ปลูกรักในรั้วใจ

10.0

เขียนโดย อิสวารายา

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 15.26 น.

  39 ตอน
  0 วิจารณ์
  38.37K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2559 15.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) ตอนที่ 8 ตัวแทนจากดวงดาว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 8 ตัวแทนจากดวงดาว

 

                แทนดาวพยายามฝืนลืมตาสู้แสงแดดยามเช้าที่ทะลุผ่านผ้าม่านเข้ามา รู้สึกดีขึ้นมากเมื่อไข้ลดลงแล้วแต่ว่าแผลยังเจ็บอยู่ ได้ยินเสียงฮัมเพลงดังแผ่วๆมาจากห้องน้ำแสดงว่าปลายเดือนคงจะตื่นนานแล้ว สักพักพี่ชายก็มาเรียกตัว

                “พี่หมากขา...เมื่อคืนน้องพลูฝันน่ากลัวสุดๆเลยค่ะ” หญิงสาวนึกทบทวนถึงความฝันน่าสยองเมื่อคืนแล้วก็พาลขนลุก นี่ถ้าพี่หมากไม่เข้ามาล่ะก็...หล่อนคงเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ       

                “อะไรกัน...อ้อนพี่แต่เช้าเชียว แล้วหนูฝันว่าอะไรล่ะคะ?” เทียมภพนั่งลงข้างๆน้องสาวแล้วหอมแก้มเนียนเบาๆ ลองเอามืออังหน้าผากก็เบาใจว่าตัวไม่ร้อนแล้ว เห็นอาการดีขึ้นก็คลายกังวลไปมาก

                “ก็ที่มีฉลามมารุมกัดน้องพลูไง” แทนดาวซุกหน้ากับอกกว้างพร้อมกับกอดเอวหนาไว้แน่น อ้อมอกที่มอบความรักความอบอุ่นให้เสมอมาตั้งแต่จำความได้

                “สงสัยเมื่อคืนไข้ขึ้นจนเพ้อล่ะสิ ไปอาบน้ำไป...เดี๋ยวไปกินข้าวกัน พี่สั่งข้ามต้มกุ้งกับไข่เจียวปูของโปรดให้หนูด้วยนะคะ” เทียมภพบอกอย่างเอาใจ แทนดาวงงที่พี่ชายจำเรื่องราวเมื่อคืนไม่ได้            

                “พี่หมากอยู่กับน้องพลูใช่มั้ยคะ? เมื่อคืนนี้” ถามพี่ชายอีกทีเพื่อความแน่ใจ

                “ก็มาพาเข้านอนไงล่ะ จำไม่ได้หรือไง? อยู่เฝ้าอีกสักพักคุณแม่ก็มาเปลี่ยน สงสัยไข้ขึ้นหนักมากจนจำอะไรไม่ได้เสียแล้ว” เทียมภพดันตัวน้องสาวออกเพื่อสังเกตอาการอีกครั้ง

                “แต่...” ความสงสัยเริ่มรุนแรงขึ้น พี่หมากอยู่แค่ตอนหัวค่ำแล้วตอนดึกช่วงที่ละเมอล่ะ

                “มีอะไรจ๊ะ?”

                “ไม่มีอะไรค่ะ” น้องสาวตอบอุบอิบ ชักเริ่มมีลางสังหรณ์บางอย่าง

                “จะมีอะไรล่ะคะ นอนดิ้นไปดิ้นมาส่งเสียงโอดโอยจนผึ้งแทบจะไม่ได้นอน” ปลายเดือนที่แต่งตัวออกมาจากห้องน้ำเรียบร้อยปรายตามองน้องสาวพลางบ่น

                “’งั้นก็ไปอาบน้ำแต่งตัว เสร็จแล้วจะพาไปล้างแผลที่อนามัย” เทียมภพประคองตัวน้องสาวไปส่งที่ห้องน้ำ จมูกเล็กได้กลิ่นหอมอ่อนๆของโลชั่นโกนหนวดอยู่แถวไรคาง วูบหนึ่งก็คิดไปถึงบุรุษอีกคนที่ใช้อาฟเตอร์เชฟกลิ่นนี้ ฉับพลัน...สำนึกบางอย่างก็เกิดขึ้น หล่อนจ้องพี่ชายตาค้างแล้วลองนึกทบทวนเหตุการณ์เมื่อคืนอีกครั้ง

                “ปวดแผลเหรอคะ? ไหนให้พี่ดูซิ” พอเห็นน้องสาวทำหน้าแปลกๆก็คิดว่าคงปวดแผลจึงพลิกฝ่าเท้าข้างที่บาดเจ็บขึ้นมาดู แผลก็ไม่บวมและดูแห้งดีนี่นา

                “เปล่าหรอกค่ะ...น้องพลูว่าไข้คงขึ้นอีกรอบแล้วมั้งคะ” ตอนนี้รู้สึกว่าร่างกายมันร้อนไปหมดตั้งแต่ปลายผมจรดปลายเท้า พี่หมากจะรู้มั้ยนะว่าเมื่อคืนน่ะ...มีแมวย่องเข้ามาขโมยกินปลา!

                ครอบครัวทวีกิจไพศาลรับประทานอาหารเช้ากันพร้อมหน้า คุณดวงทิพย์ยื่นคำขาดไม่ให้ลูกสาวไปนั่งเรือด้วยเพราะร่างกายยังอ่อนแออยู่ แทนดาวหน้าง้ำทำท่าจะร้องไห้หันมาขอความเห็นใจจากคุณย่ากับพี่ชายก็ไม่ได้ผลเพราะทุกคนต่างก็ลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ เทียมภพบอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนและจะพาไปเที่ยวถ้าไม่ดื้อ

                “ทุกคนใจร้าย! น้องพลูบอกแล้วว่าไม่เป็นอะไร ไข้ก็ลดแล้ว ดูสิ...ล่องเรือก็ไม่ให้ไป น้ำก็ไม่ให้เล่น แล้วจะมาทะเลทำไมเนี่ย” คนตัวเล็กโวยวายแต่ไม่มีใครสนใจ ขืนตามใจเดี๋ยวจะได้เดือดร้อนกันอีก

                “หนูยังไม่หายไข้ดี เอาไว้คราวหลังพ่อจะพามาอีก คราวนี้อยู่กันหลายๆวันเลยดีมั้ย?” บิดาปลอบบุตรสาวคนเล็กที่ทำแก้มป่อง ขู่ว่าจะไม่ยอมกินข้าวกินยา

                “พ่อแม่เจ้าหวังดีนะเจ้าพลู ไปตะลอนๆอยู่แล้วเมื่อไหร่จะหาย” คุณลำเภาเสริม

                “ก็น้องพลูอยากไปด้วยจริงๆนี่คะ” หล่อนยังยืนกรานในความต้องการของตัวเอง

                “ผึ้งอยู่เป็นเพื่อนน้องเองก็ได้ค่ะ ลุงธรรมกับป้าทิพย์จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” ปลายเดือนเสนอตัวไปอย่างนั้นเอง ใจจริงก็อยากจะอยู่เพราะมีเรื่องคุยค้างกับเวทิวุฒิอยู่หลายเรื่อง

                “ไม่ต้องหรอกจ้ะสีผึ้ง หนูตามไปดูแลคุณย่าน่ะดีแล้ว” เทียมภพบอกน้องสาวคนรองก่อนจะหันมาพูดกับน้องสาวคนเล็ก

                “ไม่เอาน่า...น้องพลู ถ้าดื้อแบบนี้ทริปเกาหลีที่ขอไว้อดนะคะ” พี่ชายยื่นคำขาด แทนดาวหมดหนทางสู้จึงก้มหน้าก้มตาจ้วงข้าวต้มเข้าปากด้วยอาการกระแทกกระทั้น

                “คอยดูนะ! พลูจะหนีไปเที่ยวคนเดียว” ทุกคนต่างหันมามองหล่อนอย่างระอาใจ

 

                 เมื่อถึงเวลานัดหมายทุกคนยกเว้นสองพี่น้องก็ไปลงเรือ เทียมภพบอกว่าจะอยู่เฝ้าน้องก็จริงแต่พอพาไปล้างแผลและจัดการให้กินยาแล้วก็เกลี้ยกล่อมให้นอนพักอยู่ที่แต่ห้อง จากนั้นก็แอบดอดออกไปหาสาวลูกครึ่งรัสเซียที่เกิดถูกตาต้องใจกันฉับพลันในบาร์เหล้าตั้งแต่เมื่อคืนวาน คงจะเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วสำหรับชายโสดแสนเจ้าชู้อย่างเขา ที่ไม่ว่าจะไปที่อยู่ไหน...ก็มักจะมีสาวๆรายล้อมไม่เคยขาด

                แทนดาวรอจนมั่นใจว่าพี่ชายออกไปเตร็ดเตร่ที่อื่นแล้วก็ทะลึ่งตัวขึ้นจากเตียง สลัดผ้าห่มออกอย่างเร่งรีบค่อยๆจรดปลายเท้าลงบนพื้น ที่ประกาศไว้ตอนเช้าว่าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวนั้น...ตอนนี้โอกาสมาถึงแล้วพี่หมากจะรู้ตัวไหมว่า...ถึงจะเข้มงวดกวดขันเพียงใดก็ไม่สามารถตามคุมน้องสาวตัวแสบได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง อาการเจ็บปวดทุเลาลงไปมากแล้วแต่ก็ต้องระวังไม่เผลอลงน้ำหนักที่เท้าขวามากเกินไป จากนั้นก็เลือกชุดเสื้อกางเกงแบบลำลองสีสันสดใสมาใส่ แอบหยิบเอาหมวกปีกกว้างสีหวานของปลายเดือนมาสวม ปิดท้ายด้วยแว่นกันแดดเพื่ออำพรางหน้าตา เอาล่ะ...ถึงเวลาที่นกน้อยในกรงทองต้องกางปีกออกไปผจญภัยตามลำพังแล้ว

                คนหนีเที่ยวเดินกะเผลกตรงไปยังร้านให้เช่าจักรยานที่อยู่ไม่ไกลกัน ในเมื่อเท้าเดินไม่ไหวก็ปั่นจักยานเล่นตามแนวชายหาดก็แล้วกัน แต่ยังไม่ทันปั่นออกไปได้ไกลก็นึกได้ว่าลืมเอากล้องถ่ายรูปมาด้วยเลยต้องวกกลับไปเอา แต่ด้วยความที่ยังเจ็บแผลอยู่จึงทำให้ขี่ไม่ถนัดจนพาจักรยานหันหัวส่ายไปมาจนเกือบจะไปปาดหน้ารถคันหนึ่งเข้า เสียงแตรดังสนั่นทำให้คนขี่สะดุ้งจนต้องหักหลบเข้าข้างทางล้มลงไปทั้งคนทั้งรถ แทนดาวถอดแว่นกันแดดออกแล้วมองไปที่รถคันนั้นเพื่อจะต่อว่าคนขับให้สมแค้น แต่พอเห็นหน้าคนที่ก้าวลงมาก็เปลี่ยนใจไม่ด่าแต่อยากจะลุกวิ่งหนีไปไกลๆ

                “น้องพลู! เป็นอะไรหรือเปล่า?” ชลธีรีบวิ่งเข้ามาประคองก่อนจะสำรวจไปทั่วร่างด้วยความเป็นห่วง นี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะที่หล่อนเอาตัวมาขวางรถเขาไว้ น่าตีจริงเชียวแม่คุณเอ๋ย...

                “พี่ชลนั่นเอง...น้องพลูไม่เป็นไรหรอกค่ะ” หล่อนตอบหวั่นๆ แย่ล่ะ...ต้องมีคนบอกให้ชลธีมาตามตัวกลับไปแน่ๆ ไม่หรอก...อุตส่าห์วางแผนหนีออกมาจะให้กลับไปได้ไง

                “เฮ้อ...เกือบจะได้แผลอีกแล้วนะเรา” เขาบ่นกับความซุกซนของสาวน้อยตรงหน้า

                “แล้วทำไมมาคนเดียวล่ะ? ไม่ได้ไปเที่ยวเกาะกับคนอื่นเหรอครับ? แผลหายดีแล้วเหรอ?” เขายิงคำถามรัวๆซึ่งทำให้คนถูกถามเบาใจได้ว่าไม่ได้มาตามตัวกลับแน่

                “น้องพลูถูกทิ้งแล้วล่ะค่ะ พ่อกับแม่แล้วก็พี่หมากไม่ให้พลูไปเที่ยวด้วย บอกว่ายังไม่หายดี แต่น้องพลูหายแล้วจริงๆนะคะ อยากเล่นน้ำก็ไม่ได้เล่น อยากนั่งเรือก็ไม่ได้ไป ป่านนี้พวกเค้าคงเพลินจนลืมน้องพลูกันหมดแล้ว” หล่อนตอบหงอยๆปนความน้อยใจที่อุตส่าห์มาทะเลทั้งทีแต่กลับป่วยจนอดไปเที่ยว

                “เลยติดอยู่นี่คนเดียวงั้นสินะ”

                “เปล่าหรอกค่ะ พี่หมากอยู่เป็นเพื่อนสักพักนึงแต่ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว” เขาร้องอ๋อเบาๆ พอจะเดาออกว่าคู่อริคงจะไปนั่งตามร้านเหล้าเฝ้ามองสาวๆนุ่งบิกินี่แถวๆนี้แหละ

                “เอางี้...ขึ้นรถมากับพี่ก่อนดีกว่า” เขาเสนอหลังจากนิ่งไปชั่วครู่

                “แล้วจักรยานล่ะคะ?”

                “เดี๋ยวน้องพลูนั่งรอพี่ในรถก่อนนะ จะเอาไปคืนให้ เช่ามาจากร้านนั้นใช่มั้ย?” หล่อนพยักหน้ารับ อีกประเดี๋ยวเขาก็กลับมา

                “แวะที่บ้านให้แป๊บนึงนะคะ น้องพลูลืมเอากล้องมา” หล่อนบอกเมื่อเขากำลังจะออกรถ

                “ได้สิครับ” เขารับสั้นๆก่อนวกกลับไปยังบ้านพักของหล่อน

                “แอบหนีออกมาแบบนี้ไม่กลัวถูกตีหรือไง ยังไม่เข็ดหรือ?” เขาแกล้งถามเมื่อออกรถมาได้ระยะหนึ่ง ตอนนี้ทั้งคู่อยู่บนถนนเลียบชายหาด นึกมโนภาพพี่ชายเจ้าหล่อนตอนที่รู้ว่าน้องสาวหายตัวไปคงจะอาละวาดเป็นหมาบ้าติดเชื้ออีโบล่าแน่ๆ

                “ก็อยากไม่ให้ไปด้วยทำไม” คนตัวเล็กตอบงอนๆพลางมองทิวทัศน์สองข้างทางจนเพลินไม่สนใจว่าสารถีจะพาไปไหน

                “ก็เค้าเป็นห่วง อยากให้พักผ่อนเพราะเห็นว่าเราน่ะไม่สบาย”

                “ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วนี่คะ”

                “น้องพลูชอบทะเลเหรอครับ?”

                “มากๆเลยค่ะ ตอนเด็กๆถ้าไม่ได้ไปทะเลจริงๆก็ชอบให้พี่หมากพาไปสวนน้ำ”

                “งั้นวันนี้พี่จะพาน้องพลูไปเที่ยวเกาะส่วนตัวของลุงพี่ รับรองว่าสวยจนไม่อยากกลับเชียวล่ะ แต่ไม่อนุญาตให้เล่นน้ำนะครับเดี๋ยวแผลอักเสบ” ไหนๆก็หนีออกมาแล้วก็พาเที่ยวให้สมความพยายามดีกว่า แทนดาวหันมามองหน้าเขาด้วยประกายตาเจือความตื่นเต้นจนปิดไม่มิด

                “สบายแล้วเธอ มีไกด์เจ้าถิ่นนำทางแล้ว”

                “ถึงแล้วครับคุณผู้หญิง” ชลธีเดินอ้อมมาเปิดประตูรถให้และประคองร่างบางลงมาอย่างระมัดระวัง แทนดาวยิ้มกว้างเมื่อเห็นทะเลสีครามตรงหน้าก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆเมื่อลมพัดเอากลิ่นอายทะเลลอยมา น้ำทะเลสีเขียวใสราวกับกระจกสะท้อนกับแดดยามสายเป็นประกายวิบวับทำให้อยากจะวิ่งลงไปดำผุดดำว่ายเสียเดี๋ยวนี้

                “ว้าว...นี่มันสวรรค์แท้ๆ” สาวน้อยรำพึงกับตัวเอง

                “หวัดดีครับ...พี่ชล” เด็กวัยรุ่นสูงผอมผิวเกรียมแดดคนหนึ่งตะโกนทักทายชลธีด้วยภาษาท้องถิ่น สองคนนั้นพูดพึมพำกันสักครู่ เด็กหนุ่มนั้นพยักหน้าสองสามครั้งแล้วก็วิ่งจากไป

                “มาเถอะครับ” ชลธีแตะศอกให้หญิงสาวเดินตามมายังเรือสปีดโบ๊ทลำหนึ่ง ตรงข้างลำเรือสกรีนชื่อรีสอร์ทละออง

                “วันนี้พี่จะพาน้องพลูเที่ยวเองนะ ถือว่าพิเศษมากๆนะเนี่ย...มีไม่กี่ครั้งหรอกที่พี่จะพาลูกค้าเที่ยวด้วยตัวเอง” เขาพูดอย่างให้ความสำคัญจนคนฟังอดปลื้มไม่ได้

                “เราเป็นคนพิเศษอย่างนั้นหรือ?”

                “คือ...พลูกลัวน่ะค่ะ ถ้าพี่หมากรู้...” เกิดความกังวลขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ชลธียิ้มบางๆอย่างเข้าอกเข้าใจ

                “มาเถอะ...ไอ้หมากจะไม่รู้ แล้วก็ไม่ต้องกลัวนะครับ...ทะเลที่นี่ไม่มีฉลามมาเพ่นพ่านแน่นอน” แทนดาวจ้องมองคนพูดตาแป๋ว รู้สึกขัดเขินและเก้อกระดากกับเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาทันที ชลธียิ้มเจ้าเล่ห์นัยน์ตาพราวและไม่รอให้ ‘คนตาแป๋ว’ ตั้งคำถามใดๆอีก รีบช้อนร่างบางขึ้นมาอุ้มพาลุยน้ำไปขึ้นเรือ

                “พี่ชล!” คนตัวเล็กดิ้นอึกอัก วงแขนแข็งแรงนั้นยกตัวหล่อนขึ้นเรืออย่างง่ายดาย ชลธีขับเรือด้วยตัวเองอย่างคล่องแคล่วและชำนาญเส้นทาง เจอตรงไหนสวยก็จะชะลอความเร็วให้ถ่ายรูปจนมาถึงเกาะที่บอกว่าเป็นของญาติ เขาจอดเรือทอดสมอที่หาดแห่งนี้ แทนดาวเพลิดเพลินจนลืมเรื่องต่างๆหมดสิ้นเมื่อเท้าได้สัมผัสกับผืนทรายที่ขาวละเอียดเหมือนแป้ง มือก็ถ่ายรูปวิวทิวทัศน์สวยๆและส่งไลน์อวดเพื่อนๆจนพอใจ น้ำใสจนมองเห็นฝูงปลาตัวเล็กๆที่ว่ายเวียนหาอาหารอยู่บริเวณนั้นทำให้อยากลงไปแหวกว่ายในน้ำใสๆกับฝูงปลาเหล่านั้นเหลือเกิน พอเดินลึกเข้าไปในตัวเกาะก็เห็นบ้านสีขาวสลับฟ้าปลูกหลบอยู่ในดงต้นไม้แต่ก็เด่นเป็นสง่าเพราะอยู่บนเนิน ที่ชั้นบนสุดของบ้านล้อมด้วยผนังกระจกรอบด้านสำหรับชมวิว

                “เป็นไง สมกับที่พี่คุยให้ฟังหรือเปล่า?” ชลธีถาม หญิงสาวพยักหน้ารัวๆ

                “สวยจัง” หล่อนอุทานเบาๆเหมือนตกอยู่ในความฝัน

                “อยากเข้าไปในบ้านมั้ยครับ? แต่วันนี้ลุงพี่ไม่อยู่ ลูกแกพาเข้าเมือง” เขาชวนเมื่อยังเห็นว่าดวงตาทรงอัลมอนด์เอาแต่จ้องมองบ้านกลางเกาะนี้อย่างหลงใหล

                “อย่าดีกว่าค่ะ พี่ชลบอกว่าที่นี่เป็นที่ส่วนตัวเพราะฉะนั้นเราไม่ควรเข้าไปถ้าเจ้าของบ้านไม่อยู่” หล่อนปฏิเสธด้วยความเกรงใจ ชลธีอาจจะสะดวกที่จะเดินเข้านอกออก ณ ที่แห่งนี้ แต่หล่อนมิใช่ญาติ ถ้าทำอะไรตามใจตัวเองอาจจะเป็นที่ตำหนิมาถึงผู้ปกครองได้ ชลธีพยักหน้าเข้าใจแล้วพาคนตัวเล็กไปนั่งพักใต้ต้นไม้ใหญ่ริมหาด

                “ทะเลที่ระยองสวยแบบนี้มั้ยคะ?”       แทนดาวถามพลางก้มหน้าก้มตาเลือกภาพสวยๆส่งไลน์ให้เพื่อนๆดู

                “สวยคนละแบบ น้องพลูต้องไปเห็นเอง”

                “พี่ชลนี่โชคดีจัง มีบ้านอยู่ใกล้ๆทะเลสวยๆทั้งนั้น”

                “ทั้งพ่อกับแม่พี่เป็นคนที่นี่ ตอนเล็กๆพี่ก็ถูกเลี้ยงอยู่ที่นี่ คุณตาชอบพาพี่กับบรรดาหลานๆมาวิ่งเล่น หาปูหาปลาที่เกาะนี้แหละ เมื่อก่อนบ้านนี้ยังเป็นบ้านไม้เล็กๆชั้นเดียว มีตากับยายแล้วก็ลุงอยู่กันสามคน แม่กับพี่อยู่รวมกับญาติคนอื่นๆบนฝั่ง ก่อนที่ตาจะเสีย...ท่านแบ่งมรดกเป็นที่ดินให้ลูกๆไปทำมาหากิน ที่ตรงเกาะนี้ก็ยกให้ลุงที่อยู่มาตั้งแต่เล็กๆส่วนแม่พี่ได้ที่ระยองไป พอคุณตาเสีย...พ่อก็ย้ายครอบครัวไปอยู่ระยอง ด้วยความที่พวกท่านผูกพันกับที่นี่มากก็เลยตั้งใจจะสร้างบ้านให้เหมือนที่นี่แต่พ่อก็มาด่วนจากไปเสียก่อน เสียดายที่ท่านไม่ได้อยู่เห็นความฝันที่เป็นจริง” เขาเล่าเรื่องราวของตัวเองเพียงเท่านี้ คุณประจิมบิดาของเขาเป็นเพียงลูกจ้างขับเรือให้นักท่องเที่ยว เหมือนนิยายความรักต่างฐานันดรศักดิ์ในละครมิผิดเพี้ยน มารดาเคยเล่าให้ฟังว่าตาโกรธมากที่พ่อมาสู่ขอแม่ด้วยเงินสินสอดเพียงสองหมื่นบาทกับแหวนทองธรรมดาหนึ่งวง ท่านไม่ยอมให้แต่งงานจนกว่าว่าที่ลูกเขยจะมีเรือเป็นของตัวเอง กว่าสามปีที่หนุ่มนักสู้ไม่ท้อถอยต่อโชคชะตา สุดท้ายเขาก็สามารถเก็บหอมรอมริบจนซื้อเรือได้หนึ่งลำและได้แต่งงานกับคุณวารีในที่สุด

                “พี่ชลก็คงชอบทะเลมากเหมือนกันล่ะสิ...ถึงได้ชื่อนี้” แทนดาวหันมายิ้มให้ เป็นยิ้มที่บริสุทธิ์จนเขาต้องยิ้มตอบ

                “จะว่างั้นก็ได้ครับ ชื่อนี้คุณตาตั้งให้น่ะ ตาจะตั้งชื่อลูกๆหลานให้มีความหมายเกี่ยวกับน้ำ อย่างลุงชื่อกระสินธุ์ น้าชื่อนที สินธู แม่พี่ก็ชื่อวารี...ท่านก็เลยเป็นคนใจเย็นดุจสายน้ำ คุณตาอยากให้พี่เยือกเย็นเหมือนสายน้ำและยิ่งใหญ่เหมือนทะเลก็เลยให้ชื่อนี้ อีกอย่าง...น้ำสามารถไหลลอดผ่านสิ่งกีดขวางได้เสมอ” เขาเล่าที่มาของชื่อก่อนจะถามกลับบ้าง

                “แล้วน้องพลูทำไมถึงชื่อแทนดาวล่ะ? พี่ว่ามันสะดุดหูดีนะ สั้นๆ...แต่มีความมายลึกซึ้ง” คนถูกถามเหยียดขาออกไปข้างหน้าจนสุด ใช้แขนยันพื้นทรายไว้ก่อนจะเอนหลังนั่งในท่าสบายๆ แล้วเริ่มเล่าที่มาของชื่อตัวเอง

                “คุณพ่อบอกว่าน้องพลูเป็นลูกหลง ทีแรกก็คิดว่าจะมีพี่หมากคนเดียว แต่พออีกสิบสามปีต่อมาดันเกิดมีพลูซะนี่ ท่านเลยคิดว่าน้องพลูมาจากดวงดาวอันแสนไกลที่ต้องใช้เวลาเดินทางมาตั้งสิบสามปีก็เลยตั้งชื่อว่าแทนดาว นัยว่าเป็นตัวแทนของดาวดวงนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าดาวอะไร? สงสัยจะดาวเนปจูนมั้งคะ ที่อยู่ไกลๆจากวงโคจรน่ะ แต่ชื่อเล่นพี่หมากเป็นคนตั้งให้ค่ะ” ชลธียิ้มเมื่อรู้ที่มาของชื่อ ใช่...หล่อนเป็นตัวแทนของดวงดาว...ดาวที่ทอประกายแสงสุกสว่างในคืนที่มืดมิดนำความสดใสมาสู่คนรอบข้าง

                “งั้นสินะ...มีครบเลย ทั้งหมาก พลู แล้วก็สีผึ้ง เคี้ยวเพลินเลยทีเดียว” เขาพูดอย่างอารมณ์ดี แทนดาวหัวเราะคิกก่อนจะตั้งถามใหม่

                “เอ่อ...น้องพลูอยากจะถามอะไรอย่างนึงได้มั้ยคะ?” หล่อนกลับมานั่งตัวตรงเหมือนเดิม น้ำเสียงจริงจังมากขึ้นเมื่อขออนุญาตถามคำถามคนข้างๆ

                “ว่ามาเลย ถ้าพี่ตอบได้ก็จะตอบนะ” เขาแบ่งรับแบ่งสู้ไว้ก่อนเพราะไม่แน่ใจว่าเรื่องที่จะโดนถามนั้นมันยากเกินปัญญาของเขาหรือเปล่า

                “ทำไมพี่ชลกับพี่หมากถึงไม่ถูกกันล่ะคะ?” หล่อนถามด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางเหลือบตามองรอยสักตัวอักษร “P” บนท่อนแขนเขาแวบหนึ่ง ชลธีเตรียมใจไว้แล้วว่าต้องหนีไม่พ้นคำถามนี้ คำตอบนั้นมีอยู่แน่แก่ใจแต่ไม่สามารถบอกใครได้จริงๆ

                “แหม...ยากจัง ไม่ตอบได้มั้ย?” เขาถอนใจเบาๆ แทนดาวมองกิริยานั้นก็นึกตำหนิตัวเองที่เสียมารยาทกับเขาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

                “ขอโทษค่ะที่ละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว” แม้ว่าจะยังคาใจเพียงใดแต่มันคงจะเป็นการดีกว่าที่จะไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของทั้งคู่ เพราะขนาดพี่ชายตัวเองที่ใกล้ชิดที่สุดยังไม่ปริปากพูดแล้วจะไปคาดคั้นเอากับคนนอกอย่างเขาได้อย่างไร

                “แล้วนอกจากทะเล น้องพลูยังชอบดนตรีด้วยนี่” ชลธีเปลี่ยนเรื่องคุยในที่สุด แทนดาวรู้ว่าเขาตั้งใจเบี่ยงประเด็นและตนเองก็มีมารยาทพอที่จะไปดึงมันกลับมาพูดถึงอีก

                “ค่ะ...ตอนเด็กๆจำได้ว่าวันนึงคุณพ่อพาไปเที่ยวห้าง ท่านจะซื้อตุ๊กตาบาร์บี้ให้แต่น้องพลูไม่อยากได้ ดึงท่านไปโซนเครื่องดนตรีใกล้ๆกันเพราะไปสะดุดตากับเปียโนสีขาวหลังใหญ่ที่ตั้งโชว์อยู่ มีคนกำลังเล่นสาธิตให้ดูด้วย น้องพลูอยากได้มาก อยากเล่นเป็นเพลงแบบคนนั้นบ้างแต่คุณพ่อไม่ซื้อให้” แทนดาวหยุดพักเพื่อหัวเราะเบาๆ ชลธีฟังเพลิน

                “รู้มั้ยคะ...น้องพลูร้องไห้ใหญ่เลย ร้องอย่างเดียวไม่พอ ปีนไปนั่งเก้าอี้คู่คนที่กำลังเล่นอยู่แถมยังแย่งกดคีย์ คุณแม่น่ะสิไปอุ้มลงมา...โดนตีด้วย ตรงนั้นเลย” หล่อนหัวเราะดังขึ้น คนฟังนึกภาพเด็กผู้หญิงวัยประมาณห้าขวบร้องไห้งอแงจะเอาเปียโน

                “สุดท้ายรู้ถึงหูพี่หมาก แล้วในตอนเย็นวันเดียวกันน้องพลูก็ได้ของเล่นใหม่เป็นเปียโนอันเล็กทำจากพลาสติก ทุกวันนี้มันพังแล้วค่ะ แต่น้องพลูเก็บมันไว้ในตู้โชว์อย่างดีเพราะมันเป็นเปียโนหลังแรกในชีวิตที่พี่หมากใช้เวลาทั้งวันไปเดินหาซื้อมาให้” เขาเห็นแววตาวิบวับนั้นยามเอ่ยถึงพี่ชาย

                “พอเข้าโรงเรียนก็ได้ฝึกเปียโนตั้งแต่นั้นมา... ว่าแต่พี่ชลล่ะคะ...นอกจากงานที่ทำอยู่นี่ ชอบทำอย่างอื่นอีกบ้างมั้ยคะ?” หล่อนถามกลับบ้าง

                “ตอนเด็กๆพี่อยากขับยานอวกาศ อยากออกไปนอกโลก อยากไปดูมนุษย์ต่างดาวว่าหน้าตาเป็นยังไง? อยากไปดูดวงดาวให้ครบทุกดวงตามแผนที่ระบบสุริยะ” เขาเล่าความฝันในวัยเด็กพลางนึกย้อนถึงเรื่องราวในอดีตของตน

                “ผมจะเรียนแพทย์ ผมไม่อยากเห็นใครต้องมาจากไปโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้” ครั้งหนึ่งนานมาแล้วเขาบอกกับมารดาอย่างนี้ หลังเสร็จงานศพของบิดาซึ่งจากไปด้วยโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน หากแต่พอตอนเลือกคณะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขากลับตัดสินใจเลือกการท่องเที่ยวและโรงแรม

               “มึงมันประสาท...เรียนมาแทบตาย แทบจะแดกตำราแทนข้าว เสือกเลือกไม่ตรงสายที่เรียน ไอ้ห่า...กูนึกว่ามึงจะไปเป็นหมอ ดันจะมาเป็นเบลล์บอยซะนี่” เพื่อนคนหนึ่งของเขาเคยพูดไว้

            “ลูกไม่จำเป็นต้องเสียสละตัวเอง แม่จะทำเท่าที่ทำได้ แม่ทำไหวจ้ะ” คุณวารีบอกลูกชาย เขาจับมือมารดาอย่างให้กำลังใจพลางหันไปมองรมณ์นลินที่กำลังหัดเล่นกีตาร์อย่างตั้งใจ

            “ผมไม่เปลี่ยนใจครับแม่ ผมเลือกแล้ว...ผมจะมาช่วยแม่และสานต่อความฝันของพ่อให้เป็นจริง”

ชลธีสลัดภาพเก่าๆออกไปเมื่อรู้สึกตัวว่ามีคนกำลังตั้งใจฟังเรื่องราวของเขาที่ค้างอยู่

                “แต่พอโตขึ้นมาหน่อยก็รู้ว่ามันเป็นไปได้ยาก...พอแก่ขึ้นก็ยิ่งรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย แต่ว่าน้องพลูเชื่อมั้ยว่าปาฏิหาริย์มีจริง...” เขาหยุดเพื่อรอให้หล่อนหันมาสบตา

                “วันนี้...ตอนนี้...ดวงดาวที่อยู่ไกลที่สุดในจักรวาลอยู่ตรงหน้าพี่แล้ว” เสียงเล่าดังแผ่วเบาคล้ายจะกระซิบแต่ก้องกังวานในใจคนฟัง หญิงสาวเข้าใจทันทีว่าดวงดาวที่บุรุษหน้าคมอ้างหมายถึงใคร ความอุธัจขัดเขินบังเกิดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ด้วยยังไม่คุ้นชินกับบทเกี้ยวพา ชลธีสังเกตได้ถึงริ้วเลือดฝาดแดงระเรื่อที่วิ่งไปทั่วใบหน้างดงามก็นึกบริภาษตัวเองอยู่ในใจ

                “อา...ชลธี แกมันไอ้แก่ตัณหากลับที่ริอ่านงัดมุกจีบสาวเน่าๆมาใช้กับเด็ก!”   

                “แหม...เรื่องของพี่ชลนี่น่าเอามาเขียนนิยายขายนะคะ รับรองคนนั่งตบยุงกันทั่ว     เมือง” หญิงสาวแซวแก้เก้อแล้วทั้งคู่ก็หัวเราะขึ้นพร้อมกันจนสลายขัดเขินสลายไปได้

               “ไม่หรอกแทนดาว...เค้าแค่พูดแซวเล่น” หล่อนคิดในใจเงียบๆ

                “เอ่อ...ว่าแต่อีกเรื่องนึง คือว่า...เมื่อคืนนี้” แทนดาวอึกอักอยู่แค่นั้นแล้วก็ก้มหน้านิ่งเพราะกระดากอายที่จะพูดต่อ ชลธีเข้าใจทันทีแล้วยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เขาใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่เอื้อมมือไปจับผมยาวที่ปลิวไสวด้วยแรงลม ภาพตรงหน้าทำให้สติของเขาลอยไปชั่วขณะหนึ่งคิดไปถึงผู้หญิงอีกคนที่เคยอยู่เคียงข้างตนเมื่อนานมาแล้ว สัมผัสเก่าๆกลับมาในห้วงคะนึงอีกครั้ง

                 “ผมจะหวีผมให้คุณแบบนี้ทุกวันๆ เราจะแก่เฒ่าไปด้วยกัน” ชลธีมองหญิงสาวผู้เป็นที่รักในเงาสะท้อนจากกระจก มือก็ค่อยๆแปรงผมยาวสลวยนั้นอย่างเบามือ

              “ถึงตอนนั้นผมหงอกแล้ว...ชลจะยังให้ความสนใจมันอยู่หรือคะ?” หญิงสาวเจ้าของผมยาวสลวยกับใบหน้าหวานละมุนถามพลางยุดมือเขาไว้

              “ไม่ว่าคุณจะมีผมหงอกหรือผิวหนังเหี่ยวย่น มันก็ไม่ได้ทำให้ความรักที่มีจืดจางไปตามกาลเวลาเลย” เขาตอบเสียงนุ่มแต่คนฟังก็เชื่อเต็มเปี่ยมว่าออกมาจากใจจริงๆ ทั้งคู่จ้องมองตากันและกันด้วยความรักผ่านกระจกเงา

                “อีกไม่นานหรอก...พอทุกอย่างลงตัวแล้วผมจะไปขอคุณแต่งงาน ผมสัญญาว่าจะดูแลคุณอย่างดีไม่ให้ต้องลำบาก คุณจะเป็นไข่มุกเม็ดงามที่อยู่คู่ทะเลอย่างชลธีคนนี้ แต่ตอนนี้ขอมัดจำไว้ก่อนนะจ๊ะ” เขากระซิบข้างหูเล็กก่อนจะอุ้มร่างระหงวางลงบนเตียงนุ่ม....

                “เรื่องที่พี่ไปไล่ปลาฉลามให้น่ะเหรอ?” ชลธีสะบัดศีรษะไล่ความทรงจำต่างๆออกไปก่อนจะหันมาตอบคำถามคนข้างๆ แทนดาวค้อนให้หนึ่งทีที่เขากล้าพูดออกมาหน้าตาเฉยแล้วก้มหน้าเขี่ยเม็ดทรายราวกับว่ามันเป็นเพชรพลอยมีค่า

                “ถ้าน้องพลูโกรธ...พี่ก็ขอโทษนะครับ แต่สาบานได้เลยว่าไม่ได้มีเจตนาจะฉวยโอกาสหรือจะเข้าไปทำมิดีมิร้ายเลย พี่เป็นห่วงจริงๆนะครับ ที่น้องพลูต้องมาบาดเจ็บแบบนี้มันก็เป็นความผิดของพี่ด้วยส่วนหนึ่ง” ชายหนุ่มจับไหล่อีกฝ่ายให้หันหน้ามาคุยกันดีๆ

               “เมื่อคืน...พี่ออกมาเดินเล่น แล้วก็ได้ยินน้องพลูร้อง...ทีแรกตกใจนึกว่ามีใครเข้าไปทำร้าย” เขาหยุดนิดหนึ่งเพื่อสังเกตปฏิกิริยาจากคนตัวเล็กแต่ฝ่ายนั้นยังคงหุบปากสนิท เขาอยากให้อีกฝ่ายมั่นใจได้ว่าตนเองไม่ได้ถือโอกาสช่วงที่หล่อนกำลังอ่อนแอ

               “พี่ชายเราคงทำแบบนี้เหมือนกันใช่มั้ย?” คนฟังรู้สึกสลดใจนิดๆโดยไม่รู้สาเหตุเพียงแค่เขาบอกว่าที่ทำไปเพราะต้องการเป็นตัวแทนพี่หมากงั้นหรือ

                “พี่ขอโทษสักพันครั้งจะพอมั้ยนะ?” อาการนิ่งเงียบของคนข้างๆทำให้เขาก็รู้สึกใจไม่ค่อยดี

                 “คือ...” แทนดาวเข้าใจเจตนาของเขาและมั่นใจด้วยว่าชลธีมีความเป็นสุภาพบุรุษมากเกินกว่าจะมาล่วงเกินกระทำการอย่างอื่นนอกเหนือไปอยากช่วยให้หล่อนผ่านพ้นความฝันอันโหดร้ายอย่างเมื่อคืนนี้ คิดดูให้ดี...มิใช่ตัวเองหรอกหรือที่ดึงเขามาซบกอดเสียแน่นไม่ยอมปล่อย!

                 “ลืมมันไปดีกว่าค่ะ น้องพลูจะไปเคืองพี่ชลได้ยังไงในเมื่อ...น้องพลูเองก็ไม่รู้สึกตัวแถมยังเข้าใจผิดว่าเป็นพี่หมากก็เลย...คือน้องพลูนอนกอดพี่หมากเป็นประจำน่ะค่ะ” หล่อนตอบเสียงเบาด้วยยังกระดากอยู่ไม่หาย ชายหนุ่มยิ้มบางๆพลางคิดในใจ

                “พี่จะลืมได้ยังไง?”

                 “โอเค แต่พี่ยืนยันได้ว่าไม่ได้ล่วงเกินอะไรน้องพลูมากเกินไปกว่า...เท่าที่น้องพลูจำได้” เขาตอบเสียงนุ่มแต่มิวายที่จะบริภาษตัวเองอยู่ในใจ

                  “ไอ้แก่โกหก! แล้วที่แกไปจับผมน้องเค้าแล้วขโมยจูบกระหม่อมอีกล่ะ”

                 “น้องพลูไปนั่งตรงนั้นได้มั้ยคะ?”แทนดาวก้มหน้าซ่อนความอายก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องคุย ชี้มือไปที่ชิงช้าไม้ที่ผูกอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่

                 “มาสิ” เขายืนขึ้นแล้วส่งมือให้จับ แทนดาวลังเลนิดหนึ่งก็เข้าใจเจตนาดีที่อยากช่วยจึงยอมส่งมือให้เขาดึงตัวขึ้นแล้วประคองคนตัวเล็กเดินไปนั่งลงบนแผ่นไม้ที่ลอยจากพื้นไม่สูงนัก

                “ถ่ายรูปให้หน่อยสิคะพี่ชล ให้เห็นวิวบ้านหลังนั้นด้วย น้องพลูจะเอาไปอวดเพื่อน” แทนดาวถีบเท้ากับพื้นให้ชิงช้าไกวเบาๆก่อนจะส่งกล้องให้เขา ชลธีตั้งท่าถ่ายอย่างทะมัดทะแมงแล้วส่งคืนเมื่อได้รูปที่คิดว่าสวยแล้ว

                “ขอบคุณนะคะ” ปลายนิ้วเรียวเลื่อนดูภาพอย่างอารมณ์ดี ชลธีอาศัยจังหวะนี้เดินเลี่ยงออกมาแล้วจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปสาวน้อยที่กำลังนั่งไกวชิงช้าเล่นอย่างเริงร่า

                 “สวยป่ะ?” แทนดาวจ้องมองวัตถุสองชิ้นที่ชลธียื่นให้ดูตรงหน้า มันคือเปลือกหอยสีขาวมุกชิ้นเล็กๆสองชิ้นกำลังสะท้อนกับแสงแดดจนเกิดประกายเหลือบมุกสวยงาม

                  “สวยค่ะ...พี่ชลเอามาจากไหนเหรอคะ?” มือเรียวหยิบเปลือกหอยสองชิ้นขึ้นมาดูใกล้ๆ

                   “แถวนี้แหละ...มีเยอะ บางทีพวกลูกหลานคนงานก็มาเก็บไปร้อยขายเป็นของที่ระลึก” เขาตอบพลางทิ้งตัวลงนั่งตรงรากต้นไม้ข้างๆกัน แทนดาวยังคงพลิกเปลือกหอยไปมา

                   “น้องพลูขอนะ ว่าแต่...บ้านพี่ชลมีคนทำฟาร์มมุกมั้ยคะ?”

                   “มีสิ...น้าคนที่ชื่อสินธูเลี้ยงมุกอยู่อีกจังหวัด”

                   “ว้าว...อยากเห็นจังว่าเค้าเลี้ยงกันยังไง นี่แน่ะ...พูดถึงเรื่องมุกน้องพลูจะเล่าโจ๊กให้ฟัง” แทนดาวหยุดไกวชิงช้าแล้วเริ่มเล่าเรื่องอย่างตั้งใจ

                   “น้องพลูกับพี่ผึ้งเคยไปงานแต่งงานด้วยกัน วันนั้นค่อนข้างกะทันหันนางเลยไปเบิกเครื่องประดับมุกแท้ไม่ทันก็เลยแวะหาซื้อมุกเทียมในห้างราคาไม่กี่พันมาใส่แก้ขัด แล้วเกิดอะไรขึ้นรู้มั้ยคะ?” หล่อนกลั้นหัวเราะเต็มที่จนแก้มแทบปริ

                  “สร้อยเจ้ากรรมดันขาดกลางงาน...มุกร่วงกระจาย คนแถวนั้นแย่งกันเก็บใหญ่ พี่ผึ้งก็ได้แต่ร้องบอกว่า ไม่ต้องเก็บหรอกค่ะ…มันเป็นพลาสติกแต่พี่ชลเชื่อมั้ยว่าไม่มีใครยอมฟังเลย ที่เด็ดสุดคือมีคุณป้าคนนึงถึงกับหยิบเม็ดมุกบนพื้นมากัดพิสูจน์ว่าแท้หรือไม่แท้ รู้มั้ยคะ?...ป้าเธอกัดไปแล้วบอกว่า...” แทนดาวกระแอมนิดหนึ่งเพื่อเลียนเสียงคุณป้าคนนั้น

                  “ของแท้ค่ะ...ดิฉันยืนยันได้ ลองกัดแล้วมันขรุขระคล้ายๆเม็ดทราย ระดับคุณปลายเดือนเธอไม่ใส่หรอกค่ะของเก๊ ในเมื่อคุณปลายเดือนไม่เอาแล้ว...ก็ถือว่าใครเก็บได้ก็เป็นสมบัติของคนนั้นไปนะคะ คนแถวนั้นก็เลยก้มเก็บมุกกันไม่ลืมหูลืมตา” หล่อนเล่าไปหัวเราะไป

                  “ไอ้ที่ว่ากัดไปแล้วขรุขระน่ะ...พี่ว่ามันเป็นเศษดินเศษทรายที่ติดมากับรองเท้าคนที่เดินย่ำไปย่ำมามากกว่า ใช่มั้ย?” เขาช่วยต่อแล้วต่างคนต่างก็หัวเราะ

                   “ก็นั่นน่ะสิคะ พี่ผึ้งไม่รู้จะทำยังไงก็เลยปล่อยเลยตามเลย”

                   “ถ้าเป็นของแท้นี่ไม่แย่งกันหัวร้างข้างแตกหรือ” เขาพูดขันๆก่อนจะสะกิดใจอะไรบางอย่าง นี่เขาไม่ได้หัวเราะจนลืมโลกแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ เสียงแจ้วๆที่เล่าเรื่องตลกให้ฟังอยู่นี่มันทำให้มีความสุขจนหัวเราะออกมาดังขนาดนี้เชียวหรือ

                    “พูดถึงเรื่องไข่มุก...ทำให้น้องพลูนึกถึงนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาเลย เคยทำเป็นละครมาหลายรอบแล้ว นายหัวเจ้าของฟาร์มมุกหน้าโหดจับตัวนางเอกไปกักขังบนเกาะแล้วก็แกล้งเธอต่างๆนานาเพราะความเข้าใจผิด แต่สุดท้ายพอรู้ตัวก็สำนึกผิดและขอนางเอกแต่งงาน ถ้าเป็นชีวิตจริงนะ...น้องพลูจะไม่มีวันให้อภัยผู้ชายใจร้ายที่ฉุดมาแน่ๆ” คนตัวเล็กยังพูดเจื้อยแจ้วไม่มีเหนื่อย

                   “ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ติดคุกหัวโตน่ะสิ” ชลธีหัวเราะพรืด

                  “เอ...ถ้าลองบรรยายบรรยากาศตอนนี้เป็นฉากในนิยายเรื่องนั้นจะเป็นยังไงดีน้า...” คนตัวเล็กยังคงชวนคุยเรื่อยๆพร้อมกับไกวชิงช้าอย่างเพลิดเพลิน ชลธีมองตามด้วยความสนใจ

                   “นายหัวชลธีเจ้าของฟาร์มมุกจับแทนดาวผู้น่าสงสารมาขังไว้บนเกาะส่วนตัวที่มีกระท่อมหลังเล็กสีขาวโดดเดี่ยวรายล้อมไปด้วยทะเล จากนั้นก็ข่มเหงรังแกเธอสารพัดก่อนจะรู้ตัวทีหลังว่าตกหลุมรักเธอหมดหัวใจ จึงมอบเปลือกหอย...เอ๊ย...ไม่ใช่สิ ต้องเป็นไข่มุกเม็ดงามที่อุตส่าห์ไปงมหามาให้แล้วก็คุกเข่าขอแต่งงานที่ริมหาดหน้ากระท่อมสีขาว อี๋...พล็อตเรื่องแบบนี้ขายดิบขายดีเลยนะเนี่ย” หล่อนแต่งนิยายขึ้นสดๆโดยไม่คิดอะไรพลางหัวเราะร่าแล้วไกวชิงช้าให้เร็วขึ้นด้วยความสนุกสนาน คนฟังหุบยิ้มลงทันควันคล้ายไม่พอใจอะไรบางอย่าง

                 “น้องพลูอยากกลับหรือยัง?” เสียงเข้มขัดจังหวะการโล้ชิงช้าทำให้แทนดาวหยุดกึกในเกือบจะทันที ตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆคนใจดีเปลี่ยนเป็นคนดุฉับพลัน ไปทำอะไรขัดใจเขาอีกนะหรือว่าเขามีธุระสำคัญที่ต้องรีบกลับไปจัดการ

                 “กลับก็ดีเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวก็ได้เวลาทานข้าวทานยาแล้วด้วย” หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วก็ลุกพรวดพราดขึ้นจนลืมไปว่าเท้าข้างหนึ่งเป็นแผลอยู่จึงเจ็บแปลบจนต้องทรุดลงไปนั่งอีกครั้ง

                “ระวังครับ ค่อยๆสิ...มานี่มา พี่อุ้มดีกว่า” แทนดาวเบี่ยงตัวหลบจากอ้อมแขนนั้น คิดว่ายอมให้เขาถูกเนื้อต้องตัวมามากพอแล้ว

                “ไม่เป็นไรค่ะ พลูน่าจะเดินเองได้”

                “น้องพลูอย่าดื้อสิ พี่บอกอะไรก็ฟังกันบ้าง น้องพลูน่าจะรู้ได้แล้วว่าความดื้อรั้นมันส่งผลอะไรกับตัวเองบ้าง” เขาพูดอย่างกับเป็นพ่อสอนลูกทำให้คนถูกสั่งสอนยิ่งต่อต้านมากขึ้น

                “ปล่อยนะ!” แทนดาวดิ้นเมื่อถูกบังคับอุ้มได้สำเร็จ ชลธีพาหล่อนขึ้นเรืออย่างทุลักทุเลเพราะคนในอ้อมแขนคอยแต่จะดิ้นปัดป่ายอยู่ร่ำไป พออยู่บนเรือแล้วก็ยังไม่หยุดอาละวาด มือที่เป็นอิสระก็ระดมทุบ หยิก ตีคนอุ้มไม่ยั้งเพราะแค้นใจที่สู้ไม่ได้ในตอนแรก

                “พี่จะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าไม่หยุดล่ะก็...รู้นะครับว่าพี่จะทำอะไร?” ชลธีกระซิบขู่อยู่ข้างๆขมับ

                “หนึ่ง..สอง...” แทนดาวหยุดกึก จ้องมองเข้าไปในดวงตาสีเหล็กนั้นซึ่งไม่พบแววล้อเล่นแม้แต่น้อย นึกถึงคำขู่ในวันนั้นก็รู้สึกว่าขนหัวตัวเองลุกซู่

                 “ถ้าจะหยุดตีพี่แล้วคุยกันดีๆล่ะก็พี่จะปล่อย แต่ถ้าไม่...พี่จะปล้ำเดี๋ยวนี้แหละ” คนที่กำลังดีดดิ้นจึงหยุดอาละวาดในทันที นั่งอย่างสงบเสงี่ยมและคอยชำเลืองมองไปที่คนขับเรืออย่างไม่ไว้ใจ ระหว่างทางกลับสองคนนี้ไม่ได้คุยอะไรกันอีก เขาเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาขับเรือส่วนคนตัวเล็กก็เอาแต่ถ่ายรูปโพสต์ลงเพจโซเชียลจนกระทั่งกลับมาถึงที่พัก

                “ทีหลังจะพูดอะไร...หัดเกรงใจคนอื่นเสียบ้าง” ชลธีก้มหน้าลงมาจนหน้าผากเกือบจะชิดและพูดกับหล่อนด้วยเสียงที่ยังคงเข้มเหมือนเดิม

                “ตัวเองไม่คิด...แต่คนอื่นเค้าคิดนะ” เขาพูดเพียงเท่านี้ก่อนจะจากไปทิ้งให้คนฟังทั้งอึ้ง งงและเหวออยู่ที่เดิม

                “นี่เขาเมาคลื่นหรือเรางงหว่า...” แทนดาวพึมพำกับตัวเองเบาๆก่อนจะสลัดทิ้งความเบลอทั้งหมดเพราะยังไงก็ไม่เข้าใจความหมายที่เขาพูดอยู่ดี

 

               แทนดาวรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกครั้ง การแอบหนีเที่ยวครั้งนี้เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ได้นั่งเรือชมทะเลสวยๆสมใจ ความจริงแล้วชลธีก็เป็นคนใจดี อุตส่าห์พาไปเที่ยวทั้งที่งานตัวเองก็มาก แถมยังต้องเจ็บตัวเพราะหล่อนอีก จะตอบแทนความมีน้ำใจของเขาอย่างไรดีนะ

                “คนสวย...ไปกินข้าวเร็ว” เทียมภพเข้ามาตามน้องสาวตอนเกือบบ่าย แทนดาวเดินเข้าไปกอดเอวอย่างประจบ

                “พี่หมากไปไหนมา...ดูสิยุงกัดเป็นรอยหมดเลย” คนตัวเล็กคลายวงแขนออกนิดหนึ่งมองหน้าพี่ชายแล้วสายตาก็ปะทะกับรอยแดงๆเหมือนถูกยุงกัดหลายแห่งตามลำคอและหน้าอกที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ตสีน้ำทะเลซึ่งกลัดกระดุมไม่ครบ มือเล็กลูบรอยนั้นเบาๆ เทียมภพอึกอักทำหน้าบอกไม่ถูก ลืมไปว่ามีน้องสาวช่างสังเกต ก็แม่สาวรัสเซียคนสวยนั้นน่ะสิ…ฟัดเหวี่ยงกันแรงไปนิด

                “สงสัยจะแพ้ยุงล่ะมั้ง ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวก็หาย ไปกันดีกว่าพี่หิวแล้ว” พี่ชายตัดบทดื้อๆแต่ยังไม่ทันพ้นห้องคนตัวเล็กก็รั้งมือให้หยุด

                “ไม่อยากเดิน”

                “อ้าว...เดินไหวแล้วไม่ใช่เหรอ?”

                “ไหว...แต่อยากให้อุ้มนี่คะ” เทียมภพถอนหายใจแต่ก็ยอมอุ้มตัวน้องสาวตามความต้องการ

                “เยอะนะเราเนี่ย...ขี้อ้อนไม่เคยเปลี่ยน โตเป็นสาวแล้วนะ” แทนดาวไม่ว่าอะไรนอกจากจะซบหน้ากับอกกว้างที่คุ้นเคยแล้วก็เลยคิดไปถึงอ้อมอกของบุรุษอีกคนหนึ่งที่ได้ใกล้ชิดกันเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา

                ‘‘ใครจะมาแทนพี่หมากคนนี้ได้เล่า...ไม่มีหรอก’’ หล่อนบอกตัวเอง ถึง ‘เขา’ จะพยายามทำตัวเป็นพี่ชายแต่ยังไงมันก็ให้ความรู้สึกไม่เหมือนกันเลยสักนิด...ไม่เลย

 

ปลายเดือนกลับมาเล่าเรื่องที่ไปล่องเรือมาอย่างอวดๆ พยายามพรีเซ้นท์ภาพถ่ายแทบจะทุกชอตอย่างอิ่มเอมใจ ส่วนคนถูกเยาะเย้ยก็ได้แต่ยิ้มเยาะว่า

                 ‘‘ที่พลูไปมาสวยกว่านี้อีกย่ะ’’

                 “เดี๋ยวพี่จะไปซื้อของฝากให้เพื่อนๆกับบ้านม๊าหลี...ไปด้วยกันมั้ย?” พออวดทริปรอบเกาะเสร็จก็ชวนน้องสาวไปเดินหาซื้อของที่ระลึก

                 “ไม่ไปหรอกค่ะ ไม่อยากเดินเยอะ” น้องสาวสะบัดเสียงตอบ ใครจะอยากไปกับพี่สาวหน้าสวยแต่ใจร้ายกันเล่า

                   “เออดีเลย...พี่ฝากซื้อเสื้อยืดสกรีนชื่อจังหวัดสักสิบตัวสิ จะไปฝากที่ออฟฟิศซะหน่อย พี่เลือกไม่เป็นหรอก อ่ะ...พี่ให้ตังค์ไปแล้วกัน ที่เหลือซื้ออะไรมาก็ได้” เทียมภพยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้น้องสาวคนรอง

                   “อ้อ...เฮียบุ้งชอบกินปลาหมึกแห้ง พี่ผึ้งซื้อไปฝากแกหน่อยแล้วกัน” คนตัวเล็กบอกไล่หลังพี่สาวไป ปลายเดือนหันมามองด้วยความขัดใจ

                  “รู้แล้วน่า ฉันตั้งใจจะซื้ออยู่แล้ว”

 

                  เทียมภพเรียกพนักงานนวดมาบริการนวดฝ่าเท้าให้ทุกคน ส่วนตัวเองขอนวดแผนโบราณแบบฟูลคอร์สเลยได้ยินเสียงโอดโอยของคนโดนดัดกระดูกมาเป็นระยะๆ เวทิวุฒิแวะมาคุยกับแทนดาว

                “แผลดีขึ้นหรือยัง?” เขาถือโอกาสมานั่งคุยด้วยตอนที่พี่ชายสุดโหดนอนนวดเนื้อนวดตัวอยู่ไม่ไกลกัน

                “ดีขึ้นมากเลยค่ะ” แทนดาววางโทรศัพท์ลงแล้วหันมาสนทนากับเขา

                “น้องพลูกลับพรุ่งนี้ใช่มั้ย? ถ้าพี่จะไปหาน้องพลูที่บ้านหรือชวนออกมาเที่ยวมั่งได้มั้ย?” รุ่นพี่หน้าหล่อถามทีเล่นทีจริง คนถูกถามได้แต่อึกอักจะปฏิเสธไปโต้งๆก็กลัวเสียน้ำใจ ที่บ้านน่ะหรือ...ยังไม่เคยมีผู้ชายหน้าไหนกล้าพอที่จะเหยียบย่างเข้าไปหาหล่อนได้

                “พลูว่าอย่าไปที่บ้านจะดีกว่า พี่หมากดุจะตายพี่เวก็รู้”

                “มีน้องสาวน่ารักขนาดนี้ พี่เค้าคงหวงเป็นธรรมดา…พี่เข้าใจ” เอาอีกแล้ว พี่เวเล่นชมกันต่อหน้าแบบนี้คนฟังก็เขินแย่สิ

                “แล้วพี่เวมานี่คนเดียว...มาหาโลเคชันถ่ายโฆษณาหรือมาพักผ่อนส่วนตัวคะ?” แทนดาวชวนคุยเรื่องอื่น

                “จะให้พี่บอกความจริงก็ได้ พี่ตามน้องพลูมาไง” เวทิวุฒิตอบตาพราว

                “แหม...พี่เวนี่อารมณ์ดีไม่เปลี่ยนแปลงเลยนะคะ” แทนดาวขำนิดๆกับมุขของรุ่นพี่

                “คิดถึงน้องพลูจริงๆนะ จากที่ได้เจอกันวันนั้น...พี่ก็...ชอบ น้องพลูจะรังเกียจมั้ย? ถ้าพี่ขอทำความรู้จักน้องพลูให้มากกว่านี้” รุ่นพี่หน้าหล่อสารภาพความในใจแบบไม่อ้อมค้อม

                “เอ่อ...เราก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วนี่คะ” แทนดาวรู้สึกประหม่าที่ถูกถามแบบนี้

                “ไม่ใช่อย่างนั้นสิ...พี่รู้นะว่าน้องพลูเข้าใจความหมายที่พี่พูดเมื่อกี้ จะขอโอกาสให้พี่ได้หรือเปล่า?”

                “น้องพลูต้องขอเวลานะคะ คือ...ถ้าไม่นับรวมช่วงเวลาที่พี่เวยังอยู่มหาวิทยาลัย ครั้งนี้ก็ถือเป็นครั้งแรกเลยนะที่เราได้คุยกันแบบส่วนตัว” หญิงสาวอธิบาย ไม่ใช่ไม่เคยที่จะมีเพศตรงข้ามมาสนใจ แต่ไม่ว่ากี่รายๆก็ต้องหัวหดกลับไปเมื่อเจอพี่ใหญ่ขาโหดอย่างเทียมภพเล่นงานเอา เวทิวุฒิเองก็เคยเป็นรุ่นพี่ที่แอบชอบมานาน เป็นความปลื้มของสาวๆคล้ายกับแฟนคลับปลื้มดาราหรือนักร้องที่ชื่นชอบ ถึงขนาดที่เคยทะเลาะกับเพื่อนตัวแสบอย่างเนตรทิพย์เพื่อแย่งรูปของเขาจนไม่พูดกันไปพักหนึ่ง

                “งั้นพี่ก็จะรอน้องพลูครับ” เวทิวุฒิแอบมีความหวังเล็กๆที่อย่างน้อยก็ไม่ถูกปฏิเสธความสัมพันธ์เสียทีเดียว ถ้าตอนนั้นไม่ติดว่ามีคนรักอยู่แล้วล่ะก็...เขาคงจีบไปนานแล้ว ทีนี้ก็เหลือปราการด่านสำคัญนั่นคือเทียมภพ น้องสาวไฟเขียวแล้วก็ต้องทำให้พี่ชายไฟเขียวด้วยให้ได้

                “ใบพลูน่ะ...ภายนอกอาจจะดูดื้อรั้นแต่ความจริงเป็นคนหัวอ่อน เชื่อคนง่ายเพราะอยู่กับพี่หมากมาตั้งแต่เกิด รักและไว้ใจที่สุดเลยคิดว่าคนอื่นจะใจดีเหมือนพี่ชาย ถ้าคุณเวทำดีๆกับเธอให้มาก ผึ้งรับรองว่ายัยพลูต้องรักคุณในไม่ช้า...เชื่อผึ้งเถอะ”

                “น้องพลู...มานี่เร้ว...มาป้อนปลาหมึกให้พี่หน่อย แขนยกไม่ขึ้นแล้ว...” เสียงพี่ชายตะโกนเรียกแว่วๆมา แทนดาวที่กำลังตั้งอกตั้งใจฟังเวทิวุฒิเล่าเรื่องตอนไปถ่ายงานที่ญี่ปุ่นอย่างสนอกสนใจก็รีบทะลึ่งตัวจากเตียงผ้าใบ บทสนทนาทั้งหมดเลยยุติลงแค่นั้น

                “น้องพลูไปก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่หมากเห็นเข้าจะเป็นเรื่อง” แล้วก็วิ่ง (กะเผลก) เร็วจี๋ไปยังต้นเสียงทันที รุ่นพี่หน้าหล่อนั่งมองตามพลางอมยิ้มคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายก็คงเริ่มมีใจ

               

                “เล่นน้ำมั้ยน้องพลู?” เทียมภพที่นอนเอกเขนกอยู่บนเตียงผ้าใบชวนเมื่อมือน้อยๆป้อนปลาหมึกย่างชิ้นสุดท้ายเข้าปาก คนน้องแปลกใจเพราะทีแรกก็ห้ามนักห้ามหนา

                “พลูเป็นแผลอยู่นะคะ”

                “ฮื้อ...ใครว่าจะให้เราลงไปแช่น้ำเล่า...มานี่” ว่าแล้วพี่ชายตัวดีก็อุ้มร่างน้องสาวขึ้นโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันตั้งตัวแล้วพาเดินลุยทรายลงไปในทะเล แทนดาวหัวเราะชอบใจแล้วบอกให้พี่ชายเดินลุยน้ำไปที่ลึก

                “เห็นว่าหงอยๆเพราะไม่ได้เล่นน้ำ แค่นี้พอนะเดี๋ยวแผลหายแล้วจะพามาใหม่นะคะ” เทียมภพบอกน้องสาวที่หัวเราะอย่างมีความสุข พี่หมากนั้นถึงจะจู้จี้ขี้วีนแค่ไหนแต่ท้ายสุดก็ยังน่ารักเสมอต้นเสมอปลาย

                “ไปตรงน้ำใสๆนั่นหน่อยสิ” แทนดาวชี้มื้อตรงที่มีปลาเล็กๆว่ายเวียนอยู่ไม่ไกล เทียมภพที่แบกน้องไว้บนหลังมาได้ซักพักก็เริ่มล้า

                “พอหรือยัง? พี่เมื่อยแล้วนะ”

                “ยัง…ไปตรงนั้นก่อน อยากดูปลา” คนบนหลังเอามือตีไหล่แปะๆเร่งให้ไปตรงที่ชี้มือ

                “โอ๊ย...ตัวหนักจะตาย พี่ไม่ไหวแล้ว” เทียมภพหยุดเดิน

                “แค่นี้ทำบ่น พี่ชลอุ้มเดินเป็นกิโลๆยังไม่บ่นเลย” ด้วยความไม่ตั้งใจหรือพลั้งเผลออย่างไรก็ไม่ทราบ ดันหลุดปากออกไปเป็นเหตุให้พี่ชายหน้าตึงขึ้นมาทันที

                “นี่อะไรนะยัยพลู ไอ้นั่นมัน...” แทนดาวรู้สึกได้ว่าเนื้อตัวของพี่ชายเริ่มสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ โอ๊ย....จะอะไรกันนักหนาแค่ได้ยินชื่อก็ไม่ได้เชียวหรือนี่

                “คือตอนที่พลูโดนแก้วบาดแล้วพี่ชลพาไปหาหมอไงคะ” คนบนหลังอธิบายเร็วจี๋ ในใจเต้นระรัว ถ้าไม่พูดให้ดีมีหวังเละแน่ๆ

                “อ้อ...จะว่าพี่ไม่สนใจ ปล่อยปละละเลยจนเราไปโดนแก้วบาดใช่มั้ย? ไอ้นั่นมันดีกว่าพี่ตรงที่มาช่วยเราได้ก่อนใช่มั้ย? ถึงได้ชื่นชมมันให้พี่ฟัง” พี่ชายทั้งโกรธทั้งน้อยใจที่น้องสาวคนเดียวเอาคนอื่นมาเปรียบเทียบให้เจ็บใจ น้องสาวยิ่งปวดหัวหนักเข้าไปอีกไม่คิดว่าคนเกิดก่อนจะ ‘งอน’ แบบไม่มีปีมีขลุ่ย แถมสาเหตุยังมาจากผู้ชายที่เกลียดขี้หน้ากันเสียด้วย

                “อย่าเวิ่นเว้อสิคะ น้องพลูยังไม่ได้บอกเลยนะว่าเค้าดีกว่าพี่หมากน่ะ แล้วงอนอะไรอีกล่ะ...เยอะนะเนี่ย ต้องการอะไรจากสังคมคะ? พูด!” คนเกิดก่อนไม่พูดด้วยแต่พาน้องสาวกลับไปนั่งที่เดิมแล้วตัวเองก็เดินตากแดดตากลมไปตามแนวชายหาดอย่างกับพระเอกเล่นมิวสิควิดิโอ คุณลำเภาเห็นหลานชายคนโตทำหน้ามุ่ยก็เดาเอาว่าคงจะทะเลาะกันมาอีกตามเคย แทนดาวเลยกระซิบกระซาบเล่าเรื่องให้ฟัง ทุกคนขำกริ๊ก...ไม่คิดว่าหลานชายคนโตของบ้านจะเป็นเอามากขนาดนี้

                “เดี๋ยวน้องพลูไปง้อก่อนนะคะ ก่อนจะเกิดคลื่นสึนามิ” ร่างเล็กพยายามเดินตามให้ทันแต่ก็ยากลำบากเต็มทน เท้าก็ใช้งานเต็มที่ได้แค่ข้างเดียว ดูเถอะ...เท้าก็เจ็บ วิ่งตามก็ไม่ถนัดก็เลยต้องเดินเร็วๆแล้วก็ตะโกนเรียกไปด้วยขณะที่ ‘คนขี้งอน’ กำลังเดินดุ่มๆไกลออกไปเรื่อยๆไม่หันกลับมามอง

                “พี่หมาก...รอน้องพลูด้วยสิ” คนถูกเรียกเดินหนีเร็วขึ้น น้องสาวเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีกจนเผลอลงน้ำหนักเท้าข้างที่เป็นแผลมากเกินไปทำให้ปวดขึ้นมาอีก หญิงสาวนิ่วหน้าด้วยความเจ็บก่อนจะทิ้งตัวนั่งแปะลงบนทราย

                “พี่หมาก...ฮือ” พอตามไม่ทันก็ร้องเรียกทั้งน้ำตาอยู่อย่างนั้น เทียมภพได้ยินน้องร้องก็รีบเดินย้อนกลับมาดู

                “เจ็บแผลเหรอ?” พี่ชายพลิกเท้าดูด้วยความเป็นห่วง

                “ค่ะ...ที่วิ่งตามพี่หมากเมื่อกี้”

                “แล้วจะวิ่งทำไมฮึ...ยัยเด็กดื้อ” พี่ชายยังทำเสียงแข็งแต่ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความกังวล ค่อยๆพยุงตัวน้องสาวให้ยืนขึ้นพลางปัดเศษทรายที่ติดตามเนื้อตัวออกให้

                “ก็พี่หมากโกรธพลูนี่คะ น้องพลูขอโทษ...น้องพลูไม่เคยเห็นใครดีกว่าพี่หมากเลยนะคะ” อ้อนไว้ก่อนตามธรรมเนียม

                “ฮึ” พี่ชายทำเสียงบอกให้รู้ว่าไม่ค่อยอยากจะเชื่อ น้องสาวเลยต้องเขย่งปลายเท้าจูบแก้มสากๆทั้งสองข้างนั่นเป็นเครื่องยืนยันทำให้คนแสนงอนค่อยๆยิ้มออกมา ว่าจะไม่ยุ่งด้วยจริงๆจะปล่อยให้ร้องไห้ขี้มูกโป่งสักหน่อยแต่พอเจอแบบนี้เป็นต้องใจอ่อนทุกทีสิน่า

                “เรานี่นะ...ทั้งดื้อทั้งงี่เง่า เรื่องเยอะ แต่พี่รักเรามากนะใบพลู เพราะงั้นก็อย่าตัดสินใครว่าเป็นคนดีเพียงเพราะเค้าทำดีกับเราอย่างเดียวหรอกนะ เชื่อพี่...ถ้าพี่บอกว่า ‘เขา’ เป็นคนดี แสดงว่าต้องดีพอที่จะเข้าใกล้น้องสาวพี่ได้ เข้าใจมั้ยคะ?” พี่ชายถือโอกาสสอนเป็นงานเป็นการและเน้นหนักในตอนท้าย แทนดาวพยักหน้ารับ

                  “อย่าหลงเชื่อเพียงเพราะเค้าทำดีกับเราอย่างเดียวนี่มันหมายถึงใครได้บ้าง ไหนจะคำพูดปริศนาที่บุรุษหน้าเข้มคนนั้นบอกไว้ก่อนจะแยกกันอีกล่ะ

                  “ทีหลังจะพูดอะไร หัดเกรงใจคนอื่นเสียบ้าง” และ “ตัวเองไม่คิด...แต่คนอื่นเขาคิดนะ” แบบนี้หมายความว่าอย่างไร? ใครรู้ช่วยตอบทีเถอะ              

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา