พิษเพลิงสิเน่หา
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.46 น.
แก้ไขเมื่อ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558 11.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) พิษเพลิงสิเน่หา ตอนที่ 5 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ***พิษเพลิงสิเน่หาวางจำหน่ายในรูปแบบอีบุ๊กเท่านั้น
สามารถโหลดได้แล้ววันนี้ที่เมพ meb e-book***
ปาร์ตี้ฉลองงานในเย็นวันเดียวกันเริ่มขึ้น ดูเหมือนว่าจะเป็นการนัดรับประทานอาหารเย็นในหมู่ญาติและเพื่อนสนิทราวห้าสิบคนเสียมากกว่าจะเหมือนงานเลี้ยงแต่งงานแบบไทยที่เคยเห็นจนชินตา แม้บ่าวสาวจะอยู่ในชุดลำลองแต่ก็ยังดูหล่อเหลาและสวยงามเหมาะสมกันอย่างยิ่ง งานเลี้ยงแบบค็อกเทลให้แขกตักอาหารรับประทานตามใจชอบ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และฟรุตพั้นช์มีไม่อั้นแต่ก็ยังไม่สามารถกลบความหอมหวานของบัวลอยเผือกฝีมือภัทรษาได้ เมื่อหลายคนให้ความสนใจในรสสัมผัสอันเป็นเอกลักษณ์
หากรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อไม่ได้ตกเป็นเป้าสายตาของรามอสเช่นช่วงเช้า แต่กลับเป็นเธอเองที่ลอบมองร่างสูงใหญ่อยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูง ออกไปวาดลีลาเต้นรำกับผู้หญิงในกลุ่มทั้งยังได้รู้ว่าจากสายป่านว่า เขาเพิ่งจะอกหักจากนางแบบที่ชื่อดาเรียซึ่งควงแฟนหนุ่มมาร่วมงานนี้ด้วย เหตุผลนี้กระมังที่ทำให้เขาเรียกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากบริกรอยู่บ่อยครั้งภาพนั้นก็ทำให้เธอต้องเบือนหน้าหนีและเกิดคำถามอย่างไม่เข้าใจตัวเองว่าเพราะเหตุใดหัวใจถึงได้โหวงเหวงกับภาพนั้น ทั้งที่ความจริงแล้วเธอควรจะไม่ชอบหน้าเขาต่างหาก
ภัทรษาสลัดความรู้สึกกวนใจนั้นออกไปและตั้งใจทำหน้าที่ของตนให้ดี แม้จะเหนื่อยแต่ก็สุขใจ ภูมิใจที่ได้นำเสนอของหวานแบบไทยให้ชาวต่างชาติรับรู้ จากนี้เป็นการร้องเพลงเต้นรำของแขกที่มาร่วมงานเป็นสัญญาณให้หญิงสาวทราบว่าหน้าที่ของตนในงานเลี้ยงนี้สิ้นสุดลงแล้ว
“พี่วุ้น... จะไปไหนคะ รอก่อนค่ะ” สายป่านเดินออกมาดักหน้าเจ้าของร้านศาลาขนมหวานซึ่งเผลอแป๊บเดียวเดินเกือบจะพ้นรั้วบ้าน
“หมดหน้าที่แล้วขอกลับบ้านจ้ะ” ภัทรษาตอบ
“อย่าเพิ่งกลับนะคะทานข้าวด้วยกันก่อน คุณไพลินให้หนูมาเรียกพี่วุ้นไปทานข้าวก่อนค่ะ” สายป่านบอกพลางชี้นิ้วไปกลางสนามซึ่งหลายคนกำลังเต้นรำอย่างสนุกสนาน “คุณไพลินจัดที่ไว้ให้พี่วุ้นตรงนั้นค่ะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ฝากบอก...”
“อย่าปฏิเสธเลยค่า คุณไพลินกำชับมาว่าให้ชวนพี่วุ้นมาทานข้าวด้วยกันก่อน เหนื่อยด้วยกันมาทั้งวัน” สายป่านคะยั้นคะยอ ไม่ยอมปล่อยแขนของเจ้าของร้านขนมไทยไปง่ายๆ “นะคะ... ทานข้าวแล้วเดี๋ยวหนูปั่นจักรยานไปส่ง บ้านอยู่แค่ท้ายซอยนี่เอง นะคะ...”
ภัทรษาจำใจต้องเดินกลับเข้าไปอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าคุณไพลินเดินเลี่ยงออกจากกลุ่มที่กำลังสังสรรค์มาหาตน
“ทานข้าวด้วยกันก่อนเถอะหนูวุ้น ถือซะว่าเป็นคำขอบคุณที่อุตส่าห์มาช่วย” ไพลินบอกพร้อมยิ้มด้วยความจริงใจ แน่นอนว่าหญิงสาวไม่กล้าปฏิเสธ
ภัทรษาปั้นหน้ายากเพราะไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับใครจนกล้าเข้าไปร่วมโต๊ะรับประทานอาหารได้ “ถ้าอย่างนั้นวุ้นขอไปทานข้าวกับสายป่านได้ไหมคะ”
“อุ๊ย! ไม่ได้หรอกค่ะ หนูทานข้าวด้านหลังโน่น ในครัวน่ะค่ะ” สายป่านบอกพร้อมโบกมือ
“นั่นสิจ๊ะ” ไพลินเสริมแต่ต้องเงียบเมื่อได้ฟังเหตุผล
“ได้สิคะ หนูสนิทกับสายป่านที่สุดแล้ว ถ้าให้เข้าไปนั่งตรงนั้นคงจะเกร็งวางตัวไม่ถูก” บอกและเอื้อมมือไปคว้ามือของสายป่านมากุมเอาไว้และหันมาขอไพลินอีกครั้ง “นะคะ...”
ไพลินถอนหายใจอย่างยอมแพ้ “ถ้าหนูวุ้นสะดวกใจอย่างนั้น ฉันคงไม่ขัดข้องหรอกจ้ะ แต่สายป่านต้องดูแลอย่างดีอย่าให้ขาดตกบกพร่อง”
“ได้เลยค่า” แม่บ้านสาวรับคำขันแข็ง
“อ้อ... เอาลินนี่ไปส่งฉันที่ห้องด้วย ดึกมากแล้วพวกเธอจะได้พักผ่อน” ไพลินบอกพร้อมพยักหน้ามองสองสาวเดินห่างออกไป อดชื่นชมกับความอ่อนน้อมถ่อมตนของเจ้าของร้านขนมไทยไม่ได้ ช่างมีมารยาทแบบที่หาได้ยากจากสาวๆ สมัยใหม่นี้นัก
ภัทรษาเดินตามแม่บ้านสาวเข้ามาด้านหลังเรือนริมน้ำ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นภายในของอาณาบริเวณแห่งนี้ ร่มรื่น กว้างขวาง สะอาดสะอ้านแม้จะมีต้นไม้ใหญ่อยู่มาก
“ศาลาริมน้ำนั่นน่านอนเล่นจริงๆ” ภัทรษาเปรยเมื่อเดินผ่านศาลาไม้ริมน้ำ เมื่อเดินลึกเข้าไปยังมีเรือนไม้หลังขนาดย่อมตั้งหันหน้าเข้าหาคลองมันทำให้นึกถึงบรรยากาศตอนเช้าที่จะตื่นขึ้นมาแล้วได้สูดอากาศบริสุทธิ์ยิ่งนัก
“นั่นที่ประจำของหนูนะคะ พี่วุ้นห้ามแย่งเด็ดขาด” สายป่านบอกพลางชี้ไปยังศาลาไม้หลังหนึ่งซึ่งเป็นครัวไทยเปิดโล่ง หากต้องขมวดคิ้วมุ่นและสาวเท้าเข้าไปเร็วๆ เมื่อเห็นพี่เลี้ยงของเจ้านายตัวน้อยนั่งตัวงออยู่บนโต๊ะอาหาร “พี่แป้นเป็นอะไรจ๊ะ ทำไมถึงได้ตัวงอเหงื่อซึมแบบนี้”
พี่เลี้ยงเฉพาะกิจของหนูน้อยโจเซลีนทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด “ไม่รู้เหมือนกัน จู่ๆ ก็ปวดท้องเหมือนมีคนมาบิดไส้ ตอนแรกคิดว่าปวดท้องหนักแต่ไปนั่งเสียนานก็ไม่หายสักนาน”
“ประจำเดือนมารึเปล่าพี่แป้น” สายป่านถามพลางเอื้อมไปหยิบกระดาษทิชชูมาซับเหงื่อ
“ไม่ๆ สงสัยจะกินอะไรเข้าไปผิดสำแดง โอ๊ย... ปวดท้อง” ร้องพลางตัวงอหนักขึ้น ในขณะที่หนูน้อยโจเซลีนเดินเข้ามาจับมือของภัทรษาแล้วยิ้มให้อย่างสดใส
“งั้นเดี๋ยวหนูไปบอกคุณไพลิน...” สายป่านยังไม่ทันได้พูดจบ แป้นก็โบกมือห้ามเป็นพัลวัน
“อย่าเลย คุณๆ ยุ่งมาทั้งวันคงเหนื่อยแย่แล้ว สายป่านช่วยพาคุณหนูลินนี่ไปส่งให้คุณไพลินหน่อย เดี๋ยวพี่จะออกไปรอแฟนมารับที่หน้าประตูใหญ่” แป้นบอกพลางพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นแต่ยังลงน้ำหนักไม่เต็มสองขาก็ทรุดนั่งลงอีกครั้ง
“งั้นสายป่านพยุงพี่แป้นไปส่งดีกว่า เดี๋ยวพี่ช่วยดูหนูลินนี่ให้เอง” บอกพลางก้มตัวลงช้อนอุ้มเด็กน้อยขึ้นไว้ในวงแขน
“งั้นฝากคุณหนูก่อนนะคะ ขอไปส่งพี่แป้นแป๊บเดียว” สายป่านบอกพลางเข้าไปพยุงร่างท้วมให้ลุกขึ้นแล้วค่อยๆ เดินออกไปจากบริเวณครัว
แม้อาการปวดท้องอย่างเฉียบพลันจะน่าเป็นห่วงแต่เด็กน้อยหน้าตาน่ารักในอ้อมแขนก็เรียกความสนใจของภัทรษาได้เป็นอย่างดี เมื่อมือป้อมๆ ชี้ไปข้างหน้าแล้วพูดด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว
“ไปเดินเล่นกันนะ ไปตรงนั้น”
ภัทรษายิ้มและก้าวเดินไปตามคำขอนั้นอย่างไม่เกี่ยงงอน ระหว่างเดินไปตามคำขอ เด็กน้อยในอ้อมแขนยังประคองใบหน้าเธอไว้ในสองมือแล้วกดจมูกสูดความหอมจากแก้มเธอด้วยความแผ่วเบา
“หืม... หอมจังเลย” โจเซลีนเลียนแบบท่าทางและคำพูดของทิโมธีไว้อย่างครบถ้วน มักทำเช่นนี้เมื่อต้องการออดอ้อนให้ผู้ใหญ่ตามใจซึ่งเป็นเหตุผลที่ภัทรษาไม่ทราบมาก่อน
“โอ๊ย... ทำไมหนูน่ารักอย่างนี้ น้าขอหอมแก้มได้ไหม”
จบคำขอเด็กน้อยก็เป็นฝ่ายยื่นแก้มให้ทันที จากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังเรือนไม้ซึ่งตั้งอยู่เยื้องๆ กับศาลาริมน้ำ ตอนแรกนั้นหญิงสาวไม่กล้าเดินเข้าไปเพราะยังไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของแต่เมื่อเห็นของเล่นหลายชิ้นวางกลาดเกลื่อนอยู่ด้านหน้าก็เข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใด เด็กน้อยถึงได้ชี้ชวนให้เดินมาบริเวณนี้
ภัทรษายอมปล่อยเด็กน้อยลงจากอ้อมแขนเมื่อตนยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าเรือนไม้ ยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อถูกดึงให้ก้าวขึ้นบันไดราวสองสามขั้นไปยังระเบียงที่มีของเล่นวางอยู่หลายอย่าง
“นั่งลง เล่นด้วยกันน้า...” พูดจบก็ทรุดตัวนั่ง หยิบมะเขือเทศที่ทำจากพลาสติกวางลงในหม้อพร้อมห่อปากทำเสียงเลียนแบบอาหารถูกความร้อน
ด้วยความที่เป็นลูกสาวคนเดียว เคยสัมผัสกับความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แต่ยังโชคดีนักที่มีพรรณลดาย้ายมาอาศัยอยู่ด้วยในช่วงเรียนชั้นประถม แม้อายุจะห่างกันถึงห้าปีแต่ความน่ารักของน้องก็ทำให้คลายความเหงาลงได้มาก การเล่นเพียงลำพังของหนูน้อยตรงหน้าจึงทำให้ไพล่คิดถึงความเหงาของตนเอง
“ลินนี่อยากมีเพื่อนเล่นใช่ไหมคะ” ทรุดตัวลงนั่งตรงกันข้ามแล้วถามด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
“ค่า... เปิดร้านแล้วสั่งอาหารได้เลย”
ภัทรษาหัวเราะร่วนกับคำพูดคำจาของเด็กวัยเรียนรู้ “งั้น... สั่งพิซซ่าหนึ่งถาดแล้วก็น้ำองุ่นหนึ่งแก้ว”
“โอเค รอแป๊บนะจ๊ะ” จบคำพูดก็หันไปหยิบจับของเล่นต่างๆ ยัดเข้าเตาอบจำลอง ตามประสาจินตนาการของเด็ก ทว่าเสียงที่ดังขึ้นก็ทำให้ภัทรษาหันไปยังต้นกำเนิดของเสียง
สายป่านยิ้มกว้างเมื่อเห็นใบหน้าของคุณหนูตัวน้อยยิ้มร่าเริงทั้งที่ความจริงแล้วเลยเวลาเข้านอนมากว่าชั่วโมงทั้งหมดนั้นเป็นเพราะดีใจที่มีเพื่อนเล่น “พี่วุ้นรอสายป่านอีกสักแป๊บได้ไหมคะ ขอพาคุณหนูลินนี่ไปส่งให้คุณไพลินก่อน”
“จ้ะ ไปเถอะ” ภัทรษารับคำ
“ไปค่ะคุณหนู เดี๋ยวพี่พาไปหาคุณยายนะคะ” สายป่านบอกพร้อมยื่นมือเข้าไปหาโจเซลีนแต่เจ้าตัวกลับปัดออกพร้อมโวยวาย “ดึกแล้วนะคะ พรุ่งนี้ค่อยมาเล่นกันใหม่ ดูสิง่วงนอนจนตาจะปิดแล้ว”
“ไม่ๆ”
เสียงปฏิเสธทำให้ภัทรษาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเพราะเด็กน้อยสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษไม่น่าจะเข้าใจในสิ่งที่สายป่านพูด “น้องลินนี่ฟังภาษาไทยรู้เรื่องเหรอจ๊ะ”
สายป่านส่ายหน้าอย่างจนใจแต่ก็อธิบายตามคำบอกเล่ามาอีกทอดหนึ่ง “ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่คุณนิก้าบอกเข้าใจค่ะเพราะเธอใช้ภาษาไทยคุยกับคุณหนู แค่คุณหนูยังพูดไทยไม่เป็นประโยคเท่านั้น ต้องรอให้โตกว่านี้ค่ะ”
“อ่อ... คงจะจริงอย่างที่คุณนิก้าว่า”
“พิซซ่าเสร็จแล้วค่า จ่ายตังค์ด้วย” โจเซลีนบอกพร้อมยื่นจานใบเล็กๆ ซึ่งมีกระดาษรูปพิซซ่าแปะเอาไว้แต่พอรับเงินที่ลูกค้ายื่นให้แม่ค้าตัวน้อยก็อ้าปากหาวหวอดๆ
“แม่ค้าง่วงนอนแล้ว ปิดร้านไปพักผ่อนก่อนนะจ๊ะ พรุ่งนี้ค่อยมาเปิดร้านใหม่นะ” ว่าแล้วแม่ค้าตัวน้อยก็โยเยอยู่พักใหญ่ ภัทรษาจึงชวนถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกสามสี่ภาพเมื่อเห็นว่าเริ่มคล้อยตามจึงเกลี้ยกล่อมให้ไปพักผ่อนอีกครั้ง
“สัญญาแล้วนะว่าพรุ่งนี้จะมาซื้อพิซซ่าอีก” แม้จะอ้าปากหาวยกมือขยี้ตาอยู่บ่อยครั้ง โจเซลีนยังย้ำในสัญญา
“จ้า... รับรองจะมารอแม่ค้าเปิดร้านเลยนะ วันนี้ต้องเข้านอนแล้วนะคนดี” บอกพลางดันร่างของโจเซลีนเข้าสู่อ้อมแขนของสายป่าน
“หนูวิ่งไปส่งคุณหนูแป๊บเดียวเดี๋ยวกลับมาทานข้าวด้วยกัน ถ้าพี่วุ้นหิวก็ทานก่อนได้นะคะ อาหารวางไว้บนโต๊ะแล้ว” สายป่านบอกพลางพยักพเยิดไปยังที่ตั้งของครัว
“ความจริงแล้วพี่กำลังลดหุ่น ไม่ทานมื้อเย็นจ้ะแต่ไม่อยากขัดใจคุณไพลิน พี่ว่าสายป่านไปส่งหนูลินนี่เข้านอนส่วนพี่ก็จะกลับบ้านแล้ว” ภัทรษาพยักหน้าสำทับคำพูดของตนเมื่อเห็นคู่สนทนาเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ “จริงๆ นี่พี่ซ่อนรูปนะ”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” สายป่านบอกพร้อมเสนอตัวจะปั่นจักรยานไปส่งถึงบ้านแต่ถูกปฏิเสธ “งั้นพี่วุ้นระวังตัวนะคะ ค่ำมืดแล้ว”
“จ้ะ แถวนี้ไม่เคยมีเรื่องร้ายๆ หรอก แต่พี่จะระวังตัว สายป่านรีบไปเถอะ น้องลินนี่ง่วงจัดแล้ว” บอกและมองตามร่างของทั้งคู่เดินออกไปไกลจนลับตา
ทว่าภาพถ่ายที่อยู่ในโทรศัพท์กลับทำให้ภัทรษานั่งอยู่ที่เดิม นิ้วเรียวปัดหน้าจอเลื่อนดูอย่างลืมเวลา รอยยิ้มสดใสของหนูน้อยโจเซลีนสะกดสายตาและดึงความคิดไปไกลจนนึกถึงหน้าตาลูกสาวของตน โดยไม่รู้ตัวเลยว่าบัดนี้มีร่างสูงใหญ่ของเจ้าของชั่วคราวเรือนไม้แห่งนี้จ้องมองเธอไม่วางตา
“ไงจ๊ะคนสวย... อยากมีลูกน่ารักแบบนี้ รู้ไหมว่าต้องหาพ่อหล่อๆ ให้ลูก”
คำพูดกวนโทสะทั้งน้ำเสียงไม่ชัดเจน บ่งบอกให้ภัทรษารู้ได้เป็นอย่างดีว่าออกจากปากของคนที่มีสติสัมปชัญญะไม่ครบถ้วน เธอแหงนหน้ามองร่างสูงใหญ่ที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าด้วยความตกใจและรีบผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะอยู่ให้ไกลเขา
“ถอยไปนะ” ภัทรษาสั่งเสียงเครียดเมื่อเขาก้าวมาขวางทาง ใช้สายตามองอย่างหาเรื่อง
รามอสนึกหงุดหงิดใจเป็นพันเท่าทวีคูณ ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอต้องทำหน้าตึง มองตนไม่ต่างจากตัวประหลาดไร้มารยาททุกครั้งที่เผชิญหน้า จริงอยู่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนเช้าเขาอาจจะใช้คำพูดร้ายกาจกับเธอไปบ้างแต่นั่นก็ด้วยความร้อนใจอีกทั้งยังกล่าวคำขอโทษไปแล้ว
“ไม่ถอย... นี่มันที่พักของผม คุณ...นั่นแหละ ขึ้นมาหาผมเอง” บอกพลางกางแขนทั้งสองข้างออกจนเธอผงะถอยหลังไม่เหลือทางให้เดินลงจากเรือนไม้
“คุณเมาแล้ว ถอยไปเถอะค่ะ ฉันจะกลับบ้าน” ไม่มีประโยชน์ที่จะต่อล้อต่อเถียงกับคนเมา แต่คนเมากลับทำให้เธอหวีดร้องด้วยความตกใจสุดขีดเมื่อถูกรวบไว้ในอ้อมแขนอย่างหนาแน่น “กรี๊ด... ปล่อยนะ!”
“ปล่อยทามมาย... มาหาถึงที่แล้ว” บอกพร้อมก้มลงซุกไซ้ซอกคอสูดหาความหอมที่ทำให้ประสาทในการรับรู้ตื่นตัว
ภัทรษารวบรวมกำลังผลักหน้าอกกว้างออกสุดแรงเกิด สะบัดฝ่ามือใส่ใบหน้าคร้ามคมเต็มแรงหวังเรียกสติคนเมามายให้กลับมาเป็นผู้เป็นคน
เพียะ!...
“มันจะมากไปแล้วนะ” เสียงห้าวคำรามต่ำ ยกมือขึ้นลูบใบหน้าซีกที่ถูกประทุษร้ายอย่างแรง “พูดกันดีๆ ก็ได้ ทำไมต้องใช้กำลัง”
“ผู้ชายที่ดูถูกผู้หญิง ลวนลามแถมยังเมาไม่รู้เรื่องจะพูดดีๆ ด้วยได้ยังไง” ความโกรธทำให้ภัทรษาโต้กลับทันควัน ทั้งยังตวาดสั่งอีกครั้ง “หลีกทางนะ”
“ขอโทษผมเดี๋ยวนี้” ไม่ทำตามและออกคำสั่ง สาวเท้าเข้าไปหาคนที่กล้าดีตบเขาจนหน้าชาในขณะที่เธอถอยหลังไปเรื่อยๆ
นี่คือครั้งแรกที่ผู้หญิงบังอาจตบหน้าคนอย่างรามอส รูบิโอ แน่ล่ะว่าฝ่ามือนุ่มๆ เมื่อปะทะเข้ากับใบหน้าแล้วมันไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงความอ่อนนุ่มนั้นแต่มันทั้งเจ็บทั้งหยามเกียรติ ความโกรธเข้าครอบงำจนหูอื้อตาลาย สิ่งเดียวที่จะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเห็นจะมีแต่คำขอโทษเท่านั้น!
...แต่ภัทรษาไม่ใช่ผู้หญิงที่เขาเจอมาจนชาชิน นอกจากความคิดเห็นของลูกค้าในธุรกิจที่ทำแล้วอย่าหวังว่าจะยอมก้มหัวให้ใครง่าย ยิ่งเป็นผู้ชายที่เจอหน้าครั้งแรกก็ปากร้าย เจอครั้งที่สองก็ลวนลาม มีหรือเธอจะไม่สั่งสอนให้รู้สำนึกเสียบ้าง
“ผมบอกให้ขอโทษ” รามอสทวงถึงคำขอลุแก่โทษอีกครั้ง
“ตรงไหนที่ฉันควรเอ่ยคำขอโทษ”
“คุณตบหน้าผมนะแม่คุณ” กดเสียงต่ำบอกอย่างระงับอารมณ์ในเดียวกันก็สามารถกักเธอไว้ในอ้อมแขนเมื่อเธอถอยหลังไปจนติดกับประตูห้อง
“คุณสมควรได้รับมันมากกว่าหนึ่งครั้งด้วยซ้ำถ้าเทียบกับคำพูดหยาบคาย ไร้ความคิดนั่น” เถียงอย่างไม่ลดละแม้ว่าเขาจะใช้กำปั้นทุบลงบนประตูห้องเป็นการระบายอารมณ์ทั้งขู่บังคับไปด้วยแต่ก็ไม่ทำให้เธอเกรงกลัวสักนิด
“แล้วมันไม่จริงตรงไหน ถ้าอยากได้ลูกหน้าตาเหมือนลินนี่ก็ต้องหาพ่อพันธุ์ไซส์ยุโรป”
ภัทรษาอ้าปากค้างกับความหยาบกระด้างของผู้ชายตรงหน้า เขายังไหวไหล่เป็นเชิงบอกเธอว่า นี่ล่ะคือพ่อของลูกคนนั้น “ไปไกลๆ เลย หยาบคายแบบนี้ใครจะเอาไปทำพันธุ์”
เพียะ!...
เสียงตวาดและเสียงฝ่ามือปะทะบนใบหน้าคร้ามคมดังขึ้นพร้อมๆ กันในจังหวะที่รามอสไม่ทันตั้งตัว แถมแม่ตัวดียังกระทืบเท้าเขาเสียจนต้องโอดครวญเสียงหลง
“โอ๊ย...”
เป็นโอกาสดีที่จะหนีเมื่อเขากำลังก้มลงลูบๆ คลำๆ ปลายเท้าตัวเอง รอยยิ้มสะใจบนใบหน้างดงามของภัทรษาเกิดขึ้นเพียงแวบเดียวจากนั้นต้องเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เมื่อถูกรั้งข้อมือไว้อย่างหนาแน่น
“ทั้งตบทั้งด่าซะเสียหายแล้วจะชิ่งง่ายๆ แบบนี้เหรอ ฝันไปเถอะ” รามอสบอกพร้อมกระชากประตูห้องพักของตนออกอย่างแรง มืออีกข้างฉุดรั้งร่างระหงของคนอวดดีเข้ามาในห้อง
เพียงแค่เสียงกริ๊กล็อกประตูดังขึ้น วินาทีนี้ภัทรษาจึงได้รู้ว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายนัก แต่หนทางที่เธอจะต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดจากเงื้อมมือของผู้ชายหยาบกระด้างคนนี้กลับสวนทางโดยสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับความตั้งใจของรามอส
“อย่าทำบ้าๆ นะ ถอยไปเดี๋ยวนะ ไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วย” ทว่าสายตาและท่าทางเอาจริงของเขาทำให้รู้ว่าไม่ใช่แค่ขู่แต่เธอต้องร้องขอความช่วยเหลือจากใครสักคน “ช่วย... อุ๊บ!”
รามอสเปิดโอกาสให้คนอวดดีร้องได้เพียงเท่านั้นเพราะเขากำลังกลืนเสียงกรีดร้องนั้นให้หายเข้าไปในลำคอ สอดมือข้างหนึ่งเข้าไปตรึงท้ายทอยได้รูปให้รับเอาจุมพิตร้อนแรง อีกมือกดบั้นเอวคอดไม่ให้เธอดิ้นรนได้สะดวกนัก
มีเพียงสองมือเท่านั้นที่ยังทุบตีกายแกร่งไม่เลือกที่ จุมพิตจาบจ้วงเอาแต่ใจกำลังจู่โจมไม่ลดละ ยิ่งสู้เขายิ่งตอบแทนด้วยความดุดัน ช่วงเวลาอันรวดเร็วเขาก็ถอนริมฝีปากออก สายตาที่มองเธอเปลี่ยนจากเกรี้ยวกราดเป็นร้อนแรง แต่รอยยิ้มเย้ยหยันและคำพูดร้ายกาจที่ได้ยิน ยังไม่ทำให้ภัทรษารู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าไม่ต่างจากถูกเขาตบหน้าเข้าฉาดใหญ่
“ไม่ถึงนาทีก็ตัวอ่อน เคลิ้มกับจูบผมแบบนี้อย่ามาปากดีหน่อยเลย อยากได้ผมไปทำพันธุ์จนตัวสั่นต่างหาก” รามอสคิดผิดที่ปล่อยให้เธอเป็นอิสระเพราะจบคำพูดฝ่ามือนุ่มของเธอก็ทำร้ายเขาซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง
เพียะ!...
ภัทรษากำกำปั้นจนเล็บจิกกลางมือ กัดริมฝีปากล่างแน่นจนรู้สึกเจ็บแต่ความโกรธนั้นยังเทียบไม่ได้กับผู้ชายตรงหน้า เพราะเวลาไม่ถึงสิบนาทีเขาถูกผู้หญิงคนเดียวตบจนหน้าหันถึงสามครั้งสามครา ไม่มีคำขอโทษแม้จะเรียกร้องสักกี่ครั้ง ไม่ได้เห็นสีหน้ารู้สึกผิดในการกระทำของตัวเอง ถ้าวันนี้ไม่สั่งสอนแม่คนอวดดีให้ศิโรราบ อย่ามาเรียกเขาว่ารามอส!
“กรี๊ด... ปล่อยนะ ไอ้บ้า!” ภัทรษาหวีดร้องสุดเสียงเมื่อถูกอุ้มพาดบ่าหัวห้อยลงพื้นอย่างผิดธรรมชาติ สองขาทั้งเตะทั้งถีบและรุนแรงขึ้นเมื่อเขาตอบโต้ด้วยการตีสะโพกจนน้ำตาแทบร่วง “โอ๊ย! เจ็บนะ”
รามอสเดินผ่านห้องนั่งเล่นที่จัดวางโซฟาขนาดย่อม ชุดโต๊ะทำงานคล้ายๆ ห้องเดี่ยวเหมาะอยู่คนเดียวเข้ามาในห้องนอนซึ่งวางเตียงคิงส์ไซส์ไว้ตรงกลาง เหวี่ยงร่างระหงบนบ่าลงไม่เบานัก “ทีตบหน้าผมสามครั้ง กระทืบจนเท้าแทบพัง ผมเอาคืนแค่นี้ทำมาเป็นโอดครวญ”
ภัทรษาชันตัวขึ้นแล้วถอยหลังไปจนสุดหัวเตียง ความโกรธผสมรวมกับความหวาดกลัวทำให้ลืมนึกถึงสภาพของตัวเองในตอนนี้ “คุณหยาบคายกับฉันก่อนนะ”
รามอสครางฮือรับภาพตรงหน้า เมื่อเดรสตัวสวยร่นสูงขึ้นจนเผยให้เห็นต้นขาเรียวงาม จุดกลางกายอันลี้ลับห่อหุ้มด้วยลูกไม้สีหวาน แอลกอฮอล์ปริมาณเกินปกติในร่างกายเป็นตัวกระตุ้นเร้าให้เลือดสูบฉีดรุนแรง ความปรารถนาถูกปลุกเร้าขึ้นร่วมกับความรู้สึกอยากปราบพยศของผู้หญิงตรงหน้า
“ขอโทษผมซะ”
ถ้าภัทรษามีความสามารถพิเศษในการอ่านใจคนได้ง่ายดาย เธอก็คงจะกล่าวคำนั้นออกมาเพราะมันคือทางรอดเดียวแต่ความจริงแล้วเธอคือปุถุชนคนธรรมดา ซึ่งบัดนี้มีทั้งความรู้สึกโกรธเคืองหวาดกลัวผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก ยิ่งเป็นคำขอโทษที่ควรจะได้ก็ยิ่งไม่มีทางที่เธอจะเป็นฝ่ายเอ่ยมันออกมา
“หลังจากที่คุณพูดมันออกมาก่อน” ทันทีที่ร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงมาภัทรษาซึ่งตั้งท่ารออยู่แล้วก็งอหัวเข่าถีบเข้ากลางอกเขาสุดแรงแต่อีกฝ่ายกลับเบี่ยงตัวหนีอย่างทันท่วงทีแถมยังกระตุกข้อเท้าเธอลากเข้าไปใต้ร่าง
“ฤทธิ์เยอะนักแม่ตัวดีแต่ไม่ได้กินผมหรอกจะบอกให้” บอกพร้อมซุกทั้งใบหน้าเข้าหาซอกคอหอมกรุ่น ครั้งนี้กลิ่นหอมเฉพาะตัวของเธอยิ่งกระตุ้นเร้าเพลิงสิเน่หาในกายหนุ่มให้คุโชน
“ปล่อยนะไอ้บ้า ปล่อยเดี๋ยวนี้คนหยาบคาย ฉันรังเกียจคุณได้ยินไหม” ต่อว่าอย่างไม่ลดละ เช่นเดียวกันสองมือสองเท้าที่ดิ้นรนอย่างหนักในการเอาตัวรอดแต่มันคงจะง่ายและได้ผลมากกว่านี้หากคนที่ทิ้งน้ำหนักลงมาไม่ใช่นักกีฬาระดับโลกซึ่งรูปร่างและพละกำลังเป็นต่อเธอทุกด้าน
“ได้ยินแล้วผมก็จะทำให้คุณรู้ว่าคิดผิด ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าตบหน้าผมมาก่อนยิ่งมาตะโกนใส่หน้าว่ารังเกียจยิ่งเป็นไปไม่ได้” รามอสผงกศีรษะขึ้นมาบอกด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดทว่ากลับสั่นพร่าอย่างคนโหยเสน่หา
“อย่านะ อื้อ...” อีกครั้งที่คำบริภาษถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอทว่าครั้งนี้เขากลับสอดลิ้นเข้ามาในปากอย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว ทุกครั้งที่ออกแรงทุบตีเขาจะดูดดึงเรียวลิ้นจนรู้สึกวูบวาบในช่องท้อง ทุกการต่อต้านเขาจะใช้จุมพิตร้อนแรง เอาแต่ใจหวังกำราบเธอให้อยู่หมัด
เธอคงลืมหรืออาจจะไม่รู้กระมังว่าหมัดน้อยๆ ที่ระดุมทุบตีตามร่างกายเขามันไม่ต่างจากการนวดเพื่อคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งบางครั้งการนวดนั้นยังทำให้เขารู้สึกเจ็บได้มากกว่าที่เธอทุบตีอย่างเอาเป็นเอาตายนี้
“เก็บแรงไว้สนุกกันดีกว่าคนสวย จะต่อยจะตีผมไปก็เท่านั้น เหนื่อยเปล่าๆ” ถอนจุมพิตออกมาเตือนด้วยความหวังดี จ้องมองกลีบปากที่บวมเป่งไม่วางตา “ให้ตายเถอะ ทำไมปากคุณถึงเซ็กซี่อย่างนี้นะ”
“เซ็กซี่กับผีนะสิ ไอ้บ้า คุณกำลังจะขืนใจฉันนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้ไม่อย่างนั้นฉันจะไปแจ้งตำรวจ” มีเพียงคำพูดเท่านั้นที่ภัทรษายังพอจะใช้มันต่อสู้กับเขา เพราะเรี่ยวแรงถูกเขากลืนหายไปกับจุมพิตจนเหลืออยู่เพียงน้อยนิด
“ลองให้จบสักรอบก่อนสิ แล้วคุณจะรู้ว่าขืนใจหรือสมยอม” จบคำพูดก็ก้มลงจูบหนักๆ ทั่วทั้งลำคอ ลาดไหล่ สอดมือเข้าไปรูดซิปในครั้งเดียวร่างระหงก็ผวาเมื่อผิวเนื้อสัมผัสกับความเย็นของที่นอนนุ่ม
“ไม่ๆ ปล่อยฉันเถอะนะ คุณเมามากรู้ตัวรึเปล่า” ภัทรษาดิ้นรนหนักขึ้นจนเขาต้องกดน้ำหนักลงอีก เมื่อทำอะไรไม่ได้ทั้งความหวาดกลัวก็คุกคามความรู้สึกเต็มที่จึงตวาดออกไปสุดเสียง “บอกให้ปล่อย ได้ยินไหม... อย่า โอ...”
ร้องขอทั้งที่ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือทว่าเธอกลับตกใจกับเสียงครวญครางของตัวเองที่เล็ดลอดออกมา ความหวังที่จะรอดจากสถานการณ์อันยากลำบากนี้ยิ่งริบหรี่ลงทุกทีๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ