[Yaoi] Vampire
เขียนโดย lion
วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.28 น.
แก้ไขเมื่อ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558 20.32 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) มันคือการเริ่มต้น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่หนึ่ง มันคือการเริ่มต้น
ผมกลับมายังห้องพักที่มีลักษณะเป็นอพาร์ตเม้นต์เก่าๆ เก็บของทุกอย่างใส่กระเป๋า...เสื้อผ้า ของที่จำเป็น ของใช้ เงิน แม้จะเป็นอมนุษย์แต่ผมก็มีเอกสารถูกต้องครบถ้วน ทั้งสูติบัตร บัญชีธนาคาร มรณะบัตร... นั่นสินะมรณะบัตร มันคือเครื่องเตือนใจว่าผมต้องหนีนับครั้งไม่ถ้วน...
ปึง!
ถังน้ำมันเปล่าถูกโยนทิ้งอย่างไม่ใยดีไว้บนพื้น เช่นเดียวกันกับก้านไม้ขีดที่ติดไฟ เมื่อสะเก็ดเพลิงแม้เพียงนิดต้องพื้นพรมที่เจิ่งนองด้วยน้ำมันก็ลุกติดในทันใดมันควรจะเป็นเช่นนั้นแต่...ไฟกลับถูกบางอย่างเคลือบเอาไว้รอโอกาสเหมาะให้ลุกไหม้ตัวอาคาร
เมื่อออกมาจากอดีตอันเลวร้ายต่อไปคือหาที่พักใหม่ อ้อ! ผมยกมือขึ้นดีดนิ้วดังเป๊าะ
พรึ่บ!
ที่ชั้นห้าของอพาร์ทเม้นท์ถูกเพลิงกาฬแผดเผา มีเสียงกรีดร้องของผู้หญิงและเด็กดังแว่วมาแต่ผมหาสนใจไม่ ยังคงตั้งหน้าเดินต่อ เอ...พอพวกตัวเอกหนีออกมาจากที่พักแล้วไปไหนต่อนา หนังของพวก ‘มนุษย์’ เนี่ยสนุกดีเหมือนกันแฮะ แท็กซี่สินะ ไม่ก็รถเมล์ ขึ้นรถไฟฟ้าดีกว่า การที่คน (ที่มีร่างกายเป็นเด็ก) อายุสิบห้าสิบหกหอบของพะรุงพะรังถ่อสังขารไปขึ้นแท็กซี่เนี่ยเหมือนหนีออกจากบ้านเลยแฮะ แต่ก็ถูกพวกเขาหนีออกจากบ้าน แต่ผมกำลังหนีความทรงจำอันเลวร้าย...
ดีนะ...ที่ออกมาตอนเที่ยงคืนจึงไม่มีอะไรน่าห่วง แน่นอนในยามเช้ามืดแบบนี้คนในขบวนรถจึงไม่แน่นขนัดดังเช่นทุกที ที่โรงเรียนก็ยื่นใบลาออกเรียบร้อยแล้ว ผมคิดอย่างเหม่อลอยขณะเล่นโทรศัพท์ จุดหมายปลายทางของผมอยู่ที่ไหนกันนะ เมื่อลงจากตัวรถแล้วผมก็เดิน เดิน...เดิน และเดิน...
ไม่รู้กี่วันแล้ว...ดีจริงๆ ต้องขอบคุณอากาศฤดูหนาวที่ช่วยไม่ให้กลิ่นตัวออกมาทักทายชาวบ้าน สายลมพัดพากลิ่นไอเกลือเข้ามาเตะจมูก เสียงคลื่นน้ำพัดกระทบชายฝั่ง ทะเล...ผมเหม่อมองท้องฟ้าอยู่นาน จะเอายังไงต่อดี แม้มันจะไม่ใช่การออกมาจากที่อยู่ครั้งแรกของผมแต่...ครั้งนี้ผมกลับรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไป
ผมยิ้มหยันให้กับความคิดของตัวเอง ก่อนจะเดินหาอะไรสนุกๆ ทำ ระหว่างทางก็มีเสียงสาวๆ จากแถวนั้นซุบซิบกันด้วยความสนใจในตัวผม มีคนบอกว่าผมมีหน้าตาที่เหมือนแม่ แต่กลับได้รับพลังจากพ่อมากกว่าพี่ๆ ที่เกิดมา และดูเหมือนเขาจะไม่พอใจในตัวผมสักเท่าไหร่...
“แกออกไปจากฉันเดี๋ยวนี้ ตาคู่นั้นฉันไม่ต้องการเห็นมัน!!!” แล้วก็ตามมาด้วยเสียงโครมใหญ่ของข้าวของที่ตกหล่นระเนระนาด เมื่อนึกถึงอดีตแผลที่กลางหน้าอกของผมก็เจ็บแปลบราวกับมันต้องการเตือนว่า ‘นายไม่มีค่าพอที่จะอยู่บนโลกนี้…’ แล้วจะให้ฉันทำยังไง ผมสวนกลับเสียงในใจของตัวเอง
ผมเหม่อมองภัตตาคารหรูแห่งหนึ่ง ในนั้นมีทั้งชายหญิงตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงแก่เฒ่ามากอยู่พอสมควร แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ในยามนี้เครื่องดนตรีชิ้นใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางห้องโถงนั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุด สองขาก้าวเดิน ผมวางกระเป๋าเป้ไว้ข้างๆ เปียโน แม้จะแปลกๆ อยู่สักหน่อยแต่ก็ไม่มีใครห้ามผม สองมือผมวางบนแป้นขณะเรียบเรียงโน้ตดนตรีในหัว
จังหวะเนิบช้าเศร้าสร้อยถูกบรรเลงยามปลายนิ้วของผมกดบนคีย์อย่างชำนิชำนาญ ใช่แล้ว...บทเพลงที่เศร้าสร้อย คนในร้านทุกคนต่างมีสีหน้าเศร้าสลดลงตามทำนองเพลง เอาล่ะจะถึงจุดพีคแล้วนะ ผมกดคีย์ที่ให้เสียงทุ้มต่ำราวกับจงใจบีบเค้นสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกมา แล้วก็กดคีย์ที่ให้เสียงสูงกว่าเหมือนการปล่อยให้พวกเขาเบาโล่งขึ้น
อา...ไม่แกล้งแล้วก็ได้ ในสมองผมมีเพลงเป็นร้อย จากจังหวะเนิบช้าเศร้าสร้อยราวความสิ้นหวังเปลี่ยนเป็นเสียงสูงแล้วไล่โทนให้มันอยู่ระหว่างกลางๆ ไม่สูงไม่ต่ำ ขอตั้งชื่อว่า...เพลงแห่งความหวังก็แล้วกัน ผมยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง ผู้คนรอบๆ กายเริ่มมีสีหน้าอิ่มอกอิ่มใจ สนุกใช่ไหมล่ะ แล้วผมก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง
เสียงปรบมือดังเกรียวกราวหลังจากผมลุกออกจากเก้าอี้ ยามนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ลูกค้าในภัตตาคารแต่บุคคลภายนอกก็หลั่งไหลเข้ามาในวินาทีนั้นผมรู้ได้ทันที พวกเขามาเพื่อฟังเพลงของผมยังไงล่ะ!
“เฮ้ นายน่ะเพลงเพราะดีนี่” เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นพอหันไปตามต้นเสียงผมก็พบว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่อายุน่าจะไล่เลี่ยกับผม เขาเป็นคนที่มีองค์ประกอบของเครื่องหน้าเข้าขั้นหล่อเหลา ดวงตาสีดำราวกับความมืด แนวคิ้วพาดเฉียงหางคิ้วตกเล็กน้อยดูรวมๆ เขาแล้วเป็นคนที่ให้ความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ “มีคนจ้างนายเหรอ?”
ผมส่ายหน้า เขาถามต่อ “นายจำโน้ตพวกนั้นหมดได้ยังไง” ผมส่ายหน้า “นายมาจากไหน” ผมส่ายหน้าดวงตาสีดำของฝ่ายนั้นหรี่ลงเล็กน้อย “นายพูดได้มั้ย” ผมส่ายหน้าอีก ไม่รู้ทำไมเห็นแล้วมันอยากแกล้งยังไงก็ไม่รู้ “จริงดิ?”
“ไม่หรอก” ไม่รู้ว่าไม่ได้พูดนานเกินไปหรือเปล่าเสียงที่เปล่งออกมาก็เลยเพี้ยนๆ กว่าปกติ อีกฝ่ายมีท่าทางอึ้งๆ ก่อนถามว่าผมชื่ออะไร “นายบอกก่อนสิ”
“ฉันชื่อเว็นน์” เขาเกาคิ้ว “แล้วนายล่ะ”
“แด็ก ฉันชื่อแด็ก” หลังจากนั้นผมก็นึกถึงที่พัก “ฉันไปก่อนนะ”
“เฮ้…ฉันเลิกงานสี่ทุ่ม” ผมทำเป็นไม่สนใจเสียงนั้น ห้ามมีเพื่อน…มันคือกฎเหล็กของผม หลังจากวนๆ เวียนๆ หาที่อยู่แถวๆ นั้นผมก็พบว่าทุกที่ไม่ยินดีต้อนรับเลย
ผมนั่งมองพระจันทร์ที่ม้านั่งใกล้ๆ กับชายหาด ฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่งคร่าวๆ น่าจะประมาณห้าทุ่ม เหมือนมีเสียงดังก้องในหัวผมซ้ำๆ ราววนลูป ‘เฮ้…ฉันเลิกงานสี่ทุ่ม'
“เฮ้…ฉันเลิกงานสี่ทุ่ม” ใช่! สียงแบบนี้แหละ! ผมคิดว่าตัวเองคงจะเพี้ยนจนเสียงของเว็นน์มาดังอยู่ข้างๆ หู “เฮ้…ฉันเลิกงานสี่ทุ่ม และนายไม่ได้เพี้ยน” อื๋อ…เดียวนะใครก็ได้ช่วยบอกทีว่าผมไม่ได้บ้า คราวนี้เป็นแว่วเสียงขำพรืดก่อนตามมาด้วยสัมผัสเย็นๆ ข้างแก้ม “นายไม่ได้บ้า”
ผมหันขวับไปทันทีและได้เห็นเว็นน์ ชัดเจน…เป็นเว็นน์แน่นอน เด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่มือข้างหนึ่งยื่นกระป๋องเบียร์มาให้ ผมรับมาถือไว้นิ่งๆ แล้วเขาก็เดินมาใกล้ๆ “ขอนั่งด้วยหน่อยนะ”
“เอาสิ” เว็นน์ยกเบียร์ขึ้นจิบ ผมถามเข้าด้วยน้ำเสียงเหม่อลอยว่า “นายมาทำอะไรที่นี่”
“ก็…เดินเล่น แล้วก็มาเจอนายนี่แหละ” ผมพยักหน้าแล้วแกะเบียร์ดื่มบ้าง แข็งเป็นวุ้นเลยแฮะ “นายไม่มีบ้านเหรอ”
“อือ” ผมครางรับในลำคอ ในตอนนี้อยากอยู่เฉยๆ เสียมากกว่า
“หนีออกจากบ้านเหรอ?” คนข้างๆ ถามขึ้นอีก
“เปล่าหรอก” เว็นน์ผุดลุกแล้วยื่นมือมาให้จับ ผมมองเขาอย่างงงๆ
“งั้นนายมาอยู่ด้วยกันกับฉันไหมล่ะ” คลื่นลมพัดพามวลความรู้สึกตื้นตันมาให้ทั้งๆ ที่ปฏิเสธได้แท้ๆ แต่…
“ตกลง”
-------------
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ