สองพี่น้องฮันเตอร์ กับ ไข่มังกรแห่งซาเกร็ตต์
เขียนโดย ชาร์ลี
วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 23.01 น.
แก้ไขเมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558 02.19 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) VI: โกดังพิเศษของข้า ห้ามเข้ามายุ่ง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความVI
โกดังพิเศษของข้า ห้ามเข้ามายุ่ง
พวกเขาเริ่มกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนบนถนนมาแล้วไป พ่อค้าหน้าปุคนหนึ่ง สวมหมวกไหมพรมสีแดงใบใหญ่จับจ้องมายังพวกเขา พร้อมกับสะกิดแขนลูกค้าหนุ่มให้หันมามองตาม โดยเพ่งเล็งไปยังรีมัสกับวิเลียมผู้ซึ่งสะพายกระเป๋าเป้ใหญ่ใบเทอะทะ ซึ่งดูจากสีสันที่ฉูดฉาดของมันแล้ว ก็ไม่แปลกใจนักว่าทำไม ของวิลเลียมเป็นสีเขียวอ่อนตัดแดงแสด ส่วนของรีมัสหลากหลายสีจนลายตา เพราะมันทำมาจากเศษผ้าที่นำมาเย็บติดกัน
วิลเลียมถลึงตาใส่พ่อค้าหน้าปุคนนั้น ก่อนจะเดินตามแม็กนัสไปอย่างหงุดหงิด
“นี่ลุง” วิลเลียมเรียกแม็กนัสจากด้านหลัง “อีกไกลมั้ย ผมเมื้อยไหล่จะแย่แล้ว ปวดหลังด้วย”
วิลเลียมบ่นอุบอิบและทำหน้าบูด รีมัสพยักหน้าอย่างเห็นด้วย พวกเขาต้องเดินไปอีกไกลแค่ไหนนะ
“นั่นสิ” เขาเสริม “เมืองเรามีโรงเรียนแค่สี่แห่งเท่านั้นนะ ไม่มีที่ไหนอีกแล้ว”
รีมัสอดคิดไม่ได้ว่า บางทีพวกเขาอาจกำลังถูกล่อลวงเพื่อเรียกค่าไถ่ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงคงต้องตายอย่างแน่นอน เพราะพ่อกับแม่ไม่มีเงินมาไถ่ตัวพวกเขาคืนหรอก คงจะถูกปล่อยให้อดตายอย่างอนาถในมุมมืด ๆ ของห้องใต้ดิน ทั้งแคบและก็หนาวเย็น แค่คิดก็ตัวสั่นแล้ว
ขณะที่เดินมาจนถึงคอสะพาน แม็กนัสก็หยุดเดิน และหันหลังกลับมา
“อะไรกันพวกเจ้า” เขาว่า จากนั้นก็ส่ายหน้า “เพิ่งจะออกจากบ้านก็ร้องโอดครวญแล้วรึ อย่างนี้จะดูแลน้อง ๆ ของพวกเจ้าได้ไหมนะ ข้าชักจะสงสัยแล้วสิ”
วิลเลียมกับรีมัสทำหน้าหงอย
“อีกอย่าง ตอนนี้ข้าไม่ได้อายุมากพอจะเป็นลุงอีกแล้ว” แม็กนัสบอก น้ำเสียงฟังดูเป็นกังวล “อย่างน้อยก็เคย”
เขายกมือขวาที่มีรอยไหม้สีดำขึ้นมาดู ทุกคนเริ่มอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมือของเขา ซึ่งนิโคลัสตั้งใจจะถามนานแล้ว แต่ก็ไม่กล้าเสียที ตอนนี้อาจเป็นเวลาดีก็ได้
“แม็กนัส” นิโคลัสเอ่ยขึ้น “พอจะบอกได้ไหมว่าเกิดอะไรกับนั่น...มือของคุณ”
เสียงของผู้คนบนท้องถนนยังคงดังเจื้อยแจ้ว เกวียนสองคันเคลื่อนผ่านบริเวณที่พวกเขายืนอยู่ และข้ามสะพานไปอีกฟาก ไม่ใช่แค่นิโคลัสที่ตั้งใจรอฟังคำตอบของแม็กนัส แต่เทรซี วิลเลียมและรีมัสก็อยากรู้ไม่แพ้กัน
แม็กนัสสบตากับนิโคลัสแวบหนึ่ง ก่อนจะไขว้มือข้างที่ไหม้เกรียมนั่นไว้ข้างหลัง ซ่อนมันไว้จากสายตาของทุกคน
“ไม่มีอะไร” เขาบอก ปรับน้ำเสียงเป็นปกติ “เจ้าอย่าได้กังวลเรื่องข้าเลย กังวลเรื่องต่อจากนี้จะดีกว่า”
จากนั้นแม็กนัสก็หันหลังและเดินต่อไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เสื้อคลุมสีเทาของเขาสะบัดพลิ้วในอากาศ นิโคลัสกับเทรซีสบตากัน เดาว่าคงไม่มีโชคเรื่องนี้
เมื่อข้ามสะพานแล้ว ตรงหน้าพวกเขาคือสำนักงานกองทะเบียนราษฎร อาคารสามชั้นทาสีขาวตั้งหันหน้าเข้าหาพระราชวัง ราวกับมันกำลังปฏิญาณว่าจะทำหน้าที่รับใช้อย่างดีที่สุด จนกว่าตัวอาคารที่ทำจากปูนอย่างดีของมันจะแตกสลายไป แม้ว่ามันจะดึงดูดสายตา แต่นั่นไม่ใช่จุดหมาย แม็กนัสเดินนำหน้าทุกคนอย่างกระฉับกระเฉ่ง เขาเดินเร็วมากจนเด็ก ๆ ตามแทบไม่ทัน อีกทั้งยังต้องคอยหลบหลีกพวกพ่อค้าที่เดินดาหน้ามาเป็นกลุ่ม และหลบสายตาเวลาเดินสวนกับพวกทหาร แย่สุดก็คือวิลเลียมกับรีมัส ตอนนี้พวกเขานึกเสียใจเหลือเกินที่ขนสัมภาระมามากมายเช่นนี้
ในที่สุดหลังจากต้องวิ่งเยาะ ๆ ตามหลังจนเหนื่อยหอบ พวกเขาก็เข้าสู่ถนนราชินีอันกว้างขวาง ตามความรู้สึกของนิโคลัส ถนนเส้นนี้ไม่ได้แตกต่างจากถนนราชาเท่าไหร่นัก เพราะระแวกนี้ทำให้เขาสัมผัสถึงความรุ่งเรืองในอดีต เห็นได้จากโกดังมากมายที่เหล่าพ่อค้าไว้ใช้เก็บสินค้าของตน โรงเตี้ยมที่ปิดร้าง ร้านรวงและอาคารสถานหลายแห่งที่เคยเป็นแหล่งหลุกพล่านของผู้คน นิโคลัสจะมาแถวนี้ก็ต่อเมื่อมาหาลุคเท่านั้น เมื่อนึกถึงลุค เขาก็รู้ใจหาย
เทรซีคงเป็นคนเดียวที่ดูจะกระตือรือร้น เธอวิ่งตามหลังแม็กนัสไปติด ๆ พลางถามคำถามเขา ส่วนนิโคลัส รีมัสและวิลเลียมทิ้งห่างค่อนข้างไกล อากาศร้อนเกินไปที่จะทำตัวให้ร่าเริง เมื่อเธอเห็นว่าพวกเขาเดินเชื่องช้าแค่ไหน เทรซีก็ท้าวสะเอวแบบซูซาน ก่อนจะวิ่งย้อนไปหา
“นี่ ฉันว่าแม็กนัสกำลังพาเราไปช้อปปิ้ง” เทรซีบอกเสียงใส “ต้องใช่แน่ ๆ ถ้างั้นเขาจะพาเรามาถนนราชินีทำไม พวกเรากำลังจะไปโรงเรียนใหม่ ก็ต้องมีเสื้อผ้าใหม่แล้วก็รองเท้าใหม่ ๆ ด้วย นั่นล่ะคือสิ่งที่เขาต้องเตรียมให้เราเป็นอย่างแรก ในฐานนะเอ่อ...ผู้ปกครองละมั้ง”
น้ำเสียงของเทรซีฟังดูตื่นเต้นมาก นิโคลัส รีมัสและวิลเลียมมองหน้ากัน
“เขาบอกอย่างนั้นเหรอ?” รีมัสถาม “ฉันจะได้รองเท้าใหม่จริง ๆ หรือเนี่ย”
พูดจบเขาก็ก้มมองรองเท้าของตัวเอง รองเท้าคัตชูสีดำเก่า ๆ เก่ามากจนส้นของมันหลุดหายไปในระหว่างที่เดินอยู่ที่ไหนสักแห่ง
“โถ่...รีมัส ผู้น่าสงสาร” วิลเลียมทำเสียงเหมือนกำลังจะร้องไห้ แต่ทุกคนรู้ว่าเขาแกล้งทำ
“นี่พวกเจ้า มัวทำอะไรอยู่ตรงนั้น” แม็กนัสตะโกนมาจากที่ไกล ๆ “รีบเดินมาได้แล้ว!”
ไม่ต้องรอให้บอกซ้ำสอง ทุกคนรีบวิ่งไปหาแม็กนัสซึ่งยืนอยู่หน้าปากทางเข้าสู่ถนนโกดัง
“พวกเจ้าไม่ควรทำให้เสียเวลา” แม็กนัสว่าและขมวดคิ้ว “ยังมีหลายที่ที่ต้องไปต่อ”
เด็ก ๆ ทำหน้าหงอยอย่างรู้สึกผิด จากนั้นเทรซีก็พูดขึ้น
“ไม่เห็นต้องรีบก็ได้นี่คะ” เธอว่า “ร้านขายเสื้อผ้าพวกนั้นไม่ปิดหนีไปง่าย ๆ หรอก”
แม็กนัสเลิกคิ้วทั้งสองขึ้นพลางจ้องหน้าเทรซีอย่างงุนงง แต่เขารู้ดีว่าไม่ควรเสียเวลายืนอยู่ตรงนี้ ดังนั้นจึงตัดสินใจเดินเลี้ยวเข้าไปในถนนโกดัง ไม่เพียงแต่ไม่ยอมตอบคำถามของเทรซี เขายังทำให้เธอรู้สึกไม่คอไม่ดีอีกด้วย ความคิดที่ว่าจะได้เสื้อผ้าชุดใหม่กำลังวับวูบอย่างช้า ๆ
เมื่อเข้ามาในถนนสายเล็ก ๆ แห่งนี้ ก็พบว่าตนถูกรายล้อมไปด้วยอาคารทรงโบราณขนาดใหญ่ หลังคาทรงโค้งและรูปทรงที่คล้ายกันของมันเริ่มชวนให้สับสน มีหมายเลขขนาดใหญ่สีดำติดอยู่กลางประตู บ่งบอกว่าโกดังแต่ละหลังถูกจัดเป็นลำดับที่เท่าไหร่ ส่วนเหนือประตูบานใหญ่ที่ทำจากโลหะมีป้ายข้อความเจาะติดกับผนัง มันคือป้ายชื่อโกดัง ซึ่งบางอันก็น่าสนใจ ส่วนบางอันก็ไม่ขอเข้าใกล้จะดีกว่า
หลังจากเดินมาได้สักพัก ทั้งหมดก็มาหยุดอยู่ที่กึ่งกลางระหว่างโกดังหมายเลขเก้ากับหมายเลขสิบเอ็ด นิโคลัสเงยมองป้ายที่อยู่เหนือบานประตู ซึ่งพบว่าชื่อโกดังหมายเลขสิบเอ็ดนั้นก็พออุ่นใจได้ แต่โกดังหมายเลขเก้านั้นกำลังทำเขารู้สึกหวาด ๆ เด็ก ๆ จ้องมองแม็กนัสอย่างสงสัย ก่อนจะมองเข้าไปในตรอกแคบ ๆ ชวนหายใจหายคอไม่สะดวก
“คุณไม่ได้พาเรามาปล้นโกดังใช่มั้ย” นิโคลัสเอ่ยถามในที่สุด “ผมใส่เสื้อผ้าเดิม ๆ ก็ได้นะ ไม่มีปัญา”
“หยุดเพ้อเจ้อได้แล้ว” แม็กนัสว่า “ตามข้าเข้ามา ไปดูโรงเรียนใหม่ของเจ้า”
“โอ”
นิโคลัสหมดคำจะพูด เมื่อต้องคิดว่าโรงเรียนใหม่ของพวกเขาตั้งอยู่ในถนนโกดังอันน่าหดหู่ รายล้อมไปด้วยโกดังชื่อแปลก ๆ ที่อาจจะเก็บบางอย่างน่าอันตรายเอาไว้ อย่างเช่นดินปืนหรือไม่ก็ระเบิด ใครจะรู้ว่าจู่ ๆ มันอาจระเบิดขึ้นเมื่อไหร่ได้ เมื่อคิดเช่นนั้นนิโคลัสก็รู้สึกคิดถึงบ้าน อยู่ที่นั่นชีวิตช่างปลอดภัยเหลือกิน
แต่เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เทรซีล้มเลิกความฝันไปได้ แม้จะริบหรี่มากก็ตาม เธอรู้ดีว่าเบื้องหลังกำแพงรั้วหลังโกดังคือย่านเล็ก ๆ ที่มีร้านขายเสื้อผ้า เป็นย่านเดียวที่ยังครึกครักและมีผู้คนเดินไปมา บางทีแม็กนัสอาจจะพาไปทางลัดก็ได้
แม็กนัสเดินนำเข้าไปก่อนแล้ว เขาตะแคงข้างและสไลด์ตัวผ่านตรอกนี้ไปอย่างคล่องแคล่ว นิโคลัสชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินตามแม็กนัสเข้าไป ตามด้วยเทรซี จากนั้นก็เหลือแต่รีมัสกับวิล ทั้งคู่เลียมสบตากัน คำถามก็คือ ทำอย่างไรถึงจะสามารถเดินเข้าไปในนั้นพร้อมกับกระเป๋าเป้ใบใหญ่ได้ ตุบ
รีมัสทิ้งกระเป้าหลากสีลงบนพื้น ใบหน้าฉายแววเหน็ดเหนื่อย วิลเลียมมองอย่างงุนงง
“นายจะไม่เข้าไปเหรอ” เขาถาม เริ่มเป็นห่วงน้องชาย “รออยู่ตรงนี้ก็ได้นะ เฝ้ากระเป๋าพี่ด้วย”
ขณะที่เขากำลังจะปลดกระเป๋าอันหนักอึ้งออกจากบ่า รีมัสกลับยกกระเป๋าของเขาขึ้นมาอีกครั้งและวางมันไว้บนไหล่ขวา ใช้มือทั้งสองข้างประครองไม่ให้ล่วงหล่น
“ขอบใจนะวิล” รีมัสบอกและยิ้มให้อย่างทะเล้น “แต่ฉันยังอยากได้รองเท้าอยู่ เฉพาะนั้นฉันต้องตามเขาไป เข้าใจนะ”
ปีกจมูกของวิลเลียมกางออก เขาสูดหายใจเข้าและผ่อนออกอย่างรวดเร็ว เหลือเกินจริง ๆ
“โอเค้ ตามสบาย”
จากนั้นสองพี่น้องก็พากันแบกกระเป๋าเป้ไว้ที่ไหล่ จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินตะแคงเข้าไปในตรอกแคบ ๆ ระหว่างโกดังหมายเลขเก้าและหมายเลขสิบเอ็ด
หลังจากเดินทะลุออกมาถึงข้างหลังโกดัง ซึ่งใช่เวลาค่อนข้างนานพอสมควร เทรซีพบว่าตัวเองกำลังยืนประจันหน้ากับกำแพงอิฐสูง ซึ่งทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ตอนนี้เธอตระหนักได้ว่า ความฝันที่จะได้ช้อปปิ้งได้ดับสลายโดยสมบูรณ์ เธอมองดูรั้วสูงชะลูดตรงหน้า พร้อมกับคิดว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีประตูเดินทะลุออกไปอีกฝั่ง เทรซีถอนหายใจออกมาอย่างสิ้นหวัง
นิโคลัสกำลังสำรวจบริเวณที่พวกเขายืนอยู่ ซึ่งก็ไม่มีอะไรน่าสนใจนัก นอกจากความปราณีตของก้อนอิฐที่ใช้สร้างกำแพง มันเรียงตัวเสมอกันเป็นชั้น ๆ สักพักเขาก็ได้ยินเสียงกระหืดกระกอบมาจากข้างหลัง รีมัสกับวิลเลีบมกำลังแบกกระเป๋าเป้ไว้บนบ่าขณะเดินตรงมา ก่อนจะวางมันและนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง
“เอาจริง ๆ นะ” วิลเลียมว่า “ผมรู้สึกว่ากล้ามแขนขึ้นแล้วล่ะ”
พูดจบเขาก็ถกแขนเสื้อขึ้น จากนั้นก็งอแขนและเกร็ง พยายามเบ่งก้อนเนื้อเล็ก ๆ ให้ปูดนูนขึ้นมา
“เอาหน่า” แม็กนัสพูด ขณะมองดูเด็กชายสองคนนั่งหมดแรงที่พื้น “เย็นนี้ข้าจะจัดมื้อค่ำชุดใหญ่ เพื่อเป็นการฉลองแก่ว่าที่ลูกศิษย์ทั้งสองและเอ่อ...ผู้ติดตาม”
“โอ หนูปลื้มมากเลย เอาล่ะ ไหนโรงเรียนใหม่ที่ว่า” เทรซีผู้เหลืออดพูดขึ้น
หลังจากเดินเลาะกำแพงเพื่อหาทางข้ามไปอีกฝากอยู่นาน เธอก็เดินกลับมารวมกลุ่มกับทุกคน สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังหงุดหงิดสุด ๆ
“อยู่นี่ไง” แม็กนัสบอกเสียงชื่นบาน
เทรซีมองไปรอบ ๆ จากนั้นก็ขมวดคิ้วเป็นปม
“คุณจะให้เรานั่งเรียนหนังสืออยู่ในซอกตึกงั้นหรอคะ” เทรซีเริ่มโวยวาย “เยี่ยมเลย!”
“ผิดแล้วที่รัก ลองมองให้ดี ๆ สิ” แม็กนัสบอกเสียงนุ่มนวล จากนั้นก็กางแขนทั้งสองข้างออก
เทรซีถอนหายใจยาวดังพรืด เธอเหลือบมองแม็กนัสแวบหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตามองไปยังที่อื่น มองขึ้นข้างบนและมองลงข้างล่าง จนสะดุดตากับอะไรบางอย่าง มันมีลักษณะเป็นวงกลมและใหญ่ คล้ายฝาท่อระบายน้ำ
“โกดังพิเศษของข้า ห้ามเข้ามายุ่ง” เทรซีอ่านข้อความที่ปรากฏบนนั้น
จากนั้นก็เงยหน้ามองแม็กนัสอย่างขอคำตอบ คงไม่ใช่อย่างที่คิดใช่ไหม ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ยิ่งแย่กว่าต้องนั่งเรียนในซอกตึกของโกดังร้าง ๆ เสียอีก
“อะฮ่า” แม็กนัสร้องขึ้น “เจอแล้วสินะ จริง ๆ เจ้าเดินเหยียบมันตั้งหลายครั้งแล้ว”
เทรซีรู้สึกแข้งขาอ่อน เธออยากจะทรุดนั่งลงไปกับพื้นเหมือนพวกพี่ ๆ แต่ก็หักห้ามตัวเองเอาไว้ เธอต้องจากบ้านที่แสนอบอุ่น จากโรงเรียนที่มีเพื่อนแสนน่ารักอย่างมาร์ลี เพื่อมาเรียนอย่างนอกระบบในท่อระบายเองหรือ แถมยังประกาศอย่างหนักแน่นว่าห้ามมายุ่งย่าม ในนั้นอาจมีกลิ่นเหม็นจากของเสีย และอาจพลุกพล่านได้ด้วยหนูและแมลงสาปตัวเล็กยั้วเยี้ย แค่คิดก็สยองแล้ว
“โอ” เทรซีเอ่ย “คุณล้อเล่นใช่มั้ย”
“หน้าข้าดูเหมือนคนชอบพูดจาไร้สาระงั้นรึ?” แม็กนัสว่า “เอาล่ะเทรซี หลบทางให้ข้าหน่อย รู้ไหมว่าเจ้ากำลังยืนประตูอยู่”
แต่เทรซียังไม่ยอมขยับไปไหน เธอยืนกอดอกและจ้องหน้าแม็กนัส
“สงสัยจังว่าเป็นของใคร แต่มันบอกว่าห้ามยุ่งนะ” เธอแย้ง “ดูแล้วไม่น่าจะปลอดภัยเลย บางทีอาจมีหนูยักษ์อยู่ในนั้นก็ได้”
แม็กนัสหัวเราะ จากนั้นก็พูดว่า
“คิดว่าข้ากลัวงั้นรึ ดีสิ ข้าจะจับมันมาให้โรสทำสตูให้เจ้ากิน”
เทรซีอ้าปากค้าง ก่อนจะยกมือปิดเพราะเริ่มรู้สึกคลื่นไส้ เมื่อรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเถียงต่อไป เธอจึงยอมถอยออกมา จากนั้นก็เดินไปหานิโคลัส ซึ่งยืนพิงผนังโกดังหมายเลขเก้า ขณะมองดูเธอกับแม็กนัสพูดกัน
“พระเจ้า” เทรซีบ่นอย่างอารมณ์เสีย “ดีใจด้วยนิค โรงเรียนใหม่ของเราคือท่อระบายน้ำล่ะ รู้หรือยัง!”
นิโคลัสถอนหายใจ เขาคิดว่าตัวเองรู้มาสักพักแล้ว หลังจากเทรซียืนอยู่บนฝาโลหะทรงหลม ซึ่งข้อความที่ปรากฎบนนั้นไม่ได้ช่วยให้ใจชื่นขึ้นมาเลยนักนิด
แอ๊ดดดดด
แม็กนัสใช้นิ้วล้วงลงไปในรูวงกลมแถวปากขอบ จากนั้นก็ออกแรงดึงขึ้นเพื่อเปิดฝาโลหะสีดำ
นิโคลัสกับเทรซีถอยห่างจากบริเวณนั้น เพื่อเปิดทางให้กับประตูโกดังหนาหนักขนาดใหญ่ มีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดของโลหะขณะเปิด และแม็กนัสก็หงายมันลงบนพื้นดินเสียงดังลั่น เผยให้เห็นทางเข้าสู่โกดังชั้นใต้ดิน
เขาปัดมัดมือที่สกปรก จากนั้นก็มองลงเบื้องล่าง ในท่อมืด ๆ ส่งมีกลิ่นเหม็นอับ
“ไว้เจ้าเรียนเวทมนต์ง่าย ๆ อย่างเช่นเคลื่อนย้ายสิ่งของหรือเปิดประตูได้เมื่อไหร่ รับรองว่านี่จะไม่ใช่ปัญญาที่เจ้าต้องกังวล”
นิโคลัสกับเทรซีสบตากันอย่างงุนงง หมายความว่าอย่างไร “เรียนเวทมนต์ง่าย ๆ” แม้ทั้งคู่จะเกิดความสงสัย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถาม
จากนั้นแม็กนัสก็ซุกมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุม และล้วงเอาก้อนกลม ๆ เล็ก ๆ สีทองออกมา เมื่อโยนขึ้นไปในอากาศ ปีกเล็ก ๆ สีเงินของมันก็กางออกมาจากรูเก็บปีก ค่อย ๆ เปล่งแสงสว่างเจิดจ้าแข่งกับดวงอาทิตย์ จากนั้นก็บินลงไปในท่อ
“เอาของเจ้าออกมาด้วยนิโคลัส เทรซี”
แม้ทั้งสองจะไม่เต็มใจนัก แต่ก็ยอมทำตาม ไม่นานลูกไฟอีกสองดวงก็บินตามกันลงไปในท่อ โดยมีรีมัสกับวิลเลียมนั่งมองอย่างอัศจรรย์ใจ
“ว้าว” วิลเลียมอุทาน ใบหน้าฉายแววตื่นเต้น “นายไม่เห็นบอกว่ามีของแบบนั้นด้วย เจ๋งชะมัด”
“ไม่มีทาง” นิโคลัสว่า ก่อนจะก้าวไปยืนที่ปากขอบอย่างหมิ่นเหม่ “พี่ต้องทำมันพังแน่”
วิลเลียมทำเสียงเหอะ จากนั้นเขากับรีมัสก็ลุกขึ้นและเดินไปรวมกับทุกคนที่ปากท่อ ลูกไฟบินรออยู่ในนั้น เพื่อส่องแสงสว่างให้เจ้าของ
แม็กนัสไต่ลงไปตามบันไดที่เจาะติดกับผนังท่อ ตามด้วยเทรซี รีมัส วิลเลียมและปิดท้ายด้วยนิโคลัส ขณะที่ไต่ลงในไปท่อที่ส่งกลิ่นชวนย่นจมูก เขาก็นึกสงสัยเหลือเกินว่าคนสมัยก่อนไม่มีวิธีสร้างบันไดแบบอื่นอีกแล้วหรือ พักหลังเขาปีนบันไดลักษณะแบบนี้บ่อยเหลือเกิน แถมค่อนข้างจะอันตรายเสียด้วย ถ้าก้าวพลาดขึ้นมาละก็จบเห่
ลูกไฟยังคงส่องแสงต่อไป พร้อมกับส่งเสียงหึ่ง ๆ เหมือนเสียงแมลงกระพือปีก พวกเขาต้องไต่ลงไปค่อนข้างลึกและนานทีเดียวกว่าเท้าจะสัมผัสพื้นเบื้องล่าง ไม่รู้ว่านิโคลัสคิดไปเองหรือไม่ แต่เขารู้สึกว่าหายใจไม่ค่อยสะดวก ราวกับอากาศในนี้ช่างบางเบาเหลือเกิน
เทรซีค่อนข้างประหลาดใจเมื่อลงมาถึง เธอพบว่ามันไม่ใช่ท่อระบ่ายน้ำน่าขยะแขยง แต่มันคือห้องกว้าง ๆ ที่มีเพดานสูง แม้จะค่อนข้างมืด แต่เธอก็สังเกตเห็นได้
“ออกซิเจนต่ำจัง” เธอบอก ขณะพยายามมองไปรอบ ๆ
แม็กนัสพยักหน้าเห็นด้วย เขาก็รู้สึกได้เช่นกัน
“มันไม่ได้เปิดนานแล้ว อากาศก็เลยไม่ถ่ายเท” เขาบอก “ข้าว่าจะเปิดประตูทิ้งเอาไว้อย่างนั้น จนกว่าอากาศจะดีขึ้น”
แม็กนัสยกมือขึ้นและโบกเป็นวงกลมในอากาศ ลูกไฟของเขาบินปรี่ตรงไปหาอย่างรวดเร็ว เมื่อแม็กนัสลูบที่ท้องโลหะเรียบลื่นของมัน ลูกไฟก็เปล่งแสงสว่างเจิดจ้ามากกว่าเดิม จากนั้นแม็กนัสก็สั่งให้มันบินไปที่กลางห้อง เผยให้เห็นรายละเอียดต่าง ๆ ได้ชัดเจนมากขึ้น
ภายในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่นั้น เต็มไปด้วยกองผ้าสูงใหญ่หลายกอง เรียงเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบไว้ที่ฝั่งซ้ายของห้อง ส่วนทางฝั่งขวามีถุงกระสอบมากมายวางกองเกลื่อนกลาดเต็มพื้น มันเยอะมากจนต้องวางซ้อนกันเป็นชั้น ๆ กระสอบอวบอ้วนที่บรรจุบางอย่างไว้ข้างใน ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าคืออะไร
เมื่อเงยหน้ามองเพดาน ก็พบว่ามันถูกฉาบด้วยปูน ครั้งสุดท้ายที่บูรณะซ่อมแซมโกดังแห่งนี้ก็เมื่อนานมาแล้ว ตอนนี้ปูนที่ฉาบไว้ได้ผุกร่อนและหลุดล่วงลงมาบนพื้น แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทำให้มองเห็นอิฐก้อนที่อยู่เบื้องหลัง
ที่สุดปลายห้องมีประตูไม้สีดำหนึ่งบาน แม็กนัสเดินตรงไปหามัน โดยมีเด็ก ๆ เดินตามหลังมาติด ๆ เมื่อเขาหมุนลูกบิดสีทองก็พบว่ามันถูกล็อกเอาไว้ แม็กนัสออกแรงผลักและเขย่าลูกบิดอย่างรุนแรง แต่ก็ไร้ผล ดังนั้นวิธีสุดท้ายคือต้องใช้เวทมนต์ แม็กนัสยกแขนทั้งสองและชูออกไปข้างหน้า หลังจากมีสัญลักษญ์ของอักษรรูนปรากฏขึ้นที่กลางประตู ประตูไม้ก็เปิดผางออกโดยอัตโนมัติ ง่ายดายชะมัด
เด็ก ๆ ทำเสียงผิดหวัง รีมัสคาดว่ามันอาจเป็นห้องที่เก็บของมีค่าเอาไว้ ดูจากการที่แม็กนัสลงทุนร่ายมนต์คาถาเพื่อเปิดมัน แต่แท้จริงแล้วมันคือห้องน้ำขนาดกว้างขวาง ใหญ่มากกว่าห้องนอนพวกเขาเสียอีก ในนั้นประกอบไปด้วยโถส้วม มีอ่างเก็บน้ำขนาดยักษ์ที่ทำจากปูนอยู่สุดปลายห้อง เหนือขอบอ่างที่มีก๊อกไว้สำหรับเปิดน้ำใส่ และกระจกมัว ๆ หนึ่งบานที่ผนังฝั่งขวา แม้ว่าจะผิดหวังอยู่บ้าง แต่รีมัสก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโกดังนี้พิเศษสมชื่อ
“ต่อไปนี้ที่นี่จะกลายเป็นห้องเรียนของพวกเจ้า นิโคลัส เทรซี” แม็กนัสพูดขึ้นในที่สุด เสียงของเขาก้องทะท้อนเบา “แต่เราต้องเก็บกวาดมันเสียหน่อน ว่าไหม”
•••
ตกเย็นพอดีหลังจากออกมาจากโกดัง หรือที่แม็กนัสเรียกมันว่าโรงเรียน แต่ก่อนจะจากมา แม็กนัสจัดการปิดโกดังและมันผนึกมันด้วยคาถา ก่อนจะพาเด็ก ๆ ทั้งสี่มุ่งหน้าไปยังถนนมาแล้วไป เพื่อหาซื้อของใช้จำเป็นและวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหาร ซึ่งก็พบว่าราคาแพงหูฉี่ แต่แม็กนัสไม่สนใจ เขานึกถึงโรส เธอจะต้องชอบใจแน่ ๆ ที่ได้ปรุงเนื้อวัว แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็ก ๆ พวกนี้ เนื้อวัวไม่ใช่จะหาซื้อได้ง่าย ๆ เสียเมื่อไหร่
หลังจากทนฟังรีสมัสกับวิลเลียมบ่นตลอดทางกลับหอสังเกตการณ์ พวกเขาก็เดินมาถึงปากทางเข้าซอยซิกแซก นิโคลัสหยุดเดินและมองเข้าไปในนั้น ผ่านช่องทางเดินเล็ก ๆ ที่พอให้คน ๆ หนึ่งเดินเข้าไปได้ เขาเห็นผู้คนในนั้นเดินไปมา บ้างก็รีบร้อน บ้างก็ดูเฉื่อยชา ก่อนจะได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนเรียก เทรซีนั่นเอง
“นิค ไปได้แล้ว” เธอบอก
นิโคลัสหันไปมองเธอซึ่งยืนห่างออกไปไม่ได้นัก ทั้งคู่สบตากันอย่างเข้าใจ ก่อนเทรซีจะพูดต่อ
“ฉันรู้ ฉันก็เหมือนกัน”
นิโคลัสพยักหน้า หลังจากเหลือบมองเข้าไปในซอยซิกแซกอีกครั้ง จากนั้นก็ตัดสินใจออกเดินตามทุกคนไป
ตะวันตกดินแล้ว และท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอมม่วง ดวงดาวเริ่มปรากฏให้เห็นเป็นจุดแสงเล็ก ๆ รายล้อมพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ราวกับฝูงผึ้งกับนางพญา เหล่าทหารยามพากันจุดคบเพลิงตามจุดต่าง ๆ รวมไปถึงบนกำแพงเมือง แม็กนัส นิโคลัส เทรซี วิลเลียมและรีมัสเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่หลังบ้านเก่า ๆ ซึ่งอยู่แถว ๆ ปากแม่น้ำที่มีโป๊ะและเรือท้องแบนสองลำ พวกเขาเฝ้ารออย่างใจเย็นจนกว่าพวกทหารจะเสร็จธุระ หลังจากผ่านไปสิบนาที ทั้งหมดก็เดินอย่างรวดเร็วไปยังโป๊ะ
ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาถึงหอสังเกตการณ์ได้อย่างปลอดภัย ด้วยความช่วยเหลือของแม็กนัสอีกตามเคย เขาจัดการทุกอย่างด้วยเวทมนต์อันแสนสะดวก เพียงแค่เสกหมอกขึ้นมาและพายเรือข้ามไปอีกฝั่ง แต่คราวนี้ลำบากกว่าเดิมนิดหน่อย เพราะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นมาสองคน กับสัมภาระที่หนักอย่างไม่น่าเชื่อ รีมัส วิลเลียม นิโคลัสและเทรซีนั่งเรือลำเดียวกัน แม้จะแออัดไปนิด แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา ส่วนกระเป๋าใบใหญ่สองกับตะกร้าเครื่องเทศต่าง ๆ แม็กนัสนำไปขึ้นเรือของเขา และจัดการขนย้ายเข้าไปในกำแพง
“โอโหหหหห” วิลเลียมกับรีมัสร้องออกมาพร้อมกันเมื่อเข้ามาข้างในหอสังเกตการณ์
ทั้งคู่ประหลาดใจที่ภายในดูใหญ่และกว้างขวางกว่ารูปลักษณ์ภายนอก ตรงกลางห้องตกแต่งด้วยพรมสีม่วงสลับทอง มีชั้นวางหนังสือเจาะเข้าไปในผนังข้างเตาผิง โดยมีหนังสือเล่มหนาบางเรียงรายเป็นระเบียบ ส่วนตามผนังห้องมีสัญลักษณ์เวทมนต์พิลึก ๆ สลักไว้เป็นย่อม ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมากับผู้ใช้เวท วิลเลียมกับรีมัสคงคิดว่าตัวเองอาจกำลังเป็นบ้า และนี่ก็คืออาการฟ้อง
ไม่นานนัก เตาผิงก็ลุกติดไฟ มันจะติดและดับไฟตามเวลาที่แม็กนัสกำหนดไว้ด้วยคาถา ซึ่งเป็นประโยชน์มากในวันที่เหนื่อยล้าหรือเพิ่งกลับมาจากการเดินทางอันหนาวเหน็บ เพราะมืออาจแข็งจนไม่สามารถจุดไฟหรือใช้เวทมนต์ได้
รีมัสกับวิลเลียมไม่มีเวลาเดินชมห้องนี้นานนัก เพราะเขาถูกแม็กนัสสั่งให้วางกระเป๋าไว้ที่ข้างโซฟา และตามลงไปยังบันไดใต้ประตูกล วิลเลียมคิดว่าเห็นแม็กนัสเคาะที่พรมสามครั้งและประตูเล็ก ๆ ก็ปรากฎขึ้น แม้จะยังคุ้นชินกับเรื่องประหลาดแบบนี้เท่าไหร่ แต่เมื่อถึงตอนนี้ เขาคิดว่ามันเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ
มันเป็นบันไดแบบเดียวกันกับที่โกดังพิเศษนั่น ซึ่งเด็ก ๆ เริ่มจะคล่องแคล่วกับการไต่ขึ้นลงแล้ว ลูกไฟสามดวงบินอย่างร่าเริงส่องทางให้ทุกคนขณะลงไปที่ชั้นล่างสุด นิโคลัสไต่ลงไปก่อนเทรซี ซึ่งเธอเผลอเหยียบมือเขาอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้นิโคลัสร้องอย่างเจ็บปวด
อีกไม่กี่นาทีต่อมา ทั้งหมดก็ลงมาถึงห้องครัว แม็กนัสนำตะกร้าเครื่องเทศและกระดาษที่ห่อเนื้อวัวลงไปวางในหลุมที่กลางห้อง ขณะเดียวกันนิโคลัสยังคงกุมมือข้างที่ถูกเหยียบเอาไว้ เขารู้สึกปวดตุบ ๆ เทรซีขอโทษเขาและเดินตามเพื่อขอดูมือ แต่นิโคลัสปฏิเสธ ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจอีกต่อไปและพาพี่ชายทั้งสองไปนั่งที่ปากหลุม มองดูแม็กนัสหยิบกล่องหินเหล็กไฟออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และบรรจงวางมันลงในวงล้อมของก้อนหิน เทรซีรู้ว่าเขากำลังจะเรียกโรสออกมา
ทันใดนั้นกล่องเล็ก ๆ สีเงินก็สั่นอย่างรุนแรงและระเบิดเปลวไฟสีส้มแดงออกมา รีมัสกับวิลเลียมสะดุ้งตกใจสุดขีดและตาลีตาเหลือกถอยไฟให้ห่างจากบริเวณปากปลุม นิโคลัสกับเทรซีมองหน้ากัน จากนั้นก็ระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง โดยนิโคลัสลืมเสียสนิทว่ากำลังโกรธเทรซี แต่ตอนนี้คิดว่าไม่แล้วล่ะ ช่างไร้สาระเหลือเกิน
“ฮ่า ๆ ๆ” นิโคลัสกับเทรซีหัวเราะอย่างหนัก จนต้องเอามือกุ้มท้อง “อะ ฮ่า ๆ ๆ”
“นี่หนู ๆ จ้ะ มีอะไรน่าขำมากขนาดนั้นเลยหรอ” โรสเอ่ยถามอย่างสงสัย
บางทีพวกเขาอาจหัวเราะเพราะเปลวไฟของเธออาจเปลี่ยนเป็นสีฟ้า ซึ่งนั่นเป็นสีที่เธอเกลียดเอามาก ๆ โรสมองเปลวไฟรอบ ๆ ตัวด้วยดวงตาที่เป็นเปลวเพลิง จากนั้นก็โล่งอก เธอยังงดงามเป็นสีส้มแดงเช่นเดิม
“ปะ...เปล่าค่ะโรส” เทรซีพยายามควบคุมตัวเอง จากนั้นก็ใช้หลังมือปาดน้ำตา “ไม่มีอะไรค่ะ”
โรสท้าวสะเอวด้วยแขนเปลวไฟ จากนั้นก็คิดว่าเธอคงไม่มีทางเข้าใจความคิดเด็ก ๆ แน่นอน ดังนั้นจึงหันไปสนทนากับแม็กนัสผู้ซึ่งยืนมองดูเด็ก ๆ อย่างมีความสุข
“อะแหม” โรสแสร้งกระแอมเพื่อเรียกร้องความสนใจ “สวัสดียามเอ่อ...”
โรสพยายามนึกเวลา แต่ก็รู้ดีว่าควรจะยอมแพ้ เพราะเกือบทั้งชีวิตของเธอต้องอาศัยอยู่แต่ในกล่องหินเหล็กไฟ
“ยามค่ำ” แม็กนัสต่อเติมให้สมบูรณ์ จากนั้นก็ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว “ช่างวิเศษนักที่ได้เรียกเจ้าออกมาในคืนนี้โรส”
“มีอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าที่รัก” โรสถาม “เจ้าดูอารมณ์ดีนะแม็กนัส”
พูดจบแม็กนัสก็พยักเพยิดไปทางนิโคลัสกับเทรซี โดยมีรีมัสกับวิลเลียมยืนอยู่ห่างออกไป
“แผนสำเร็จไปอีกนิดแล้วโรส ข้าได้ตัวผู้เปลี่ยนชะตาแล้ว” แม็กนัสบอกเสียงชื่นบาน “เฉพาะฉะนั้นข้าคิดว่าควรจะจัดงานเลี้ยงฉลอง”
เขาก็ผายมือไปยังตะกร้าเครื่องเทศสามใบ กับห่อกระดาษเปื้อนเลือดจนกลายเป็นสีชมพู
โรสตื่นเต้นและเผลอโหมเปลวไฟจนลุกโชติช่วง ซึ่งยอดเปลวไฟสูงเกือบถึงเพดาน ความร้อนเริ่มทวีสูงขึ้นจนแม็กนัสต้องถอยห่าง
“โว ๆ โรส” แม็กนัสว่า ใช้มือป้องตาเอาไว้ “ควบคุมเปลวไฟของเจ้าหน่อยได้ไหม หนวดข้าจะไหม้แล้ว”
“วู้ววววว เจ้าช่างน่ารักเสียจริง” โรสพูดอย่างกระปี่กระเป่า “นานแค่ไหนแล้วที่ข้าไม่ได้ปรุงเนื้อวัว โอ เชื่อใจข้าได้เลย งานเลี้ยงฉลองของเจ้าจะต้องออกมาเลิศหรูที่สุด โอววววว”
ว่าแล้วโรสก็จัดการปล่อยลูกสมุนเปลวไฟดวงน้อยออกมา เธอให้พวกมันช่วยลำเรียงเครื่องครัวต่าง ๆ รวมถึงเครื่องเทศที่เธอต้องการ เธอฮัมเพลงไปด้วยอย่างร่าเริงพร้อมกับส่ายสะโพกอันร้อนระอุไปมา ซึ่งบทเพลงที่โรสคลอไปด้วยฟังดูโบราณและเก่าแก่ บางทีแม็กนัสก็อยากรู้เช่นกันว่าโรสมีอายุเท่าไหร่กันแน่
เขาตัดสินใจปล่อยให้โรสจัดการกับมื้อค่ำต่อไป จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปหาเด็ก ๆ ที่ข้างบน
“โอย รี” นิโคลัสว่า “โรสไม่เผาพี่หรอกหน่า เชื่อฉันสิ”
“ไม่งั้นพวกเราจะรอดจนถึงป่านนี้เหรอ” เทรซีเสริม
แม็กนัสส่ายหน้า สงสัยเหลือเกินว่าซูซานมีวิธีจัดการกับปัญานี้อย่างไร
“เอาล่ะ” แม็กนัสเอ่ยขึ้น ทำให้ทุกคนยุติบทสนทนาและหันไปมองเขา “ข้าว่าเรามานั่งคุยอะไรกันสักหน่อยดีไหม ขณะรอโรสปรุงมื้อค่ำ”
นิโคลัสกับเทรซีเหลือมองกัน ส่วนรีมัสกับวิลเลียมยังคงหวาดกลัวโรสอยู่ แต่เมื่อเห็นว่าเปลวไฟนั่นกำลังฮัมเพลงอย่างร่าเริง ทั้งคู่ก็คลายความกลัวลงได้บ้าง ดังนั้นทั้งหมดจึงเดินตามแม็กนัสกลับไปนั่งที่ขอบหลุมอีกครั้ง
“สายลมคิมหันต์ พัดผ่านผืนทราย ชายหนุ่มย่างกาย ดินแดนแสนโศก โอ้...โอ โชคชะตานำพา เธอเขาคู่เคียง รักแท้อยู่เพียง ใต้ผืนนภา โอ... ”
โรสร้องเพลงอย่างอารมณ์ดีขณะใช้มีดเล่มใหญ่หั่นเนื้อวัวเป็นชิ้นบาง ๆ รีมัสมองเปลวไฟดวงเล็ก ๆ แบกชิ้นเนื้อที่หั่นแล้วโยนลงในตระแกง จากนั้นก็มีเสียงดังฉี่พร้อมกับส่งควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นในอากาศ ซึ่งกลิ่นของมันชวนให้น้ำลายสอยิ่งนัก
“มีอะไรหรอครับ” นิโคลัสถามเมื่อนั่งลงข้างวิลเลียม
แม็กนัสมองเขา จากนั้นก็พูดว่า
“เราต้องทำข้อต้องกันนิดหน่อยนิโคลัส จริง ๆ แล้วมันคือข้อตกลงของทุกคนนั่นล่ะ”
“ข้อตกลงอะไร” เทรซีถามอย่างสงสัย
วิลเลียมกับนิโคลัสมองหน้ากันอย่างฉงนสนเท่ห์
“ก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่มขึ้น ข้าอยากให้พวกเจ้ารับปากกับข้าสักเรื่อง” แม็กนัสว่าพลางกวาดสายตามองทุกคน
เด็ก ๆ ดูไม่มั่นใจนัก แต่ก็พยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า แม็กนัสยิ้ม ก่อนจะพูดออกไป
“ดีมาก ที่ข้าจะขอคือพวกเจ้าไม่สามารถกลับไปเยี่ยมครอบครัวได้ในระหว่างที่กำลังร่ำเรียนศาสตร์เวท”
พวกเขาทำตาโตใส่แม็กนัส ราวกลับว่าเขาพูดอะไรบางอย่างที่เลวร้ายและเสียสติเอามาก ๆ
วิลเลียมกับรีมัสหันไปซุบซิบอะไรกันอย่างเคร่งเครียด ก่อนที่นิโคลัสจะเป็นฝ่ายพูดขึ้น
“ดะ...เดี่ยวสิ” เขาว่า “เรียนศาสตร์เวทอะไรกัน เราไม่เคยทำอะไรแบบนั้นเลยนะ อีกอย่างคุณไม่มีสิทธิสั่งห้ามไม่ให้เรากลับไปหาพ่อแม่ด้วย!”
“นั่นสิคะ ทำไมเราจะกลับบ้านไม่ได้” เทรซีเสริมขึ้นอย่างหงุดหงิด “เรายังไม่ได้ไปไหนเสียหน่อย ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยหนิ”
แม็กนัสใช้มือขวาลูบคางที่เต็มไปด้วยหนวด เผยให้เห็นรอยไหม้สีดำน่ากลัว ใบหน้าเขาดูนิ่งเฉยมาก เหมือนกำลังรับฟังข้อโต้แย้งของเด็ก ๆ จากนั้นก็ทำเสียงจุ๊ปาก
“ทุกคนใจเย็น ๆ” แม็กนัสบอกเสียงนิ่งเรียบ “แม้ว่านั่นจะเป็นการจำกัดสิทธิส่วนบุคคลมากเกินไป แต่ขะ...”
“สุด ๆ” เทรซีแทรกขึ้นและทำหน้าบูดบึ้ง
แม็กนัสรี่ตามองเธอ ก่อนจะพูดต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แต่ข้าจะมอบหมายให้รีมัสกับวิลเลียมคอยส่งข่าวให้กับพ่อแม่เจ้า”
จากนั้นก็หันไปมองเด็กหนุ่มทั้งสอง
“ไม่ยุติธรรม!” นิโคลัสกับเทรซีร้อง แม็กนัสคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่นะ
รีมัสกับวิลเลียมยิ้มหน้าบาน และเดินเข้าไปตบไหล่น้อง ๆ อย่างเห็นอกเห็นใจ
“ทำไมพวกพี่ได้กลับบ้านล่ะ” เทรซีคร่ำครวญ “แม็กนัส คุณลำเอียงนี่นา”
“ข้าเปล่าลำเอียงเทรซี” เขาบอกอย่างนุ่มนวล จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน “ข้าทำไปเพราะมีเหตุผล”
นิโคลัสขมวดคิ้ว รู้สึกขัดเคืองใจ
“แล้วเหตุผลที่ว่าคืออะไรเหรอ” เขาถาม
แม็กนัสกอดอกและจ้องมองนิโคลัส โรสยังคงจัดการกับอาหารมื้อค่ำต่อไปพร้อมกับฮัมเพลง
“เจ้าต้องมีสมาธิในการเรียนศาสตร์เวทนิโคลัส” เขาบอกเสียงหนักแน่น “การคิดถึงแต่เรื่องครอบครัวจะทำให้เจ้าสูญเสียสมาธิ จิตใจไขว้เขวและเป็นผลให้การเรียนไม่มีประสิทธิภาพ”
แม็กนัสหยุดพัก เด็ก ๆ มองเขาอย่างเคร่งเครียด จากนั้นก็พูดต่อ
“นิโคลัส เทรซี ตอนนี้พวกเจ้าต้องทุ่มเทความคิด จิตใจและเวลาให้กับการร่ำเรียนศาสตร์เวท ขอบอกตามตรงว่าเรามีเวลาจำกัด และเราก็กำลังสูญเสียมันไปทุก ๆ วินาที แต่ข้าสัญญาว่าพวกเจ้าจะได้กลับไปหาครอบครัวอีกครั้ง หลังจากที่ผ่านหลักสูตรศาสตร์เวทขั้นพื้นฐาน”
หลังจบประโยคของแม็กนัส นิโคลัสก็พอจะเข้าใจเหตุผล แต่ในเมื่อเขายังไม่รู้เลยว่าทำไมต้องเรียนศาสตร์เวท เรียนไปเพื่ออะไร ที่สำคัญคือแม็กนัสดูรีบร้อนกับประเด็นนี้เอามาก ๆ
“ผมพอจะเข้าใจคุณอยู่นะแม็กนัส” นิโคลัสว่า “แต่ช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าทำไมเราต้องเรียน มันจำเป็นมากเลยเหรอ แล้วทำไมต้องรีบขนาดนั้นด้วย”
“โอ...โอ้ เปลวไฟโชติช่วง มาร่วมเริงรำ ทุกคืนทุกค่ำ สำราญเริงใจ โอ...เสร็จแล้ว มื่อค่ำแสนวิเศษ”
โรสบอกทุกคนด้วยบทเพลง เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม็กนัสก็เดินไปหยิบอะไรบางอย่างที่ซื้อมาจากถนนมาแล้วไป เขาตรงไปยังตะกร้าใบที่สาม ในนั้นมีถุงกระสอบเล็ก ๆ สกปรก แม็กนัสนำมันกลับมาที่ขอบหลุม
“เยี่ยม” เขาพูดเสียงใส “ขอบใจมากโรส ถ้าไม่มีเจ้าสักวัน ข้าต้องลำบากแน่”
โรสม้วนเปลวไฟของตัวเอาเป็นเกลี้ยว มันลุกโชติช่วงและเจิดจ้า แผ่รัศมีความร้อนไปทั่วห้อง
“แหม ๆ พูดอย่างนั้นข้าก็เขินแย่สิ” โรสบอก จากนั้นก็หัวเราะ
“นี่คือของตอบแทนของเจ้า” แม็กนัสบอก จากนั้นก็แกะถุงกระสอบ เผยให้เห็นถ่านสีดำก้อนเล็ก ๆ “หายากทีเดียวเชียว”
พูดจบเขาก็โยนกระสอบนั่นเข้าไปในเปลวไฟของโรส เธอโอบรับมันด้วยแขนเปลวไฟสีส้มแดง จากนั้นก็จัดการเผาไหม้อย่างรวดเร็ว (นิโคลัสคิดว่าโรสคงจะกินมัน)
“โอ เจ้าไม่ลืมคำเสนอของข้า” โรสพูดอย่างดีใจ “ถ่านจากไม้มะกอกน่ะทำให้ข้ามีเรี่ยวแรงรู้ไหม”
เมื่อถุงกระสอบถูกเผาและถ่านมอดไหม้จนกลายเป็นขี้เถ้า โรสก็ค่อย ๆ มอดดับและหายกลับเข้าไปในกล่องหินเหล็กไฟในที่สุด เหลือทิ้งไว้เพียงผลงานของเธอ สเต๊กเนื้อวัว
แม็กนัสหันกลับมามองนิโคลัสอีกครั้ง ก่อนจะพูดว่า
“ไว้ข้าจะบอกเจ้าหลังจากเราจัดการสเต๊กพวกนั้น ตกลงไหม” เขาว่า “คุยเรื่องแบบนั้นก่อนกิน มีหวังอาหารไม่ย่อยแน่”
หลังจากทุกคนทานสเต๊กเนื้อวัวสูตรพิเศษที่โรสตั้งใจปรุง พวกเขาก็กลับขึ้นที่ห้องนั่งเล่นข้างบน และยกประเด็นเก่าที่ค้างคาขึ้นมาพูดคุยต่อ แม็กนัสจัดการต้มน้ำชาและรินใส่ถ้วยให้ตัวเอง นิโคลัส เทรซี วิลเลียมและรีมัสนั่งเบียดกันบนโซฟาตัวใหญ่ รอฟังแม็กนัสอธิบายอย่างใจจดใจจ่อ
เขาซดชาร้อน ๆ หมดถ้วย ราวกับมันไม่ใช่อะไรที่สามารถล้วกปากได้ จากนั้นก็พูดขึ้น
“ข้าทำทุกอย่างโดยมีจุดประสงค์นิโคลัส ซึ่งการที่ข้าหมายจะให้เจ้ากับเทรซีร่ำเรียนศาสตร์เวทขั้นพื้นฐานนั้น ก็ย่อมต้องมีเหตุผล มันเป็นประธรรมเนียมรู้ไหม ว่าที่จะอาจารย์จะต้องถ่ายทอดศาสตร์เวทขั้นพื้นฐานแก่ว่าที่ลูกศิษย์ บางคนเรียนไปสักระยะแล้วเลือกจะถอนตัวไป ซึ่งก็ย่อมได้ เนื่องจากอาจารย์แต่ละคนมีแนวทางการใช้เวทที่ต่างกัน ดังนั้นการร่ำเรียนศาสตร์เวทขั้นพื้นฐานจึงถือเป็นการชิมลางเวทของอาจารย์ เพื่อเสาะแสวงหาเวทที่ตนเองถนัด
“หลังจากจบสิ้นกระบวนการร่ำเรียนศาสตร์ขั้นพื้นฐาน ว่าที่ลูกศิษย์จะต้องตอบรับภารกิจที่ว่าที่จารย์มอบหมาย เพื่อเป็นการประเมินและทดสอบทักษะสิ่งที่ร่ำเรียนมา ซึ่งอีกจุดประสงค์หนึ่งของภารกิจ ก็เพื่อกระตุ้นให้ว่าที่ลูกษย์มีความอุตสาหะ และเพียรพยายาม เพราะเขาหรือเธอจะได้ตระหนักซึ้ง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่ใช่มาได้ง่าย ๆ กระทั่งวิชาความรู้ พวกเขาจะต้องพิสูจน์ตัวเอง ว่าตนคือผู้ที่ควรจะเป็นศิษย์ แต่ในกรณีของเจ้านั้นไม่มีทางเลือก จะใจเสาะหรือถอนตัวในระหว่างคันไม่ได้เด็ดขาด แม้ว่าจะไม่ชอบแนวทางของข้ามากแค่ไหนก็ตาม
“แต่พนันได้เลยว่าสิ่งที่ข้าสอนไปนั้น จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการทำภารกิจ ซึ่งข้าจะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับมัน หลังจากที่พวกเจ้าสำเร็จหลักสูตรศาสตร์เวทขั้นพื้นฐาน”
มีเพียงเสียงหึ่ง ๆ ของลูกไฟบินไปรอบ ๆ ห้องนั่งเล่น สลับกับเสียงถ่านไฟลั่นดังเปี๊ยะในเตาผิง ไม่มีใครพูดอะไรหลังจากนั้น ดังนั้นแม็กนัสจึงซดน้ำชาอีกถ้วย และเอนหลังพิงผนักโซฟา
นิโคลัสประมวลสารที่เพิ่งได้รับและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาฉายแววเคร่งเครียดจนแม็กนัสสังเกตเห็น
“เจ้าคงกำลังคิดว่าจะต้องใช้เวลาเรียนนานเท่าไหร่ ถูกต้องไหม?”
นิโคลัสสบตาสีน้ำเงินเข้มของแม็กนัส รู้สึกเหมือนถูกอ่านความคิด จากนั้นก็พยักหน้าเบา ๆ
แม็กนัสประสานมือทั้งสองข้างไว้ที่หน้าท้อง เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ และผ่อนออกมา
“สมัยข้าเป็นว่าที่ลูกศิษย์ อาจารย์บอกว่าไม่มีเวลาตายตัว” เขาบอก ก่อนจะถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม “แต่สำหรับเจ้า นิโคลัสและเทรซี ข้าให้ได้แค่สองสัปดาห์เท่านั้น”
นิโคลัสพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แต่บางอย่างในน้ำเสียงของแม็กนัสสะกิดต่อมความสงสัยของเทรซี เธอเม้มริมฝีปาก ขมวดคิ้ว จากนั้นก็เอ่ยขึ้น
“เอ่อ...แล้ว ถือว่าน้อยไหมคะสำหรับระยะเวลาแค่สองสัปดาห์ในการเรียนศาสตร์เวทขั้นพื้นฐาน”
รีมัส วิลเลียมและนิโคลัสจ้องมองเทรซี ก่อนจะหันไปมองชายวัยกลางคนที่นั่งเอนหลังพิงผนักโซฟา แม็กนัสถอยหายใจอีกครั้ง สีหน้าวิตกกังวลปรากฎเด่นชัด เห็นได้จากรอยยับย่นบนหน้าผาก
“น้อยมาก” เขาบอกเสียงเครียด “สมัยข้าใช้เวลาเกือบสองเดือนเชียว แต่อย่างที่บอก เรามีเวลาจำกัด เพราะฉะนั้นต้องรีบเร่ง”
แต่นั่นก็ไม่ช่วยให้เทรซีคลายความสงสัยไปได้ แม็กนัสยังไม่ได้ให้คำตอบแน่ชัดว่าทำไมถึงต้องรีบร้อนขนาดนั้น ดังนั้นเธอจึงเอ่ยถามอีกครั้ง
“แต่แม็กนัสคะ” เธอถาม “ช่วยบอกหน่อยเถอะว่าทำไมเราถึงมีเวลาจำกัด หนูคิดว่าเราจำเป็นต้องรู้นะ?”
แม็กนัสพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะเรื่องนี้อยู่ในหลาย ๆ เรื่องที่เขาตั้งใจจะบอกว่าที่ลูกศิษย์
“กว่าข้าจะตามหาตัวเจ้าทั้งคู่พบ ก็กินเวลาไปนานหลายปี” เขาว่า “แต่อย่างน้อยข้าก็ทำสำเร็จ”
แม็กนัสหยุดพัก จากนั้นก็รินน้ำชาให้ตัวเองและซดหมดถ้วยรวดเดียว เขาคงเครียดมากถึงขนาดซดชาร้อน ๆ เข้าไปได้อย่างสบาย ๆ
“เห้อ...เด็กน้อย ข้าเสียใจที่ต้องบอกว่า พวกเจ้าทั้งคู่ต้องเรียนศาสตร์เวทและทำภารกิจให้เสร็จสิ้นก่อนเลยวันเกิดของเจ้า มันสำคัญมากรู้ไหม เพราะถ้าหากคลาดเคลื่อน ลิขิตจะถูกเปลี่ยน คำพยากรณ์จะกลายเป็นคำลวง และขะ...ข้าก็ไม่อาจรับรองชะตากรรมของเมืองแห่งนี้ได้”
“โอ หมายความว่าไงที่ว่าไม่สามารถรับรองชะตากรรมเมืองของเราได้” รีมัสเอ่ยขึ้น เขาเองก็ไม่อาจทนนิ่งอยู่ได้ “ถ้าหากนิคกับเทรซทำไม่สำเร็จ มันนั้นจะเกิดอะไรขึ้น”
แม็กนัสเบิกตากว้าง นิโคลัสสัมผัสได้ว่าเขารู้สึกหวาดกลัว แต่นั่นก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั่น ๆ ก่อนที่เขาจะกลับมาเป็นปกติ
“ข้าไม่อาจบอกเจ้าได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” แม็กนัสบอกเสียงทุ่มต่ำ ซึ่งทำให้การเล่าเรื่องดูเคร่งเครียดเข้าไปกันใหญ่ “แต่ข้ารับรองได้เลยว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ บางทีอาจจะไม่มีพระราชวังมอนต์โกเมรี ถนนนักปราชญ์หรือแม้กระทั่งบ้านของเจ้าอีกต่อไป เดอะ เกรนจ์อาจถูกลบออกไปจากแผนที่ก็เป็นได้”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้นรีมัสก็ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว นิโคลัสอ้าปากค้างและเทรซีก็สูดจมูกดังฟืดฟาด วิลเลียมผู้ที่ยังพอมีสติหลงเหลือตัดสินใจพูดอะไรบางอย่าง
“เจ็ดกรกฎาคมคือวันเกิดของนิคกับเทรซ งั้นก็หมายความว่าเรามีเวลาแค่หนึ่งเดือน”
แม็กนัสพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม และเรื่องนี้ก็ทำให้นิโคลัสฝันร้ายตลอดทั้งคืน
•••
ผ่านไปสามวันหลังจากคืนนั้น ซึ่งในระหว่างนั้นพวกเขาก็แทบจะไม่ได้หยุดพักเลย เพราะต้องจัดการกับเรื่องวุ่นวายต่าง ๆ จนเหนื่อยล้า แม็กนัสพาเด็ก ๆ ไปโรงเรียนเพื่อดำเนินเรื่องขอพักการเรียน หลังจากพูดคุยกับผู้อำนวยขี้กังวลอยู่นานหลายชั่วโมง สุดท้ายเขาก็ไม่อนุมัติและให้เหตุผลว่า “คุณรอดเจอร์ การไปตั้งแคมป์ที่ภูเขามีกส์ดูไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ที่นั่นอันตรายจะตายไป ขนาดนายพรานเก่ง ๆ ยังแทบจะเอาชีวิตไม่รอด ผมปล่อยให้คุณพาหลาน ๆ ไปสถานที่แบบนั้นไม่ได้หรอก” แม้จะไม่อยากทำแบบนั้น แต่แม็กนัสไม่มีทางเลือกมากนัก ดังนั้นการร่ายคาถาสักบทอย่างเช่น คาถาเปลี่ยนมุมมอง อาจทำให้สถานการณ์น่าเบื่อหน่ายผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
เด็ก ๆ ถูกพักการเรียนอย่างเป็นทางการโดยไม่มีกำหนด และนิโคลัสก็สุดแสนจะยินดีกับเรื่องนี้ แต่เขาก็ยินดีกับมันได้ไม่นานนัก เมื่อนึกขึ้นได้ว่าจะไม่ได้เจอกับลุคอีก ซึ่งไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะหาโอกาสบอกลุคเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดให้ได้
การที่ไม่ต้องเรียนวิชาคณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ก็ดีอยู่หรอก นิโคลัสคิดว่าเขาอาจได้ใช้เวลาช่วงนั้นนั่งอยู่เฉย ๆ เพื่อจัดการกับความคิดของตัวเอง แต่นั่นไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน เมื่อเขาต้องใช้เวลาทั้งวันหมดไปกับ “ปฏิบัติการกวาดล้าง” แบบที่แม่เรียก แม็กนัสมอบหมายงานเก็บกวาดโกดังให้นิโคลัส เทรซี รีมัสและวิลเลียม โดยต้องปัดกวาดเช็ดถูให้สะอาดเอี่ยม จัดการกับกองผ้าและถุงกระสอบให้เป็นระเบียบ รวมถึงขัดห้องน้ำให้สะอาดน่าใช้ด้วย
งานนี้ค่อนข้างหนักและกินเวลายืดเยื้อไปกว่าสองวัน จนทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ซึ่งระหว่างที่จัดการกับความโสโครกของโกดัง พวกเขาก็บ่นไม่ขาดปาก และเมื่อไหร่ก็ตามที่ถามแม็กนัสว่า “ทำไมคุณถึงไม่ใช้เวทมนต์ละ มันต้องไวกว่าและสะอาดกว่าแน่นอน” แต่คำตอบที่ได้นั้น ทำให้พวกเขาต้องยอมทำงานต่อไปโดยไม่มีข้อแม้
“เรียนรู้ที่จะพึ่งพาตนเองโดยไม่ใช้ทางลัด นั่นคือกฎแห่งความสมดุลของผู้ใช้เวท อีกอย่าง พวกเจ้าจะได้รู้ซึ้งถึงรสชาติเมื่อปราศจากพ่อกับแม่คอยตามเช็ดก้น”
วันนี้เป็นวันที่สิบมิถุนายน ภายในโกดังพิเศษของข้า ห้ามเข้ามายุ่ง นิโคลัสกำลังนั่งเหนื่อยหอบอยู่บนกองผ้าที่เขานำมาปนะยุกต์เป็นเก้าอี้ ขณะมองดูรีมัส วิลเลียมและเทรซีกำลังถกเถียงเรื่องผ้า เทรซีคิดว่าจะนำผ้าสักผืนในนี้ฝากรีมัสไปให้ซูซาน ซึ่งเธอรู้ว่าแม่จะต้องชอบใจ แต่รีมัสคิดว่ามันไม่ถูกต้อง มันไม่ใช่สมบัติของพวกเขาและอาจมีผีเฝ้าไว้ (ตำนานเล่าขานเกี่ยวกับผีนั้นมีมายาวนาน ผู้คนในเมืองสันนิษฐานว่าเรื่องพวกนี้น่าจะมาจากพวกพ่อค้า และนั่นก็ส่งผลให้เด็ก ๆ หวาดกลัวจนขึ้นสมอง) ส่วนวิลเลียมก็แค่เข้าไปป่วนประสาทสองคนนั้นเล่น ๆ
บ่ายโมงแล้วกว่าพวกเขาจะทำความจะอาดโกดังเสร็จ และนั่นก็กินเรี่ยวแรงของนิโคลัสแทบจะหมดสิ้น นิโคลัสละสายตาจากพวกรีมัส และเสมองไปยังกองกระสอบที่ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบที่ผนังห้องฝั่งขวา ซึ่งแท้จริงแล้วมันอัดแน่นไปด้วยถ่าน หากแต่มันชื้นเกินไปจนไม่อาจใช้งานได้ ดังนั้นจึงปล่อยทิ้งเอาไว้อย่างนั้น รอให้อากาศถ่ายเทกว่านี้จนทำให้มันแห้ง
ลูกไฟคือแหล่งความสว่างเพียงอย่างเดียวที่มี มันบินอย่างเชื่องช้าไปรอบ ๆ ห้องและปล่อยแสงสว่างอย่างคงที่ นิโคลัสเคยสงสัยว่ามันเอาพลังงานมาจากไหน ทำไมถึงสามารถปล่อยแสงออกมาได้เจิดจ้าเพียงนี้ เขาถามแม็กนัสและก็ได้คำตอบน่ารัก ๆ กลับมา “มันใช้ไออุ่นของมนุษย์เป็นแหล่งพลังงาน ถ้ามีมากพอ ลูกไฟจะเปล่งแสงได้อย่างยอดเยี่ยมและต่อเนื่องได้นานหลายวันทีเดียว”
ความเหนื่อยล้าทำให้เปลือกตาของนิโคลัสเริ่มหนักอึ่ง เขาตัดสินใจเอนตัวนอนกับพื้นและเอาหัวหนุนกองผ้า งีบสักหน่อยระหว่างรอแม็กนัสกลับมาจากหอสังเกตการณ์
แต่ในขณะที่เขากำลังดำดิ่งสู่ห่วงนิทนา จู่ ๆ ก็มีเสียงบางอย่างหนัก ๆ ดังตุบที่บันใด เสียงนั่นดังก้องไปทั่งโกดัง ทำให้นิโคลัสสะดุ้งตื่นและลุกขึ้นมานั่งอย่างเสียขวัญ เพราะคิดว่าใครบางคนอาจปืนบันไดเล่นและพลาดท่าตกลงมา ลูกไฟดวงหนึ่งบินปรี่ตรงไปยังจุดที่บางอย่างตกลงมา แสงสว่างของมันช่วยเผยให้เห็นม้วนผ้าหนา ๆ ที่กองอยู่บนพื้น ถัดไปข้าง ๆ ที่ราวบันได แม็กนัสกำลังไต่ลงมาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะกระโดดลงมายืนพื้น โดยที่มือข้างหนึ่งอุ้มกล่องเล็ก ๆ ไว้
“เห้อ...แดดข้างบนแทบจะเผาข้าจนกลายเป็นขี้เถ้าเสียแล้ว” เขาบ่นพลางปาดเหงื่อที่หน้าผาก “กลางวันแดดจ้า กลางคืนหนาวจนเสียดกระดูก ช่างวิปลาสเสียจริงเมืองนี้”
ว่าจบเขาก็แบกม้วนผ้าบนพื้นขึ้นมาและเดินตรงมายังกลางโกดัง
แม็กนัสวางม้วนผ้าและกล่องเล็ก ๆ ลงบนพื้น กล่องนั่นจนดูเหมือนหีบขนาดจิ๋ว ไม่ใหญ่ไปกว่ากาต้มน้ำ มันทำมาจากไม้สีดำเนื้อดี คาดด้วยสายรัดสีเงินและคล้องด้วยแม่กุญแจ ส่วนม้วนผ้านั่น นิโคลัสรู้สึกคุ้นตาเหลือเกิน เหมือนกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เนื้อผ้าสีม่วงเข้มที่ปักลวดลายด้วยเส้นด้ายสีทอง
นิโคลัสลุกขึ้นและเดินไปรวมกลุ่มกลับทุกคนที่ใจกลางโกดัง จากนั้นก็ถามว่า
“นั่นอะไรฮะ” ชี้นิ้วไปยังม้วนผ้าสีม่วง “ดูคุ้น ๆ นะ”
“อ่อออออ” แม็กนัสลากเสียงยาว “พรมบ้านของข้าเอง ลืมบอกไปว่าหอสังเกตการณ์นั่นคือภาพมายาที่พรมวิเศษผืนนี้สร้างขึ้น”
“อะไรนะ!” ทุกคนร้องขึ้นอย่างประหลาดใจ
“ไม่เห็นจะต้องตกใจขนาดนั้นเลย” แม็กนัสว่า “เอาเป็นว่ามันเปรียบเสมือนบ้านเคลื่อนที่ อาจคล้ายเต็นท์ แต่สะดวกกว่าหลายร้อยเท่า”
คำอธิบายนั่นไม่ได้ช่วยให้พวกเขาเข้าใจสักนิด เด็ก ๆ มองหน้ากันอย่างงุนงง ก่อนแม็กนัสจะเอ่ยขึ้น
“โอ เยี่ยมยอดมาก สะอาดสะอ้าน”
เทรซีกลอกตา
“แน่นอนค่ะ” เธอประชดประชัน “ทีนี้ก็รู้แล้วสินะว่าเราไม่ได้คอยให้พ่อแม่ตามเช็ดก้น”
แม็กนัสระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ แผนการยั่วยุของเขาสำเร็จ เพราะนั่นน่ะ คือแรงกระตุ้นชั้นยอด
“ข้ารู้แล้วล่ะเทรซี” เขาว่า จากนั้นก็มองไปรอบ ๆ อย่างพึงพอใจ “สมควรแก่การให้รางวัล”
นิโคลัส รีมัส เทรซีและวิลเลียมหูผึงขึ้นมาทันที นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินคำนี่จากปากของแม็กนัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทรซี เธอเปลี่ยนอารมณ์จากหลังมือเป็นหน้ามืออย่างรวดเร็ว
“จริงเหรอคะ” เธอหยั่งเชิงถาม และเริ่มจะยิ้มออก “รางวัลอะไร”
แม็กนัสพยักหน้ารับ
“เอาเป็นว่าเจ้ากับนิโคลัสจำเป็นต้องใช้มันอย่างแน่นอน” เขาหยุดพูดและทำท่าครุ่นคิด “และเอ่อ...สำหรับพวกเจ้าด้วยรีมัส วิลเลียม”
“บอกได้ไหมว่ามันคืออะไร” นิโคลัสถามอย่างใคร่รู้ปนตื่นเต้น
แม็กนัสยิ้ม จากนั้นก็ส่ายหน้า ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ทุกคนอยากรู้เข้าไปกันใหญ่
“จำไว้ว่าอย่าเพิ่งหลับไปเสียก่อนล่ะ” แม็กนัสบอก “เพราะเที่ยงคืนของคืนนี้ เรามีนัดกันที่ร้านหนังสือทุก
ประเภทของอาร์ทิมีส ข้าสั่งของบางอย่างเอาไว้”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ