ทัณฑ์สวาทจอมเถื่อน

-

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 12.17 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  13.25K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 12.19 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) ทัณฑ์สวาทจอมเถื่อน ตอนที่ 9 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

รีโอเดอจาเนโร

ในขณะเดียวกันที่มนตร์ลดาและจันทร์แรมต่างก็วางใจในการปฏิบัติตัวในทางที่ดีขึ้นของอัลเวส จึงไม่เคยรู้เลยว่าเด็กหนุ่มอายุยังไม่ถึงสิบแปดปีเต็มนั้นจะหลงผิด เดินไปในเส้นทางอันลึกล้ำของวงการอาชญากรโดยไม่รู้ตัว!

บ่ายสี่โมงเย็นของวันแรกในการก้าวเข้ามาอยู่ในแก๊งอาชญากรชื่อดังที่ชื่อว่า ‘เดอะ แดนเจอรัส’ โดยการชักชวนของคาฟู นักเลงใหญ่ผู้คุมบาร์ในละแวกริมชายหาดโคปาคาบานา คนเดียวกันกับคนเก็บค่าเช่าราคาแพงที่มนตร์ลดาเซ็นสัญญาเป็นพยานเมื่อสามสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง

งานชิ้นแรกที่อัลเวสได้รับมอบหมายให้ทำคือการส่งของสำคัญในถุงกระดาษธรรมดาใบหนึ่งให้กับชายผิวสีร่างสูงที่นัดหมายกันไว้หน้าร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง ในตรอกเล็กๆที่เต็มไปด้วยร้านขายเสื้อผ้า ของที่ระลึกซึ่งไม่ไกลจากบาร์ของตนเองนัก

หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเดินใกล้เข้ามาถึงถังขยะหน้าร้านสะดวกซื้อ แต่พยายามบอกกับตัวเองไว้ว่า หากทำงานชิ้นนี้สำเร็จตนเองก็จะได้รับการยอมรับจากรุ่นพี่ในแก๊งอีกขั้นหนึ่ง มือชื้นเหงื่อของอัลเวสกำถุงกระดาษที่ไม่อาจรู้ได้เลยว่าข้างในนี้มันคืออะไร แต่เด็กหนุ่มก็รู้แก่ใจเป็นอย่างดีว่าของในมือนี้ต้องเป็นยาเสพติดชนิดใดชนิดหนึ่ง และเขาจะทำพลาดไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว!!

“เฮ้... ไอ้หนู ฉันอยากได้ขนมในมือแกน่ะ!” เสียงของชายผิวสีร่างใหญ่ดังขึ้นทันที เขาแสยะยิ้มหัวเราะชอบใจที่ได้เห็นว่าคนส่งของคนใหม่ของคาฟู สะดุ้งตกใจ!

อัลเวสยื่นถุงกระดาษในมือให้ชายคนดังกล่าวทันทีพร้อมกับบังคับมือตัวเองไม่ให้สั่นเพราะความกลัวไปมากกว่านี้ แต่สายตาหวาดหวั่นที่มีอยู่นั้นไม่สามารถปิดไว้ได้มิดชิด มือหนาใหญ่ของชายผิวสีที่มีร่างกายใหญ่โตกว่าตนเองเป็นสองเท่าตบลงที่หัวไหล่ไม่เบานัก

“ครั้งแรกก็งี้แหละ แกหยุดทำหน้าเหมือนอยากกลับไปกินนมแม่ได้แล้ว เดี๋ยวได้โดนตำรวจซิว ฉิบหายกันหมดนี่หรอก!!” พูดจบแล้วก็เดินหนีจากบริเวณดังกล่าวหน้าตาเฉย ทิ้งให้อัลเวสยังยืนหน้าซีดอยู่ที่เดิมเกือบนาที จากนั้นเด็กหนุ่มก็รีบเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว สองขาเริ่มเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆจนมองเห็นร้านของตัวเองอยู่ไม่ไกลนัก อัลเวสจึงวิ่งอย่างรวดเร็วกลับเข้าไปในร้านทันที

เด็กหนุ่มกลับเข้ามาในห้องส่วนตัวของตนเองด้วยความรู้สึกกลัวที่เริ่มจะเลือนหายไปเพราะความตื่นเต้นมันเข้ามาแทนที สองตามองอาการเหนื่อยหอบของตนเองในกระจกเงาตรงหน้า กลืนน้ำลายลงลำคออย่างยากลำบาก แต่เมื่อตั้งสติได้แล้วก็ต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่องานชิ้นแรกสำเร็จไปได้ด้วยดี ตอนนี้ได้เข้าไปเป็นสมาชิกของเดอะ แดนเจอรัส เต็มตัวแล้ว

อัลเวสรีบถอดเสื้อผ้าของตนเองออกทันที เอี้ยวหน้ามองหันหลังมองรอยสักของตัวเองผ่านกระจกเงา รอยสักทรงสามเหลี่ยมอยู่กึ่งกลางแผ่นหลังที่เพิ่งได้มันติดตัวไว้เมื่อสองวันที่ผ่านมา ยังสร้างความเจ็บปวดได้อยู่เพราะฝีเข็มที่ย้ำสีเข้ากับเนื้อสดๆโดยไม่มีการป้ายหรือฉีดยาชาแต่อย่างใด มันเป็นสัญญลักษณ์แห่งความภูมิใจของคนในเดอะ แดนเจอรัส โดยได้รับคำบอกกล่าวจากคาฟูว่าทุกคนที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมแก๊งจะต้องมีรอยสักฐานแรกที่กลางแผ่นหลัง จากนั้นหากทำงานที่ได้รับมอบหมายชิ้นใหญ่ๆสำเร็จก็จะได้เพิ่มรอยสักชั้นต่อไปให้สูงขึ้นซึ่งรอยสักนี้มีลักษณะคล้ายปิรามิดที่มีฐานกว้างชั้นสูงขึ้นไปก็จะลดความกว้างลงเรื่อยๆ ยิ่งมีรอยสักสูงขึ้นเท่าไหร่นั่นก็หมายความว่ามีตำแหน่งในแก๊งสูงเท่านั้น และมันยังเป็นสัญญลักษณ์ที่บ่งบอกอีกด้วยว่าผ่านการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจนได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้าแก๊งนั่นเอง!

 

สามชั่วโมงต่อมาอัลเวสยังคงทำหน้าที่เป็นบาร์เทนเดอร์อยู่ในร้านของตนเช่นเคย หากแต่วันนี้พิเศษกว่าทุกวันก็คือ สมาชิกเดอะ แดนเจอรัส หลายสิบคนเข้ามาใช้บริการในบาร์เล็กๆแห่งนี้ ทำให้มีคนที่เสนอตัวอยากเข้าร่วมแก๊ง แห่ตามกันมาใช้บริการด้วย

“เชิญครับ... เชิญด้านในเลย” เปาโลเรียกลูกค้าที่ค่อยเดินตามกันเข้ามาอย่างมีความสุข เขาไม่รู้หรอกว่าลูกชายของตนนั้นได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของเดอะ แดนเจอรัส แล้วเพราะรู้แต่เพียงว่าอัลเวสนั้นมีลีลาการผสมเหล้าได้ดี รสชาติเป็นที่ถูกใจของคาฟู จึงได้ชักชวนพรรคพวกให้เข้ามาใช้บริการบาร์ของตนเอง “ไม่ต้องแย่งกันนะครับ เราขยายร้านออกรองรับลูกค้าให้มากขึ้นแล้ว รับรองว่าวันนี้ทุกคนต้องสนุกสุดเหวี่ยงแน่!”

อัสเวสยิ้มออกมาอย่างผยองเมื่อเห็นผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างพอใจ และตะโกนบอกลูกค้าแข่งกับเสียงเพลงสนุกเร้าใจอยู่ด้านหน้าบาร์ พลางส่งแก้วเครื่องดื่มให้ลูกค้าคนพิเศษที่นั่งอยู่เคาน์เตอร์หน้าตนเอง “เชิญชิมครับ เซเว่นเฮฟเว่นที่ผมคิดค้นสูตรลับขึ้นมาเอง ติดใจมาหลายคนแล้ว”

คาฟูยกแก้วเหล้าชอร์ทเล็กๆขึ้นกระดกครั้งเดียวหมดแก้วพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย “ฉันนี่มองแกไม่ผิดจริงๆว่ะ ไอ้หนู! พรุ่งนี้ไปเจอกันที่ร้านเดิม แกจะได้เพิ่มรอยสักให้สูงขึ้นอีกชั้นแล้ว!”

“อะไรกันครับ! ทำไมถึงได้ขึ้นเร็วอย่างนี้ ไหนลูกพี่เคยบอกว่าต้องทำงานใหญ่สำเร็จเท่านั้นถึงจะได้เพิ่มรอยสักได้ วันนี้ผมแค่ไปส่งของถุงนิดเดียวแล้วก็เป็นครั้งแรกอีกต่างหาก” อัลเวสทำตาโต แสดงสีหน้าตื่นเต้น

“ฮ่า... ไอ้หนูเอ๊ย... แกคงไม่รู้สินะว่าของในถุงกระดาษดูไร้ราคานั่นมีมูลค่ามหาศาล” คาฟูระเบิดเสียงหัวเราะชอบใจ นี่แหละคือความปลอดภัยของการใช้เด็กใหม่ให้หิ้วของ! มันไม่มีทางที่พวกตำรวจจมูกดีจะตามกลิ่นได้ มือหนากวักเรียกเด็กในสังกัดใหม่ของตนให้เขยิบเข้ามาใกล้ๆ “แกไม่รู้เหรอว่าในถุงนั้นมันคือเฮโรอีน”

“เฮโร...”

มือหนาของลูกน้องคาฟูที่นั่งอยู่ติดกันนั้นตะบบเข้าที่ริมฝีปากของอัลเวสทันที “โธ่โว้ย! แกกลัวว่าตำรวจจะไม่ได้ยินหรือไงวะ ถึงแหกปากร้องเสียงดังแบบนี้?!”

อัลเวสกระพริบตาถี่ๆ ยกมือขึ้นอย่างขอโทษเมื่อควบคุมจิตใจของตนเองได้แล้ว “เฮโรอีนเหรอครับ!! ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่ามันคือเฮโรอีนคิดแต่ว่ามันคือ อีหรือไอซ์ธรรมดา”

“เอ้านี่... ส่วนแบ่งของแก” คาฟูเลื่อนซองสีขาวซองหนึ่งให้กับอัลเวส “จำใส่สมองไว้นะไอ้หนู เดอะ แดนเจอรัส ไม่ใช่แก๊งระดับล่างที่จะต้องส่งของเด็กเล่นพวกนั้น เราเป็นแก๊งข้ามชาติที่ส่งเฉพาะของที่มีมูลค่ามหาศาลเท่านั้น!”

อัลเวสรีบเก็บซองที่รู้ได้ทันทีว่าในนั้นมีเงินอยู่มากพอควรในกระเป๋ากางเกงตัวเองทันที

“แกยังทำงาน หาเงินใช้ได้แบบนี้อีกสักสี่ห้าครั้งหากไม่ถูกตำรวจซิวซะก่อน ก็จะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้น” คาฟูบอกพร้อมสั่งเซเว่นเฮฟเว่น อีกแก้วด้วยความติดใจในรสชาติจัดจ้าน บาดลำคอลึกของมัน

“โอ้โห... เป็นอย่างนี้ผมก็ได้เลื่อนตำแหน่งเร็วกว่าที่คิดน่ะสิครับ” อัลเวสคิดตามประสาเด็กหนุ่มที่มีความคึกคะนองอยู่เต็มตัว

“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกไอ้หนู ส่วนมากเด็กหน้าใหม่ส่งของแบบแกเนี่ย ทำได้สักสามสี่ครั้งก็โดนตำรวจซิวไปแล้ว หรือไม่ก็โดนพวกเรายิงทิ้งอยู่ริมท่าเรือโน่น!!” โมโซ ลูกน้องของคาฟูพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “แกน่ะเพิ่งทำงานแรกสำเร็จก็อย่าลำพองไปนัก จะบอกให้ว่าทุกขั้นบันไดบนแผ่นหลังที่ได้มาน่ะ ไม่ง่ายอย่างที่คิด บางทีแกอาจตายก่อนที่จะได้มีโอกาสรู้ด้วยซ้ำว่าหัวหน้าของเราคือใคร!”

“แสดงว่าหัวหน้าใหญ่แก๊งเราไม่ใช่ชาวบราซิลหรอกเหรอ?” อัลเวสถามหากแต่ต้องมองหน้ารุ่นพี่ในแก๊งหลายคนสลับกันไปมาเพราะไม่มีใครตอบคำถามออกมา

“เอาไว้ถึงเวลาแกก็จะรู้เองนั่นแหละ” คาฟูตอบเลี่ยงๆพร้อมกับเริ่มสูดปากอย่างน่าเกลียด “ฉันว่าเซเว่นเฮฟเว่นของแกมันเริ่มออกฤทธิ์แล้วล่ะ รับผิดชอบฉันด้วยแล้วกันไอ้หนู!”

“ได้เลยครับ... ผมเตรียมห้องไว้ให้ทางด้านโน้นแล้ว รับรองว่าข้างในมีสาวๆพาไปท่องสวรรค์ชั้นเจ็ดแน่ครับ” อัลเวสพูดเอาอกเอาใจคาฟูอย่างที่สุด เพราะเขาคือคนที่ชักชวนให้ได้เป็นส่วนหนึ่งของเดอะ แดนเจอรัส ซึ่งเป็นแก๊งมาเฟียที่ใหญ่และมีชื่อเสียงมากที่สุดในทวีปอเมริกาใต้!

อัลเวสมองลูกพี่ในแก๊งหลายคนที่เดินตามกันออกไปในห้องที่จัดเตรียมผู้หญิงไว้สนองอารมณ์ใคร่ให้พวกเขา พลางหันมาสบสายตากับเปาโล ผู้เป็นพ่อที่ยืนยิ้มหน้าบานเพราะดีใจที่เห็นลูกค้าเข้าร้านจำนวนมาก สมองคิดคำนวณเสร็จสรรพถึงเม็ดเงินที่หลั่งไหลเข้ากระเป๋าพร้อมกับมองลูกชายคนเดียวอย่างภูมิใจ ในขณะที่อัลเวสนั้นกลับมีความคึกคะนองเพิ่มมากขึ้นเมื่อเห็นเงินจำนวนมากในซองที่ได้รับจากการทำงานชิ้นแรก ความผยองอย่างวัยรุ่นที่รู้ไม่เท่าทันการณ์ทำให้ต้องเกิดเรื่องราวร้ายๆตามมามากมายอย่างที่อัลเวสไม่มีทางคาดคิดเลย

 

โรงบ่มไวน์เซฮา เดอ ชาโต

วันนี้เป็นวันที่ทีมงานถ่ายทำโฆษณาของนอร์ทซุปเปอร์มาเก็ต กำลังขนอุปกรณ์ในการถ่ายทำทั้งหลายเข้ามาในโรงบ่มไวน์ที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดในโลก ก่อนที่ทีมงานทุกคนจะก้าวผ่านประตูมิดชิดเข้ามาในโรงบ่มไวน์ได้นั้นก็ต้องผ่านการตรวจตราอย่างเข้มงวดจนทำให้บ่นเป็นเสียงเดียวกัน อุปกรณ์ในการถ่ายทำ กล้องทุกตัว ไฟจัดฉากทุกอย่างนั้นต้องเข้าเครื่องเอ็กซ์เรย์เสียก่อน มอร์แกนและมิเชลก็ต้องทำตามกฏที่อเตต้าร์วางไว้อย่างไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน

“ตามมาทางนี้” อเตต้าร์รั้งข้อศอกของมนตร์ลดาที่กำลังเดินตามหลังมอร์แกน ผ่านเข้าเครื่องเอ็กซ์เรย์ออกมาเสียก่อน

มนตร์ลดาขมวดคิ้วมุ่น มองมือหยาบใหญ่ที่จับข้อศอกตัวเองแน่นแล้วแหนหน้ามองคนเรื่องเยอะตรงหน้าด้วยสายตาไม่พอใจทันที

“ตอนนี้คุณคือคนของโอลีเวย์ร่า ไม่จำเป็นต้องตรวจให้เสียเวลาหรอก อีกอย่างไม่ต้องเดินตามก้นไอ้แก่ตัณหากลับนั่นต้อยๆนักก็ได้ อยากเป็นมากหรือไง ดารา นางแบบเนี่ย!?”

มนตร์ลดาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ตอบเบาๆพอให้ได้ยินกันสองคน “ได้เป็นก็ดีค่ะ คงหาเงินได้เยอะมากพอจะใช้ค่าปรับตามสัญญาจ้างมหาโหดของคุณได้ ความจริงฉันไม่ได้อยากมาตั้งแต่แรกแล้วแต่คุณเองนะคะที่จู่ๆก็เปลี่ยนใจ บังคับให้ฉันตามมา”

อเตต้าร์พูดไม่ออกเพราะมันเป็นความจริงอย่างที่เธอว่าให้ เมื่อเช้าที่ผ่านมานี้เขาตื่นเช้ากว่าปกติเพราะอยากคุยกับคุณปู่การันก้าให้เข้าใจ เขารู้ดีเชียวล่ะว่าท่านต้องการยั่วโมโห กำลังทดสอบความอดทนของเขาในเรื่องของมนตร์ลดาพูดท้าทายกันอย่างเหยียดหยามว่าเขาไม่กล้าเข้าใกล้แม่พยาบาลสาวเนี่ยเพราะกลัวว่าตัวเองจะหลงเสน่ห์เธอเข้าให้

เฮอะ!... ไม่มีทางซะหรอก ผู้หญิงสวยๆทั่วบราซิลยืนเรียงหน้ากระดานให้เขาเลือก แล้วมันเรื่องอะไรที่เขาต้องมาหลงใหลได้ปลื้มกับแม่คิตตี้นี่ด้วย ดีล่ะ! อยากท้าทายกันดีนักเดี๋ยวจะผูกเธอไว้ติดตัวทั้งวันเลย อยากรู้เหมือนกันจะหลงเสน่ห์เธอจริงรึเปล่า ผู้ชายที่มีความจองหองอยู่ในตัวรู้สึกสนุกกับการท้าทายความรู้สึกของตัวเองขึ้นมาในทันที

“แล้วก็กรุณาปล่อยแขนฉันด้วยค่ะ เจ็บ!” มนตร์ลดากระแทกเสียงบอกเมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มของตนเองนิ่งอึ้งไปชัวขณะพร้อมทั้งอาศัยจังหวะนั้น สะบัดแขนของตนเองออกจากการเกาะกุมทันที

อเตต้าร์เบ้ปากตัวเองเล็กน้อยเดินตามร่างอรชนเข้าไปด้านในทันที ส่วนแรกที่ทุกคนได้เห็นคือห้องกระจกที่มีนักวิจัยหลายสิบชีวิตกับอุปกรณ์วิทยาศาสตร์หลายอย่างก็ปรากฏให้เห็น

“ส่วนนี้จะแปลกตาสักหน่อยกับผู้ที่ได้มีโอกาสมาพบเห็นค่ะ เป็นห้องทดลอง ทดสอบคุณภาพของไวน์เซฮา เดอ ชาโต การบ่มไวน์ที่ได้มานั้นรสชาติย่อมไม่เหมือนกันทุกขวดเพราะเพียงแค่ผลผลิตองุ่นที่ห่างกันเพียงไม่กี่ตารางเมตรนั้น ดินก็จะให้รสชาติของผลผลิตที่ไม่เหมือนกันค่ะ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมีการทดสอบคุณภาพของไวน์เพื่อให้ไวน์ทุกขวดมีรสสัมผัสเดียวกันค่ะ” หญิงสาวบุคลิกเซ็กซี่ตามสไตล์สาวบราซิลเลียนตอนใต้ทำหน้าที่อธิบายรายละเอียดให้ทุกคนได้รู้ “ในส่วนนี้จะถ่ายทำได้ตามสบายนะคะ แต่เราขอสงวนสิทธิ์ให้ถ่ายทำได้นอกห้องวิจัยเท่านั้นค่ะ”

“ไม่มีปัญหาครับ เพราะห้องกระจกนี้ใหญ่ ใสสะอาดมาก ถ่ายทำออกมาแล้วไม่มีใครรู้หรอกว่าต้องผ่านห้องกระจกอีกชั้นหนึ่ง” ผู้กำกับบอกพร้อมหันไปสั่งการให้ตากล้องบันทึกไว้หลายมุมตามที่ตนเองต้องการ

มนตร์ลดาเดินหนีจากอเตต้าร์มาสนใจอยู่กับการห้องทดลองขนาดใหญ่ที่เห็นตรงหน้า ประกอบกับทีมงานกองถ่ายที่กำลังทำงานอยู่นั้นต่างก็แบ่งหน้าที่กันทำได้อย่างคล่องแคล่วสมเป็นมืออาชีพ ทำให้คนเพิ่งเคยเห็นการทำงานเบื้องหลังเป็นครั้งแรกอย่างมนตร์ลดาอดทึ่งไม่ได้

มอร์แกนและผู้กำกับหนุ่มจึงเดินมาหาพยาบาลสาวทันที “มิ้นต์ครับ ผมอยากแนะนำให้รู้จักกับผู้กำกับโฆษณาชิ้นนี้ซักหน่อย”

อเตต้าร์ยิ้มที่มุมปากให้มิเชลที่แยกตัวออกจากมอร์แกนเดินมาหาตนเอง แต่สายตากลับจดจ้องอยู่ที่แม่คิตตี้สาวที่กำลังยื่นมือไปสัมผัสทักทายกับหนุ่มใหญ่ที่มีดีกรีเป็นผู้กำกับชื่อดัง โดยมีมอร์แกนเป็นคนแนะนำพร้อมกับมองเธอราวกับจะกลืนกิน!!

“มาร์คเป็นผู้กำกับมือฉมัง ดารานางแบบชื่อดังของฮอลีวูดที่เราเห็นอยู่ตอนนี้ก็มาจากฝีมือของมาร์คทั้งนั้นล่ะครับ” มอร์แกนกล่าวเสริม

“คุณสวยมากเลยมิ้นต์” มาร์ค ผู้กำกับโฆษณาเรียกชื่อหญิงสาวอย่างเป็นกันเองเพราะเคยทำงานกับมอร์แกน นอร์ท มาหลายทีหลายหนแล้ว หากเจ้าพ่อร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ที่นานเข้าขยายเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตคนนี้สนใจอยากเคลมผู้หญิงคนไหนก็จะใช้ความมีชื่อเสียงในวงการบันเทิงเป็นเหยื่อล่อสาวๆให้ตาโตกันทั้งนั้น จึงไม่แปลกใจและรับมุกของมอร์แกนอย่างรู้งานเพราะหญิงสาวตรงหน้านี้มีความสวยบาดจิตบาดใจเหลือเกิน “ถ้าหากว่ารับงานถ่ายโฆษณาซักชิ้นสองชิ้นคงดังเป็นพลุแตกแน่ครับ”

“อย่าชมเกินไปเลยค่ะ ดิฉันไม่สวยพอที่จะทำงานแบบนั้นได้หรอกค่ะ” มนตร์ลดาปฏิเสธพลางยิ้มตอบผู้กำกับหนุ่มที่ออกปากชมตัวเองอย่างมีมารยาท

“ไม่เกินไปหรอกครับคุณผิวสวยมากๆ ไม่ซีดเหลืองเหมือนผิวชาวเอเชียทั่วไปแล้วยังไม่ตกกระอย่างสาวตะวันตกอีกด้วย ผิวขาวอมชมพูเหมือนเพิ่งออกแดดมาใหม่ๆเลยครับ” มาร์คเอ่ยชมตามที่สายตาของตนเองได้เห็น หากเธอยอมเดินเข้ามาติดกับดักของมอร์แกนแล้วละก็ ดีไม่ดีตัวเองคงได้มีโอกาสหาความสุขกับผิวเนียนละเอียดของเธอบ้างหากมอร์แกนเขี่ยทิ้งแล้ว “นี่เป็นนามบัตรของผมครับ มีเบอร์โทรฯส่วนตัวบอกไว้ด้วย ถ้าคุณมิ้นต์สนใจงานสบายๆรายได้ดีมากๆ อย่าลืมโทรฯหาผมนะครับ”

“รับไว้เถอะครับมิ้นต์ หากไม่มั่นใจในตัวเองก็ขอให้เชื่อสายตาของมาร์คบ้างว่าเขาปั้นดารา นางแบบมาหลายคนแล้ว” มอร์แกนเอ่ยสำทับอีกแรง หากแต่มีมือหยาบใหญ่ของอเตต้าร์ที่ยืนสังเกตุการณ์อยู่ไม่ไกลนัก และได้ยินทุกบทสนทนา เอื้อมมือเข้ามาหยิบนามบัตรใบเล็กจากมือผู้กำกับหนุ่มชาวอเมริกันทันที!

“เห็นทีนามบัตรใบนี้จะไร้ประโยชน์นะเพราะยังไงๆ มิ้นต์ก็ต้องเป็นพยาบาลประจำตัวของปู่ผมอีกสี่ปีเต็ม เอาไว้ให้ถึงวันนั้นก่อนแล้วค่อยมาทาบทามก็แล้วกัน” อเตต้าร์พูดด้วยน้ำเสียงดุดันพร้อมขยำนามบัตรจนยับยู่ยี่ แล้วโยนลงถังขยะอย่างแม่นยำ!

มอร์แกนบดกรามตัวเองแน่นข่มอารมณ์โกรธไว้ทันทีเมื่อเห็นอเตต้าร์แสดงกิริยาหยาบคายจนดูไม่ให้เกียรติตนเองอย่างโจ่งแจ้ง “ฮ่า... ไม่รู้ว่าคุณมิ้นต์โชคดีหรือโชคร้ายนะครับที่มีนายจ้างดุๆแบบนี้”

“บอกตรงๆว่าผมเป็นคนงกนะเพราะทุกอย่างที่ได้มาไม่มีอะไรง่ายดาย อะไรที่เป็นของของผมหรืออยู่ในความดูแลของผมใครหน้าไหนก็มาเอาไปไม่ได้ เช่นเดียวกันกับใครที่ทำให้ผมต้องเกิดความเสียหายรับรองว่าผมคิดต้นทบดอกเบี้ยจนกระอักเลือดไปเลยเหมือนกัน” อเตต้าร์ประกาศกร้าวพลางหันไปสบตากับผู้กำกับหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า “เซฮา เดอ ชาโต ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้าหรือผับบาร์ที่คุณจะสอดส่ายสายตาหาเหยื่อ อ้อ... หานางแบบ กรุณาทำตามข้อกำหนดที่ผมวางเอาไว้ถ้ายังอยากร่วมงานกันต่อให้จบ”

“โธ่... อาร์ตี้คะ คุณจริงจังมากไปรึเปล่าคะ มิเชลก็เห็นว่ามิ้นต์สวยพอที่จะไปเป็นนางแบบให้มาร์คได้ ส่วนมาร์คพอเห็นผู้หญิงสวยสะดุดตาก็ต้องทาบทามไปตามอาชีพของเขาเท่านั้นเองค่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะละเมิดกฏที่คุณวางไว้หรอกค่ะ” มิเชลรีบไกล่เกลี่ยเมื่อเห็นว่าเรื่องจะบานปลายไปกันใหญ่ และรู้ดีว่าในตอนนี้พ่อของตนกำลังระงับอารมณ์อย่างที่สุด

“เอ่อ... ดิฉันขอบคุณมากนะคะแต่เห็นจะต้องตอบปฏิเสธเพราะยังรักที่จะเป็นนางพยาบาลอยู่” มนตร์ลดาบอก คิดว่าต้องยุติปัญหานี้ลงโดยเร็วเพราะสถานการณ์ตรงหน้านี้ชวนให้อึดอัดใจยิ่งนัก ก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ลงไปกว่านี้เสียงของทีมงานที่ทำการถ่ายทำโฆษณาอยู่ก็ดังขึ้น แจ้งว่าเก็บภาพบริเวณห้องทดลองนี้เรียบร้อยแล้ว พนักงานสาวสวยผู้ทำหน้าที่อธิบายเกี่ยวกับรายละเอียดทั้งหมดในโรงบ่มไวน์จึงเอ่ยเชื้อเชิญทุกคนเข้าไปด้านในซึ่งเป็นส่วนของโรงบ่มไวน์จริงๆ

สถานการณ์ตึงเครียดทั้งหมดจึงคลี่คลายลงเมื่อต่างทยอยกันเดินไปตามทางเดินแคบๆ ลาดชันลึกลงไปเป็นคล้ายอุโมงค์สู่ห้องใต้ดิน มนตร์ลดาต้องเดินตามการบังคับของเจ้านายปากจัดซึ่งใช้มือหาจับข้อศอกของตนเองอยู่ตลอดเวลา พลางถอนหายใจหนักๆออกมาหลายครั้งราวกับตั้งใจจะให้เจ้านายหนุ่มได้รับรู้ถึงความอึดอัดใจของตน

อเตต้าร์ไม่ยอมปล่อยมือจากข้อศอกนุ่มของคนที่ขยันส่งสีหน้าไม่พอใจมากให้อยู่บ่อยๆ ทั้งยังยักคิ้วหลิ่วตา ยั่วยวนกวนประสาท สุขใจนักหนาที่เห็นท่าทางฮึดฮัดของเธอ และสิ่งที่ทำให้พอใจเป็นที่สุดก็คือไอ้แก่ตัณหากลับและผู้กำกับสายตาทุเรศนั่นไม่สามารถตามตอแยเธอได้อีก

มนตร์ลดาเริ่มเหนื่อยกับการสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของคนเจ้าอารมณ์ข้างๆ เพราะยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งเพิ่มแรงบีบมากขึ้นประกอบกับความเย็นที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆและแสงไฟรอบตัวก็เริ่มสลัวลง เสียงเจื้อยแจ้วที่กำลังอธิบายสิ่งต่างๆรอบตัวทำให้ลืมสนใจกับมือหนาที่เปลี่ยนมาเกาะกุมต้นแขนเรียวราวกับกลัวว่าเธอจะหลงทาง

“การหมักบ่มไวน์ของเซฮา เดอ ชาโต จะควบคุมแสงแดดและอุณหภูมิอย่างเข้มงวดเพราะทั้งสองอย่างนี้จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้รสชาติของไวน์ออกมาดี หลังจากที่เราคัดองุ่นสายพันธุ์...” มีเรียมชะงักการพูดของตนเองทันทีเมื่อเจ้านายหนนุ่มที่เดินมาติดๆชิงพูดตัดหน้าขึ้นมาก่อน

“ไม่ต้องบอกรายละเอียดขนาดนั้นหรอกมีเรียม แค่เปิดไฟในโรงบ่มให้พวกเขาถ่ายทำก็พอ อ้อ... แล้วอย่าลืมตรวจเช็คภาพทุกภาพในกล้องด้วยนะ ให้เวลาซักสามสิบนาทีก็คงจะพอแล้ว” อเตต้าร์สั่งด้วยเสียงเข้มพลางหันมาบอกกับมอร์แกน “ผมอนุญาตให้ถ่ายทำได้เฉพาะบริเวณนี้เท่านั้นนะครับ คิดว่าคงจะได้ภาพที่สวยงามแล้วเพราะส่วนนี้ก็เป็นเขตหวงห้ามที่ผมไม่เคยได้อนุญาตให้ใครได้ก้าวเข้ามาก่อน เดี๋ยวจะให้มีเรียอยู่อำนวยความสะดวกให้ ผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ พรุ่งนี้เจอกันที่ออฟฟิศ”

เพียงเท่านั้นอเตต้าร์ก็เดินจากไปพร้อมกับลากร่างอรชนของมนตร์ลดาติดมือไปด้วย โดยไม่ได้สนใจความรู้สึกและสายตาเกรี้ยวกราดของมอร์แกนและมิเชลเลยแม้แต่น้อย

มอร์แกนนั้นรู้ในทันทีว่า อเตต้าร์คงจะรู้สึกกับแม่พยาบาลสาวสวยนั่นเกินสถานะเจ้านายแล้ว สายตาและความหึงหวงที่แสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งทำให้ผู้ชายด้วยกันมองเพียงแวบเดียวก็รู้ได้ว่าหากตนอยากได้พยาบาลคนสวยนี้ไปเชยชมคงต้องรับมือกับไอ้หนุ่มจองหองอเตต้าร์ก่อนใครอื่น เช่นเดียวกันกับมิเชลที่รู้ว่าตัวเองมองยัยเอเชียหน้าจืดผิดถนัดและยังไม่เคยรู้ว่าอเตต้าร์จะชอบผู้หญิงบอบบางอย่างนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แต่เมื่อได้เห็นท่าทีและสายตาดุร้ายที่แสดงออกมาของอเตต้าร์แล้ว กลับจากโรงบ่มไวน์นี่แล้วคงต้องหาทางคุยกับพ่อของตนแล้วว่าต้องหาทางจัดการกับอเตต้าร์ด้วยวิธีอื่นเสียแล้ว ลำพังจะให้เธอใช้เรือนร่าง เสน่หายั่วยวนใจอเตต้าร์คงจะเป็นไปได้ยากแล้ว ความจริงหากอเตต้าร์ยั่วง่ายกว่านี้สักหน่อยเธอก็คงไม่ขัดข้องที่จะสนุกกับความสัมพันธ์อันเร่าร้อนนั้น แต่นี่อเตต้าร์ไม่มีทีท่าว่าจะหันมาสนใจเธอเลยซักนิด แล้วมันก็ไม่ใช่วิสัยของเธอเช่นกันที่จะตามตอแยใครนานๆ มิเชลคิดอย่างเบื่อหน่ายใจ หากเวลาอันน้อยนิดที่มีอยู่ทำให้สองพ่อลูกตระกูลนอร์ท ไม่สามารถที่จะแสดงความไม่พอใจออกมาได้มากกว่านี้เพราะต้องเร่งมือเก็บภาพบรรยากาศในโรงบ่มไวน์ให้ได้มากที่สุด

 

“นี่!... ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” มนตร์ลดาแผดเสียงบอกเสียงแหลมเมื่อถูกลากเข้ามาในห้องที่มีอุณหภูมิเย็น และมืดมิดจนทำให้รู้สึกกลัวว่าจะเกิดเรื่องอัปยศขึ้นมาซ้ำรอยเดิมอีก

“ไม่ปล่อย เรื่องอะไรจะปล่อยให้ไประริกระรี้กับผู้ชายอื่น” อเตต้าร์รวบร่างระหงเข้ามาไว้ในอ้อมกอด พร้อมเค้นเสียงรอดไรฟันบอกเธอ

“เอ๊ะ! ทำไมชอบว่าให้คนอื่นเสียๆหายๆ แล้วถึงฉันจะไประริกระรี้กับใครมันก็เป็นเนื้อตัวของฉัน คุณกำลังละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอยู่ แล้วก็ปล่อยฉันได้แล้วมันเจ็บ!”

อเตต้าร์ไม่เพียงไม่ปล่อยแต่กลับรัดร่างในอ้อมกอดแน่นเข้าไปอีกราวกับจะให้เธอจมลงไปในอกแกร่งของตัวเอง พลางกับหัวเราะหึๆอย่างอารมณ์ดี จริงอยู่ว่าเขาไม่เคยชอบผู้หญิงที่พูดจาเล่นสำบัดสำนวนเพราะขี้เกียจต้องมาแปลกันให้วุ่นวาย แต่ไม่รู้ทำไมกับเธอแล้วถึงได้ชอบนัก รู้สึกสนุกอย่างบอกไม่ถูก พอใจที่ได้ยินคำด่าว่าของเธอ อยากให้เธอพยศใส่หนักๆมากกว่าที่จะให้เธอทำตัวนิ่งเงียบตีตัวออกห่างราวกับเห็นเขาเป็นธาตุอากาศไม่มีตัวตน และรับรู้ได้ว่าร่างในอ้อมกอดสั่นสะท้านเพราะความกลัว “กลัวเหรอ? ทำไมไม่ดิ้นต่อล่ะ?? ผมกำลังสนุกเลย”

“สนุกกับผีน่ะสิ!! บอกว่าให้ปล่อย!”

“เปล่า... สนุกกับคิตตี้ ทำไมไปว่าตัวเองอย่างน้าน...” อเตต้าร์ลากเสียงได้เซ็กซี่จนคนฟังขนลุกเกรียวกราว

“ปล่อยเถอะค่ะ คุณอย่าชอบแกล้งฉันนักเลย ฉันรู้ว่าคุณไม่ชอบใจฉันหรือพูดตรงๆคือไม่ชอบหน้าฉัน แต่ฉันก็บอกแล้วว่าจะเป็นฝ่ายไป คุณก็ไม่ยอมเอาเรื่องค่าชดใช้ในสัญญามาบีบบังคับ ทำให้ฉันหมดหนทางต้องอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ”

อเตต้าร์นิ่งก้มหน้าลงมองเห็นโครงหน้างดงามในความมืด ฟังเสียงใสพูดด้วยความจริงจังจนเพลินตา

มนตร์ลดาแหนหน้าขึ้นจากอกกว้างแกร่ง กล้ามองเพียงแค่ปลายคางแล้วก็หลบตาลงมามองแค่ระดับสายตาของตนเองเท่านั้น ในใจคิดว่าคงต้องจับเข่าคุยกันสักที เธอคงจะประสาทเสียวันละหลายรอบหากเจ้านายยังคงหาเรื่องไม่เว้นแต่ละวันอยู่อย่างนี้ สมองเล็กๆจึงเริ่มหาข้อต่อรองออกมา “แน่นอนว่าฉันไม่มีเงินมากพอมาจ่ายค่าเสียหายตามสัญญา ยังไงก็คงต้องทำงานอยู่ที่นี่จนครบ เอาอย่างนี้ดีไหมคะ ถ้าคุณไม่ชอบหน้าฉันนัก ฉันก็จะไม่พยายามให้คุณเห็นหน้า ฉันจะไม่มานั่งเสนอหน้าบนโต๊ะอาหารให้คุณขุ่นข้องใจ ฉันจะ...”

“หยุด!!” อเตต้าร์สั่งเสียงดุ ทำให้คนกำลังพูดอ้าปากค้างแหนหน้าสบตาด้วยความไม่เข้าใจ “หยุดคิด หยุดพูดอะไรที่ไม่เข้าท่าพวกนั้นได้แล้ว ถ้าคุณยังยืนยันที่จะทำอย่างที่ว่ามาล่ะก็ผมจะเล่นงานคุณให้หนักกว่าเดิมเชียวล่ะ!!”

“อ้าว...”

“ไม่ต้องอ้าว ไม่ต้องสงสัยอะไรทั้งนั้น เคยทำยังไงก็ทำต่อไปเหมือนเดิม ปู่สั่งยังไงก็ทำอย่างนั้น เข้าใจไหม ฮึ?...”

มนตร์ลดามองคนเจ้าอารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอยพลางพยักหน้ารับอย่างงงๆ “เอ่อ... ฉันจะออกไปข้างนอก อยากฟังมีเรียมเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับการบ่มไวน์ค่ะ”

อเตต้าร์ปล่อยร่างระหงให้เป็นอิสระพลางเดินไปเปิดไฟที่มุมห้อง “ไม่ได้ยินที่ผมสั่งมีเรียมหรือไง อยากรู้อะไรก็ถามผมนี่”

มนตร์ลดาทำตาโต ห่อปากด้วยกิริยาน่ารักโดยไม่รู้ตัวเมื่อห้องที่มืดมิดพลันมีแสงสว่างสีส้มขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้เห็นถังไม้ขนาดใหญ่ มีลักษณะทรงกระบอกป่องกลางเรียงตัวซ้อนกันอยู่ในห้องที่มีเพดานเตี้ยกว่าปกติจนเต็มห้อง มีเพียงทางเดินแคบๆขนาดสองช่วงตัวเป็นที่ว่างซึ่งตนเองยืนอยู่เท่านั้น

“ที่เห็นเนี่ยเรียกว่าถังบาริค ข้างในจะอัดแน่นไปด้วยน้ำองุ่น บ่มจนได้ที่แล้วก็จะทำให้คุณเมามายจนไม่รู้ตัวอย่างวันนั้นล่ะ แต่ความจริงแล้วแอลกอฮอร์ที่อยู่ในไวน์พวกนี้มันน้อยนิดนัก ไม่สะท้านสะเทือนคอไวน์หรอก แล้วก็จำใส่ใจเอาไว้ด้วยล่ะว่าคราวหลังน่ะอย่าได้คิดใช้เหล้าแก้ปัญหาอีก”

มนตร์ลดาหน้าง้ำ แอบทำปากขมุบขมิบลับหลังเจ้านายที่เดินนำหน้าอยู่ไม่ห่าง ก็ตอนนั้นคนมันตกใจนี่... ใครจะคิดว่าไปๆมาๆจะได้มาเห็นหน้าคนที่เกลียดแสนเกลียดล่ะ

“เอ้า... ถามมาสิ อยากรู้อะไร?? เดี๋ยวตอบให้เอง” อเตต้าร์ไม่อยากจะพูดว่าเธอเป็นเพียงคนเดียวที่เขาไม่คิดจะปิดบังว่าทำเช่นไรถึงได้น้ำหมักผลไม้ที่มีรสชาติเลิศล้ำจนเป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก

“ทำไมเพดานห้องถึงได้เตี้ยนักล่ะคะ?”

“เพราะมันเป็นการประหยัด ที่เราอยู่นี่คือชั้นใต้ดินยังมีอีกชั้นนึงที่อยู่ข้างล่าง ถ้าทำห้องที่มีเพดานเหมือนบ้านทั่วไปมันก็สิ้นเปลืองเนื้อที่โดยใช่เหตุน่ะสิ”

“ฉันเคยเห็นภาพในห้องหนังสือ บางชาโตก็ไม่ใช้ถังไม้แบบนี้แล้วนี่คะเพราะมันราคาสูงทำให้ไวน์ออกมาราคาต่อขวดแพงไปด้วย แล้วทำไมที่นี่ถึงใช้อยู่ล่ะคะ??” มนตร์ลดาถามออกไปเพราะเท่าที่ได้ยินมาราคาไวน์ของ เซฮา เดอ ชาโต แต่ละขวดนั้นแพงระยับทั้งนั้น

“ถังบาริคเนี่ยทำมาจากไม้โอ๊กใหม่ มันจะมีกลิ่นหอมของเปลือกไม้โอ๊กติดอยู่ด้วย พอเรามาบ่มไวน์ไว้กลิ่นของไม้โอ๊กก็จะแทรกซึมอยู่ในไวน์ แต่พวกที่ใช้ถังสเตนเลสหรือถังไม้อย่างอื่นเขาจะใช้วิธีตัดเอาชิ้นส่วนของไม้โอ๊กลงไปบ่มด้วย แต่คอไวน์แท้ก็จะแยกรสชาติออกว่าอันไหนบ่มจากถังบาริครึเปล่า พวกเขาถึงได้ยอมควักเงินจ่ายในราคาที่แพงกว่าไง”

มนตร์ลดาพยักหน้ารับรู้ข้อมูลที่ไม่เคยรู้มาก่อน เดินตามร่างสูงใหญ่ไปเรื่อยๆในระยะห่างพอสมควร “ความจริงอาจจะเป็นอุปาทานของมนุษย์ก็เป็นได้นะคะ”

อเตต้าร์หมุนตัวกลับมาเดินถอยหลังไปเรื่อยๆพร้อมยิ้มที่มุมปากอย่างแบดบอยมาดเถื่อนที่ทำให้สาวๆทรุดร่างกองอยู่แทบเท้า “หึ... อย่างดูถูกประสาทสัมผัสของมนุษย์สิคนสวย การชิมไวน์มันเป็นศิลปะอย่างนึงนะ มันก็เหมือนกับผู้ชายจำกลิ่นผู้หญิงของตัวเองได้นั่นแหละ บางคนอยู่กับไวน์มาทั้งชีวิตสามารถแยกกลิ่นหอมจากถังไม้โอ๊กตามพื้นที่ปลูกได้เลย”

มนตร์ลดาเบ้ปากเล็กน้อยเมื่อไม่อยากจะเชื่อนักว่ามีคนประสาทสัมผัสดีขนาดนั้นอยู่บนโลกนี้ด้วย โดยลืมความขุ่นเคืองใจต่อกันไปชั่วขณะ “เก่งอย่างงั้นเชียวเหรอคะ??!”

อเตต้าร์หยุดเดิน กอดอกจ้องใบหน้างดงามอย่างเพลินตา “ไม้โอ๊กจากฝรั่งเศส อเมริกา ฮังการี ออสเตรเลียจะมีกลิ่นหอมที่แตกต่างกันออกไปเพราะสภาพดิน แร่ธาตุในดินของแต่ละประเทศที่ไม่เหมือนกัน มันก็เหมือนกับองุ่นนั่นแหละ สายพันธุ์เดียวกันปลูกในไร่ของเราเหมือนกันก็ยังให้ผลผลิตต่างกันไปเลย บางต้นเกิดตรงไหล่เขา เนินเขา ที่ราบลุ่มแม่น้ำลักษณะดินที่แตกต่างกันจะทำให้ได้ผลผลิตและรสชาติขององุ่นที่แตกต่างกันออกไป”

“โอ้โห... แล้วถ้าเป็นอย่างนี้รสชาติของไวน์แต่ละขวดก็ต้องไม่เหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์น่ะสิคะ?”

“ช่าย... เราถึงต้องใช้วิทยาศาสตร์เข้าช่วยไง อย่างห้องทดลองที่เห็นตอนเดินเข้ามาน่ะ พวกเขามีหน้าที่เก็บตัวอย่างของไวน์แต่ละถังมาตรวจสอบคุณภาพ มันจะทำให้ไวน์คุณภาพดีที่สุดถึงมือผู้บริโภคให้สมกับราคาที่พวกเขาต้องจ่าย” อเตต้าร์มองใบหน้าเรียวงามที่พยักหน้าขึ้นลงช้าๆอย่างคนที่กำลังใช้ความคิด “ทีนี้เข้าใจรึยังว่าผมไม่ได้ค้ากำไรเกินควร ไม่ได้เป็นพ่อค้าหน้าเลือดเห็นแก่ได้”

“ฉันยังไม่ได้ว่าอย่างนั้นเลยนะคะ” มนตร์ลดาส่ายหน้าดิก

“ปากคุณไม่พูดแต่ใจคุณคิด อย่ามาปฏิเสธให้ยากเลยน่า ผมมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าคุณน่ะคิดยังไง” อเตต้าร์บอกพร้อมแสยะยิ้มอย่างรู้ทันความคิดของเธอ “ไปดูห้องเก็บไวน์ที่บรรจุขวดแล้วไหม?”

“ค่ะ” มนตร์ลดารีบรับคำอย่างรวดเร็วไม่อยากจะใส่ใจกับคำพูดต่อว่าเล็กน้อยนั่น อีกอย่างวันนี้ดูเจ้านายจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษเพราะยอมพูดจาดีด้วยมาหลายนาทีแล้ว คงจะเป็นเพราะการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาเมื่อสักครู่นี้ละมัง หญิงสาวคิดในใจพลางเดินตามร่างสูงที่เดินไปตรงมุมห้องแล้วก้าวขึ้นไปยังบันไดเหล็กแคบๆ ไปยังอีกชั้นหนึ่งพร้อมสังเกตุได้ว่าประตูแต่ละห้องมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดนัก การเปิดประตูจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่งต้องมีรหัสผ่านและยังต้องมีการสแกนนิ้วมืออีกด้วย

หลังจากที่ประตูห้องเก็บไวน์เปิดออกแล้วอเตต้าร์ก็รอให้หญิงสาวร่างอ้อนแอ้นที่เดินตามมาติดก้าวตามเข้ามาแล้วจึงปิดประตู เอื้อมมือไปกดปุ่มไฟในห้องให้มีแสงสว่างขึ้นเพียงเล็กน้อย เท่านั้นเองสองตาคมกริบก็ได้เห็นกิริยาน่ารัก ที่เธอชอบทำโดยไม่รู้ตัว

อาการทำตาโต ห่อปากสีเชอร์รี่อย่างน่ารักนั้นมันสามารถตรึงสายตาคมกริบให้หลงวนอยู่เสมอ มนตร์ลดามองชั้นไม้ที่สูงจากพื้นจรดเพดาน แต่ละชั้นจัดเรียงขวดไวน์สีเขียวเข้มอัดแน่นเต็มทุกชั้นอยู่ภายในห้องขนาดใหญ่ที่มีอุณหภูมิเย็นพอสมควร มันทำให้คนใส่เสื้อเชิ้ตเนื้อเบาสบายถึงกับต้องยกมือขึ้นมาลูบแขนตัวเองขึ้นลงเร็วๆคลายความเย็นลง

กริ๊ง... กริ๊ง... กริ๊ง...

มือเรียวรีบควานหาโทรศัพท์จากระเป๋ากางเกงยีนส์เข้ารูปของตนออกมาทันที่ที่ได้ยินเสียงเรียกเข้าดังขึ้น

“สวัสดีค่ะปาโต้” มนตร์ลดาเอ่ยทักทายอย่างอารมณ์ดีเมื่อหนาจอโชว์ว่าคุณหมอปาโต้โทรฯเข้ามาหา

“คุณอยู่ที่ไหนกันมิ้นต์ ทำไมโทรฯหายากมาก ไม่มีสัญญาณเลย ขนาดตอนนี้ผมยังได้ยินเสียงคุณไม่ชัดเลย” ปาโต้ถามทันทีเพราะต้องกดต่อสายหาเธออยู่หลายครั้งกว่าจะมีสัญญาณ

“อ๋อ... มิ้นต์อยู่ห้องใต้ดินน่ะค่ะ คงจะไม่ค่อยมีสัญญาณ คุณมีอะไรรึเปล่าคะ?” มนตร์ลดาถาม แล้วต้องหันหลังให้คนเจ้านายที่เสียมารยาทยืนฟังคนอื่นคุยโทรศัพท์ทันที

“วันนี้ช่วงบ่ายคุณว่างไหม พอดีว่าเจ้าเบเนโต้จะแสดงละครที่โรงเรียน แรกๆก็ไม่มีอะไรพอวันนี้กลับงอแงอยากให้คุณไปดูแกแสดงด้วยกัน บ่นว่าเพื่อนๆมีทั้งพ่อแม่ไปด้วย นี่ผมก็แค่โทรฯมาเพราะขัดใจแกไม่ได้เท่านั้นนะ นั่งคุมอยู่ข้างๆเนี่ย แต่ถ้ามิ้นต์ทำใจลำบากก็ไม่เป็นไรนะ ผมเข้าใจ” คุณหมอปาโต้อธิบายพลางส่ายหน้าให้ลูกชายจอมซนที่ยืนเท้าสะเอวคุมอยู่ข้างๆ

“อืม... ต้องขออนุญาตคุณท่านดูก่อนนะคะแต่คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร”

“ลำบากใจรึเปล่ามิ้นต์ เดี๋ยวผมจะลองพูดกับเบเนโต้ดูอีกทีก็ได้” ปาโต้ย้ำถามอีกครั้งเพราะกลัวว่าหญิงสาวจะลำบากใจ

“โธ่... ลำบากใจที่ไหนคะ เบเนโต้น่ารักออก แกคงอยากมีแม่เหมือนเพื่อนๆนั่นแหละค่ะ ฉันก็เต็มใจด้วยมีลูกน่ารัก พูดเก่งอย่างแกก็คงดี”

คำพูดหัวเราะต่อกระซิกของมนตร์ลดาทำให้อเตต้าร์เดือดจัดขึ้นมาทันที หน็อย! ผู้หญิงบ้าๆอย่างนี้ก็มีด้วย พูดมาได้ไม่อายว่าเต็มใจอยากเป็นแม่ของเด็กบ้านั่น เธอคงจะเต็มใจอยากเป็นเมียไอ้หมอนั่นจนตัวสั่นล่ะสิ!! ผัวตัวเองยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้จะพูดจะจาอะไรไม่เคยให้ความเกรงใจกันเลย!??

สองหูยังได้ยินเธอนัดแนะเวลามารับกันเสร็จสรรพ เสียงหัวเราะคิกคักของเธอทำไมมันถึงได้ทำให้เขาอารมณ์เสียได้ขนาดนี้นักนะ อะไรมันจะเสน่ห์แรงขนาดนี้เมื่อกี้เขาเพิ่งกันมอร์แกนออกจากเธอได้ ไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำเธอกลับไปนัดแนะกับผู้ชายอีกคน ซ้ำยังบอกว่าเต็มใจจะไปเป็นแม่ของลูกมันด้วย ให้ตายซิ!!

มนตร์ลดากดปุ่มวางสายแล้วยัดโทรศัพท์เข้าไว้ในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิมพลางหมุมตัวกลับมาหาเจ้านายอีกครั้ง ก็ต้องพบกับสายตาเกรี้ยวกราด สีหน้าดุกร้าวอย่างที่ไม่เคยลืมเลือนจนทำให้ต้องก้าวถอยหลัง สัญชาตญาณที่มีอยู่ในตัวบอกให้รู้ว่าเวลานี้ไม่ควรอยู่ใกล้ผู้ชายแสนอันตรายคนนี้เด็ดขาด

“อยากเป็นเมียไอ้หมอปาโต้จนตัวสั่นหรือไง ห๊ะ?? ถึงได้เสนอตัวไปเป็นแม่ของลูกมันหน้าไม่อายแบบนั้น??” อเตต้าร์ตวาดถามเสียงดัง สาวเท้าเข้ามารวบตัวคนที่หันหลังวิ่งหนีไปได้ไม่กี่ก้าวเอาไว้ในอ้อมกอดได้ทันที เสียงกรีดร้องเพราะความตกใจ อาการดิ้นรนไม่หยุดของเธอไม่ได้ทำให้คนเถื่อนสะท้านสะเทือน

“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ คุณเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก มาจับฉันไว้ทำไม?” มนตร์ลดาตะโกนบอกพลางมองแขนแกร่งที่รัดหน้าท้องตนเองอย่างแน่นหนา

“หยุด!! อย่าดิ้นได้ไหม?” อเตต้าร์บอกพร้อมจัดการรวบแขนเรียวทั้งสองข้างให้ไขว้กันไว้ด้านหลังด้วยมือเพียงข้างเดียว แต่ก็ไม่ได้ทำให้อาการต่อสู้นั้นลดลงสักนิด สองเท้าที่สวมด้วยบูตส้นสั้นยังทำร้ายหน้าแข้งแกร่งของเขาได้เป็นอย่างดี อเตต้าร์จึงปลดเข็มขัดของตัวเองแล้วมัดข้อมือสองข้างไว้อย่างรวดเร็ว หัวเราะหึๆกับคำบริภาษที่พรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย เมื่อจัดการมัดเธอไว้ด้วยเข็มขัดที่ถอดออกจากหัวกางเกงของตนเรียบร้อยแล้วจึงพลิกร่างอ้อนแอ้นเข้าหา ดันแผ่นหลังบอบบางให้ติดกับผนังห้องกักขังเธอไม่ให้ดิ้นหลุดทุกวิถีทาง

“อย่านะ! อย่าทำอะไรฉันนะ!!” มนตร์ลดาบอกเสียงตื่นกลัวสุดขั้วหัวใจ เพราะเหตุการณ์ที่เผชิญอยู่นี้ย้ำเตือนให้นึกถึงวันที่เขาได้พรากความสาวขึ้นมาทันที “ถ้าคุณทำอะไรฉันอีก ฉันจะแจ้งความ ฉันจะบอกคุณปู่ให้จัดการกับคุณ”

“น่ากลัวจังเลยคิตตี้ อยากลองเหมือนกันว่าถ้าผมสอดแทรกเข้าไปในร่างสวยๆของคุณอีกครั้งล่ะก็ คุณจะทำอย่างที่ขู่จริงๆไหม รู้รึเปล่าเวลาตำรวจซักน่ะ เขาจะถามละเอียดทุกขั้นตอนแล้วถ้าคิตตี้เล่าไปว่าเผลอร้องครวญครางออกมาล่ะก็ ตำรวจคงเข้าใจไปว่าเราทำรักกันรุนแรงไปหน่อยจนคุณหลงไปแจ้งความ ทีนี้ล่ะได้อายเขาตาย” พูดจบก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

“ฝันไปเถอะ!! ไม่ผู้หญิงคนไหนชอบการกระทำหยาบคาย ต่ำช้าอย่างคุณหรอก!”

“งั้นไอ้หมอปาโต้มันคงหยาบคายมากกว่าผมอีกสินะ มันถึงได้มีลูกออกมาเดินเพ่นพ่านเรียกหาผู้หญิงของคนอื่นไปเป็นแม่มันได้” อเตต้าร์เบียดร่างของตัวเองเข้าหาร่างนิ่มนุ่มอย่างยั่วโมโห

“ฉันยังเป็นตัวของตัวเอง ไม่เคยได้ไปเป็นผู้หญิงของใคร อย่ามาทำตัวเป็นหมาหวงก้างแถวนี้นะ”

“ลืมแล้วหรือยังไงว่าผมเป็นผัวคนแรก” อเตต้าร์แค้นเสียงถาม ข่มอารมณ์โมโหไว้อย่างที่สุด พลางคิดในใจว่าให้ตายสิ!! ทำไมแม่คิตตี้ถึงได้ชอบก่อกวนอารมณ์ขุ่นมัวใจเขานัก

ตุ๊บ!...

อเตต้าร์ถึงกับหน้าหงาย!! เมื่อไม่ทันระวังตัวแม่คิตตี้คนงามก็ใช้หัวโขกเข้าที่บริเวณจมูกของตนอย่างแรง เล่นเอาหน้ามืดไปชั่วขณะ

“สมน้ำหน้า โดนซะบ้าง หยาบคายดีนัก!” มนตร์ลดามองคนเถื่อนที่สะบัดหัวเร็วๆอย่างสะใจ “คุณหมอปาโต้เขาเป็นสุภาพบุรุษเข้าอกเข้าใจคนอื่น แล้วมันเรื่องอะไรที่คุณต้องมาอารมณ์เสียใส่ฉันแบบนี้ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”

ดวงตาสีเขียวของอเตต้าร์ขุ่นมัว หรี่มองเธอด้วยความโกรธ “ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าทำร้ายร่างกายผมอีกล่ะก็ คุณต้องชดใช้”

เพียงเท่านั้นอเตต้าร์ก็บดจูบลงริมฝีปากอวบอิ่มที่กำลังเผยออ้าเถียงทันที จูบหนักๆที่ตั้งใจมอบให้เพราะอยากให้เธอได้รับความเจ็บปวดกลับคืนบ้างนั้นกลับพังครืนลงไม่เป็นท่า เพียงแค่ลิ้นหยาบใหญ่ได้สัมผัสกับความหอมหวานในโพรงปากนุ่มมันก็ทำให้ชายหนุ่มลดความดุดันลงไปในเวลาชั่วพริบตา ลิ้นนุ่มละมุนเงอะงะไม่รู้จุดหมายปลายทาง ยิ่งทำให้ใจหนุ่มฮึกเหิมเพราะสัมผัสได้ว่าเธอยังไม่เคยมีใครมาฝึกปรือเรื่องเหล่านี้ให้ต่อจากเขาเอง

“อื้อ...” มนตร์ลดานิ่วหน้าเพราะความเจ็บที่กระแทกลงมาทำให้ริมฝีปากด้านในกระทบกันฟันแข็งๆ แต่เพียงชั่วครู่ก็ต้องรู้สึกโหวงเหวงในช่องท้องเมื่อลิ้นหนาสอดแทรกเข้ามาเกี่ยวกระหวัดไปทั่วโพรงปาก ทั้งยังรุกไล่ นำทางจนสมองมึนงงต้องทำตามความเจนจัดของคนที่ปล้นจูบอย่างศิโรราบ มึนงงจนไม่รู้ตัวว่าบัดนี้กระดุมเสื้อเชิ้ตตัวบางเบาของตนเองนั้นกระดุมหลุดออกจากรังดุมแล้วทุกเม็ด!!

นานเท่านานจนอเตต้าร์พึงพอใจฝ่ามือหนาสอดเข้ามาสัมผัสเนื้อนวลเนียน มีเพียงบราเซียร์สีหวานเท่านั้นปกปิดความอวบใหญ่ที่ฝันหามาตลอดเดือน จมูกและปากร้ายกาจยังคงเลื่อนไล้ไปตามแก้มนุ่ม โครงหน้างดงามเรื่อยมาจนถึงลำคอระหง ดูดดุนเนื้อผ่อง ตั้งใจฝากรอยรักเตือนใจให้เจ้าของร่างได้รับรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงของเขาเพียงผู้เดียว

มนตร์ลดาหอบหายใจหนักมากขึ้นเมื่อรับรู้ได้ถึงความเสียวซ่านที่เกิดขึ้น มันทำให้สติอันดีเยี่ยมหดหายไปทันตา หยัดตัวเข้าหาผ่ามือหยาบกร้านร้อนระอุด้วยความไม่รู้ตัว ปากบางเฉียบใช้ฟันกัดริมผ้ากรวยสีหวานดึงมันลงมาเพียงข้างเดียว ยอดทรวงงดงามก็ปรากฏให้เห็นในทันที อเตต้าร์ไม่รีรอที่จะครอบครองความงดงามนั้นไว้ในปาก มันเหมือนเวลาแห่งการรอคอยอันยาวนานจบสิ้นลงเสียที

“โอ... ฉะ...ฉัน!” มนตร์ลดาพูดไม่ออกเมื่อแรงดูดมหาศาลที่ได้รับมานั้นมันมีผลทำให้โลกพลิกกลับ เข่าอ่อนไร้แรงต้านทาน ความชื้น ร้อนระอุที่ดูดดึงอยู่ช่วงอก สองมือที่ฟอนเฟ้นร่างกายทำให้ต้องหลับตาลง วางศรีษะลงกับผนังห้อง แอ่นอกขึ้นตอบรับความรู้สึกเสียวซ่าน สะท้านทรวงทันที

“คนทั้งโลกคงหยาบคายอย่างนี้รึเปล่าถึงได้มีลูกหลานสืบพันธุ์ออกมาจะล้นโลกอยู่แล้ว ผมหยาบคายจนทำให้คุณครางได้แบบนี้แล้วจะไปบอกตำรวจยังไงกันคิตตี้ ฮึ?...”

คำถามที่ดังขึ้นในความเงียบงันสามารถเรียกสติที่ไม่หลงเหลืออยู่ให้กลับคืนมาได้เป็นอย่างดี คำถามที่เหมือนโดนตบหน้าเข้าฉาดใหญ่ เพราะปากพร่ำต่อว่ามาตลอดแต่พอเขาเริ่มแสดงลีลาเจนจัดใส่ไม่กี่นาทีเธอก็โอนอ่อนผ่อนตามอย่างง่ายดาย

“แต่สิ่งที่คุณเคยทำกับฉันมันคือความอัปยศ มันคือความอดสูใจ มันความรู้สึกอับอายที่ลูกผู้หญิงคนนึงได้รับ”

เสียงเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจของเธอทำให้อเตต้าร์หยุดชะงักการกระทำทั้งมวลลง เงยหน้าขึ้นมามองใบหน้างดงามหากแต่เฉยเมย ทั้งยังมีน้ำตาไหลออกมาจากสองตาไม่ขาดสายแต่กลับไม่มีเสียงสะอื้นไห้แม้แต่น้อย

มนตร์ลดาทรุดตัวลงนั่งพับเพียบกับพื้นห้องทันทีเมื่อไม่มีอ้อมแขนแข็งแรงพันธนาการไว้ ทั้งพยายามห่อไหล่สองข้างเข้าหากันเพราะไม่อยากเปิดเผยเนื้อตัวของตนเองให้คนที่ดูถูกเธอได้เห็น แต่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้เพราะแขนทั้งสองข้างยังถูกมัดไว้ข้างหลัง

อเตต้าร์ทรุดตัวนั่งลงข้างๆ แต่เธอกลับเอี้ยวตัวหนีมาอีกข้างหนึ่งกิริยารังเกียจที่ได้รับนั้นทำให้ความตั้งใจดีๆจะสวมเสื้อผ้าให้เธอดังเดิมพังคลืนไม่เป็นท่า “เรื่องแค่นี้ทำไมต้องร้องไห้ด้วย?”

มนตร์ลดากัดฟันตัวเองแน่นเมื่อได้ยินว่าการถูกขืนใจเป็นเรื่องเล็กน้อย “ลองมาเป็นฉันดูไหมล่ะ อยากรู้นักว่าคุณจะพูดอีกรึเปล่าว่ามันเป็นเรื่องแค่นี้”

อเตต้าร์ชักสนุกชอบใจทุกครั้งเวลาที่เธอมักทำประโยคคำตอบให้เป็นประโยคคำถามไปในตัว จึงล้มตัวลงนอนหนุนตักนิ่มหน้าตาเฉยเสียเลย พอเธอดิ้นไม่ยอมก็เปลี่ยนเป็นชันตัวขึ้นมาเผชิญหน้าใช้ท่อนแขนกดหน้าขาเรียวไว้ ใช้ฝ่ามือค้ำศรีษะมองใบหน้างดงามและร่างเปลือยยอดอกข้างเดียวอย่างเพลินตา “หมายถึงให้คุณเป็นฝ่ายเริ่มจู่โจมผมหรือคุณอยู่ข้างบนน่ะเหรอคิตตี้ คุณหัวไวอย่างนั้นเชียว แอบไปอ่านหนังสือโป๊ของผมมาล่ะสิ??”

“ไอ้...”

“อ๊ะๆๆ คิดดีแล้วเหรอว่าจะด่าผม ลืมแล้วหรือไงว่าคุณด่าผมจูบ คุณตบผมดูด คุณต่อยผมปล้ำ” อเตต้าร์บอกอย่างอารมณ์ดีเพราะตอนนี้วิวตรงหน้าสวยงามเหลือเกิน ผู้หญิงปากเจ่อน้อยๆ สวมเสื้อไม่ติดกระดุมซักเม็ด! แถมยังเปลือยยอดอกข้างหนึ่งอย่างอารมณ์ดี เธอเซ็กซี่ขาดใจ ผิวเนื้อเริ่มเป็นสีชมพูเข้ม รอยคิสมาร์กที่จงใจสร้างไว้ก็แดงเป็นเปื้อนใหญ่ได้สมใจดีจริงๆ

“ขอร้องปล่อยฉันเถอะค่ะ ฉันอายนะ ฉันโป๊อยู่!!” มนตร์ลดาพูดทั้งอยากร้องไห้ เมื่อไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย ไม่มีทางอื่นนอกจากการร้องขอให้เขาเห็นใจ “ขอร้องสวมเสื้อให้ฉันก่อน”

ตอนแรกก็คิดอยากแกล้งให้หนักกว่านี้ แต่พอได้ยินเธอพูดด้วยดีๆและน้ำตาที่ไหลรินออกมาไม่ขาดสายก็ทำให้เกิดความรู้สึกสงสารจนใจหายไปเลยทีเดียว มือหนาจึงดึงบราเซียร์จัดให้เข้าที่เข้าทางเช่นเดิม “อย่างนี้สิถึงจะพูดกันรู้เรื่อง พูดจาดีๆรับรองว่าผมไม่ใจร้าย”

มนตร์ลดากัดฟันแน่น ก้มลงมองมือที่ค่อยๆดึงบราเซียร์ของตัวเองขึ้นอย่างเชื่องช้าจนน่าโมโห แล้วล้มตัวลงหนุนศรีษะได้รูปบนตักตัวเองทันที “เดี๋ยวสิ ติดกระดุมเสื้อให้ฉันด้วย”

อเตต้าร์หลับตาทำหูทวนลมทั้งที่ได้ยินคำพูดของเจ้าของตักที่ตนนอนหนุนอยู่อย่างชัดเจน “เดี๋ยวตื่นขึ้นมาแล้วจะติดให้ ตอนนี้ผมง่วง”

“ไม่ได้นะ!! ก็บอกแล้วว่าฉันอาย อีกอย่างคุณง่วงก็กลับไปนอนที่บ้านสิ จะมานอนตรงนี้ได้ยังไง ฉันมีธุระนะ!!” มนตร์ลดาเริ่มโวยวายเมื่อเห็นว่าไอ้คนอารมณ์ขึ้นๆลงๆจะหลับไปจริงๆ “นี่คุณ... จะหลับไปได้ยังไงฉันหนักนะ แล้วฉันก็มีธุระด้วย”

“ถ้าจะไปเป็นแม่ให้ไอ้เด็กนั่นล่ะก็ฝันไปเถอะ ผู้หญิงมันหมดโลกแล้วหรือยังไงถึงต้องเจาะจงว่าต้องเป็นคุณเท่านั้น”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยล่ะ ฉันบอกว่าลุกขึ้นไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วย ฉันจะร้องกรี๊ดๆให้คุณหลับไม่ลงเลย กรี๊ด... กรี๊ด... ช่วยด้วย... กรี๊ด...” มนตร์ลดาร้องเสียงดังก่อกวนดิ้นเต็มที่ ไม่ให้เขาหลับไปอย่างสงบ หากแต่ต้องหวีดร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อคนตัวโตพลิกตัวหันหน้าเข้าหา สอดแขนทั้งสองข้างรัดเอวคอดกิ่ว ซุกทั้งใบหน้าเข้ากับหน้าท้องเปลือยเปล่าแบนราบ พลางส่งเสียงขู่อู้อี้ที่ทำให้มนตร์ลดาเงียบเสียงลงได้ในทันตา

“ต่อไปนี้ห้ามไปไหนกับไอ้หมอปาโต้ทั้งนั้น ห้ามยุ่งกับผู้ชายหน้าไหนอีกถ้ายังไม่เชื่อหรือมีเถียงอีก จะจูบต่ำกว่านี้!!”

คำขู่กับท่าทางคุกคามน่ากลัวจนทำให้มนตร์ลดาตัวแข็งทื่อ เคราสั้นๆที่เริ่มผุดออกมาตามแนวคางคร้ามทิ่มเข้ากับหน้าท้องของตนทำให้พูดไม่ออกบอกไม่ถูก “อเตต้าร์คุณจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ฉันไม่ใช่ของเล่นที่คุณจะมาทำรุ่มร่ามได้ตามใจชอบแบบนี้ ฉัน... โอ!!”

อเตต้าร์ตวัดลิ้นซอกซอนที่สะดือสวยน่ารัก เสียงครางตกใจและเงียบไปในทันทีทำให้ชายหนุ่มยิ้มพราย เธอเข้าใจแล้วว่า เขาไม่ได้ขู่แต่จะทำตามที่พูดทุกอย่างเลยทีเดียว สัมผัสเนียนนุ่ม หอมกรุ่นที่ซุกซบอยู่นี้มันให้ความสุขใจเหลือเกิน ยอมรับล่ะว่าหวงจนหน้ามืดตาลายเพียงแค่ได้ยินว่าเธอจะออกไประริกระรี้กับผู้ชายอื่น การได้กอดเธอไว้และหลับตาลงอย่างนี้มันเหมือนกับได้พักผ่อนจริงๆอย่างในชีวิตลูกผู้ชายคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่มาแล้วทุกรูปแบบไม่เคยได้รู้สึกมาก่อน

มนตร์ลดาก้มลงมองใบหน้าผู้ชายแสนเกลียดที่รู้ได้ว่าเขาหลับไปจริงๆอย่างเจ็บใจ ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากันหากไม่ได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจจากคำพูดเจ็บแสบของเขาก็ต้องเจ็บใจตัวเองที่ต้องตกเป็นทาสอารมณ์ให้เขาหาเศษหาเลยได้ คำขู่ห้ามที่ไม่ให้คบหากับผู้ชายอื่นทำให้เกิดความสงสัย งงงัน เขาทำยังกับว่าหึงหวงในตัวเธอหนักหนา ทั้งที่เคยประกาศกร้าวว่าลองกับเธอแค่ครั้งเดียวกับเต็มกลืนแล้ว

คุณพระช่วย!! หยุดความคิดนั้นไว้เดี๋ยวนี้นะมนตร์ลดา เขาจะไปหึงหวงเธอได้ยังไงกันในเมื่อเขามีผู้หญิงมากหน้าหลายตาเข้ามาพัวพัน วันนั้นก็ยังเคยเห็นเขาจูบกับมิเชลที่ระเบียง ที่ทำอย่างนั้นเขามันก็แค่หมาหวงก้างเท่านั้นล่ะ หึ... ทำไมถึงได้รู้สึกเจ็บปวดนักนะ เวลาที่คิดว่าตัวเองเป็นได้แค่ก้างไม่มีค่า ไม่มีราคาที่เขาหวงไว้เท่านั้น ท่องเอาไว้ซิว่าเขามันคือคนเถื่อน หยาบกระด้างที่พรากความสาวไปอย่างได้คิดมีใจโอนอ่อนผ่อนตามสัมผัสวาบหวามที่เขาชอบมอบให้

มนตร์ลดาคิดอย่างเจ็บปวดใจ ตอนนี้ความเจ็บปวดร่างกายก็เริ่มตามมาด้วยเช่นกัน อากาศในห้องเก็บไวน์ที่หนาวเย็นราวสิบองศาเซลเซียส ทั้งยังนั่งอยู่ในแนวตรงที่เครื่องปรับอากาศเป่าลมออกมา เสื้อผ้าก็สวมใส่ไม่เรียบร้อย อาการเหน็บชาที่ขาทั้งสองข้างจากการนั่งในท่าเดิมเป็นระยะเวลานานก็เริ่มเข้ามาก่อกวนหากแต่ทำอะไรไม่ได้เลยเพราะคนตัวโตกว่าสองเท่าโถมตัวทับช่วงขาไว้อยู่เช่นนี้!!!

 

อาการสั่นสะท้านจากร่างนวลเนียนที่กอดอยู่ปลุกให้อเตต้าร์ตื่นจากห้วงความฝันอันแสนสุข ศรีษะได้รูปผงกหัวขึ้นจากหน้าท้องแบนราบ เพียงเท่านั้นก็ได้ยินเสียงครางด้วยความเจ็บปวดลอดออกมาจากปากอิ่มที่เผยอน้อยๆอยู่ทันที

“ชิบหายเอ๊ย!!” อเตต้าร์สบถออกมาอย่างหยาบคายพลางชันตัวลุกขึ้น นี่เขาเผลอหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่แม่คิตตี้คนงามกำลังมีไข้เพราะนั่งสวมเสื้อไม่ติดกระดุมซักเม็ดหันหน้าประทะกับลมเย็นของเครื่องปรับอากาศ มือหนาของอเตต้าร์รีบจัดการติดกระดุมเสื้อให้เธออย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงดึงขาเรียวที่นั่งพับเพียบออกเตรียมจะอุ้มเธอขึ้นแต่กลับได้ยินเสียงโอดครวญอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส

“เจ็บ... เจ็บขา”

อเตต้าร์อยากโขกหัวตัวเองกับผนังแรงๆนัก ตัวโตยังกับตึกแต่มานอนทับขาของเธออยู่นาน แน่นอนล่ะว่าเธอเป็นเหน็บชาบวกกับอากาศเย็นจัด ตอนนี้เธอคงรู้สึกเหมือนมีเข็มเล็กๆนับหมื่นเล่มทิ่มแทงร่างกายช่วงล่างอยู่แน่นอน พร้อมตัดสินใจช้อนร่างอ้อนแอ้นที่ตัวสั่นงันงกขึ้นไว้ในอ้อมแขนทันที เดินเร็วจนแทบจะวิ่งออกจากห้องเก็บไวน์พลางก้มลงมองใบหน้าแดงก่ำที่เพ้อเพราะฤทธิ์ไข้!

“ไมนาสๆ แกอยู่ไหนวะ ไอ้ไมนาส... เอารถออก” อเตต้าร์ตะโกรเรียกลูกน้องมือขวาเสียงดังกระหึ่มทันทีที่เดินออกมาถึงบริเวณด้านหน้าของโรงบ่มไวน์ “อดทนนะที่รัก... ผมขอโทษ”

ไมนาสทำตาโตจนแทบจะถลนออกมานอกเบ้าตาเพราะไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน เจ้านายหนุ่มมีอาการร้อนรนใจถึงเพียงนี้ ทั้งยังไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดคุณพยาบาลสาวผู้ร่าเริงถึงได้มีอาการเพ้อจนต้องอุ้มออกมาแบบนี้ทั้งที่ตอนเดินเข้าไปก็ปกติดีทุกอย่าง

“ไอ้เลว! แกจะยืนดูฉันอีกนานไหม บอกให้เปิดประตู” อเตต้าร์ตวาดอีกครั้งพลางพาร่างสั่นเทาเข้ามาวางที่เบาะหลัง “กลับบ้านให้เร็วที่สุดไมนาส”

ไมนาสบึ่งรถกระบะบิ๊กฟุตสองตอนที่ใช้งานในไร่องุ่นขับเข้าสู่เส้นทางหลักซึ่งมุ่งตรงสู่คฤหาสน์โอลีเวย์ร่าทันที พลางลอบมองกระจกมองหลังอย่างไม่เชื่อสายตา

อเตต้าร์กอดร่างสั่นเทาที่เริ่มจะรู้สึกตัวและดิ้นหนีเข้ากับอกแน่นๆ พร่ำขอโทษเพราะรู้ตัวเองดีว่าเธอคงจะโกรธมากที่ทำให้ต้องมีสภาพเช่นนี้

“ปะ...ปล่อย คนใจ ร้าย...” มนตร์ลดาละล่ำละลักบอกด้วยความยากลำบาก หากต้องอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นที่ขยันทำร้ายตัวเองต่อไปอย่างไม่มีแรงสู้

“ขอโทษคิตตี้ ผมเผลอหลับไป ไม่คิดว่าคุณจะเป็นไข้ ขอโทษ... ผมขอโทษ...”

โอมายก๊อด!!!... ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้เพิ่งเคยได้ยินเจ้านายพูดคำว่าขอโทษใครภายในประโยคเดียวนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งยังบดจูบที่หน้าผากเธอซ้ำไปซ้ำมาอีกด้วย ท่าทางอ่อนโยนแบบนี้มันเป็นกิริยาที่ไม่คิดว่าเซญอร์อเตต้าร์บุรุษเถื่อนผู้หยาบกระด้างจะแสดงมันออกมา ไมนาสคิดอย่างอัศจรรย์ใจพลางเร่งความเร็วให้เพิ่มขึ้นตามคำสั่งของเจ้านายที่นั่งร้อนใจอยู่เบาะหลัง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา