7Swords
เขียนโดย จิ้งจอกมายา
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 23.29 น.
แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 23.40 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) Raven
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ7Swords – Sword of Faith
ภาคหนึ่ง -- ซอร์ด ออฟ เฟธ
ตอนที่ 1 Raven
เสียงครางอย่างหนาวสั่นตามมาด้วยเสียงจามของชายคนหนึ่ง เขากระชับผ้าคลุมสีดำขึ้นอีกนิด สภาพอากาศเลวร้ายติดต่อกันมาหลายวันแล้ว ความหนาวเย็นหลงฤดูที่พัดพามาพร้อมกับสายลมและฝนเย็นๆทำให้เมืองราวกับไร้ผู้คน ชาวเมืองต่างหลบกระแสลมหนาวอยู่ในบ้าน ต่างสั่นงั่กๆอยู่หน้าเตาผิง
ชายคนเดิมกระชับผ้าคลุมแน่นขึ้นไปอีก เขาเอามือลูบหูที่หนาวจนแข็งของเขาภายใต้ผ้าคลุมหน้า แต่มันไม่ช่วยอะไรเลย มือของเขาก็ทั้งเย็นและแข็งไม่แพ้กัน ดวงตาที่โดนลมหนาวพัดมีน้ำตาไหลออกมาและแห้งไปเกือบจะทันที
เขาเร่งฝีเท้าผ่านอากาศที่เลวร้าย และเงยหน้าขึ้นมองร้านเหล้ามุมเมืองอย่างมีความหวัง ก่อนจะเผยอยิ้มด้วยริมฝีปากที่สั่นสะท้าน เขาก้าวเข้าไปในร้านเหล้าที่เสียงดังและอบอุ่น
เสียงเอะอะ และเสียงหัวเราะดังมาทันทีที่เขาเปิดประตูร้าน เขารีบก้าวเข้ามาและถอดหมวกคลุมหน้าออก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหนวดเครารุงรัง ใบหน้าเริ่มมีริ้วรอยของชายอายุใกล้สี่สิบเหลียวซ้ายขวา ข้างในร้านสว่างไสวด้วยแสงไฟจากเทียนไขหลายสิบเล่ม และอบอุ่นจากเตาผิงสามเตา เสียงพูดคุยดังอื้ออึงจากบรรดาลูกค้าผู้ที่มาหลบลมหนาวพร้อมกับสั่งอะไรแรงๆเพื่ออุ่นร่างกายของพวกเขา
“เรคัส!! ทางนี้!!” เสียงร้องเรียกดังแว่วมาจากบาร์ ชายที่เพิ่งเข้าไปเดินตามเสียงเรียกอย่างว่าง่าย เมื่อเขาเบียดเข้าไปถึงบาร์ที่มีเตาผิงอุ่นๆกำลังส่งเสียงแตกเปรี้ยะเบาๆ ชายที่เรียกเขาก็ยัดเครื่องดื่มใส่มือเขาทันที “ไอ้ลมหนาวบ้านี่มันมาทำไมเอาป่านนี้ นายว่ามั้ย?” ชายคนนั้นมีผมสีน้ำตาลหยิกยาวถามเชิงชวนคุย
“ฤดูนี้ก็ยังเป็นฤดูหนาวอยู่นะ ว่ากันจริงๆ” ชายที่ชื่อเรคัส บรรจงละเลียดเครื่องดื่มของเขาลงคอ เขารู้สึกถึงความอบอุ่นจากเหล้าที่ก่อขึ้นในตัวเขา “ฮ่าห์ห์ห์ห์!!” เขาส่งเสียงครางอย่างพึงพอใจ
“จะฤดูหนาวไหนๆก็ไม่เคยหนาวเท่านี้มาก่อนเลยนะ” ชายคนเดิมพูดพลางเคาะนิ้วที่บาร์เรียกเครื่องดื่มของเขา “เมืองท่าติดทะเลแบบนี้อากาศน่าจะดีทั้งปีแท้ๆ”
“ว่ากันว่าหนาวที่สุดในรอบสี่สิบปีเลยล่ะ” ชายคนขายเหล้าหัวโล้นเลี่ยนยกเครื่องดื่มมาวางให้ต่อหน้าทั้งสองมันเป็นฟองสีทอง “จะว่าไปก็ก่อนผมเกิดอีกน่ะนะ”
“ที่ พ็อตเทอร์รี่นี่น่ะหรือ? เคยหนาวแบบนี้เมื่อสี่สิบปีก่อน?” ชายผมหยิกหันไปถาม “เคยคิดว่ามีแต่ฤดูร้อนกับฤดูโคตรร้อนแท้ๆ”
คนขายเหล้ายักไหล่ “ก็ได้ยินลูกค้าคนอื่นๆพูดมาครับ” แล้วเขาก็หันไปส่งเหล้าให้คนอื่นต่อ
“ส่งเสื้อคลุมมาสิคะ เดี๋ยวฉันเอาไปห้อยไว้ให้” เสียงของเด็กสาวรุ่นๆตัวผอมบางเปียผมสีน้ำตาลไว้สองข้างเอ่ยขึ้น เธอมีกระประปรายบนใบหน้า เธอส่งสายตาเป็นเชิงถาม แล้ววางจานขาไก่ปิ้งหอมกรุ่นไว้ข้างหน้าของชายผมหยิก ก่อนจะรับผ้าคลุมจากเรคัสและถามต่อว่า “ต้องการอะไรอย่างอื่นมั้ยคะ?”
“ขอบใจ ลิลลี่” ชายผมหยิกบอก “เรามีไก่แล้ว” แล้วเขาก็เลื่อนจานส่งให้เรคัสก่อนที่จะกัดฉีกขาไก่อย่างเอร็ดอร่อย ชายที่ชื่อเรคัสหยิบขาไก่ขึ้นมาด้วย แต่สายตาก็ยังคงมองสาวเด็กสาวที่เอาเสื้อคลุมของเขาไปแขวนไว้
“บิมโบ -- ” เขาเอ่ยเบาๆ ยังคงไม่แทะกินขาไก่เหมือนเพื่อนของเขา “บาร์นี้มีเด็กเสิร์ฟตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ไอ้อู๊ -- ” บิมโบเอ่ยพลางยักไหล่ทั้งๆที่ปากเต็มไปด้วยน่องไก่ “ตั้งแต่เมื่อวานมั้ง ฉันมาก็เพิ่งเห็นเนี่ย” เรคัสละสายตามาและทึ้งน่องไก่ของเขาบ้าง ก่อนจะลดเสียงของเขาลง
“มีข่าวอะไรบ้าง”
“ตามที่คาดกันไว้ เมืองเลฟท์ฮิลล์ ใกล้แพ้สงครามเต็มที -- พวกแซงจัวรี่ ไม่ยอมส่งกำลังไปช่วย” บิมโบบอกเรียบๆก่อนจะเบ้ปาก “อย่างว่าแหละ พวกนักบวชไม่สนสงครามหรอก เมืองนั่นมีแต่ขอทานทั้งนั้น.....”
“พวกดราก้อนเอาทหารออกจาก ไอออนเก็ท ไปเลฟท์ฮิลล์เท่าไหร่กัน?” เรคัสถามเบาๆ พร้อมส่งสายตาเตือนเพื่อนว่าเขาเสียงดังไปแล้ว
“สองพัน”
“อย่าล้อเล่นน่ะ -- ” เรคัสเลิกคิ้ว
“จริงๆ” บิมโบพูดพลางเหลียวซ้ายแลขวา “จริงๆก็ยากจะเชื่อหรอกว่ากำลังพลแค่สองพันจะตี พวกเลฟท์ฮิลล์สองหมื่นคนไหว -- แต่มันมีข่าวลือมา.....” เขาลดเสียงลงไปอีก “ว่าพวกดราก้อนมี ดาบศักดิ์สิทธิ์ -- หนึ่งใน เซเว่นซอร์ดส์”
“ตำนานนั่นเป็นจริงเหรอคะ?” เด็กสาวลิลลี่ที่แบกจานสตูควันฉุยหยุดก้าวกะทันหัน จนสตูในชามหกออกมาเล็กน้อย ดูเธอมีสีหน้าสนใจ ชายทั้งสองหันมามองเธอ บิมโบมีสีหน้าฉงน แต่เรคัสท่าทีไม่พอใจ
“สนแต่งานของเธอเถอะสาวน้อย” เรคัสเอ่ยปรามๆไปยังใบหน้าตกกระที่มีท่าทีสนใจของเธอ
“ไม่เป็นไรหรอกน่า” บิมโบเอ่ย ก่อนจะยกซดเครื่องดื่มของเขาจนหมดและส่งแก้วเปล่าให้กับเธอ
“แล้วตกลง ตำนานเรื่อง เซเว่นซอร์ดส์ อะไรนั่นมีจริงใช่มั้ยคะ?” เธอไม่สนใจสีหน้าของเรคัส แต่ถามบิมโบพร้อมกับเติมแก้วเหล้าที่ว่างเปล่าจนเต็มและส่งคืนให้กับบิมโบ
“จะจริงหรือเปล่า ไม่สำคัญหรอกมั้ง.....? คนเขาเชื่อกันแบบนั้นนี่” บิมโบเสยผมหยิกของเขาก่อนจะยกเหล้าซดพร้อมกับแอบชำเลืองรูปร่างของเด็กสาว
“แต่พูดกันว่า พระราชามี ซอร์ดออฟไทรอัมพ์ นี่คะ” เธอรุกต่ออย่างสนใจ “ดาบที่จะมอบชัยชนะให้กับผู้ครอบครอง -- ”
“ประเด็นคือ ไม่มีใครเคยเห็นดาบนั่น สาวน้อย” เรคัสตัดบท “ช่วยไปเอาตับแกะย่างห่อให้ฉันหน่อย เอาสักห้าปอนด์... เร็วๆหน่อยล่ะ!!” เขาเสริมเมื่อเด็กสาวมีท่าทีว่าอย่างจะคุยต่อ ก่อนที่เธอจะลากเท้าออกไปอย่างเซ็งๆ เพื่อจัดการตามคำสั่งของเรคัส
“ไม่เอาน่าเพื่อน...... เธอปิ๊งฉัน” บิมโบหันมาขมวดคิ้วใส่เรคัสผู้ซึ่งใบหน้าบึ้งตึงภายใต้หนวดเครารุงรัง
“ที่ฉันทำคือช่วยเด็กสาวไม่รู้ประสีประสาให้รอดพ้นจากปิศาจร้ายต่างหาก” เขาพูดเสียงบูด “แล้วก็รีบคายมาซะทีว่า พระราชาว่าอย่างไรกับพวกดราก้อนที่ไปถล่ม เลฟท์ฮิลล์”
“เตรียมกำลังพลแล้ว” บิมโบเอ่ยเบาๆ “เป้าหมายคงเป็น เมืองไอออนเก็ทของพวกดราก้อนนั่นแหละ”
“ฉันต้องไปแล้ว.....” เรคัสเอ่ยเมื่อเห็นลิลลี่เดินเบียดผู้คนกลับมาพร้อมกับห่อที่มีควันฉุย “แล้วก็ขอเตือนในฐานะเพื่อนนะ บิมโบ..... ลอร์ดคราเวน กำชับเรื่องการค้าทาสในพ็อตเทอร์รี่นี้...... -- ”
“นายจะเห็นลิลลี่ เมื่อนายกลับมาที่นี่คราวหน้าน่า......” บิมโบบอก “ถ้าเธอไม่หนีตามฉันไปนะ” เขาพูดพลางหัวเราะขบขัน
เรคัสย่ำเท้าออกมาโดยระวังไม่ให้ฝีเท้าแสดงอารมณ์ของเขาออกมามากนัก บิมโบไม่ใช่เพื่อนที่เขาอยากมี แต่ด้วยสายข่าวของเขาระหว่างเครือข่ายค้าทาสก็แพร่หลายอยู่ การคบค้าสมาคมกับบิมโบได้ประโยชน์ต่อเจ้านายของเขา -- ลอร์ดคราเวน เจ้าเมือง พ็อตเทอร์รี่แห่งนี้..... เรคัสอยู่ในอารมณ์ฝืนทนพอสมควร สำหรับชายที่เกลียดการค้าทาส แต่กลับต้องมานั่งเสวนากับพ่อค้าทาสเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบนี้
เรคัสถือห่ออาหารและรับเสื้อคลุมที่เด็กสาวนำมาให้ เขาชำเลืองไปยังบิมโบ ที่กำลังนับทองถุงอ้วนๆที่เขาส่งให้ก่อนเดินจากมา เขากระซิบเบาๆกับเด็กสาวว่า “ถ้าเธอไม่อยากเปลี่ยนอาชีพจากเด็กเสิร์ฟเป็นทาสล่ะก็ ระวังผู้ชายไว้เสียบ้าง..... โดยเฉพาะผู้ชายคนนั้น.....”
เด็กสาวเลิกคิ้ว “อะไรที่ทำให้ท่านคิดว่าหนูง่ายคะ?”
เรคัสไม่ตอบ เขากระชับเสื้อคลุมก่อนจะสวมหมวกคลุมหน้า และเปิดประตูออกไปสู่ลมหนาวสะท้าน
“คุณช่วยบอกหน่อยสิ” เรคัสที่ก้าวออกจากนอกร้านแล้วหันกลับไปมองเด็กสาวที่เดินตามเขาออกมานอกร้านที่อากาศหนาวแทบจะกรีดเนื้อ เธอไม่ได้ใส่เสื้อคลุมแต่ไม่มีท่าทีกลัวอากาศเย็นเลยแม้แต่น้อย “ท่านเชื่อว่ามี เซเว่นซอร์ดส์ -- แล้วท่านเชื่อเรื่อง เซเว่นครีเอเจอร์ มั้ย?”
*“Enough fairy tales, girl......” เรคัสก้าวผ่านลมหนาวไปโดยที่ไม่หันมามองเธออีก
“เราเลิกเรียนกันเสียทีดีมั้ยครับ?” เสียงของเด็กชายอายุไม่ถึงสิบเอ็ดปีเอ่ยอย่างเบื่อหน่าย “ในวันที่อากาศแบบนี้ใครจะมีสมาธิเรียนกันครับ ครูเรคอมป์?”
ชายหนุ่มที่อายุราวๆยี่สิบปีเศษเลิกคิ้วมองเด็กน้อย ก่อนจะหันสายตาไปมองนอกหน้าต่างที่สภาพอากาศเลวร้าย และเริ่มมีฝนตกมาปรอยๆ
“ในฐานะ บุตรชายของลอร์ดคราเวนแล้ว การเรียนคงเป็นสิ่งที่ไม่น่าสนใจสินะ?” เรคอมป์เอ่ยพลางเลิกคิ้ว
“เปล่า -- เปล่าครับ” เด็กชายยืดตัวตรงเล็กน้อยเนื่องจากจับน้ำเสียงของครูได้ “ผมแค่....-- ต้องการพักนิดหน่อย -- ”
“ฟังขึ้นครับ” ครูของเขารับ พลางยิ้มที่มุมปาก
“ว่าแต่ท่านพ่อของครู -- เซอร์โรแลนด์ เรคัส ไม่อยู่ในปราสาทเหรอครับวันนี้?” เด็กชายถาม แต่เรคอมป์ที่เดินไปยืนริมหน้าต่างเขม้นตามองไปยังเส้นขอบฟ้า ที่ปลายสุดของทะเล
“เราคงต้องการหัวหน้าองครักษ์เร็วๆนี้แหละ” เขาพึมพำ
“ครูมองอะไรเหรอครับ” เด็กชายถามพลางเดินมายืนข้างๆเขา ก่อนจะเพ่งตามมองไปยังสุดขอบเส้นทะเล และเห็นอะไรบางอย่างสีดำๆ ค่อยๆโผล่มาช้าๆ
“เรคอมป์!!” เรคัสเปิดประตูห้องและร้องเรียกลูกชายของเขา สีหน้าของเขาตกใจเป็นอย่างยิ่ง “เจ้าเห็นแล้วหรือยัง!?”
ลูกชายของเขาพยักหน้า เขาเอามือวางบ่าของบุตรชายเจ้าเมืองเบาๆ “รีบไปหาลอร์ดคราเวนเถอะครับ”
ในไม่ช้า หัวหน้าองครักษ์เรคัส ก็ไปถึงห้องประชุมเล็กที่ลอร์ดคราเวนนั่งอยู่ -- ลอร์ดคราเวนเขาเป็นชายรูปร่างกลางๆ แบบคนเคยมีกล้ามมาก่อน หนวดของเขายาวและม้วนขึ้นใบหน้าของเขาบ่งบอกถึงวัยที่เลยห้าสิบขึ้นไปแล้ว
ลอร์ดคราเวนเงยหน้าขึ้นมองหัวหน้าองครักษ์ที่เปิดประตูเข้ามาด้วยท่าทีร้อนรน และส่งคำถามไปด้วยสีหน้า
“ท่านละ -- ลอร์ดคราเวนขอรับ!!” เขาพูดเสียงละล่ำละลัก “ข้างนอกขอรับ -- เลยท่าเทียบเรือไป”
ลอร์ดคราเวนเอียงคอเล็กน้อย ก่อนจะยืนตรงและเปิดหน้าต่างด้วยทีท่าเกือบจะไม่แยแส เขามองเลยท่าเทียบเรือไปก็เห็นกองเรือสีดำที่มีผ้าใบเรือสีดำขึงไว้ ยอดของแต่ละลำมีธงสีดำและลายหัวกะโหลกสีขาวไขว้ นับถ้วนๆจากสายตาก็เห็นกองเรือประมาณยี่สิบลำได้
“พวกมัน..... มีประมาณสองพันขอรับ” เรคัสเอ่ยเมื่อเข้ามายืนเยื้องข้างหลังเจ้านายของเขา
** “Oh, It’s a pirate.” ลอร์ดคราเวนเอ่ย
“รีบประกาศเตรียมกองทัพเถอะขอรับ นายท่าน!!”
“ไม่ต้อง.....” ลอร์ดคราเวนเอ่ยเบาๆ “ส่ง เรเวนไป ไวท์ฟอร์ท”
* “Enough fairy tales, girl” Racus Quote : “ได้พอแล้ว เรื่องเทพนิยายน่ะ เด็กสาว......”
เรคัสกล่าวประชดลิลลี่ที่พูดก่อนหน้านี้ว่าตัวเองไม่ใช่ผู้หญิงที่จะหลงคำพูดผู้ชายง่ายๆ แต่เธอกลับสนใจถามแต่เรื่องนิทานหลอกเด็กเรื่อง เซเว่นครีเอเจอร์ ที่เป็นเพียงเรื่องเล่า เขาจึง เอ่ยประชดว่า ประมาณว่าหยุดเพ้อเจ้อเสียที แม่เด็กน้อย
** “Oh, It’s a pirate.” Lord Kraven Quote : “โอ้ โจรสลัดนี่”
จะเห็นได้ว่า ลอร์ดคราเวนใช้ไวยากรณ์ผิด เขาใช้ a ที่แปลว่า หนึ่ง / อันเดียว ทั้งๆที่ โจรสลัดมีหลายคน -- ทั้งนี้ ลอร์ดคราเวนจงใจพูดแบบนั้น เพราะเขาเห็นว่า นี่เป็นเพียงปัญหาเล็กๆเท่านั้น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ