ดวงใจอาถรรพ์ : สัมผัสรักไร้โฉม
เขียนโดย หยดหมึกสีหมอก
วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 10.39 น.
แก้ไขเมื่อ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2558 10.51 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) Chepter 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ… ใครต่อใครมักจะพูดกันว่าความรักนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลามัน สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสิ่งและทุกอย่าง ไม่ว่าจะใครหรืออะไรก็ตาม เพียงแค่ทั้งสองสามารถสัมผัสถึงไอรักที่มีให้ซึ่งกันและกันได้ เมื่อนั้นแหละความรักจึงบังเกิด …
“เฮ้อ! นี่มันไม่เห็นจะจริงเลยสักนิด”
เสียงถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ของชายหนุ่มวัย 25 ปี ที่กำลังนั่งบนโซฟาอย่างหมดอาลัยตายอยาก ภายในมือยังคงถือหนังสือ “เตรียมตัวให้พร้อมก่อนมีความรัก” เขาแหงนหน้ามองเพดานด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความผิดหวังอย่างแสนสาหัสผ่านไรผมสีน้ำตาลไหม้ที่แลดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย
“โถ่ เจสสิก้า เมื่อไหร่คุณถึงจะสัมผัสไอรักที่ผมมีให้กับคุณได้เสียที”
ชายหนุ่มผู้ที่กำลังนั่งสิ้นหวังกับความรักอยู่ในห้องพักรายเดือนราคาประหยัดของเขาผู้นี้มีนามว่า เท็นเดอร์ ไลน์ ซึ่งผู้คนมักจะเรียกเขาสั้นๆว่า เท็ด มนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งที่กำลังตกอยู่ในห้วงของความรักที่ไม่ยอมสมหวังเสียที กับการตามจีบสาวสวย หุ่นดี มีมาตรฐานสูง นามว่า เจสสิก้า หญิงสาวที่ในสายตาของเท็ดแล้วเธอไม่ได้เป็นแค่เพื่อนร่วมงาน แต่ยังเป็นดั่งเชื่อเพลิงที่เคยเติมให้เขามีแรงไปทำงานในทุกๆวัน แต่ในทางกลับกันเจ้าหล่อนเองก็เปรียบเสมือนเชื้อไฟที่คอยแผดเผาพลังใจในตัวของเท็ดด้วยเช่นกัน เพราะแท้จริงเจสสิก้าเองเห็นเท็ดเป็นแค่เพียงของเล่นแก้เหงาของเธอชิ้นหนึ่งเท่านั้น ไม่เคยเลยสักนิดเดียวที่เธอจะมีใจให้
และถึงแม้ว่าตัวเท็ดเองจะรู้ในเรื่องนี้อยู่เต็มอกก็ตาม แต่เขาก็ยังคงปล่อยให้ตัวเองถลำลึกต่อไปในวิถีแห่งความรักที่เขาได้เลือกแล้ว ดั่งวลียอดฮิตในอดีตที่ชอบพูดกันว่า ‘รู้เขาหลอกแต่ยังเต็มใจให้หลอก’ นั้นเอง
“แย่แล้ว ใกล้ถึงเวลาเข้างานแล้วนี่นา ไม่น่าเสียเวลากับหนังสือเล่มนี้เลยเรา”
เท็ดได้โยนหนังสือที่อยู่ในมือลงไปในถังขยะอย่างไม่ใยดี หลังจากที่เขาได้เหลือบดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือราคาแพงที่เขาแสนจะภูมิใจและคิดว่าตนเองนั้นได้เสียเวลาให้กับเรื่องไร้สาระจนเกือบจะทำให้เขาต้องไปทำงานสาย เท็ดรีบลุกขึ้นเดินไปยังหน้ากระจกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของห้องซึ่งเขาแค่ก้าวยาวๆแค่ไม่กี่ก้าวก็ไปถึงมันแล้ว เขาบรรจงจัดขยับเนคไท สีแดงเข้มซึ่งมันช่างโดดเด่นได้ดีเสียจริงเมื่อต้องมาอยู่บนเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนของเขา
เมื่อยืนจัดระเบียบให้กับเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เท็ดก็รีบคว้าเอากระเป๋าใส่งานใบโตสีดำสนิทพาดขึ้นบ่ามาซึ่งน้ำหนักของมันนั้นทำให้ไหล่ของเขาต้องเอียงยกขึ้นสูงกว่าปกติมามากจนเกือบจะเหมือนคนพิการไหล่หลุดเลยก็ว่าได้
“โอ พระเจ้า!!! ให้ตายเถอะ นี่มันวันนรกแตกหรือยังไงกัน พระองค์ต้องการจะกลั่นแกล้งผมหรือ แค่เงินเดือนๆหนึ่ง ผมก็จะไม่พอกินอยู่แล้วนะ ท่านยังอยากจะให้ผมโดนลดเงินเดือนอีกหรือยังไง ไม่เห็นใจกันบ้างเลยนะท่าน คนทำงานเหมือนกันแท้ๆ ”
ชายหนุ่มยืนต่อว่าในสิ่งที่ตนมองไม่เห็นอยู่หน้าประตูห้อง และต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องทำเช่นนั้นก็เพราะภาพที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าเป็นภาพของสายน้ำที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าอย่างหนัก มีเสียงคำรามเบาๆดังเป็นระยะ เสมือนเป็นการตอบกลับมาจากแผ่นฟ้าเบื้องบน ซึ่งมันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเขาเองนั้นกำลังถูกพระเจ้าหัวเราะเยาะอย่างชอบใจ
“เอาเถอะ ขอให้ท่านสนุกก็แล้วกัน” เท็ดก้มหน้าลงอย่างคนปลงตกเดินกลับเข้าไปในห้อง เขาเปิดตู้เสื้อซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนักจากหน้าประตูห้องสักเท่าไหร่ พร้อมกับกวาดสายตาเพื่อมองหาบางสิ่งซึ่งใช้เวลาไม่มากนักเขาก็เจอสิ่งที่เขาต้องการโดยง่าย เพราะมันคือเสื้อโค้ทสีเทาจนเกือบจะดำตัวหนาใหญ่เท็ดไม่รอช้าเขารีบดึงมันออกมาสวมทับกับเสื้อเชิ้ตไปอีกชั้นหนึ่ง แล้วรีบคว้าร่มกันฝนซึ่งมันถูกวางไว้ที่ข้างมุมตู้ก่อนจะก้าวยาวๆเดินออกจากห้องไป
เท็ดเดินลงมาตามบันไดของห้องพักรายเดือนควีนรีเว็นซ์ ซึ่งมีลักษณะเป็นตึก 5 ชั้นไม่มีลิฟท์ให้ใช้มีเพียงบันไดขึ้นลงแค่ทางเดียว ซึ่งควีนรีเว็นซ์นั้นเป็นอพาร์ทเม้นท์เล็กๆที่มีค่าห้องไม่แพงมากนักเหมาะสำหรับผู้คนที่มองหาความประหยัด หรือคนที่มีงบรายเดือนให้ใช้อย่างจำกัดอย่างเช่นเท็ดเป็นต้น และตัวเขาเองก็มองว่าขนาดห้อง 20 ตร.ม. นั้นมันก็ไม่ได้เล็กเกินไปสำหรับเขาสักเท่าไหร่เขาอยู่ได้อย่างสบายๆเลย ค่าห้องก็นับว่าถูกมากแค่เดือนละ 600 ปอนด์มันจึงทำให้เขาพอมีเงินเหลือไว้ไปซื้อของเอาใจเจสสิก้าหญิงสาวที่เขาลุ่มหลงจนไม่อาจจะโงหัวขึ้นมาได้
“ยังดีนะ ที่ถนนไม่ค่อยมีรถมากสักเท่าไหร่ ถ้ารีบเดินหน่อยน่าจะยังพอทันเวลาตอกบัตร”
เท็ดยืนอยู่ข้างหน้าอพาร์ทเมนท์ มือของเขานั้นกำลังขวักไขว่อยู่กับการดึงร่มขึ้นมากาง สายตาก็พลางมองซ้ายทีขวาทีซึ่งอันที่จริงแล้วไม่ว่าจะมองไปทางไหนเขาก็เห็นได้ไม่ไกลมากนัก เพราะฝนที่กำลังตกลงมาอย่างไม่ขาดสายทำให้เมื่อมองออกไปได้ไม่เท่าไหร่ก็จะเห็นแต่สายน้ำที่ขาวโพลนเต็มไปหมด
“ฮัลโหล เอ่อ หัวหน้าครับผมเท็นเดอร์นะครับ ”
ชายหนุ่มรีบวิ่งข้ามถนนไปยังทางเดินริมแม่น้ำเทมส์ฝั่งตรงข้ามกับอพาร์ทเมนท์ควีนรีเว็นซ์ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นแม่น้ำสายหลักอีกสายหนึ่งแห่งเกาะอังกฤษเลยก็ว่าได้ มันทั้งกว้างขวางและเป็นสายที่ยาวเอาการเลยทีเดียว โดยปกติแล้วช่วงเวลายามเย็นผู้คนก็มักจะพากันมาเดินเล่น วิ่งจ๊อกกิ้ง หรือยืนชมวิวตลอดแนวทางเดินริมแม่น้ำแห่งนี้ ถัดเข้าไปก็จะเป็นถนนที่มีรถราวิ่งกันขวักไขว่ แต่นั้นมันคงจะไม่ใช่สำหรับวันนี้เป็นแน่เพราะฝนที่ตกลงมาอย่างไม่มีทีที่ว่าจะหยุดเลยสักนิดเดียว
เท็ดจ้ำเดินฝ่าสายฝนพร้อมมือทั้งสองข้างของเขาที่กำลังทำหน้าที่อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยข้างหนึ่งนั้นจับกระเป๋าใส่งานที่หนักอึ้งไว้แน่นแถมอุ้มมันสูงขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อกันน้ำฝนที่จะกระเด็นขึ้นมา ส่วนมืออีกข้างก็กำลังแนบโทรศัพท์มือถือให้ชิดไว้กับใบหูของเขาแถมยังต้องกอดเกี่ยวร่มคันโตเอาไว้แน่นเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองต้องเปียก ดูแล้วช่างเป็นภาพที่ทุลักทุเลไม่น้อยเลย
“ว่าไง เท็ด อย่าบอกนะว่าวันนี้จะมาทำงานสายอีกแล้ว” เสียงที่ทุ่มและห้าวตอบกลับมาจากในโทรศัพท์ของเขา
“มันเป็นเหตุจำเป็นจริงๆน่ะครับ หัวหน้า แต่ยังไงผมก็จะพยายามรีบไปให้เร็วที่นะสุด แต่อาจจะสายบ้างสักเล็กน้อย ยังไงรบกวนหัวหน้าอย่าเพิ่งรีบเก็บบัตรได้ไหมครับ” เท็ดตอบ
“นึกแล้วเชียว” เสียงเดิมในโทรศัพท์ตอบกลับมา
“ขอร้องละครับหัวหน้า วันนี้ฝนมันตกหนักด้วยผมสัญญา ผมจะไม่สายเกิน 10 นาทีแน่นอนครับ ตอนนี้ผมก็รีบที่สุดแล้วครับ” เท็ดอธิบายพลางเร่งฝีเท้าเพิ่มขึ้นไปอีกประกอบกับเสียงหอบและเสียงลมฝนที่พัดผ่านเข้ามาเพื่อให้การอธิบายของเขามันฟังดูน่าเชื่อถือมากขึ้น
“ก็ได้เท็ด แต่ก่อนมานี้คุณต้องแวะซื้อเอสเปรซวิโน่* ที่ร้านเลดี้มอนทาน่ามาฝากผมด้วยหนึ่งแก้ว ถือว่าเป็นค่าเสียเวลารอ”
“ครับหัวหน้า ได้เลยครับ เดี่ยวผมจะรีบไปซื้อให้เลยครับ แค่นี้ก่อนนะครับ ขอบคุณมากครับหัวหน้า” เท็ดรีบตอบรับข้อเสนอของหัวหน้าเขาอย่างรวดเร็วก่อนจะตัดบทวางหูเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่มีโอกาสคิดเปลี่ยนใจ
“เอสเปรซวิโน่…เอสเปรซวิโน่…เลดี้มอนทาน่า…เลดี้มอนทาน่า”
ชายหนุ่มทวนคำพูดซ้ำไปมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรีบสาวเท้าไปยังร้านเลดี้มอนทาน่า ซึ่งอยู่ระหว่างทางไปที่ทำงานพอดิบพอดี ซึ่งจริงอยู่ว่าการซื้อกาแฟไปให้หัวหน้างานของตนเพื่อเป็นการติดสินบนแค่เพียงแก้วเดียวนั้นมันอาจจะฟังดูเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แต่ถ้าหากว่ากาแฟแก้วนั้นมันเป็นกาแฟที่มาจากร้านเลดี้มอนทาน่าแล้วละก็ราคาของมันก็แทบไม่ต่างอะไรกับกาแฟหรูๆในร้านชื่อดังอย่างพวกสตาร์บัก หรือ แบล็คแคนย่อนเลยสักนิด และยิ่งเป็นคนที่มีฐานเงินเดือนต่ำเตี้ยอย่างเท็ดซึ่งเป็นแค่พนักงานทำเอกสารธรรมดาๆคนหนึ่งด้วยแล้ว ค่ากาแฟจากร้านพวกนี้มันสามารถทำให้เขานั้นอิ่มท้องได้ไปมื้อถึงสองมื้อเลยทีเดียว
“หวังว่าเงินจะมีพอให้ซื้อได้สักสองแก้วนะ จะได้เอาไปฝากเจสสิก้าอีกสักแก้ว” เท็ดตั้งความหวังเล็กๆขณะที่กำลังเดินไปร้านเลดี้มอนทาน่า เพื่อขอให้ตัวเองมีเงินเหลือมากพอที่จะซื้อเอสเปรซวิโน่ไปสักสองแก้ว
“เอ้า เวรกรรม!!! ”
เท็ดร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจเพราะบัดนี้กระเป๋าเอกสารที่เคยสะพายอยู่ที่ไหลของเขา มันได้ห้อยหัวทิ่มลงพื้นโดยมีมืออีกข้างของเท็ดกำที่ตูดมันไว้อยู่ ด้วยเหตุนี้เองทำให้บรรดาเอกสารภายในร่วงหล่นลงมากระจัดกระจายปลิวว่อนตามสายลมเป็นจำนวนมาก
“จะซวยกันไปถึงไหนเนี่ยวันนี้ อยากจะบ้าตาย”
ชายหนุ่มได้แต่นั่งบ่นพลางรีบเก็บเอกสารต่างๆนาๆที่ปลิวไปทั่วให้เข้าที่ โดยมีร่มของเขาวางอยู่ข้างหลังซึ่งตัวมันเองก็กำลังค่อยๆปลิวตามกระแสลมออกห่างเท็ดไปเรื่อยๆโดยที่เขาไม่ทันได้สังเกตเลย
“นี่ค่ะ”
ในขณะที่เท็ดกำลังง่วนอยู่กับการไล่จับเอกสารที่ปลิวละลิ่วตามลมอยู่ก็ได้มีเสียงที่เล็กและเรียบๆของผู้หญิงดังขึ้นพร้อมกับมือที่ยื่นใบกระดาษสีขาวซึ่งเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนส่งมาให้กับเขา ซึ่งเหตุการณ์นี้มันทำให้เท็ดถึงกับชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกับภาพของหญิงสาวคนหนึ่งที่ใส่เสื้อโค้ทรัดเอวสีขาว มือข้างหนึ่งของเธอยืนถือร่ม ส่วนอีกข้างหนึ่งก็กำลังยื่นเอกสารส่งมาให้กับเท็ด ชายหนุ่มพยายามจะมองหน้าของหญิงสาวแต่ก็มองได้ลำบากมากเพราะด้วยลมที่พัดมาแรงมันทำให้ผมเธอปลิวสะบัดมาปิดบังใบหน้าจนมองเห็นไม่ค่อยชัดเจน
“เอ่อ ขอบคุณครับ”เท็ดรีบคว้าเอกสารมาจากมือของเธอพร้อมกับกล่าวขอบคุณ
“เดี๋ยวฉันช่วยนะคะ”
หลังจากพูดจบหญิงสาวก็ค่อยๆโน้มตัวลงช่วยเก็บงานของเท็ดพลางเอาแขนของเธอปัดผมออกจากใบหน้า ซึ่งมันเผยให้เห็นถึงดวงตากลมโตสีเขียวภายใต้ผมสีบรอนซ์ทองยาวประบ่ามันช่างดูดีเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะเมื่อมันอยู่กับคนผิวขาวเช่นเธอแบบนี้ เท็ดได้แต่นั่งค้างมองหน้าของเธออยู่แบบนั้นโดยลืมไปแล้วตัวเองกำลังรีบเก็บเอกสารงานอยู่ ยิ่งเมื่อดวงตาสีเขียวกลมโตคู่นั้นจ้องเขากลับมา มันยิ่งเหมือนมีมนต์สะกดที่ทำให้ทุกอย่างรอบตัวเขาล่องหนหายไป เหลือเล็ดลอดเข้ามาก็เพียงเสียงเล็กๆที่ดังเป็นระยะๆว่า
“คุณคะ…นี่….คุณ…คุณคะ” เท็ดกระพริบตาสองถึงสามครั้งเพื่อเป็นการเรียกสติให้กลับเข้าร่างหลังจากถูกฝ่ายตรงข้ามเรียกได้สักครู่
“เอ่อ…ขอโทษครับ อ่าขอบคุณครับ”
ชายหนุ่มกล่าวขอโทษก่อนจะรีบหยิบเอกสารอีกชุดที่หญิงสาวช่วยเก็บกลับมาพร้อมกล่าวขอบคุณ ถึงแม้จะเป็นแค่เวลาเพียงชั่ววินาทีแต่หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้ก็ได้ทำให้เท็ดได้รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปยังอีกมิติหนึ่ง ที่ซึ่งทุกอย่างรอบตัวเขานั้นไร้ตัวตน ทำให้เขาได้ลืมเรื่องกังวลต่างๆนาๆ เรื่องซวยที่เพิ่งพบเจอมา หรือแม้กระทั้งลืมเจสสิก้าหญิงสาวผู้ที่นั่งครองบัลลังก์ในหัวใจของเท็ดอยู่ตอนนี้ หรือนี่จะเป็นสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มได้รู้จักกับคำว่าตกหลุมรักหรือเปล่าก็ไม่อาจจะรู้ได้
เวลาผ่านไปครู่หนึ่งเอกสารทั้งหมดของเท็ดก็ได้กลับเข้าไปอยู่ในกระเป๋าเช่นเคย ซึ่งมันหนักขึ้นมากกว่าเดิมเยอะเลยเพราะบรรดาเอกสารพวกนี้ได้ออกไปดูดซับน้ำฝนเข้ามาจนเต็มที่แล้ว เช่นเดียวกับเนื้อตัวของเท็ดที่เปียกปอนไปด้วยน้ำฝนที่โปรยลงมาอย่างไม่ขาดสาย
“ขอบคุณมากเลยนะครับ ถ้าไม่ได้คุณช่วยไว้นี่ผมแย่แน่เลย ขอบคุณมากจริงๆนะครับ”
เท็ดรีบกล่าวขอบคุณพร้อมด้วยมือจับกระเป๋าตัวเองเอาไว้แน่นพลางส่งยิ้มอย่างอายๆผ่านทรงผมที่เรียบแปล้เพราะได้น้ำยาจัดทรงชั้นดีจากฟากฟ้าช่วยจัดให้
“ไม่เป็นไรหรอกคะ อย่าคิดมากเลย”
หญิงสาวตอบกลับมาพร้อมด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะตามมาด้วยความเงียบเพราะทั้งคู่ก็ได้แต่ส่งยิ้มให้แก่กันอยู่แบบนั้น ก่อนที่เท็ดจะเหลือบไปดูที่นาฬิกาข้อมือตัวเองอีกครั้งแล้วเห็นว่าตอนนี้ใกล้จะครบเวลาที่ตกลงกับหัวหน้าไว้แล้ว
“เอ่อ ถ้ายังไงเดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ ใกล้จะไปทำงานสายแล้ว ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
“ค่ะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อย่าคิดมากเลย” หญิงสาวตอบกลับไปก่อนที่ทั้งจะเดินสวนกันมุ่งตรงไปยังทิศทางของตน
ในระหว่างที่เดินสวนกันไปแล้วนั้นชายหนุ่มก็เพิ่งขึ้นได้ว่าตนยังไม่ได้ถามชื่อของหญิงสาวไว้เลย เผื่อมีโอกาสได้พบกันคราวหน้าจะได้ตอบแทนบ้าง
“คุณครับ เดี๋ยวก่อนครับ”
“คะ” หญิงสาวหยุดเดินก่อนจะหันกลับมาตอบ
ทั้งคู่ได้หันมายืนจ้องหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง ลมก็ยังคงพัดแรงเช่นเคย ฝนก็ยังคงร่วงหล่นอยู่อย่างนั้น ใบหน้าของหญิงสาวถูกบดบังด้วยเส้นผมอยู่เกือบจะตลอดเวลา แต่เธอก็พยายามจะรวบมันไปทัดไว้ที่ข้างหู ส่วนชายหนุ่มก็กำลังเกิดความคิดที่เข้ามาขัดจังหวะว่าจะถามชื่อเธอดีไหม
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ…คือ…คุณ ชะ-”
ยังไม่ทันที่เท็ดจะได้ถามชื่อของเธอ ก็ได้มีเสียงแตรรถดังลั่นมาจากทางถนน เขาเห็นแสงไฟดวงโตคู่หนึ่งกำลังพุ่งตรงมาที่ทางเขา มีเสียงเบรกที่ดังจนแสบแก้วหู ไม่กี่อึดใจมันก็เผยให้เห็นถึงรถเก๋งสีดำคันหนึ่งพุ่งผ่านจากม่านฝนเข้ามา เมื่อแสงไฟจากรถฉายให้เห็นตัวของเท็ด คนขับจึงตัดสินใจหักหลบออกไปอีกทางหนึ่งเพื่อจะได้ไม่ชนเข้ากับเท็ด แต่จุดที่คนขับเลือกที่จะหักหลบไปนั้นมันเป็นจุดที่หญิงสาวอีกคนเธอยืนอยู่
“ระวัง!!!”
เท็ดร้องตะโกนบอกไปหวังว่าจะมีใครสักคนได้ยิน ไม่หญิงสาวที่อยู่ตรงนั้นก็ขอให้เป็นคนขับ ใครสักคนก็ได้ที่ได้ยินเสียงของเขาแล้วหลบไปให้พ้นทาง แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างมันจะสายเกินไปเสียแล้ว
สิ้นเสียงของเท็ดรถเก๋งก็ได้พุ่งชนเข้ากับหญิงสาวเข้าอย่างจังมันส่งผลให้ร่างของเธอถูกกระแทกจนลงไปอยู่ใต้ท้องรถ หัวของเธอขาดกระเด็นหลุดออกไป ชายหนุ่มได้แต่ยืนจ้องดูร่างของหญิงสาวถูกล้อรถบดขยี้กับพื้นถนนอยู่ตรงหน้าด้วยความตกตะลึง เสื้อโค้ทสีขาวของเธอตอนนี้กลับถูกชโลมไปด้วยเลือดสีแดงสด แม้แต่สายน้ำก็ยังกลับกลายเป็นสีแดงไหลนองออกมาจากใต้ท้องรถ ร่างที่ไร้หัวของเธอยังคงโดนล้อรถลากบดอยู่กับพื้นถนนแขนและขาของเธอกระตุกอยู่เป็นระยะๆ
และในขณะที่เท็ดกำลังตะลึงกับภาพตรงหน้า เขาก็ไม่ทันได้สังเกตเลยว่าบัดนี้ท้ายของรถเก๋งได้ปัดมาหาเขาแล้ว ไม่นานนักมันก็กระแทกเขาเข้าอย่างจังส่งผลทำให้ตัวเขานั้นกระเด็นไปกระแทกซ้ำเข้ากับระเบียงทางเดินริมน้ำ จนทำให้ชายหนุ่มนั้นหมดสติไป
เท็ดลืมตาตื่นขึ้นท่ามกลางแสงสีขาวโพลนที่สาดส่องไปทั่วทุกทิศทุกทาง มีสายฝนที่โปรยปรายลงมาอยู่ตลอดแต่น่าแปลกที่เนื้อตัวของเขากลับไม่เปียกเลยแม้แต่น้อย บรรยากาศมันช่างเงียบเฉียบไร้ซึ่งผู้คนอื่นใดอยู่แถวนั้นเลย หันมองไปทางไหนก็เจอแต่ลานโล่งๆ มีเพียงแค่แสงไฟสีขาวเท่านั้นที่มันสาดส่องเข้ามาจากรอบตัวของเขา
“คุณคะ” มีเสียงที่ฟังดูคุ้นหูดังขึ้น เท็ดพยายามหันมองรอบตัวเพื่อหาที่มาของเสียงนี้
“นั้นใครพูดน่ะ”
เขาตอบกลับเสียงนั้นไป สายตาก็ยังคงกวาดมองไปรอบๆ เพื่อหาต้นตอของเสียงนี้ให้ได้เผื่อจะเจอใครสักคนหนึ่งที่เข้าอาจจะรู้จัก
“คุณคะ...คุณคะ...คุณคะ...คุณคะ”
เสียงนั้นดังใกล้ตัวเท็ดเข้ามาเรื่อยๆ เขายังคงมองไม่เห็นใครแม้จะพยายามเพ่งสายตาผ่านแสงสีขาวต่างๆนาๆมากมายเข้าไปแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า
“คุณคะ”
จนในที่สุดเสียงนั้นก็มาหยุดอยู่ใกล้ๆที่ด้านหลังของเท็ด ชั่วขณะนั้นสันหลังของเขาก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาอย่างจับใจ มันส่งผลให้เส้นขนบนแขนของเขาต่างลุกขึ้นตั้งชูชัน
ชายหนุ่มตัดสินใจค่อยๆหันไปมอง ภาพที่เขาเห็นคือหญิงสาวสวมเสื้อโค้ทสีขาวที่เขาเพิ่งพบไปเมื่อไม่นานมานี้ใบหน้าของเธอหลบอยู่ในเงามืดมีเพียงแค่ตั้งแต่คอเรื่อยลงมาจนถึงเท้าเท่านั้นที่มีแสงส่องให้เห็น ทั้งๆที่รอบตัวของเท็ดเองก็มีแสงไฟส่องอยู่ทั่วไปหมด แต่เขากลับมองไม่เห็นซึ่งเห็นใบหน้าของเธอ
“เอ่อ...ขอโทษนะครับ ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนหรือครับ” เท็ดเอ่ยถามออกไปแต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบใดๆกลับมา
และในระหว่างที่เขากำลังจ้องมองไปยังส่วนที่คิดว่ามีใบหน้าของเธอหลบซ่อนอยู่ในเงา ทันใดนั้นเองก็ปรากฏรอยเลือดขึ้นปกคอเสื้อของเธอ มันไหลออกมาเรื่อยๆจากปกคอจนลามไปจนชุ่มทั่วทั้งตัว เท็ดตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้าจนเขาต้องผงะถอยตัวหกล้มลงมานั่งอยู่กับพื้น หญิงสาวตรงหน้าเขาก็ค่อยๆโน้มตัวลงมาหาเขาอย่างช้าๆ เท็ดทำอะไรไม่ถูกได้แต่ร้องโวยวายพลางดันตัวเองถอยห่างออกมาจากหญิงสาวคนนี้ และเมื่อคอเสื้อของเธอโน้มลงมาจนพอดีกับใบหน้าของเขามันก็เผยให้เห็นถึง โคนกระดูกที่คอซึ่งชุ่มไปด้วยเลือดและเส้นเอ็นที่เต้นตุบๆ อยู่ใกล้ๆกัน ห่อหุ้มไปด้วยเศษหนังและเนื้อที่เละและเหลวเป็นภาพที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง
“อ๊าก !!!”
ชายหนุ่มทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้เห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าได้แต่หากปากร้องตะโกนออกมาสุดเสียง
“เท็ด...เท็ด....ทำใจดีๆไว้ก่อนนะ ไมค์ไปตามหมอมาให้ที”
เสียงเล็กๆที่เต็มไปด้วยความตกใจของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น พลางเอามือของเธอจับเท็ดกดไว้กับเตียงคนไข้หลังจากที่เขาเริ่มมีอาการดิ้นไปมาเหมือนคนที่กำลังเสียการควบคุมตัวเอง
“เท็ด...เท็ด... คุณได้ยินฉันไหม นี่ฉันเบ็ตตี้ไง คุณได้ยินเสียงฉันหรือเปล่าเท็ด”
เธอพยายามจะเรียกสติเท็ดกลับมาให้ได้ ทั้งเขย่าตัวเขาบ้าง เอามือลูบที่หน้าเขาบ้าง แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล
“นี่ครับหมออยู่ๆเขาก็มีอาการดิ้นไปดิ้นมาส่งเสียงโวยวายขึ้นมาเองน่ะครับ”
ไม่นานนักชายอีกคนก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมด้วยบุรุษพยาบาลร่างกายกำยำสองคนและชายในเสื้อกาวใส่แว่นมีบัตรประจำตัวติดอยู่ที่น่าอก ถือกระดาษจดอะไรสักอย่างอยู่บนฝ่ามือ เมื่อเข้ามาถึงบุรุษพยาบาลก็ไม่รอช้าช่วยกันคว้าแขนคนละข้างของเท็ดแล้วยึดไว้กับเตียง ก่อนที่ชายในเสื้อกาวจะฉีดสารอะไรสักอย่างลงไปในถุงน้ำเกลือของเขา
“ญาติเชิญไปรอด้านนอกด้วยครับ” ชายในเสื้อกาวหันมาบอกกับเบ็ตตี้ เพราะตอนนี้เธอยืนอยู่ข้างเตียงของเท็ดยืนจับขอบเตียงของเขาเอาไว้แน่นไม่ยอมหลบไปไหน
“มาเถอะเบ็ตตี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอเขาเถอะ พวกเราไปรอข้างนอกดีกว่า” ชายหนุ่มผมสีดำรูปร่างหน้าตาดูดีอีกคนหนึ่งเขาจับแขนของเบ็ตตี้เอาไว้พยายามค่อยๆดึงตัวเธอออกไปจากห้องเพื่อให้หมอได้ตรวจอาการของเท็ดอย่างละเอียด แม้ว่าจะต้องใช้ความพยายามอยู่บ้างแต่สุดท้ายแล้วสาวน้อยนัยน์ตาสีฟ้าที่ดูเศร้าหมองเบื้องหลังไรผมสีทองก็ต้องยอมถอยออกไป แม้จะมีอาการต่อต้านอยู่บ้างเล็กน้อยแต่เธอก็ออกมาจากห้องโดยดี แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของเธอก็ไม่ได้ละจากเตียงของเท็ดเลยแม้แต่น้อย ซึ่งตอนนี้อาการของเขาดูสงบลงแล้วและนี่มันอาจจะเป็นผลมาจากยาที่หมอให้เขาไปเมื่อสักครู่เป็นแน่
“อย่ากังวลไปเลยนะ เบ็ตตี้ ไอ้หมอนี้มันดวงแข็งจะตายผมเป็นเพื่อนกับมันมา 10 กว่าปีแล้วรู้จักมันเป็นอย่างดี เดี๋ยวอีกไม่กี่วันมันก็กลับไปทำงานได้เหมือนเดิมแล้วละ อย่าห่วงเลยนะเบ็ตตี้”
คำพูดที่ปลอบใจในขณะที่หญิงสาวยืนจ้องประตูอยู่หน้าห้องด้วยท่าทีที่กระวนกระวาย ซึ่งดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ได้เข้าไปในหูของเธอเลยสักนิดเดียว เพราะสีหน้าของเธอยังคงไว้ซึ่งความวิตกกังวลอย่างครบถ้วนทุกประการ
“ขอบคุณนะไมค์ แต่ถึงยังไงฉันก็อดห่วงเขาไม่ได้หรอก ไม่คิดเลยว่าเท็ดจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”
“ถ้ามันหายคุณก็ลองบอกมันดูสิ ไอ้สิ่งที่คุณเก็บไว้ในใจน่ะ”
เบ็ตตี้หันควับมาจ้องตาโตใส่ไมค์เหมือนจะถามเป็นนัยๆว่าคุณรู้ความลับฉันได้ยังไง แต่ก็ทำได้แค่เงียบไว้เฉยๆ เพื่อรอให้อีกฝ่ายเป็นคนเปิดประเด็นก่อน
“อะไรกัน นี่คุณคิดว่าคนในบริษัทเขาไม่รู้กันหรือยังไง เรื่องที่ว่าคุณแอบหลงรักเจ้าเท็ดมันมานานแล้วเนี่ย”
“ชู่ว~”
เบ็ตตี้รีบส่งสัญญาณให้เรื่องนี้จบในทันทีที่แน่ใจแล้วว่าเรื่องที่เธอรอให้เขาเปิดประเด็นมันเป็นเรื่องเดียวกันกับที่เธอคิดเอาไว้เลย
“ผมก็แค่แนะนำเฉยๆ เหตุการณ์ไม่คาดฝันมันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อนั้นแหละ นั้นคุณหมอตรวจเสร็จพอดี”
การสนทนาของทั้งคู่สิ้นสุดลงเมื่อเบ็ตตี้รีบหันความสนใจไปยังคุณหมอที่กำลังจะเปิดประตูออกมา
“เขาเป็นยังไงบ้างคะ” เบ็ตตี้ไม่รีรอที่จะถาม
“ก็แค่ฝันร้ายเฉยๆนะครับ น่าจะเป็นผลข้างเคียงมาจากการช็อคกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเจอนะครับ ตอนนี้หมอได้ให้ยานอนหลับกับยาระงับประสาทไปเรียบร้อยแล้วครับ” คุณหมอตอบคำถามหญิงสาวไปพลางจดอะไรสักอย่างลงบนกระดาษของเขาอย่างขะมักเขม้น
“แล้วเขาจะฟื้นเมื่อไหร่ครับหมอ เห็นสลบแบบนี้มาตั้งแต่เช้าแล้วนะครับ” ไมค์เป็นฝ่ายถามบ้าง
“เรื่องนี้หมอเองก็ตอบไม่ได้แต่คาดว่าน่าจะวันถึงสองวันก็น่าจะฟื้นแล้วละ อีกอย่างคนไข้มีอาการบาดเจ็บที่ภายในด้วยเพราะฉะนั้นหมอว่าให้เขาพักผ่อนเยอะๆเนี่ยแหละดีที่สุดแล้ว ส่วนอาการอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” ไมค์และเบ็ตตี้ยืนฟังหมออธิบายอย่างตั้งใจมีพยักหน้ารับบ้างเป็นครั้งคราว
“ตรู๊ดๆ”
“เอ่อ เดี๋ยวผมขอตัวไปรับโทรศัพท์ก่อนนะ”
ด้วยเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ไมค์ต้องปลีกตัวเองออกมาจากการสนทนากับหมอเหลือไว้เพียงแค่เบ็ตตี้ที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้อยากคุยอะไรกับคุณหมอแล้ว เพราะจิตใจเธอตอนนี้กำลังจดจ่อกับผู้ป่วยที่นอนอยู่ภายในห้องเสียมากกว่า
“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วหมอขอตัวก่อนละกัน ถ้ามีปัญหาอะไรอีกก็ตามพยาบาลได้ตลอดเวลาเลยนะ”
“คะ” เบ็ตตี้ตอบกลับไปก่อนที่จะรีบเปิดประตูเข้าไปหาเท็ดซึ่งนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง
“คุณต้องไม่เป็นอะไรนะเท็ด”
หญิงสาวยืนกุมมือของเท็ดเอาไว้ที่ข้างเตียง สายตาของเธอไม่จับจ้องสิ่งอื่นใดนอกจากร่างของชายที่มีผ้าพันแผลพันอยู่เต็มไปหมดไม่ว่าจะรอบศีรษะ แขน และขา ทั้งตัวของเขามีแต่รอยเขียวช้ำดำม่วงอยู่ทุกหนแห่ง
“ฉันรักคุณนะเท็ด ฉันยังไม่มีโอกาสได้บอกรักคุณเลยสักครั้ง”
เสียงของเธอเริ่มสั่นเครือ มีหยดน้ำใสๆซึมออกมารอบดวงตาบ้างเล็กน้อยก่อนที่เธอจะค่อยๆบรรจงโน้มตัวลงจูบที่หน้าผากของเท็ดเบาๆ
“ตื่นขึ้นมาฟังฉันบอกรักคุณก่อนนะเท็ด”
—To be continued.—
*เอสเปรซวิโน่ คือ กาแฟเอสเปรซโซ่ที่เพิ่มวิปคลีมลงปด้านบน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ