Destiny of Time โชคชะตาแห่งกาลเวลา

6.5

เขียนโดย Huzure

วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 00.55 น.

  40 Time
  12 วิจารณ์
  39.60K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558 15.15 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) หยุด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

(ระหว่างทางกลับบ้าน 17.15)

......

กรุงเทพฯ ในปี 2560 ยังคงเป็นเมืองที่แออัดอยู่เหมือนเดิม ผู้คนเดินกันให้ทั่วในเขตตัวเมืองอันเป็นแหล่งธุรกิจสำคัญ ฉันเองก็พักอาศัยอยู่ที่นี่เหมือนกัน หากแต่อยู่อีกเขตที่ไกลจากตัวเมืองมาระยะหนึ่ง

วันต่อมาหมอก็บอกให้ฉันกลับบ้านได้ แผลที่ถูกยิงของฉันหายไวมากกว่าคนทั่วไปจนหมอยังตกใจเลย ดูท่าว่าความเกี่ยวข้องกับเวลาพวกนั้นจะทำให้ร่างกายฉันมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป

ชุดที่ฉันใส่อยู่ตอนนี้ก็เป็นชุดที่พี่พยาบาลคนหนึ่งเขาให้มา เพราะชุดเก่าของฉันเปื้อนรอยเลือดและมีรอยขาดเยอะเลยทิ้งไปแล้ว ต้องขอบคุณมากจริงๆ

คุณลุงเองก็โทรมาต่อว่าฉันว่าไปทำอะไรมาถึงได้ถูกยิงบาดเจ็บ เลยต้องโกหกไปว่าไปโดนลูกหลงพวกแก๊งนักเลงบางกลุ่มยกพวกตีกัน คุณลุงเองก็เชื่อซะด้วย

*ฟิ้ว*

ใบไม้ที่พัดผ่านไปตามกระแสลม แดดยามเย็นสีแสดที่ส่องแสงสุดท้ายก่อนจะลับขอบฟ้าในกรุงเทพฯ อาจไม่ใช่วิวที่สวยมากเท่าไร  แต่มันกำลังบอกความหมายให้ฉันบางอย่างระหว่างทางที่กำลังกลับบ้าน

มือของฉันสัมผัสไหล่ซ้ายที่ตอนนี้หายสนิท ทิ้งไว้แต่รอยแผลเป็นเอาไว้ให้นึกถึง

“มันจะไม่เหมือนเดิมอีกตลอดไป... สินะ...”

............

(บ้านนรินทร์  17.21)

......

กลับมาถึงบ้านสักที ได้แต่ถอนหายใจด้วยความอ่อนล้าจากการพักฟื้นที่โรงพยาบาลมาตั้ง 3 วัน

กระเป๋านักเรียนฉันปกติจะเก็บกุญแจบ้านเอาไว้ จริงๆกระเป๋านี่น่าจะถูกทิ้งไว้ที่โรงเรียนด้วยซ้ำ ต้องขอบคุณอั้มจริงๆที่เอากระเป๋ามาให้ตั้งแต่วันแรกที่เข้าโรงพยาบาล ไม่งั้นล่ะก็คงได้นอนนอกบ้านยาวๆแน่

(แถมอีตานั่นดันทำให้พวกเธอลืมเรื่องเราไปหมดซะนี่ เห้อ...)

*แกร๊ก* *แกร๊ก*

“กลับมาแล้วค่ะ”

ฉันไขประตูบ้านและเดินเข้ามาข้างในบ้านที่ปิดไฟมืดสนิท

บ้านฉันไม่ใช่บ้านที่ใหญ่เท่าไร ก็แค่บ้านสองชั้นเหมือนคนทั่วๆไป ชีวิตฉันไม่ได้ต่างอะไรกับนักเรียน ม.ปลาย คนอื่นๆเลยสักนิด...

...... ฉันเดินมาที่ห้องนั่งเล่นและวางกระเป๋าไว้ตรงโซฟาในห้อง

ในห้องนี้มีรูปภาพหนึ่งตั้งอยู่ตรงตู้วางของ ฉันเดินตรงไปที่รูปนั้นที่ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในของมีค่าในชีวิตของเรา

“สวัสดีนะคะ... คุณพ่อ... คุณแม่...”

บนรูปภาพใบนั้น เป็นภาพของคนสามคนที่เหมือนจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่น ตรงกลางเหมือนจะเป็นฉันที่กำลังถูกลูบหัวโดยมือของผู้ชายคนหนึ่ง ผู้หญิงทางขวาของภาพได้แต่หัวเราะมองสิ่งที่ผู้ชายคนนี้ทำ

ฉันเอานาฬิกาวางไว้ข้างรูปภาพนั้น ก่อนจะไปดูว่ามีของอะไรให้ทำกับข้าวกินเองได้บ้าง

ส่วนเหตุผลที่ฉันต้องทำกินเอง... นั่นเพราะที่นี่มีแค่ฉันอาศัยอยู่คนเดียวน่ะสิ

ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวมานานกว่า 5 ปีแล้ว โดยไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงอยู่คนเดียว

นานๆ ป้าสุภรรยาของลุงทวีที่โทรมาต่อว่าฉันจะแวะมาบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยเท่าไร

*กรึ้ก* (เสียงขวดในตู้เย็นสั่น)

เห... ในตู้เย็นยังมีหมูบด กะหล่ำ และก็ไข่เหลืออยู่ คงจะทำอาหารได้ยันวันพรุ่งนี้

ถึงจะพักฟื้นมาตั้งหลายวัน แต่บางทีก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแปลกๆ มีเรื่องอะไรที่คิดในหัวเยอะแยะจนแทบจะทำให้เครียดได้เลย

“ข้าวเย็นไว้ทีหลังละกัน”

“อาบน้ำให้สบายใจก่อนดีกว่า”

... เพราะที่นี่ไม่มีใครอยู่นอกจากฉัน การที่ฉันจะถอดชุดหน้าห้องน้ำทันทีก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เหมือนฉันเป็นเจ้าของที่นี่คนเดียวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

ฉันเดินเข้าไปอาบน้ำพร้อมกับผ้าขนหนูที่พันตัวไว้โดยไม่ได้สนใจอะไรอีก

......

นรินทร์เดินเข้าไปในห้องน้ำ โดยที่ตัวเองไม่เอะใจอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ว่าบนรูปภาพที่เธอวางนาฬิกาไว้ข้างๆ มีกระดาษที่เขียนคำว่า *พ่อ* *แม่* แปะเอาไว้ตรงกรอบรูปภาพ เธอไม่มีทีท่าว่าจะย้อนนึกเลยแม้แต่น้อย

......

(ห้องอาบน้ำ 17.26)

*ซู่วววววววววววววววว* (เสียงฝักบัว)

......

ในห้องน้ำของบ้านหลังนี้ อบอวลไปกลิ่นดอกไม้ฟุ้งหอมจากครีมอาบน้ำของผู้หญิงเพียงคนเดียวในบ้านนี้ ราวกับว่าที่นี่เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจเพื่อให้เธอได้คลายความกังวลในเรื่องต่างๆ หลังจากที่ต้องเจอเรื่องอะไรมานับไม่ถ้วน

น้ำจากฝักบัวที่ไหลลงบนเรือนร่างของสาวน้อยผู้นั้น ไหลชโลมผ่านร่างกายทุกสัดส่วน ผ่านแขน ผ่านขา หรือไหลผ่านใบหน้าของเธอที่หลับตาพักผ่อนสบายใจ

แต่บางครั้งในห้องน้ำ ก็ไม่ใช่สถานที่ที่มีไว้เพื่อผ่อนคลายจิตใจตัวเองด้วยการชำระล้าง เพราะมันเป็นที่ๆ ทุกๆคน จะได้อยู่อย่างสงบและนึกถึงสิ่งต่างๆ ในชีวิตขึ้นมา

......

(แผลเป็นที่ไหล่เรา ทำให้รู้สึกได้ถึงอานุภาพอันร้ายแรงเลย)

(โลกที่เรากำลังจะเผชิญ เป็นโลกแบบไหนกันนะ)

(ต้องรอให้อีตานั่นเล่าเรื่องที่เราอยากรู้ให้ได้)

*แกร๊ก* (เสียงปิดก๊อกฝักบัว)

......

ฉันเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยผ้าขนหนูพันตัวที่ยังชื้นๆอยู่ และก็ผ้าเช็ดหัวที่ฉันเอาไว้เช็ดผมให้แห้ง

ห้องที่เรานอนอยู่บนชั้นสอง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับห้องอาบน้ำที่เราพึ่งอาบมาเมื่อตะกี๊

ถ้าจะให้พูดถึงห้องของฉัน... มันก็อาจจะดูเป็นห้องที่ไม่ค่อยมีอะไรตกแต่งเหมือนกับผู้หญิงคนอื่นเท่าไร ไม่มีตุ๊กตาหรือของน่ารักๆเท่าไรเลย (มีตุ๊กตาสลอตตัวเขียวที่ลุงซื้อมาตัวหนึ่ง)

สิ่งที่ห้องของฉันมีเยอะสุดก็คือ รูปภาพการแข่งศิลปะการต่อสู้ต่างๆ...

ก็นะ ฉันเป็นคนที่ชื่นชอบกีฬาพวกนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ทำให้ฉันค่อนข้างจะเห่อเวลามีโปสเตอร์รูปภาพของนักกีฬาในดวงใจของเราเอามาแจก อย่างกับโรคติ่งดาราเลย

นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรต่างกับห้องนอนคนอื่นแล้วล่ะ...

ลิ้นชักในตู้เสื้อผ้าของฉันมีไว้เพื่อเก็บชุดนอน ลายที่ฉันชอบใส่ประจำคือ ชุดนอนเสื้อกล้ามสีโทนเหลืองลายน้องหมา กับกางเกงขาสั้นสีขาว (ที่มีตั้ง 3-4 ตัว)

พอใส่แบบนี้แล้วค่อยรู้สึกว่าเราค่อยดูเป็นผู้หญิงมากขึ้นกว่าเดิม...ล่ะมั้ง

......

ฉันนั่งเป่าผมที่เริ่มจะยาวจนถึงกลางหลัง เป่าผมแต่ละทีกินเวลานานมาก เพื่อนฉันบอกว่ามีผมที่อาจจะไม่เรียบ แต่เป็นผมที่ยาวสวย ถึงแม้ว่ามีบางคนบอกว่าถ้าตัดสั้นก็ดูดีดูเก๋ไม่แพ้กัน

......

ฉันเดินลงไปชั้นล่างเพื่อเอาของที่มีอยู่ในตู้มาทำกับข้าวกิน ส่วนใหญ่เราจะหุงข้าวเผื่อกินได้ประมาณสองวันก่อนที่จะเสีย และก็ทำกับข้าวกินทุกๆมื้อเย็น ส่วนตอนเช้ากับตอนเที่ยงก็แวะไปกินที่โรงเรียนแทน

โดยส่วนมากก็ใช้เวลาทำไม่นานหรอก แค่ให้กินได้ไปในแต่ละวันก็เหลือเฟือแล้ว

...... ผ่านไป 10 นาที

“หืม?”

นาฬิกาพกนั่นเราวางไว้ในห้องนั่งเล่นนี่นา ฉันลุกจากโต๊ะอาหารที่มีข้าวและกับข้าวที่ทำเสร็จวางไว้

... นี่เป็นสิ่งที่ฉันไม่ควรจะอยู่ห่างสินะ ควอสเหมือนจะพูดทำนองว่าถ้าของชิ้นนี้อยู่ห่างตัวจะเป็นอันตรายกับผู้ใช้ ...

เหมือนกับตอนที่เจ้านั่นกำลังจะทำลายนาฬิกาของฉัน...

ฉันหยิบนาฬิกาและกลับไปที่โต๊ะอาหารทันที

... ห้องนรินทร์ 22.10 ...

......ร่างของฉัน ได้แต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง ในหัวของฉันเต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้

“ตาวอรร์เรนนั่น... พรุ่งนี้จะมาที่โรงเรียนไหมนะ...”

ก่อนที่ตาจะปิด ฉันเอนตัวไปมองนาฬิกาที่วางไว้ข้างโทรศัพท์มือถือ และหลังจากนั้นไม่นานฉันก็หลับไปทั้งๆอย่างนั้น......

zzzZZZ……

เธอไม่รู้ตัวเลย ว่าวอร์เรนเฝ้ามองเธออยู่บนหลังคาบ้านละแวกนั้น......

............

(เช้าของวันต่อมา ห้อง ม.5/2  8.24)

......

ฉันในตอนนี้... กำลังยืนประหม่าอยู่หน้าห้องเรียน

(จะบอกเพื่อนๆยังไงดี ว่าที่ฉันหายไปเพราะไปนอนค้างที่โรงพยาบาลมา)

(จะมีใครถามเราไม่นะ ต้องมีแน่ๆ เพราะคนที่จำเรื่องเราไม่ได้มีแค่สามคนเอง)

*ฟู่ววว*

(สูดหายใจลึกๆ และก็เปิดประตูเข้าไปเลย!!)

*กรื้ก* (เสียงเลื่อนประตู)

ฉันที่ยังรู้สึกประหม่า ได้แต่หลับตาเกร็งอยู่อย่างนั้น

พอลืมตาขึ้นมา...

เอ่อ... ทุกคนก็คุยเล่นกันปกตินี่นา

ไม่มีใครสนใจเรื่องของเราเลยสักคน......

“ว่าไงริน”

(นั่นไงล่ะ ต้องมีสักคนจริงๆด้วย)

“วันนี้ทำการบ้านมาเปล่า ขอลอกหน่อยสิ”

“เอ๋? การบ้าน... ลืมอะ” (แหะๆ)

“อย่างรินทร์เนี่ยนะ จะลืมทำการบ้าน?”

“วันนี้โลกได้ถึงกาลอวสานแล้ว ฉันจะลอกใครดีล่ะทีนี้”

ไหงทรุดได้ถึงขนาดนั้นเลยล่ะพ่อคุณ แค่เรื่องการบ้านแค่เนี้ยะ

แต่จะว่าไป ไม่มีใครพูดถึงเราเลยสักนิด เนลกับอั้มก็โบกมือทักทายเราอย่างปกติ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในช่วง 3 วันที่ฉันหายตัวไป หรือจะเป็นฝีมือของวอร์เรนกันนะ?

มีเรื่องเล่าในโรงเรียนเกิดขึ้นตั้งแต่สามวันก่อน ผู้คนเล่าถึงเสียงกรีดร้องอันทรมาน ราวกับเป็นเสียงร้องของปีศาจสาวเซ็กซี่ (รู้สึกอันนี้คนเล่าจะจินตนาการให้หื่นเองแหง)

ไม่อยากพูดออกไปเลยว่าเสียงนั่นเป็นเสียงของเราเอง... คิดแล้วก็เหงื่อตกเลยแฮะ

แต่ว่า... ถ้าทุกอย่างปกติก็ดีแล้วล่ะนะ เราจะได้ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดากับเขาบ้างสักวัน

“เอ้า เอ้า นักเรียนนั่งที่ได้แล้ว”

“คร้าบ/ค่า”

นักเรียนทุกคนล้วนกลับไปนั่งที่เพื่อเตรียมเรียนหนังสือเหมือนกับทุกๆวัน

......

“หะ?”

สิ่งแปลกปลอมที่เดินทำตาระรื่นเข้ามานั่นมัน......

(วอร์เรน!)

“นักเรียนทุกคน ทำความเคารพ”

“สวัสดีครับ/ค่ะ”

ฉันยืนขึ้นมาสวัสดีเหมือนกับคนอื่นๆ แต่ก็ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากลำคอเลยแม้แต่คำเดียว นั่นก็เพราะไม่มีใครสังเกตเจ้านี่เลยสักคน

ตอนที่วอร์เรนอยู่ที่โรงพยาบาล มีน เนล และอั้ม ก็ไม่เห็นเจ้านี่เลยเหมือนกัน

พออาจารย์บอกให้นั่งได้ ทุกคนในห้องรวมทั้งฉันก็นั่งลงทันที แม้สายตาของฉันจะยังจับจ้องอยู่ที่วอร์เรนที่ยืนข้างๆอาจารย์อยู่ก็เถอะ

(กระดาษ?)

(เจ้านั่นถือกระดาษมาทำอะไรน่ะ?)

*ฉึบๆๆๆๆๆๆๆๆ*

กระดาษในมือวอร์เรน [เราแวะมาดูว่าเธอสบายดีไหม พอดีเมื่อวานไปโรงพยาบาลและหมอบอกว่าเธอกลับมาแล้ว]

(กระดาษนั่นมีไว้เพื่อเขียนงั้นหรอ? แถมยังไวอีก)

(เจ้านั่นเขียนมาแบบนี้ เป็นห่วงเราด้วยหรอ?)

*ฉึบๆๆๆๆๆๆๆๆ*

[เห็นเธอสบายดีก็โอเคแล้วล่ะ เราขี้เกียจเล่นเป็นญาติเธอแล้วน่ะ]

(ญาติกับผีสิยะ! ใครเขาอยากนับญาติกับนายกัน!)

“นรินทร์”

“ค-คะ”

“เธอมองอะไรอยู่ ไม่ได้สนใจที่ผมเขียนบนกระดานเลยใช่ไหม?”

“ไ-ไม่ใช่ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ”

อาจารย์จับผิดสายตาของเราที่ยังมองที่เจ้านั่นอยู่ รู้สึกชักจะไม่ค่อยดีแล้วสิ อาการแบบนี้อย่างกับว่าเรากำลังเห็นผีตามหลอกหลอนอยู่คนเดียวเลย

ต้องพยายามเมินเจ้านั่นไว้ ไม่สนใจ ใช่แล้ว ไม่สนใจ

ฉันหันหน้ากลับไปมองแถวหน้าห้องอีกครั้ง

[คุณช่างเป็นสาวผู้งดงามอะไรเช่นนี้ ได้โปรดแต่งงานกับผมเถอะ]

(กรี๊ดดดด!!)

เจ้านั่นเขียนข้อความลงในกระดาษ และยื่นหน้าเข้าไปใกล้รองหัวหน้าห้องที่นับว่าเป็นสาวแว่นที่สวยคมที่สุดในห้อง

*ฮึ่ย*

เจ้านั่นมองมาที่ฉัน และเหมือนจะยิ้มตอบรับว่า รับรู้แล้วนะ แต่ไม่สนใจคร้าบ

(สงบสติไว้ สงบสติไว้นรินทร์ เจ้านั่นคงไม่ทำอะไรป่วนๆหรอกมั้ง)

(ตั้งใจเรียนไปดีกว่า)

วอร์เรนลุกจากตรงนั้นไปยืนอยู่ริมหน้าต่าง จากสีหน้าเจ้านั่นตอนนี้ คงไม่คิดจะทำอะไรป่วนๆแล้วล่ะ อย่างน้อยอีตานี่ก็ยังมีข้อดีกับเขาอยู่บ้างเหมือนกัน

อาจารย์เองก็สอนไปเรื่อยๆ ฉันพยายามแยกประสาทกับการที่ต้องมาคอยดูเจ้านั่น มันน่าลำบากชะมัด

แต่ว่าทำไม... เรากลับจำสิ่งที่อาจารย์เขียนมาตั้งแต่แรกได้ค่อนข้างหมดเลยล่ะ ปกติแล้วมันไม่น่าจะจำง่ายขนาดนั้นนี่นา

เหมือนกับว่า... เราสามารถจำทุกเรื่องราวที่พบเจอได้แม่นยำและยาวนานมากขึ้น

หรือว่ามันจะเกี่ยวกับการที่พลังฉันตื่นขึ้นมาหรืออะไรทำนอง-

(แว๊ก!!)

ไอ้โรคจิตนั่น!! มันกำลังจะก้มลงไปดูใต้กระโปรงนักเรียนหญิงแล้ว

*ฟึ่บ*

**วืด**

“หืม”

“เอ่อ...”

“เธอปาปากกาทำไมน่ะ”

“อ่า... คือมือหนูมันลื่นน่ะค่ะ ตะกี๊เขย่าปากกาแรงไปเลยกระเด็นไปตรงนู้นเลย”

(แหะๆๆ)

ทุกคนในห้องมองมาหมดเลย ชักจะแย่แล้วสิ เจ้าวอร์เรนชักจะทำให้เราปวดหัวมากขึ้นทุกทีละนะ (ปาไปก็ไม่โดนอีก)

          ฉันเลยเมินเจ้านั่นเต็มที่ พยายามสนใจแต่สิ่งที่ต้องจดลงสมุด

          *กึ้ก*

          “...ปากกา...?”

พอเงยหน้าขึ้นมา ก็เจอกระดาษที่วอร์เรนเขียนไว้อยู่ข้างหน้าเลย

[เอาปากกามาคืนให้ หัดปาให้แม่นกว่านี้หน่อยนะครับ] (แถมภาพวาดลูกแมว)

(กรอด!!)

แรงฉุนเฉียวของเราถึงกับทำให้ปากกาที่เราหยิบขึ้นมาถูกบีบหักทันที

เนลที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างทางซ้ายของโต๊ะเราถึงกับมองมาทันที

“รินทร์...”

(ไม่ไหวแล้ว!!)

ฉันยืนขึ้นท่ามกลางความตกใจของเพื่อนคนอื่นในห้อง ผลักโต๊ะออกไปด้านซ้ายและรีบใช้มือขวาคว้าแขนของมันเอาไว้ทันที

เราใช้ความรู้ที่เรียนมาจากชมรมในการล็อคแขนของเจ้านี่ไขว้หลัง ตอนนั้นวอร์เรนเหมือนจะทำหน้าประหลาดใจอยู่เล็กน้อย

“จะเลิกป่วนได้รึยัง”

...

“เ-เห้ย มีคนแปลกหน้าเข้ามาในห้องด้วย”

“กรี๊ด!!”

“ใครกันน่ะ”

***ครืน***

ความวุ่นวายเกิดขึ้นไม่ทันได้ถึง 2 วินาที ทุกอย่างในห้องก็... หยุดนิ่ง......

“เอ๊ะ?”

“นี่ฝีมือนายอีกแล้วใช่ไหม ห๊ะ!?”

ฉันล็อคแขนเจ้านี่แรงขึ้นกว่าเดิมอีก แต่เจ้านี่ดูเหมือนจะไม่เจ็บเท่าไรเลย ทั้งๆที่ท่าแบบนี้ใครโดนเป็นต้องเจ็บกันทั้งนั้น

“ก็เธออยากทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ทำไมล่ะ เราอยู่เฉยๆก็ไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว พื้นฐานเวลาที่ทุกคนมองเห็นต่างกับเวลาที่เราบิดเบือนซ่อนตัวอยู่”

“เห็นไหม เธอน่ะแหละ ที่ทำให้มันยุ่งวุ่นวายเป็นเรื่องใหญ่เอง”

“อย่ามากวนประสาทกันนะ! นายเล่นป่วนไปทั่วห้องแบบนี้จะให้ฉันอยู่อย่างสงบได้ยังไงกัน ต่อให้คนอื่นไม่เห็นนาย แต่ฉันเห็น!”

ฉันบิดแขนให้หนักกว่าเดิมอีก

“เลิกทำตัววุ่นวายได้รึยัง”

......

“คร้าบคุณแม่ แต่ตอนนี้คุณแม่ช่วยปล่อยผมก่อนได้เปล่า”

“ทำไมล่ะ เจ็บรึไง?”

“มันก็เจ็บนะ แต่ที่สำคัญ ตอนนี้ผมยังไม่อยากกินซาลาเปานะ”

“เอ๊ะ...”

ฉันก้มหน้ามองลงมาตรงที่ฉันล็อคแขนเจ้านี่ไว้

เพราะท่าล็อคแขนทำให้ตัวของฉันอยู่ใกล้กับเจ้านี่มากขึ้น หน้าอกของฉัน...

หน้าอกของฉันมันโดนหลังของ...

“กรี๊ดดดดดดด!!”

          ฉันผลักเจ้านี่ไปข้างหน้าทันทีด้วยความตกใจจนตัวของเขากำลังจะไปชนกับเพื่อนร่วมห้องของฉันคนหนึ่งที่ยังหยุดนิ่งอยู่ข้างหน้า

          (อ๊ะ!!)

......

ร่างของวอร์เรนหายไปต่อหน้าต่อตาทันที

“ขอโทษด้วยที่ทำให้วุ่นวาย แต่คราวหน้าถ้าจะเอาคืนเราล่ะก็ อย่าทำให้เพื่อนร่วมห้องของเธอต้องบาดเจ็บ”

เสียงจากข้างหลังฉัน!? ฉันรีบหันหน้ากลับหลังมาทันทีด้วยความตกใจ

“ถึงร่างกายของมนุษย์ตอนถูกหยุดเวลาจะถูกปรับเปลี่ยนได้ยากกว่าสิ่งของเพราะพวกเขาล้วนมีเวลาเป็นแกนกลางในการใช้ชีวิต แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เป็นอะไรจากปฏิกิริยาภายนอกแบบเมื่อกี๊”

“ถ้าเธอเป็นตัวแทนของผู้ใช้พลังเวลาล่ะก็ จำเรื่องนี้ไว้ให้ดี”

...

“แ-แล้วนายกำลังจะไปไหนอีก?”

“...ก็ไปเดินเล่นสักหน่อย ตอนนี้ไม่มีอะไรให้ทำเท่าไรด้วย”

“ยังไงก็ต้องกลับมาเล่าเรื่องพลังพวกนี้ให้เธอฟังอยู่ดี”

“เอ๋...”

กลับมาเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟัง... เขาคิดจะอธิบายให้จริงๆสินะ

“เ-เห้ย รอก่อนสิ”

เจ้านั่นเปิดหน้าต่างและกระโดดลงไปข้างล่าง จากชั้น 4 เนี่ยนะ?

แถมโดดลงไปแบบไม่เจ็บตัวอะไรเลยแม้แต่น้อย อย่างกับว่าร่างกายของเจ้าวอร์เรนนั่นไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาทั่วๆไปเลย

......

“เอ๊ะ?”

“เจ้านั่นหายไปไหน”

“หะ ตาฝาดหรือเปล่า?”

“ฉันยังไม่อะไรเลยนะเมื่อกี๊”

เวลาในห้องนี้เริ่มขยับพร้อมกับความวุ่นวายอีกครั้ง ดูท่าพลังเวลาพวกนี้จะแทรกแซงทุกอย่างที่ใช้เวลาเป็นพื้นฐานสินะ

เป็นพลังที่น่ากลัวจริงๆ

............

............

“รินทร์ เธอไปทำอะไรริมหน้าต่าง กลับไปนั่งที่ซะ”

“ค-ค่ะ”

(เพราะนายคนเดียว!!)

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา