หวงรักประกาศิตลับ

8.0

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 10.39 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  15.59K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559 21.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) หวงรักประกาศิตลับ บทนำ 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ทว่าจิตใจของพอฤทัยกลับสับสนจนไม่สามารถเรียบเรียงความคิดของตัวเองให้เป็นระเบียบแบบแผนเช่นที่ผ่านมา ลิฟต์แก้วที่เลื่อนลงไปไม่ถึงสองชั้นกลับเปิดออกพร้อมด้วยร่างสูงใหญ่ของบอดีการ์ดสองคนที่ก้าวเข้ามายืนบังเธอไว้จนมิด ยิ่งเธอขยับตัวไปยืนชิดมุมของลิฟต์คนที่ก้าวเข้ามาหลังสุดจึงไม่ทันได้สังเกตว่ายังมีผู้หญิงอีกคนอยู่ในลิฟต์

        เซเลสตร้า เด มาร์คอส อาจจะเป็นนักธุรกิจใจซื่อมือสะอาด ท่าทางภูมิฐาน สวมสูทราคาแพงระยับ จัดผมเรียบเนี้ยบ ทุกครั้งที่เขายืนอยู่หลังโพเดียมกลางเวทีเพื่อกล่าวสุนทรพจน์แก่นักศึกษาที่รับทุนของมูลนิธิเด มาร์คอส ก็ไม่ต่างจากพ่อพระผู้ใจบุญของคนค่อนโลก

        กระทั่งตอนนี้ภาพลักษณ์ของเขาก็ยังไม่ต่างไปจากตอนที่เธอมองขึ้นไปบนเวที ผู้ชายหล่อเหลา ดวงตาสีเขียวหม่นหากจ้องลึกเข้าไปแล้วยากที่จะละสายตา จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากหยักลึก แม้ตอนนี้จะได้เห็นแค่ด้านหลังจิตใจเธอยังเต้นระรัว

        ท้ายทอยได้รูปเรื่อยมาจนถึงลำคอแกร่งหายเข้าไปในชุดสูทสีดำสนิท เสียงห้าวที่เปล่งขึ้นยังทำให้ลมหายใจเธอขาดห้วงโดยไม่รู้ตัว

        “ป้าออกไปรึยัง” เซเลสตร้า ถามถึงโลล่า เวนโตล่า ผู้เป็นป้าซึ่งมีกำหนดเดินทางกลับอาร์เจนตินาในอีกไม่ถึงชั่วโมงข้างหน้านี้

        “ยังครับ แต่คิดว่าน่าจะสั่งให้รถมารออยู่ข้างล่างแล้ว” คนสนิทที่ยืนอยู่หน้าเธอตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

        ทว่าเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้คนที่ยืนอยู่หน้าสุดส่งเสียงในลำคออย่างรำคาญใจ จนเธออดไม่ได้ที่จะเหลือบสายตามองข้ามไหล่ของบอดีการ์ดร่างสูง จนได้เห็นว่าเขาแนบโทรศัพท์เครื่องบางเข้ากับใบหู

        เซเลสตร้าถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายเมื่อได้ยินเสียงแวดๆ ที่ดังมาตามสายโทรศัพท์ ปล่อยให้คู่ควงราชนิกุลสาวผู้สูงศักดิ์ ซึ่งต่อสายข้ามทวีปเข้ามาหาเป็นครั้งที่สามของวัน เพราะเธอตั้งใจจะทำให้เขาเซอร์ไพรซ์ด้วยการไปหาที่อาร์เจนตินาโดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า ผลก็คือคลาดกับเขาซึ่งต้องเดินทางมาอเมริกาหนึ่งสัปดาห์เต็ม

        “ผมต้องออกงานการกุศลกับป้า ถ้าคุณอยากเจอดอนญ่าเวนโตล่าก็บินตามมาสิ” เซเลสตร้า สยบอาการแง่งอน เอาแต่ใจตัวเองของราชนิกุลสาวด้วยการใช้ป้าเป็นโล่กำบัง

        ใครบ้างไม่รู้ว่าดอนญ่าเวนโตล่า ค่อนข้างหัวโบราณ เจ้าระเบียบและมีวาจาเชือดเฉือนให้คนแดดิ้นตายไปนักต่อนัก แน่นอนว่าราชนิกุลผู้ถูกตามใจจนเคยตัวไม่อาจทนอยู่ใกล้ให้โลล่าวิพากษ์วิจารณ์ถึงกิริยามารยาทได้นานนัก

        เพียงเท่านั้นจอมเสเพลในคราบผู้ใจบุญก็สามารถสลัดหญิงสาวผู้น่ารำคาญอย่างสิ้นเชิง เขายื่นโทรศัพท์กลับมาให้บอดีการ์ดที่อยู่ข้างหลัง โดยไม่ได้หันกลับมาสักนิด

        “เก็บไว้ก่อน ถ้าโทรมาอีกก็ตอบไปว่าฉันอยู่ในห้องกับมาติน่า” เซเลสตร้า ยิ้มที่มุมปาก เขาจะกำจัดผู้หญิงทุกคนที่แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอย่างเกินกว่าเหตุ ด้วยการละเมิดข้อตกลงที่มีอย่างชัดเจนตั้งแต่คบหากันในตอนแรก

        “ครับดอน” บอดีการ์ดรับคำพลางลอบถอนหายใจ เพราะกำลังลุ้นในใจว่าราชนิกุลสาวผู้สูงศักดิ์จะทำสถิติคบหากับเจ้านายของตนได้นานถึงหนึ่งเดือนหรือไม่ สุดท้ายแล้วก็ยังไม่มีผู้หญิงคนไหนจะมัดใจดอนหนุ่มได้เช่นเดิม

        หากความใสแจ๋วของลิฟต์แก้วทำให้เซเลสตร้ามองเห็นใบหน้าของคนสนิทที่ยืนอยู่ข้างหลังซึ่งกำลังหันไปสบสายตากันอย่างมีเลศนัย

        “ใครชนะอีกล่ะคราวนี้” ถามขึ้นมาอย่างระอาใจ โจม่าและฮาเวียร์ทำงานกับเขาไม่ใช่แค่ปีสองปี ยิ่งทั้งคู่รู้อกรู้ใจ ทำงานสนองตอบความต้องการเขาได้ดีเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอ่านใจทั้งคู่ได้ง่ายดายไม่ต่างจากการเปิดหนังสือสักเล่ม แต่เขาก็ไม่อยากจะรู้คำตอบจริงจังนัก “ทำให้มันเนียนๆ ก็แล้วกัน อย่าแสดงพิรุธให้เธอจับได้ว่าตั้งใจบอกก็แล้วกัน”

        “โธ่... งานง่ายๆ อย่างนี้ไม่พลาดหรอกครับ” ที่สำคัญไม่ใช่ครั้งแรกด้วย โจม่าต่อเอาเองในใจเพราะถ้าพูดออกไปตรงๆ มันก็เป็นการก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวเกินไป

        “ผมนึกว่าเลดี้จะทำให้ดอนมีความสุขได้มากกว่าผู้หญิงที่ผ่านมาเสียอีก” ไม่บ่อยครั้งที่ฮาเวียร์จะถามออกมาอย่างอยากรู้เช่นนี้ อดนึกถึงสตรีสูงศักดิ์ที่เพียบพร้อมไปด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติแต่สุดท้ายก็ยังไม่สามารถมัดใจเจ้านายได้อีกเช่นเคย

        หากเซเลสตร้ากลับหัวเราะพรืดออกมาเมื่อทุกการเริ่มต้นความสัมพันธ์หญิงชายนั้น เวลาที่ได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นพวกเธอมักจะแสดงนิสัยส่วนตัวออกมาให้เขาเห็น แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของก่อนเวลาที่จิตใจเขาจะโอนอ่อนผ่อนตาม ยินยอมที่อยากเป็นสมบัติของผู้หญิงสักคน

        “ฉันจะสนุกและยินดีที่จะคบพวกเธอไปอีกนาน ตราบใดที่พวกเธอยังมองฉันเป็นแค่ของเล่น ผู้ชายทุกคนก็มีสัญชาตญาณการล่าอยู่ในตัวเองทั้งนั้น ฉันไม่เถียงหรอกว่าบางทีเราก็อยากเป็นผู้ถูกล่าบ้าง นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์แต่เมื่อสวมวิญญาณเป็นผู้ล่าแล้วกลับต้องมาเจอเหยื่อที่ไม่ยอมวิ่งหนี เอาแต่วิ่งตามติดไม่ห่างกาย อย่างนี้แล้วมันจะไปสนุกอะไร ในเมื่อฉันมองพวกเธอเป็นของเล่นได้ พวกเธอก็ต้องมองฉันเป็นของเล่นเหมือนกันสิ มันถึงจะท้าทาย”

        คำตอบอย่างผู้ชายเสเพลโดยแท้ ทำให้ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่หลังสุดต้องกลั้นหายใจไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่กับคำพูดร้ายกาจเช่นนี้ เขายังไม่หยุดทำให้เธอเข่าอ่อนด้วยคำพูดประโยคเดิมที่เคยได้ยินเมื่อครั้งแรกที่ตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาและเป็นครั้งแรกที่เธอเดินหลงเข้าไปในวงกตเสน่หาของดวงตาสีเขียวหม่น

        “ใครบ้างจะยินดีกับความใจแคบของพวกเธอที่คิดจะเก็บฉันไว้เป็นสมบัติส่วนตัวเพียงคนเดียว ผู้หญิงอาจจะคิดว่าการแต่งงานถือเป็นการแสดงออกถึงความรักอันเป็นนิรันดร์ แต่สำหรับฉัน...” เซเลสต้าชะงักอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพูดออกมาอีกครั้งด้วยน้ำมั่นคง “การแต่งงานจะทำให้คนเราสูญเสียความเป็นตัวตน”

       แน่นอนว่าคำพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่ามั่นคงของจอมเสเพลทำให้พอฤทัยเข่าอ่อน บรรยากาศภายในลิฟต์แก้วดูเหมือนจะขาดออกซิเจนจนเธอต้องละล่ำละลักหาทางอยู่ให้ห่างผู้ชายร้ายกาจคนนี้

        “ขะ...ขอโทษค่ะ ช่วยกดลิฟต์ให้ด้วย” พอฤทัยบอกก่อนจะแทรกตัวออกมายืนเคียงข้างเขา เอื้อมมือไปกดลิฟต์ให้หยุดทำงานในชั้นต่อไป ไม่สามารถรีรอให้ลิฟต์เคลื่อนลงไปถึงชั้นล่างสุด

        เซเลสตร้าขมวดคิ้วแทบเป็นเส้นตรงเมื่อได้รู้ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งใช้ลิฟต์ร่วมกับตน เธอก้มหน้าก้มตาและรีบก้าวขาออกไปเมื่อประตูลิฟต์เปิด ท่าทางร้อนรนเหมือนกำลังหลีกหนีอะไรสักอย่าง

        ทว่าร่างอ้อนแอ้นที่เดินห่างออกไปนั้นอยู่ในเสื้อคาร์ดิแกนสีน้ำตาลเข้มกับกางเกงยีนสีซีด รวบผมยาวไว้สูงกลางกระหม่อม ดูท่าทางแล้วไม่น่าจะใช่พนักงานของบริษัท แล้วเพราะเหตุใดเธอถึงได้มาใช้ลิฟต์ของผู้บริหาร

        “หวังว่าเธอคงจะฟังภาษาสเปนไม่เข้าใจ” โจม่าเปรยขึ้นมาอย่างติดตลก

        หากเซเลสตร้ากลับไม่ได้ใส่ใจหากจะมีใครสักคนได้ยินหรือเข้าใจในคำพูดของเขาเมื่อครู่ เพราะถือว่ามันเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ไม่มีใครสามารถมาก้าวล่วงได้ “แต่ฉันกำลังคิดว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน ทำไมถึงได้มาใช้ลิฟต์ผู้บริหารแบบนี้”

        คำถามของเจ้านายทำให้โจม่าและฮาเวียร์ได้แต่หันหน้ามาสบตากัน พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเจ้านาย

        “ไม่ใช่พนักงานของบริษัทแน่ๆ” โจม่าบอกเพราะไม่ว่าจะเป็นพนักงานหรือนักศึกษาฝึกงานก็ต้องอยู่ในชุดฟอร์มของบริษัททั้งนั้น

        “ช่างเถอะ ดูท่าแล้วคงไม่มีพิษสงอะไรหรอก” แม้ท่าทีของเธอจะดูคุ้นตาแต่เซเลสตร้าก็ไม่อาจตอบตัวเองได้ว่าเคยรู้จักหรือเห็นเธอมาก่อน จึงตัดปัญหาด้วยการคิดว่าเธอคงจะเป็นวัยรุ่นที่มาติดต่อเรื่องบางอย่างกับดี.เอ็ม. เทเลลิ้งก์ แล้วคงเดินหลงมาใช้ลิฟต์ผู้บริหารกระมัง โดยไม่รู้เลยว่าผู้หญิงที่คิดว่าเป็นเพียงวัยรุ่นคนหนึ่ง ในอดีตเคยตอกกลับเขาเสียจนหน้าชามาแล้ว ตอนนี้เธอกำลังเดินไปทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำระสาย

       

        ‘การแต่งงานจะทำให้เราสูญเสียความเป็นตัวตน’

       ประโยคแรกที่หลุดออกจากริมฝีปากหยักลึก น้ำเสียงเขาช่างเย็นชาจนรู้สึกเย็นยะเยือกตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแต่พอฤทัยยังจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่คมสีเขียวหม่นนิ่งนานในขณะที่เขาพาเคลื่อนไหวไปตามจังหวะของเพลง

       เมื่อสี่ปีที่แล้วเธอคือนักศึกษาทุนเด มาร์คอส ผู้โชคดีและเป็นที่ริษยาของหลายคน เมื่อถูกสุภาพบุรุษผู้ใจบุญทั้งดูเย่อหยิ่งอยู่ในทีเดินมาโค้งออกไปเปิดฟลอร์เต้นรำ

       ‘คะ... คุณว่าอะไรนะคะ’ ถามออกไปทั้งที่ได้ยินอย่างชัดเจน

       เซเลสตร้ายังยิ้มเช่นเดิม เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้แสดงความรู้สึกยินดียินร้าย ซึ่งเขาใช้มันฉาบบนใบหน้าเพียงเพราะเบื่อหน่ายที่ต้องวางตัวเงียบขรึม เพื่อให้คนค่อนโลกมองเขาเป็นนักธุรกิจผู้เปี่ยมไปด้วยอำนาจ บารมีและอิทธิพลในด้านบวก มีเพียงแววตาและคำพูดเท่านั้นที่จะทำให้ผู้หญิงในอ้อมแขนนี้เข้าใจตัวตนของเขามากขึ้น

       ‘ฉันไม่สนใจว่าเธอกับพ่อของเธอจะมีความสัมพันธ์อันดีกับโลล่ามากแค่ไหน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องทำตามความต้องการของโลล่า’ เซเลสตร้าบอกพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาล ริมฝีปากอิ่มสีสดสั่นระริก ทุกสิ่งที่ประกอบบนใบหน้าอ่อนเยาว์ทำให้เขารู้ได้ว่าผู้หญิงในอ้อมแขนนี้กำลังตกหลุมเสน่ห์ของตัวเองแล้ว

       คำพูดของผู้เป็นป้าที่ทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับการจับคู่ ยุยง ชี้ทางให้เขาได้ทำความรู้จักกับวัยรุ่นสาวยิ่งทำให้เขาเกิดความระอาใจ เพราะไม่เคยคิดเลยว่าวัยรุ่นสาวท่าทีอ่อนหวาน เหนียมอายในอ้อมแขนนี้จะตอบสนองความต้องการอันไร้ซึ่งขีดจำกัดของตนได้อย่างไร

       Work hard, play harder ยังเป็นวลีที่เขาเห็นด้วยเสมอมา แน่นอนว่าธุรกิจของเด มาร์คอส ทำให้เขาสูญเสียพลังงาน สมองเมื่อยล้าไปไม่น้อย เมื่อทำงานอย่างเต็มที่เขาก็ควรต้องพักผ่อน หาความสุขใส่ตัวอย่างเต็มที่เช่นกันแล้วผู้ชายเต็มตัวอย่างเขาก็คงคิดถึงความสนุกจากสิ่งอื่นใดไม่ได้ นอกเสียจากการปลดปล่อยความต้องการอันมากล้นในตัวเองออกมาอย่างเต็มที่กับสาวลีลาเด็ดสักคนที่จะทำให้เขาสนุกสุดเหวี่ยง

       ‘ที่ฉันยอมเลือกเธอออกมาเปิดฟลอร์ในวันนี้ก็เพราะมันเป็นธรรมเนียม จะเลือกคู่เต้นรำด้วยตัวเองหรือคนอื่นเลือกให้ก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของฉันแตกต่างกัน ก็แค่คู่เต้นรำที่ห่างไกลกับคำว่าคู่ควง คู่เดต คู่นอน คู่รัก มันไกลนักกว่าจะถึงคำว่า... คู่ชีวิต’ เซเลสตร้าเลือกใช้คำพูดตรงไปตรงมา เหลือบสายตามองคู่เต้นรำที่มีความสูงอยู่แค่เพียงหัวไหล่อย่างประเมินความสามารถ ‘ฉันคิดไม่ออกหรอกนะว่าสาวหน้าใสอย่างเธอจะมีความสามารถทำให้ฉันพึงใจกับสถานะอื่นที่กล่าวมา นอกเหนือจากคำว่าคู่เต้นรำซึ่งไม่ต้องอาศัยเสน่ห์ทางกาย’

       ความเย่อหยิ่ง โอหังที่มีมากล้นในตัวของเขาทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ ไม่ว่าจะด้วยความเกรงใจที่เพิ่งเดินขึ้นไปรับทุนการศึกษาจากมือของเขาเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมา หรือจากนี้ไปจนจบการศึกษาเธอยังต้องพึ่งใบบุญของมูลนิธิเด มาร์คอส หรือเป็นเพราะสายตาของโลล่าซึ่งมีความเมตตากรุณา เธอควรจะลืมๆ คำพูดร้ายกาจของเขาไปเสีย

       ‘อย่ากังวลใจไปเลยนะคะ ดิฉันก็ไม่เคยคิดเลยเถิดไปไกลมากกว่าเป็นนักศึกษาทุนมูลนิธิ เด มาร์คอส หรอกค่ะ’ มันเป็นคำพูดที่เหมาะสมที่สุดแล้วที่พอฤทัยขบคิดอย่างดีก่อนจะตอบกลับ

       เซเลสตร้ายิ้มที่มุมปากรับกับคำชี้แจงของเธอ แม้ตอนแรกจะโล่งใจแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าประหลาดใจไม่น้อยที่ได้เห็นท่าทีของสาวหน้าใส แปรเปลี่ยนอย่างเฉียบพลัน เธอเชิดหน้าลำคอระหงเกร็งเสียจนเขากลัวว่าจะคอเคล็ด เบือนหน้าหนีไม่ยอมสบสายตาคู่สนทนาจนนึกหมั่นไส้

       ‘อันที่จริงฉันก็ไม่ใช่พ่อพระผู้ใจบุญอย่างภาพลักษณ์ที่คนอื่นมองเห็นนักหรอก แล้วก็ไม่เกี่ยงด้วยถ้านักศึกษาทุนมูลนิธิเด มาร์คอส อยากปีนขึ้นเตียงฉันสักครั้งแต่นั่น ก็หมายความว่าฉันต้องเห็นแววบางอย่างที่บ่งบอกว่าจะทำให้เวลาปลดปล่อยอารมณ์ของฉันไม่จืดชืด น่าเบื่อหน่าย’ ความตั้งใจของเขาสัมฤทธิ์ผล เมื่อดวงตาสีน้ำตาลตวัดกลับมาจ้องมองไม่ต่างจากเขาเป็นซาตานจอมชั่วร้าย ‘ซึ่งเห็นได้ชัดว่า เธอไม่มี...’

       ประโยคสุดท้ายยังกล่าวพร้อมกวาดสายตามองเธออย่างจาบจ้วง แน่ล่ะว่าเขายั่วยุความอดทนและความตั้งใจดีเกือบจบเพลงเต้นรำให้ขาดผึงในทันที

       ‘ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยินนะคะเพราะผู้ชายรวยๆ ส่วนมากก็มักจะยึดถือวลี Work hard, play harder เป็นหลักในการดำเนินชีวิตกันทั้งนั้น แต่สำหรับดิฉันมีสมองและสติปัญญามากพอที่จะมองหาคู่ชีวิตที่ทำทุกอย่างด้วยหัวใจ Work heart play heart ซึ่งเห็นได้ชัดเจนยิ่งกว่าว่า ดอนเซเลสตร้าไม่มี...’ ความโกรธที่เข้าครอบงำมีอำนาจพอที่จะทำให้พอฤทัยผลักหน้าอกกว้างของคู่เต้นรำออกไปจนสุดก่อนที่เพลงจะจบลง

       ไม่ผิดสักนิดที่เธอจะได้เห็นดวงตาสีเขียวหม่นขุ่นมัว ฉายแววความเกรี้ยวกราดแต่ด้วยมารยาทและภาพลักษณ์อันดีงามบังคับให้เขายืนนิ่งมองเธอเดินออกไปจากฟลอร์เต้นรำ ไปซุกตัวข้างๆ ผู้เป็นพ่อ

       แรกเริ่มที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารแต่สุดท้ายเธอเลือกใช้ภาษาสเปน ทั้งยังเรียกเขาอย่างสุภาพ เว้นระยะห่างอย่างชัดเจน คำพูด น้ำเสียง แววตาเยาะเย้ยที่เลียนแบบเขาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน ทำให้เซเลสตร้าโกรธจนตัวสั่น เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตกระมังที่มีคนกล้าดี เอาคำด่าเหล่านั้นมาโยนใส่หน้าเขา!

       หากการเต้นรำยังต้องดำเนินต่อไปและผู้หญิงที่หมุนตัวเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนคนต่อไปก็ทำให้เขาคลายความสนใจจากสาวน้อยปากคมเมื่อครู่ ไม่ถึงห้านาทีต่อมาเขาก็ไม่ได้เห็นเธอและผู้เป็นพ่อนั่งอยู่บนโต๊ะประธานเสียแล้ว นั่นยิ่งทำให้เขาอารมณ์ดีมากขึ้นเมื่อรู้ว่าสามารถขับไล่ผู้หญิงจืดชืดที่ผู้เป็นป้าเปิดทางทอดสะพานให้เธอเดินมาหาจนหนีเตลิดไปแล้ว...

 

        พอฤทัยยังจดจำเหตุการณ์เมื่อสี่ปีที่แล้วได้เป็นอย่างดี ทุกคำพูดเย่อหยิ่ง เยาะเย้ยถากถางทั้งที่ไม่เคยมีอะไรบาดหมางกันมาก่อนยังอยู่ในความทรงจำไม่ตกหล่น แม้หลังความโกรธเคืองในหลายวันต่อมา... จะทำให้เข้าใจได้ว่านั่นคือสิ่งที่จอมเสเพลออกโรงปกป้องชีวิตโสดอันหวงแหน

        บนชั้นสองที่เธอนั่งพักซึ่งเป็นชั้นที่ผู้คนเข้ามาติดต่อใช้บริการของ ดี.เอ็ม. เทเลลิ้งก์ เป็นจำนวนมาก มันถูกเปิดโล่งให้สามารถมองลงไปเห็นชั้นล่างสุด บริเวณประตูหมุนใหญ่ที่คนทั่วไปใช้เดินเข้า-ออก หากตอนนี้เธอกำลังเห็นว่าร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีเข้มของเซเลสตร้า เด มาร์คอส กำลังเดินเข้าสู่อ้อมกอดของผู้เป็นป้า

        ครู่ต่อมาโลล่าจึงก้าวเข้าไปนั่งในรถยนต์คันยาว ซึ่งเซเลสตร้าเป็นคนปิดประตูให้เอง ก่อนที่รถยนต์อีกคันจะเคลื่อนเข้ามาจอดเทียบ แต่ก่อนที่เขาจะก้าวเข้าไปในรถกลับชะงักค้างอยู่ชั่วครู่ ซึ่งระนาบของสายตานั้นจ้องมองมายังเธอจนต้องรีบหมุนตัวกลับเพราะกลัวว่าเขาจะรู้สึกตัวว่ามีใครสักคนกำลังจ้องมองอย่างไม่คลาดสายตา

        เมื่อรู้สึกว่าจังหวะการเต้นของหัวใจเข้าสู่ปกติ พอฤทัยก็ค่อยๆ หมุนตัวกลับไปมองยังประตูหมุนเมื่อครู่ช้าๆ แล้วต้องลอบถอนหายใจเมื่อไม่ได้เห็นร่างสูงใหญ่ของเขาแล้ว แต่คำพูดของโลล่าต่างหากที่ทำให้เธอรู้สึกว่ากำลังหยุดอยู่กลางทางแยกของชีวิต

        แม้จะรู้หัวใจตัวเองดีว่าตลอดสี่ปีที่ผ่านมานั้นได้มอบความรักให้เขาเพียงลำพัง มันเป็นความรักข้างเดียวที่เธอคิดว่ามีความสุขมากกว่าที่จะให้ผู้ชายซึ่งหวงแหนชีวิตโสดได้ล่วงรู้

        เหนือสิ่งอื่นใดเธอจะทำให้ความหวังของโลล่าและทัศนคติของเซเลสตร้าปรับเข้าหากันด้วยวิธีใด นอกเหนือจากการทำให้เธอต้องอุ้มท้องทายาทเด มาร์คอส ด้วยวิธีธรรมชาติ!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา