The Water's Pure Heart: ดวงใจของสายน้ำ

-

เขียนโดย Valentinlover

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 22.14 น.

  56 ตอน
  0 วิจารณ์
  53.13K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 10.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

43) ทิฐิสลาย..พายุสงบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

         

จุ๊ยทำตามที่อาราอิบอกคือพยายามทำใจให้เย็นก่อน  ดังนั้นเขาจึงยังไม่คุยกับซัวในเรื่องลาออกจากโรงเรียน

ประกอบกับมีการสอบ  จุ๊ยหันเหสมาธิมาสนใจการสอบ  เมื่อผ่านไปหลายวันก็เลยยังไม่ได้คุยกัน

จนกระทั้งการสอบผ่านไปแล้ว      

                                                                

อาราอิกำลังขายอุปกรณ์การก่อสร้างให้กับลูกค้าชายอย่างคล่องแคล่ว 

“ตะปูสี่หุน  แล้วก็สีสองกระป๋อง” อาราอิกดเครื่องคิดเลขแล้วก็บอกราคาไป

พอรับเงินเรียบร้อยก็เดินไปให้ป๊าที่นั่งอยู่ที่โต๊ะบัญชี

“เดี่ยวนี้ขายเก่งนะเรา” ป๊ากล่าว

อาราอิยิ้มตอบ

จุ๊ยมองกิริยาของป๊าต่ออาราอิ  ยังดูสนิทกว่าเขากับป๊าตอนนี้เสียอีก  เพราะตั้งแต่เหตุการณ์นั้นป๊าก็พูดกับจุ๊ยน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

“แต่อย่าไปนั่งหน้าร้านบ่อยๆ เดี่ยวคนก็จำได้แห่กันมา อั๊วไม่ต้องค้าขายกัน”

อาราอิก็ตอบว่าครับ  แล้วก็ขยับแว่นกับหมวกที่สวมให้กระชับ

 

อาราอิกำลังให้จุ๊ยดูภาพจากTwitter แล้วก็วิจารณ์สิ่งที่กำลังดูกันอยู่  แต่เพราะเสียงคนเดินเข้าร้านมา  ทำให้สองคนเงยหน้า

จุ๊ยลุกขึ้นแต่ไม่พูดสักคำ  ก่อนจะเดินเข้าไปข้างหลังบ้าน

อาราอิสบตากับตี้แล้วก็เดินตามเข้าไป

แม้ จะไม่ได้อยากมามีส่วนกับการเผชิญหน้านี้มากนัก  แต่จุ๊ยก็ต้องทำหน้าที่ของต้วเอง  เขาเอาน้ำมาเสริพให้พ๊งหัว ตี้ และแหวน รวมั้งป๊าด้วย  ตอนนี้ทั้งหมดนั่งเผชิญหน้ากันอยู่ที่โต๊ะอาหารในครัว  โดยตี้นั่งฝั่งเดี่ยวกับป๊า ส่วนแหวนก็นั่งฝั่งเดียวกับบิดาของเธอ 

เสริฟเสร็จ จุ๊ยก็เดินเงียบๆจะออกไป 

“จุ๊ยไปเก็บร้านแล้วปิดประตู” ป๊ากล่าว  แต่ตาจับอยุ่ที่พ๊งหัว

จุ๊ยรับคำว่าครับ  แล้วก็เดินออกไป

"เดี่ยวลื้อก็เข้ามาฟังอยู่นี่ด้วย  ไม่ต้องไปไหน" ป็าสั่งอีกคำ

 

เพราะได้สองแรง  ก็เลยใช้เวลาไม่มากในการเก็บและปิดประตูหน้า

พอเดินเข้ามาเหมือนทุกอย่างจะไม่ได้คืบหน้าไปไหน  ทั้งหมดยังนั่งเผชิญหน้ากัน เหมือนอยากจะให้จุ๊ยเข้ามารับรู้

อาราอิที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดไป ก็ถูกจุ๊ยดึงเอาไว้  แล้วพาเดินมายืนฟังอยู่ด้วยกันภายในครัว

 

“เอาหล่ะ  ว่าไป  จะเอายังไง” ไฮ้จุ๊งเห็นคนเริ่มก่อน

พ๊งหัวส่งเสียหึในลำคอ

“ฉันควรจะพูดอย่างนั้นมากกว่า  เพราะลูกชายลื้อมาติดพันลูกสาวอั๊ว ไม่ใช่เหรอ”

ตี้กับแหวนมองหน้ากันอย่างอึดอัด

แล้วก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนพ๊งหัวจะเป็นเริ่มพูด

“เอาล่ะ  เอาเป็นว่าถ้าลื้อต้องการให้ขอโทษลื้อ อั๊วก็ยินดีจะทำ  แต่ถ้าต้องการให้เด็กมันเลิกกัน  ลื้อก็เอามีดมาแทงอั๊วให้ตายไปซะจะดีกว่า  เด็กสองคนนี้รักกันจริงๆ  อั๊วไม่ต้องการให้ตัวเองเป็นอุปสรรค์ความรักของเด็ก”

จุ๊ยมองหน้าผู้ชายที่ตัวเองควรเรียกว่าพ่อ 

“อั๊วขอรับผิดเอาไว้ด้วยตัวเอง  แต่ขอร้องลื้ออย่าทำแบบนี้  ลื้อต้องการจะให้ลูกของลื้อช้ำใจจนตายหรือยังไง” พ๊งหัวกล่าวต่อไป

“ลื้อจะเอายังไง  เงื่อนไขอะไร อั๊วจะทำตามทุกอย่าง  ขออย่างเดียวอย่ากีดกัน”

ไฮ้จุ๊งมองหน้าเพื่อนเก่า  แล้วก็มองหน้าลูกชายตัวเอง และแหวน

“ความผิดของลื้อ อั๊วจะไม่ลืม”

ตี้ถึงกับหน้าสลดลง  ต้องเบือนหน้าหนีไป

จุ๊ยก็ต้องสบตากับอาราอิเพื่อขอกำลังใจ อาราอิเลยเอามือวางบนไว้ไหล่ของเขา

“เราสองคนจะไม่มีวันมาญาติดีได้เหมือนเดิม  เพราะอั๊วคงทำเสแสร้งแกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หรอก” ไฮ้จุ๊งกล่าวต่อไป

“แล้วลื้อจะเอายังไง” พ๊งหัวถามแล้วก็ถอนหายใจ

ความเงียบสร้างความอึดอัดแม้กระทั้งอาราอิที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับใคร  แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันภายในบรรยายกาศ

ไฮ้จุ๊งนิ่งเงียบมองต่ำลง ก่อนจะกล่าวในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่าคนอย่างไฮ้จุ๊งจะพูดออกมา

“อั๊ว เสียอาฮัวไปแล้วหนึ่งคน  ตอนนี้นับไปนับมาถ้าไม่นับจุ๊ย อั๊วก็เหลือลูกแค่สองคน  ทั้งที่อั๊วรับปากเหม่ยว่าจะดูแลให้ทุกคนเติบโตเป็นผุ้ใหญ่ที่ดี  แต่อั๊วก็ทำไม่ได้”

ตี้หันกลับมามองหน้าบิดา

“อั๊วไม่ต้องการผิดคำพูดกับเหม่ยอีก  เพราะที่ผ่านมาอั๊วก็ทำผิดกับอีไว้มาก” ไฮ้จุ๊งถอนหายใจก่อนจะกล่าวออกมา

“ตกลง  อั๊วจะไม่ขัดขวาง  ถ้าสองคนรักกันจริงๆ  อั๊วจะไม่ขัดขวาง”

ตี้ยังรู้สึกมึนงง  แต่พอหันไปเห็นหน้าแหวนที่ยิ้มแป้นออกมาทั้งมีน้ำตาซึมๆก็ตื่นตัว

“ป๊าครับ” เขาเรียกออกมา แล้วเอามือจับที่แขนบิดา

ไฮ้จุ๊งเอามือวางมือบนไหล่ลูกชาย

“ลื้อ สองคนยังเด็ก  แม้จะใกล้เรียนจบแล้ว  อย่าคิดว่าฉันจะยอมให้อยู่ด้วยกันสองต่อสองบ่อยๆ  ลื้อต้องกลับบ้าน  แล้วเวลาไปเที่ยวกันก็ต้องมาขอมาบอกด้วย  แล้วถ้าไม่ไปไหนก็มาที่บ้านมาช่วยงานอั๊วบ้าง  ไม่อายรึ ที่อาราอิเขาต้องมาทำงานแทนลื้อ  ลื้อต้องให้แหวนเขามาหัดทำงานในร้านบ้าง”

“ป๊าครับ” ตี้รับคำ

แล้วเขาก็ลุกขึ้นแล้วคุกเข่าลงกับพื้นครัว  ก่อนจะกราบลงไปที่เท้าของไฮ้จุ๊ง

“ป๊าครับผมขอโทษ ผมอกตัญญูกับป๊า ผมขอโทษครับ”

ไฮ้จุ๊งก็ดึงลูกชายคนโตขึ้น

“อั๊วก็ต้องขอโทษลื้อเหมือนกันนะ  แล้วก็ขอบใจที่ลื้อเป็นหมออย่างที่อั๊วอยากให้ลื้อเป็น  มันคงลำบากมาเลยใช่ไหม”

ตี้ส่ายหน้ายิ้มออกมาทั้งน้ำตาอาบแก้ม

“ไม่เอาไม่ร้อง  ลื้อไม่อายแฟนหรือไง เป็นผู้ชายอะไรร้องไห้  เดี่ยวคนอื่นจะว่าป๊าลื้อสอนลูกชายให้เข้มแข็งไม่ได้” ไฮ้จุ๊งลูบหัวลูกชายเหมือนที่เคยทำตอนที่ตี้อายุน้อยกว่านี้

ตี้หันมองหน้าแหวนที่มีน้ำตาปิติอาบแก้ม

“ทำเป็นพูด  อั๊วก็ไม่ยอมให้ลูกลื้อเอาเปรียบลูกอั๊วได้เหมือนกัน  มันต้องมาสู่ขอตามประเพณี  ไม่งั้นลื้ออย่าหวังว่าอั๊วจะยอม”

พ๊งหัวกล่าวโดยหันเลี่ยงไปทางอื่น

“ก็ว่ามาเลย อั๊วจะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอ  ลื้อหาฤกษ์มาเลยก็ได้  แล้วอยากจะได้อะไรก็ว่ามา” ไฮ้จุ๊งตอบแต่มองไปอีกทาง

พ๊งหัวหัวเราะทำท่าแสดงความรวยด้วยการยกนิ้วอวดแหวนเพชร

“อาจุ๊ง... ตอนนี้อั๊วไม่ใช่ไอ้พ๊งคนเดิมแล้ว  อั๊วไม่ใช่กระจอกกระจอก  คิดว่าอยากได้สินสอดจากลื้อมากนักหรือไง... ทองหยองจัดมาตามประเพณีก็ว่ากันไป นิดหน่อยก็พอ อั๊วมีเยอะแยะแล้ว  แต่ยังไม่ใช่ว่าหมั้นแล้วแต่งเลยนะ  ต้องให้เรียนจบทั้งคู่ก่อน”

จุ๊ยกับอาราอิหันมองตากัน  อาราอิเห็นจุ๊ยก็มีน้ำตาเลยขยี้หัวจุ๊ยเบาๆ

 

จุ๊ยพาพ๊งหัวขึ้นมาชั้นสองตามคำร้องขอ  เขาจุดธูปแล้วส่งให้พ๊งหัว

พ๊งหัวก็ประนมไหว้แต่ไม่ได้คุกเข่า  จากนั้นก็ส่งธูปให้จุ๊ยเพื่อไปปัก

“ลื้อโตขึ้นมาเลยนะ  ถ้าไปเจอกันข้างนอกอั๊วคงจำไม่ได้” พ๊งหัวกล่าว

จุ๊ยปักธูปเสร็จแล้ว ก็หันมา

พ๊งหัวมองหน้าจุ๊ย

“แต่ลื้อนี่เหมือนอาเหม่ยไม่ผิด  ทั้งตาและโครงหน้า”

จุ๊ยหันไปมองรูปถ่ายของแม่ ก่อนจะหันกลับมามองหน้าพ๊งหัว

“อั๊ว รู้ว่าอั๊วไม่มีคุณสมบัติ  แต่หัวใจคนเป็นพ่อน่ะ  ก็อยากให้ลูกเรียกสักคำว่าพ่อ  แต่ถ้าลื้อไม่เรียก อั๊วก็ไม่ว่า  เป็นเจ๊กพ๊งอย่างเดิมก็ดี  คนอื่นจะได้ไม่สงสัย”  แล้วเขาก็ถอนหายใจอีก 

“ถ้ามีอะไรขาดเหลือ  ก็ไปบอกอั๊วได้นะ  อั๊วอยากจะชดเชยให้ลื้อบ้าง  อย่ารังเกียจเลยนะ”

แล้วเขาก็หันหลังกลับ

“ครับป๊า”

เสียงของจุ๊ยทำให้พ๊งหัวเหมือนโดนไฟฟ้ากระตุกร่าง  เขาหันมา

จุ๊ยยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน

“วัน นี้ป๊าแสดงให้เห็นแล้วว่าจริงๆแล้วป๊าเป็นคนมีจิตใจยังไง  ผมอาจยังทำใจไม่ได้เต็มที่  แต่ผมก็ยินดีจะเรียกป๊า ว่าป๊าเหมือนกันครับ”

พ๊งหัวน้ำตาไหล เดินเข้ามาหาลูกชายที่ตัวเองไม่เคยมีโอกาสได้ดูแล

แล้วก็กอดเด็กหนุ่มไว้

“ขอบใจมาก  ขอบใจลื้อมาก”

 

อาราอินั่งท้าวคางมองจุ๊ยเอาแซกโซโฟนจรดริมผีปาก

เมื่อเขาเป่า  เสียงเพลง Autumn Leaves ถ่ายทอดออกมาด้วยท่วงทำนองที่เหมือนจะแว่วหวานกว่าที่เคยได้ยิน 

เสียง ของมันแทรกไปในอณูอากาศ  และคงจะผ่านไปในสายลม  แล้วสายลมก็คงจะหอบมันไปบอกกล่าวแต่ผู้อยู่แดนไกลเพื่อเล่าเรื่องราวที่เกิด ขึ้นในวันนี้ ที่เธอไม่มีโอกาสได้เห็น...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา