมภาคเรียนที่หนึ่ง ของนักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นปีที่สามแบบผม ทั้งๆที่ควรเป็นวันที่สดใสแท้ๆ กลับโดนเพื่อนตัวดีตบหัวแต่เช้า โทษฐานไปกวนตีนมัน ก็จะไม่ให้ผมกวนตีนได้ไงล่ะครับ เจอหน้าทั้งที แทนที่แม่งจะไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ แต่กลับชวนไปศาลเจ้าเปิดใหม่ที่เขาลือกันว่าศักดิ์สิทธิ์นักหนาอะไรนั่น
ส่วนไอ้คนที่ตบหัวผมมันชื่อ “เตวิทย์” ครับ มันเป็นเพื่อนสนิทผม อยู่ปีสามเหมือนกันแต่คนละคณะ ผมอยู่คณะวิทยาศาสตร์ ส่วนมันอยู่คณะวิศวะครับ แทนที่มันจะทำตัวให้เป็นรุ่นพี่ปีสามที่น่าเกรงขามของรุ่นน้องอย่างที่ควรจะทำ แต่มันกลับไม่สนใจกิจกรรมห่าเหวอะไรทั้งนั้นอ่ะ สิ่งเดียวที่มันสน คือการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามสถานที่ต่างๆ ที่ไหนที่ว่าศักดิ์สิทธ์มันไปหมดครับ ผมว่านะ ถ้ามีเปิดสอนคณะบูชาศาสตร์ เอกการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในมหาวิทยาลัย มันคงลงเรียนไปแล้วครับ
เอาล่ะ!
ผมว่าตอนนี้คุณคงอยากรู้จักผมใช่มั้ยล่ะ? ถึงไม่อยากรู้จักก็อยากให้รู้จักจริงๆนะฮ่า!
สวัสดีกันอย่างเป็นทางการนะครับ ผมชื่อ “นรพนธ์” ครับ ชื่อผมแปลกใช่มั้ยล่ะ? เอาจริงๆผมก็คิดว่าแปลกอยู่เหมือนกันนะ พอถามแม่ว่าชื่อนี้แปลว่าอะไร แม่ก็บอกว่าชื่อผมแปลว่าผู้ผูกใจผู้อื่น ทีนี้ผมก็งงสิครับ ว่าไอ้คนอย่างผมเนี่ย มันจะผูกใจใครได้วะ หน้าตาก็ไม่ใช่ว่าจะดี ส่วนสูงก็ไม่ค่อยมาตรฐานชายไทยเท่าไหร่แบบผมจะมีใครมาผูกใจด้วย พอจะถามต้นสายปลายเหตุในการตั้งชื่อว่าอะไรดลใจให้แม่ตั้งชื่อนี้ ก็เหมือนแม่จะรู้ใจ มองกลับมาด้วยสายตาที่บอกเป็นนัยว่า ‘ถามมากกว่านี้ มึงตาย’ แล้วผมซึ่งเป็นคนรักชีวิตตัวเองมากๆ ก็เลือกที่จะหุบปากลงแต่โดยดี…
แต่ถ้าใครคิดว่าชื่อจริงผมเรียกยาก ก็เรียกชื่อเล่นได้ครับ....
ผมชื่อเล่นว่า..
“ไอ้นายยยยยยยยย!!!!!”
ครับ นั่นแหละ เรียกผมว่านายก็ได้ครับ ตามนั้นเลย…
ไอ้เพื่อนชั่ว!! มันไปแล้วยังจะกลับมาอีกทำไมวะ!
“เรียกทำไม! แล้วกลับมาทำเหี้ยไรห้ะ”
ผมหันกลับไปด่าตามเสียงเรียกที่ดังมาจากข้างหลัง ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ เพื่อนผมมีคนเดียว
“ไม่เห็นต้องด่ากูแรงขนาดนี้ ฮืออ”
ยัง..มันยังไม่หยุดกวนตีนผม จนผมส่งสายตามองมัน ประหนึ่งว่า ถ้ามึงยังไม่หยุดกูจะถีบมึงนะนั่นแหละครับ มันจึงเปลี่ยนจากการเอามือปาดน้ำตามาเริ่มเข้าเรื่องสักที
“เออกูเลิกเล่นก็ได้! กูลืมถามมึงว่าวันนี้มึงไม่มีเข้าแลปใช่มั้ย?”
“ไม่นะ วันนี้มีแค่แลกเชอร์”
“เออดี! กูอ่ะไม่ค่อยอยากไปหลังพระอาทิตย์ตกดินว่ะ เพราะมันไม่ใช่เวลาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พอได้ยินแบบนี้ก็ค่อยเบาใจหน่อย เอาเป็นว่าพอเลิกเรียนแล้วยิงหากูแล้วกัน จะรีบออกมา”
“กูยิงไม่ได้ว่ะ ไม่ได้พกปืนมา”
ผั้วะ!
“มุกควายแบบนี้ มึงอย่าเล่น กูขอร้อง กูไปล่ะ เจอกัน”
หลังจากที่มันฟาดหัวผม มันก็เดินจากไป และก็อีกเช่นเคย มันไม่ได้เปิดช่องว่างให้ผมได้ปฏิเสธมันสักนิด มันไม่ถามผมสักคำ ว่าผมอยากไปกับมันมั้ย?
จะว่าไปผมก็แปลกใจนะครับ คนอย่างไอ้เต ถึงจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงด้านความเชื่อ ด้านความแม่น ด้านโชคลาภ มากมายแค่ไหน มันก็จะไม่ค่อยกระตือรือร้นพาผมไปด้วยขนาดนี้ ทุกทีมันแค่ถามว่าผมจะไปด้วยมั้ย ซึ่งถ้าผมปฏิเสธ มันก็ไม่เซ้าซี้อีก แต่ครั้งนี้แม่งมาแปลก ไม่ให้ปฏิเสธสักคำ พูดเองเออเองหมดเลย
หรือ..
ศาลเจ้านั้นจะมีอะไรดีจริงๆ..
...................................................................................
ไอ้เตไม่ได้ปล่อยให้ผมสงสัยในความศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าเปิดใหม่แห่งนี้นานนัก เพราะพอผมโทรหามันปุ๊บ มันก็พุ่งตัวออกจากตึกเรียนของมันปั๊บ แถมยังลากผมขึ้นรถประจำทางสายหนึ่งทันที พอผมจะถามว่าแม่งรีบอะไรนักหนา มันก็ชิงใส่หูฟังแล้วก็เข้าสู่โลกส่วนตัวของทันที
เอ้า! อะไรของมัน ถึงผมจะสงสัยมากแค่ไหนก็เถอะ แต่ผมเองก็ไม่อยากเซ้าซี้ นั่งมองข้างทางเอาก็ได้วะ ผมนั่งมองบรรยากาศนอกรถได้สักพัก ไอ้เตก็สะกิดผมให้ลงจากรถตามมันไปหลังจากที่รถจอดป้ายหนึ่ง
“แล้วไงต่อ?”
ผมถามมันหลังจากที่ลงจากรถเรียบร้อยแล้ว
“จากนี้ต้องเดินเท้า” มันหันมาตอบผม
“ห้ะ! เดี๋ยวนะ มึงดูแดดดิ๊ ไอ้สัด” ผมหันไปด่ามันเลยครับ มีอย่างที่ไหน เดินเข้าศาลเจ้าที่ไม่รู้ว่าอยู่ไกลขนาดไหน พร้อมๆกับมีแดดส่องหัวขนาดนี้ มันเข้าใจมั้ยว่านี่แดดประเทศไทย ถึงจะไม่ใช่แดดเดือนเมษา แต่แม่งก็แดดอ่ะครับ มันแย่พอๆกันผมว่า
“มึงจะโมโหไรวะ เดินๆไปเหอะ เดี๋ยวแดดก็ร่มเองแหละ”
“ถ้าไม่ร่มนะสัด!”
ผมฮึดฮัดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถอดใจเดินตามหลังมันไปอย่างไม่มีทางเลือก
ศาลเจ้าอะไรวะ! ไม่มีรถเข้า ต้องให้เดินเข้า! ฮึ่ย! โมโหอ่ะ! เนื่องจากผมเป็นคนไม่ค่อยสู้คน ไม่ใช่สิ..ผมไม่ค่อยอยากมีปัญหา เลยเก็บไว้เงียบๆ โมโหอยู่ในใจเงียบๆคนเดียวดีกว่าครับ ฮือแต่ว่าเอาเข้าจริงๆแล้ว พอไอ้เพื่อนเตมันพาผมเดินเข้ามาในซอยซอยหนึ่ง ผมก็รู้สึกว่าแดดมันร่มเฉยเลย
“ไงล่ะ? ร่มแล้วใช่มั้ย กูบอกแล้วที่นี่อ่ะศักดิ์สิทธิ์จริง กูเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นี่ต้องรับรู้ถึงความปรารถนาอันแรงกล้าของกูแน่ๆอ่ะ กูว่า..” ปล่อยให้แม่งแพร่มไปเหอะครับ หาสาระไม่เจอหรอก
ผมไม่สนใจคำพูดของไอ้เตเท่าไรนัก เพราะตอนนี้สิ่งที่ทำให้ผมสนใจอย่างหนักหน่วง คือบรรยากาศรอบๆทางเดินนี่ ไม่รู้สิครับ..ผมว่าผมไม่ได้รู้สึกไปเองนะ แต่ผมว่าเหมือนผมหลุดมาสู่อีกโลกหนึ่ง คือมันร่มรื่นมากๆ ตลอดทางที่ผมเดินเข้ามา มีต้นไม้ใหญ่เรียงรายอยู่เต็มสองข้างทางไปหมด เหมือนเป็นซุ้มทางเดินต้อนรับเราเพื่อให้เดินเข้าหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังไงก็ไม่รู้ ไม่เพียงแต่มีต้นไม้ใหญ่เท่านั้นนะครับ ผมยังได้ยินเสียงนก เสียงจิ้งหรีด ยังเห็นว่ามีบรรดาสัตว์เล็ก ไต่ไปมาตามต้นไม้อีก
ไม่น่าเชื่อ..ท่ามกลางเมืองใหญ่แบบนี้ ยังมีสถานที่ที่น่าแปลกใจแบบนี้อยู่ด้วย..
.................................................................................................
สวัสดีค่าาาา >< เนื่องจากตอนที่ 1 ค่อนข้างยาว เลยแบ่งออกเป็น 2 พาร์ทนะคะ ^^
ตอนนี้ตัวเอกของเรากำลังไปที่ศาลเจ้าแล้วค่ะ จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ต้องรออ่านนะคะ แฮ่
เม้นxโหวต ให้กำลังใจเค้าหน่อยน้าาาา เพิ่งมาลงที่นี่เลยอยากรู้กระแสตอบรับ 5555
แล้วเจอกันใหม่ค่ะ :)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ