จำนนเสน่หาแบดบอย
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 21.04 น.
แก้ไขเมื่อ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 22.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) จำนนเสน่หาแบดบอย ตอนที่ 8 50%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเขาเข้ามาปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมารับประทานมื้อกลางวันซึ่งจะเร็วกว่ามื้อกลางวันของไทยอยู่ราวหนึ่งชั่วโมง สายตาพิลาสินีกวาดสายตามองภายในเจ็ตสุดหรูหลังจากที่ลอยอยู่กลางอากาศได้สักครู่แล้ว เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสสัมผัสไพรเวทเจ็ตที่ตกแต่งอย่างงดงามทว่ายังเปี่ยมไปด้วยความสะดวกสบายมากกว่าชั้นเฟิร์สคลาสของสายการบินพาณิชย์ดังๆติดอันดับโลกเสียอีก หากเจ้าของเจ็ตเซ็ทเหล่านี้ยังนั่งจ้องโน้ตบุ๊กด้วยสีหน้าจริงจังพลางจิบกาแฟดำเป็นระยะๆ
หญิงสาวไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงได้ร่ำรวยติดอันดับโลกในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ เพราะหลังจากมื้อเช้าที่ได้ยินเขาคุยกับโดโรเธียจนย้ำเตือนให้ได้รู้ถึงฐานะของตนเอง เธอก็กลับเข้าห้องเพราะไม่อยากให้ใครได้เห็นถึงน้ำตาแห่งความเศร้าใจและผล็อยหลับไปทั้งน้ำตาในเวลาต่อมา
และรอยยิ้มนั้นพึงพอใจอย่างมากที่เห็นว่าเธอทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ฟรัวกรารสเลิศจากจานของเขาถูกแบ่งมาไว้ในจานของเธอ แม้จะไม่ชอบเพราะคุ้นชินกับอาหารรสชาติจัดจ้านแต่ก็ต้องฝืนรับประทานทั้งบ่นพึมพำเมื่อเขาอ่านหนังสือพิมพ์หลายต่อหลายฉบับในขณะที่รับประทานอาหาร
‘ดี... ขุนให้เป็นหมูไปเลย’ คงไม่มีผู้ชายคนไหนชอบผู้หญิงอวบอ้วนหรอกและหากยังกินๆนอนๆอยู่แบบนี้ ไม่นานคงมีไขมันเกาะทุกส่วนของร่างกายเป็นแน่คิดอย่างเจ้าเล่ห์ โดยที่ไม่รู้ว่าแม้จะทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันเขาก็แยกประสาทได้อย่างยอดเยี่ยม เข้าใจความคิดความอ่านของเธออย่างง่ายดาย
‘ระวังความคิดเอาไว้หน่อยนะคนสวย ผมแค่อยากให้คุณสุขภาพแข็งแรงไม่ใช่ถูกลมพัดก็ทำท่าจะปลิวลมเหมือนตอนนี้ หรือถ้ามีปัญหากับคอร์สอาหารของผมนักก็เตรียมตัวเป็นวูแมนออนทอปได้เลย เพราะท่าอื่นๆผมว่าไม่น่าไหว’ พูดพลางกวาดสายตามองไปทั้งร่าง ‘ครั้งเดียวคงหมดแรง’
คิดมาถึงตรงนี้ก็แสนจะอับอายยิ่งนัก มีอย่างที่ไหนเอาชื่อท่าทางการร่วมรักมาพูดโจ๋งครึ่มแบบนี้ แถมเขายังย้ำหลายครั้งหลายคราว่ามันจะไม่หยุดที่ครั้งเดียว!
ลินเนอุสอมยิ้มเมื่อเห็นหุ้นของสิริแอทเซทกระเตื้องขึ้นสี่จุดภายในวันเดียวก็นับว่าเป็นสัญญาณอันดีจากนักลงทุนรายย่อยที่ให้การตอบรับเช่นนี้ แต่เมื่อละสายตาจากกระดานหุ้นในโน้ตบุ๊กตรงหน้ากลับเห็นว่าเธอจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเธอกลับมองค้อนและเบือนหน้าหนีเสียดื้อๆ หากไม่ติดว่างานตรงหน้ายังไม่เสร็จสิ้น เขาคงลุกขึ้นไปบดจูบปากอิ่มนั่นให้หนำใจ ให้เธอจำเอาไว้ว่าควรยิ้มหวานๆหรือเข้ามาบีบนวดบ่าไหล่ตอบแทนที่ทำให้สิริแอทเซทมีสภาพการที่ดูดีขึ้น
พิลาสินีไม่อยากจะคิดถึงข้อตกลงที่มีร่วมกับเขานักเพราะมันไม่ต่างจากการขายเรือนร่างแลกกับความอยู่รอดของตนและครอบครัว หากเขาระบุในข้อตกลงด้วยถ้อยคำที่แสนธรรมดากว่านี้สักหน่อยเธอคงรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ จึงหลีกเลี่ยงความว้าวุ่นใจนั้นด้วยการหันมาสนใจกับภาพยนตร์แอคชั่นซึ่งกำลังดำเนินมาถึงตอนสำคัญ
...เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมงภาพยนตร์จึงจบลง หญิงสาวจึงควานหารีโมตขึ้นมาเลื่อนเลือกภาพยนตร์เรื่องต่อไป โดยไม่รู้ตัวว่าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามปิดโน้ตบุ๊กแล้วเอนตัวบนที่นั่งขนาดใหญ่ด้วยความเมื่อยล้า ยกมือข้างหนึ่งคลึงขมับผ่อนคลายความตึงเครียดของตน
“เพลง...” ลินเนอุสเรียกผู้หญิงที่เอาตัวอยู่บนที่นั่งขนาดใหญ่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แม้ชั่วโมงที่ผ่านมาเธอจะให้ความสนใจกับภาพยนตร์แต่หลายต่อหลายครั้งดวงตาเป็นประกายลอบมองราวกับมีเรื่องอึดอัดในใจ
คนถูกเรียกด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทรเป็นครั้งแรกหันขวับในทันที เลิกคิ้วพร้อมชันตัวลุกขึ้นขานรับ “คะ?...”
“ผมว่างแล้ว”
“แล้ว?...” พิลาสินียังทวนท้ายประโยคอย่างไม่เข้าใจในความต้องการของเขา
ลินเนอุสได้แต่หัวเราะอย่างอ่อนใจ ไม่ใช่เพราะความกวนอารมณ์ของเธอแต่กำลังอ่อนใจกับความใจอ่อนของตัวเอง เพราะไม่ว่าท่าทางไหนที่เธอแสดงออกมาก็น่ารักน่าชังในสายตาเขายิ่งนัก “มานั่งนี่”
พิลาสินีส่ายหน้าดิกเมื่อเห็นมือใหญ่ตบลงบนหน้าตักของตัวเอง “ไม่ค่ะ”
“เพลงมีสิทธิ์พูดคำนั้นด้วยเหรอ” บอกพลางโคลงศีรษะย้ำความต้องการเดิม หากคนรับคำสั่งทำหน้าบึ้งกว่าเดิม กลอกสายตาไปมาอย่างคนใช้ความคิดอย่างหนัก สักพักก็ส่งยิ้มกว้างจนเขาต้องหรี่ตามองอย่างประเมินว่าเธอจะงัดไม้ไหนมาใช้อีก
“ท่าทางคุณดูเหนื่อยๆนะคะ เพลงว่าหลับสักงีบดีกว่า ถ้าให้เพลงไปนั่งบนตักก็หนักเปล่าๆ ไม่สบายตัวด้วย” ตะล่อมบอกอย่างใจเย็น แต่เขายังเรียกชื่อเล่นเธอและยื่นมือทั้งสองข้างออกมาราวกับจะเรียกเด็กน้อยสักคนให้เดินเข้าสู่อ้อมกอด
ท่าทางเช่นนั้นทำให้พิลาสินีนิ่งงันไปชั่วขณะ หากไม่มีความยับยั้งชั่งใจใดคงโผเข้าหาแขนแข็งแรงที่ยื่นออกมานั่นแล้ว
“เพลง... มาหาผม”
“แค่นั่งตักจริงๆนะคะ” ถามราวกับละเมอและเดินเข้าสู่อ้อมกอดเมื่อได้รับการพยักหน้าเป็นคำตอบ เพียงแค่หย่อนตัวลงบนหน้าขาแข็งแรง อ้อมกอดหนาแน่นก็รัดรึงเอาไว้ทั้งตัว ฝ่ามือใหญ่ดันศีรษะของเธอให้ซุกอยู่กับลำคอหนา จูบหนักๆกลางกระหม่อมทำให้อุ่นซ่านไปทั้งใจ
สายตาของหญิงสาวอยู่ในระดับเดียวกับกล้ามเนื้อแกร่งที่โผล่พ้นสาบเสื้อเชิ้ตซึ่งเขามักปลดกระดุมสามเม็ดแรกออก ส่งผลให้เห็นมัดกล้ามอันสมบูรณ์ภายใต้เส้นขนรำไร พลังดึงดูดที่ยากจะต้านทานนี้เกือบทำให้เธอยกมือขึ้นสัมผัสกับความแน่นตึงที่แนบชิดนี้หากไม่ได้ยินเสียงทุ้มที่ดังขึ้นเหนือศีรษะเสียก่อน
“เพลงมีอะไรจะพูดกับผมหรือเปล่า?...” ในที่สุดก็เป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน การพูดคุยอาจจะทำให้เขาลดความเสน่หาจากเรือนร่างในอ้อมกอดนี้ลงบ้าง แต่เมื่อเธอส่ายหน้าปฏิเสธก็ลอบถอนหายใจกับการทิ้งโอกาสที่ยื่นให้หลายต่อหลายครั้ง “แล้วทำไมต้องแอบมองผมบ่อยๆเหมือนมีเรื่องจะพูด”
“ก็... ปะ...เปล่านี่คะ เพลงจะแอบมองคุณไปทำไม” ทั้งบ้าและน่าอายน่ะสิ ถ้าจะยอมรับกับเขาตรงๆว่าลอบมองเพราะคำพูดล่อแหลมของเขาที่ผุดขึ้นมาในสมองหลายครั้งหลายครา
“รู้ไหมว่าเพลงทิ้งโอกาสที่ผมให้บ่อยเกินไปแล้ว ผมเริ่มสงสัยแล้วล่ะว่าเพลงเป็นนักธุรกิจแบบไหนถึงไม่หยิบฉวยความได้เปรียบหลายอย่างที่ลอยมาอยู่ตรงหน้า” บอกและก้มลงสบสายตากับคนที่แหงนหน้าขึ้นมาหาในจังหวะเดียวกัน
ทำไมเขาจะจำไม่ได้ว่าเธอไม่ชอบการทำธุรกิจเอาเสียเลย เธอชอบศิลปะ วาดรูป ดีดเปียโนได้อย่างเป็นเลิศ อารมณ์ละเอียดอ่อน นุ่มนวลจนทำให้ผู้ชายที่ต้องต่อสู้กับความยากจน โหดร้ายในโลกใบเก่านี้มาตั้งแต่เล็กจิตใจดีงามขึ้น ความเงียบงันที่เกิดขึ้นกับทั้งคู่นั้นก็ทำให้พิลาสินีคิดถึงเรื่องในอดีตเช่นกัน
จะลืมได้อย่างไรว่าเวลาเพียงสองเดือนที่รู้จักกันช่างสร้างความรู้สึกงดงามได้อย่างรวดเร็ว ผู้ชายที่นั่งอยู่บนม้านั่งเหล็กระหว่างทางเดินของตึกเรียน คนที่บอกว่าตนเป็นอาจารย์สอนวิชาเศรษฐศาสตร์ แค่มองเขาก็รู้ว่าเธอไม่มีความสุขกับการเรียนวิชาเหล่านี้ เขาคือคนที่เปลี่ยนความอึดอัดใจแล้วดึงเธอออกมามองโลกตามความเป็นจริง ทำให้การเรียนอันน่าเบื่อหน่ายตลอดเวลาเกือบสี่ปีเป็นความสนุกในเวลาชั่วกะพริบตา ผู้ชายที่มีใจให้และคิดว่าเขาเป็นเพียงอาจารย์หนุ่มจิตใจดีคนหนึ่งเท่านั้น
“พะ...เพลงเป็นนักธุรกิจยอดแย่มั้งคะ” เสียงหวานทำลายความเงียบงันแล้วก้มหน้าลงกับแผงอกกว้างเช่นเดิม “ดูได้จากผลงานที่ทำให้สิริแอทเซทต้องมาถึงจุดที่ตกต่ำที่สุด”
“ก็คงจะอย่างนั้น” ตอบตามความจริงแต่กลับต้องอุทานออกมาเมื่อถูกมือเล็กๆบิดเข้าที่หน้าท้อง “โอ๊ย... เจ็บนะ”
พิลาสินีไม่ตอบแต่แหงนหน้าขึ้นมองคนที่ร้องออกมาอย่างเจ็บปวดจนเกินเหตุแล้วงุดหน้าลงแนบกับอกกว้างที่ได้ยินทั้งเสียงหัวเราะและเสียงเต้นของหัวใจอย่างชัดเจน
“ก็เพลงไม่เป็นนักธุรกิจเอาเสียเลย เริ่มจากจองตั๋วกลับถึงแม้ว่าจะไม่อยากจ่ายค่าที่พักก็ตามเถอะ แต่เพลงตัดสินใจมาแล้วถ้าเกิดว่าผมไม่อยู่หรือติดธุระ เพลงไม่ต้องมาเสียเที่ยวหรือไง ค่าใช้จ่ายบางอย่างถึงไม่มีก็ต้องไปหามา ตัดออกไม่ได้ ไม่อย่างนั้นแบงก์ต่างๆคงไม่ปล่อยสินเชื่อ เข้าใจเสียใหม่ว่านั่นมันหมายถึงการลงทุน” ลินเนอุสเริ่มสอนและชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของเธออย่างไม่เคยจะใจเย็นทำกับใครมาก่อน “เรื่องสัญญาก็เหมือนกัน มีอย่างที่ไหนเซ็นชื่อแล้วค่อยไปต่อรองทีหลัง จำเอาไว้นะว่ากฎทุกกฎมีช่องโหว่อยู่ในตัวมันเอง แล้วถ้าเพลงหามันเจอ นั่นล่ะคือทางออก”
พิลาสินีพยักหน้ารับพลางคิดตามคำพูดของเขาและรู้ว่า... ที่ผ่านมาเธอพลาดไปหลายอย่างแล้วจริงๆ
“เมื่อกี้นี้ก็เหมือนกันผมอุตส่าห์เปิดโอกาสให้เพลงมากที่สุดแล้ว เพลงยังตอบง่ายๆว่าเปล่า”
พิลาสินีขมวดคิ้วมุ่นเงยหน้าขึ้นไปมองเขาอย่างรวดเร็ว “แต่เมื่อกี้นี้คุณถามว่าอยากพูดอะไร ไม่ได้บอกว่าจะให้ในสิ่งที่เพลงต้องการนี่คะ”
เขาก้มต่ำส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ระคนเอ็นดูจนเธอแยกแยะไม่ออกว่าความรู้สึกไหนชัดเจนกว่ากัน แต่รอยยิ้มนั้นกลับสะกดให้เธอนิ่งงัน คอยคำตอบด้วยความตั้งใจ “ไม่ขอแล้วจะรู้ได้ยังไง รู้รึเปล่าว่าตอนที่ถามผมตั้งใจจะให้จริงๆ”
“ถ้าอย่างนั้น...”
ส่ายหน้าปฏิเสธทั้งที่เธอยังพูดไม่จบประโยค “โอกาสดีๆไม่ได้มีมาบ่อยๆนะคนสวย อีกข้อที่เพลงต้องจำใส่ใจว่าจุดเล็กๆในความมืดมิดอาจเป็นแสงสว่างที่ทำให้ธุรกิจของเพลงรอดก็ได้”
คนฟังถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่กับโอกาสสามครั้งที่ตนทิ้งไปโดยไม่รู้ตัว “อันที่จริงถ้าตั้งใจจะให้แล้วก็ไม่น่าเปลี่ยนใจหรอกค่ะ เพราะบางครั้งคนรับก็เกรงใจเกินกว่าที่จะเอ่ยปากไปตรงๆ”
“ธุรกิจมันเป็นเส้นขนานกับคำว่าเกรงใจ เพลงต้องฉวยทุกโอกาสเพราะถ้าเพลงไม่คว้าเอาไว้คนอื่นจะคว้ามันแล้วอาจจะย้อนกลับมาสร้างความยุ่งยากให้เราทีหลังก็ได้ โลกไม่ได้เป็นสีขาวเหมือนในอุดมคติหรอกนะ ยิ่งเป็นโลกของธุรกิจมันแทบจะกลายเป็นสีดำแล้วด้วยซ้ำ”
คนถูกเตือนถอนหายใจออกมาอีกครั้ง มันห่อเหี่ยว โหดร้าย อันที่จริงเธอก็ไม่ได้คิดว่าโลกนี้จะเป็นสีขาวบริสุทธิ์นักหรอก แต่ยอมรับตรงนี้เลยว่าไม่เคยฉวยโอกาสในทุกลมหายใจเข้า-ออกอย่างที่เขาพูด หรือนี่จะเป็นบทเรียนครั้งใหญ่ของชีวิตซึ่งต่อจากนี้จะต้องเปลี่ยนวิธีคิดให้ได้เช่นเขา ไม่แน่ว่าการมองทุกอย่างในทางสายกลางอาจจะไม่เหมาะกับเวทีธุรกิจที่มีการแข่งขันอย่างดุเดือด
ท่าทางและเสียงที่ทั้งคู่พูดคุยกันนั้นอยู่ในสายตาของโยวันซึ่งนั่งอยู่ด้านหลัง โดยมีม่านกั้นไว้เพื่อให้ความเป็นส่วนตัว แต่เสียงสนทนานั้นทำให้เขาอดใจไม่ได้เอื้อมมือไปเปิดผ้าม่านมองหนุ่มสาวที่นั่งซ้อนกัน ทั้งที่ควรจะพักผ่อนแต่กลับพูดคุยกันจนลืมเวลา
หัวข้อสนทนาที่ได้ยินชัดเจนแล้วว่าเป็นพ่อมดทางการเงินที่มีเขี้ยวเล็บเชิงธุรกิจโอบล้อมรอบตัว มีวิสัยทัศน์อันเฉียบคม กำลังสอนนักธุรกิจมือสมัครเล่น ที่ดูยังไงฝีไม้ลายมือก็ห่างกันลิบลับ กระดูกคนละเบอร์จนไม่อาจเทียบชั้น นี่คือชัยชนะที่เจ้านายของเขามีเหนือเธอ
แต่... ความเป็นเธอไม่ว่าด้วยน้ำเสียง วิธีพูดหรือวิธีคิด การวางตัวที่เรียกคะแนนเอ็นดูไม่ต่างจากคลื่นใต้น้ำที่กลัวว่าสักวันจะเป็นพายุแห่งความเสน่หา โหมกระหน่ำให้เจ้านายของเขาต้องศิโรราบหรือไม่?! เพราะแค่สายตาที่ใช้มองเธอก็อ่อนโยนเกินกว่ามีให้ใคร น้ำเสียงนุ่มที่พูดคุยกับเธอก็น่าฟังยิ่งนัก แล้วจะอดทนใจแข็งกับเธอไปได้อีกสักกี่น้ำ
โยวันคิดในใจพลางส่ายหน้าให้กับเจ้านายที่นับถือ มอบความรักและจริงใจให้ไม่ต่างจากน้องชายคนหนึ่ง หากไม่มีลินเนอุส เขาก็คงเป็นผู้ช่วยเชฟในร้านอาหารไปเรื่อยๆ ไม่มีทางลืมตาอ้าปากสร้างครอบครัวและฐานะจนมีชีวิตที่สุขสบายเช่นนี้ คิดพร้อมหลับไปกับเสียงหวานที่เริ่มต่อรองมากขึ้นๆ สุดท้ายเขายังไม่แน่ใจว่าเวลาที่เหลือบนเครื่องบินราวหกชั่วโมงนี้ เจ้านายอาจจะกลายเป็นคนด้อยชั้นเชิงเสียเองเมื่อต้องปะทะกับความอ่อนหวานของผู้หญิงในอ้อมแขนนั้น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ