มลทินปรารถนา

-

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.58 น.

  8 ตอน
  1 วิจารณ์
  11.00K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 21.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) มลทินปรารถนา ตอนที่ 5 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ราวสิบนาทีต่อมา... นีราภาก็วิ่งกลับลงมายืนหอบฮักๆอยู่ตรงหน้าคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตารับประทานอาหารอย่างไม่ทุกข์ร้อนด้วยความโมโห

                “โทรศัพท์ฉันอยู่ไหน เอาคืนมาเดี๋ยวนี้นะ”

                ทัตเทพหรี่ตามองผู้หญิงที่ตวาดแว๊ดๆใส่ตนอย่างเอาเรื่องด้วยความชอบใจ “โทรศัพท์เธอก็ต้องอยู่กับเธอ มาถามฉันได้ยังไง?”

                นีราภากัดริมฝีปากล่างของตัวเองจนเจ็บ มือบางกำแน่นจนเล็บจิกกับฝ่ามือ “อย่าคิดนะว่าแค่เสื้อผ้ากับโทรศัพท์จะทำให้ฉันไม่มีทางไป วันนี้ฉันสูญเสียหลายสิ่งในชีวิต ถ้าหากออกไปในสภาพนี้แล้วมันจะตกนรกทั้งเป็นอีกครั้งมันจะเป็นไรไป แต่ฉันขอให้คุณรู้สึกผิดที่ทำกับฉันอย่างนี้ไปจนวันตาย”

                จบคำพูดร่างระหงก็วิ่งออกไปจากห้องอาหารอย่างไม่คิดชีวิต จุดหมายปลายทางคือประตูใหญ่ที่เดินเข้ามาเมื่อหลายชั่วโมงที่แล้ว หากแต่ตอนนี้มันปิดไว้อย่างแน่นหนา ไม่ว่าจะดึง กระชากจนสุดแรงก็ไม่สามารถเปิดออกได้ กระจกใสบานใหญ่ที่มองออกไปด้านนอกก็เห็นเพียงความมืดมิดยามราตรีที่ตัดกับแสงไฟสว่างไสวในสวนหน้าบ้าน

                “ช่วยด้วย... ช่วยด้วย ใครก็ได้มาเปิดประตูให้ฉันที ช่วยด้วย!” นีราภาตะโกนก้อง วิ่งไปทุบประตูแล้วก็วิ่งไปทุบกระจกบานใหญ่อยู่หลายครั้งโดยที่ไม่รู้ว่าการกระทำของตนนั้นอยู่ในสายตาของทัตเทพตลอดเวลา “ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยเปิดประตูให้ฉันด้วย”

                “คนที่เปิดประตูบานนี้ได้มีเพียงแค่ฉันคนเดียว และขอแนะนำให้เธอปฏิบัติตามคำสั่งของฉัน ถ้าจะให้ดีก็มาซุกที่อก ออดอ้อนออเซาะ พูดเพราะๆหวานๆ บางทีฉันอาจจะใจอ่อนก็ได้” ทัตเทพค่อยๆสาวเท้าเข้าไปหาร่างงดงามอย่างมั่นคง หากแต่ปิฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของเธอก็ทำให้คนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเกือบหน้ามืดไปเช่นกัน

                ร่างระหงคุกเข่าลงกับพื้น อ้อนวอนขอร้องด้วยน้ำเสียงและแววตาน่าสงสารเพราะคิดว่าหากใช้ไม้แข็งไม่ได้ผล ก็ควรที่จะลองใช้ไม้อ่อนดูบ้าง “ขอร้องล่ะนะ... คุณได้ทุกอย่างไปจากฉันหมดแล้ว ฉันไม่มีอะไรที่จะเสียมากกว่านี้อีกแล้ว คุณก็รู้ว่าฉันไม่ได้ขายตัว ไม่ได้เป็นผู้หญิงอย่างว่าเพราะฉะนั้นไม่ต้องมารับผิดชอบอะไรในตัวฉัน ถ้าไม่อยากทำลายชีวิตฉันไปมากกว่านี้ คุณแค่เปิดประตูแล้วปล่อยฉันไป นะ... ฉันขอร้อง...”

                หัวใจหนุ่มที่ไม่เคยหวั่นไหวต่อน้ำตาของผู้หญิงหน้าไหนบนโลกกลับกระตุกวาบเพียงเพราะได้เห็นแค่น้ำใสๆเอ่อล้นขอบตาของเธอ “ทำไมถึงอยากไปนัก ทำไมถึงไม่ยอมให้ฉันรับผิดชอบ”

                “เพราะฉันไม่อาจจะมองหน้าคนที่ทำลายความภาคภูมิใจของตัวเอง ฉันละอายแก่ใจตัวเอง คุณเข้าใจฉันบ้างไหม ฉันอยากกลับไปอยู่ในที่ที่ฉันคุ้นเคยเพราะไม่รู้ว่าจะอยู่ที่นี่ไปทำไม มันรังแต่จะทำให้ฉันผิดหวังในตัวเองมากขึ้น” นีราภาพูดออกมาจากใจจริงทั้งยังปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจากสองตาอย่างไม่อาย

                “ฉันเข้าใจความรู้สึกเธอ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่อยากให้ฉันรับผิดชอบ” ทัตเทพถามพลางเอื้อมสองมือไปรั้งต้นแขนกลมกลึงให้ลุกขึ้นมาเผชิญหน้า ท่าทีและแววตาที่อ่อนแสงลงอย่างมากนั้นเกือบทำให้นีราภาสมหวังหากไม่ได้ยินคำพูดต่อไปของเขาเสียก่อน “พรุ่งนี้ค่อยกลับก็แล้วกัน วันนี้ค้างที่นี่ก่อน”

                นีราภาอาศัยจังหวะที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัวผลักหน้าอกของเขาออกไปอย่างแรง “ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือยังไงนะ ฉันบอกว่าจะกลับๆ กรี๊ด... ปล่อยฉันนะ บอกว่าให้ปล่อย”

                ทันทีที่ถูกผลักไสออกอย่างแรง ชายหนุ่มก็ตวัดร่างระหงเข้ามาไว้ในวงแขนหนาแน่นอย่างรวดเร็ว “คำถามเดียวกัน ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องใช่ไหม หรือชอบให้ใช้ภาษากาย คราวนี้ล่ะ... ตัวอ่อนปวกเปียกแน่ บอกให้ทำอะไรก็ทำ ว่าง่ายจนฉันติดใจแล้วจะมาหนีไปดื้อๆอย่างนี้ ใครจะยอม”

                “ไอ้คนบ้า ปล่อยนะ...” นีราภาดิ้นรน ใช้สองมือทุบตีเขาไม่เลือกที่ หากแต่ไม่นานก็ต้องร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดอย่างหมดหนทางสู้ เพราะความเหนื่อยอ่อนที่ต้องเผชิญมาตลอดทั้งวันประกอบกับร่างกายยังไม่ได้รับสารอาหารมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง

                ทัตเทพส่ายหน้าให้กับคนที่ร้องไห้อย่างสิ้นฤทธิ์กับอกตัวเอง เธอคงหมดแรงและเหนื่อยจริงๆ ขนาดว่าเขาเคลื่อนตัวมานั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ที่ตั้งไว้กลางห้องโถงแล้วให้จับเธอนั่งซ้อนบนตัก เธอยังซุกตัวร้องไห้อยู่กับอกเขาอย่างน่าสงสาร เหมือนเด็กหลงทางที่ต้องการผู้ใหญ่ช่วยเหลือ ให้ตายสิ! นี่การคิดจะเคลมสาวน้อยคนหนึ่งมันต้องใช้ความอดทนในการจัดการกับอารมณ์ขึ้นๆลงๆของวัยรุ่นมากขนาดนี้เลยหรือไงวะ? คนที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลายคิดอย่างหน่ายใจพร้อมกับลูบหลัง ลูบไหล่ให้เธออย่างปลอบประโลม

                “อีกไม่กี่ชั่วโมงก็พรุ่งนี้แล้ว... ทำไมต้องทำให้มันเกิดปัญหาด้วย ฉันจะปล่อยให้เธอไปตอนนี้ทั้งที่จะเที่ยงคืนอยู่รอมร่อได้ยังไง บ้านเธอมันก็อยู่ที่เดิม ไม่หนีไปไหนหรอกน่า...” ทัตเทพบอกพลางเหล่ตามองคนที่กำลังสูดน้ำมูกอยู่ที่หน้าอกของตัวเอง รู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นจากน้ำตาและน้ำมูกที่แผ่นอก แต่กลับไม่รู้สึกรังเกียจและแปลกใจความคิดของตัวเองที่ผุดขึ้นมาในสมองว่า ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้ร้องไห้น่ารัก น่าเอ็นดูอย่างนี้

                “พรุ่งนี้ยิ่งเสี่ยง ฉันต้องไปตอนนี้ ยิ่งไปเร็วเท่าไหร่ยิ่งปลอดภัยกับฉันมากขึ้น”

                ทัตเทพขมวดคิ้วจรดกันแทบเป็นเส้นตรงมุ่น ไม่เข้าใจในคำพูดของเธอ “รับรองว่าฉันจะไม่ปล้ำเธออีกแน่ ถ้าหากเธอไม่หน้ามืดปล้ำฉันก่อนนะ” จบคำพูดทัตเทพก็ต้องครางออกมาเมื่อถูกกำปั้นเล็กๆทุบเข้าที่อกอย่างแรง

                “ลองทำสิ ฉันสู้แค่ตาย” นีราภามองด้วยแววตาเขียวปัด

                “ก็ลองมาแล้วไง เธอสู้ฉันเก่งจะตาย แต่ไม่ตายนะ เสียวเกือบตายต่างหาก”

                นีราภาเถียงไม่ออกเพราะมันเป็นความจริงที่สุด แต่ไม่เข้าใจว่าผู้ชายท่าทางภูมิฐาน บ้านช่องใหญ่โตบ่งบอกถึงฐานะอันมั่งคั่งทำไมถึงได้ขยันลากทุกเรื่องเข้าเรื่องบนเตียงนัก และหากยังอ้ำอึ้งไม่พูดเหตุผลที่แท้จริงกับเขา ก็คงไม่มีวันรอดพ้นไปจากที่นี่ได้ หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากที่เงียบไปชั่วครู่ “ฉันต้องไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ฉันกลัว!”

                “กลัวอะไร?” ทัตเทพถามพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง

                “เมื่อกี้นี้เราไม่ได้ป้องกัน ฉันกลัวจะทะ...ท้อง” ท้ายประโยคน้ำเสียงหวานขาดหายราวกับกลืนมันเข้าไปในลำคอ

                “อย่าบอกนะว่าคิดจะกินยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน” พูดมาถึงขนาดนี้แล้วมีหรือผู้ชายที่ผ่านร้อนผ่านหวานจนอายุสามสิบปีเต็มจะไม่รู้ทันความคิดของเธอ

                “ก็มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้ฉันปลอดภัย”

                “มันทางเดียวที่ทำให้เธอเสี่ยงกับการเกิดภาวะข้างเคียงร้ายแรงต่างหาก เข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่าสาวน้อย?” ทัตเทพสวนกลับทันควัน

                “มันก็แค่ภาวะเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นฉันกินเข้าไปแล้วอาจจะไม่เกิดก็ได้ แต่ที่แน่ๆมันก็ดีกว่าที่จะมานั่งกังวลอยู่แบบนี้ ฉันกลัว” นีราภาสารภาพความกังวลใจออกมาในที่สุด

                “กลัวการมีลูก แต่ไม่กลัวผลข้างเคียงของยาอันตราย เชื่อเขาเลยวัยรุ่นสมัยนี้” ทัตเทพพูดออกไปด้วยความหงุดหงิดใจที่ได้รู้ว่าเธอไม่ยินดีที่จะให้ลูกของเขาฝังตัวอยู่ในร่างของเธอ แต่คนฟังกลับโกรธเพราะเขาพูดราวกับว่าเธอก็ไม่ต่างจากวัยรุ่นใจแตกที่รักสนุกแล้วคิดหาทางป้องกันตัวเองด้วยวิธีการง่ายๆ มองอีกมุมก็เหมือนปัดความรับผิดชอบนั้นมาให้ตนเพียงผู้เดียว ทั้งที่ความจริงแล้วความผิดนี้มันเกิดจากเขาต่างหาก “ผู้หญิงก็ต้องมีลูกทั้งนั้น กลัวทำไมนักหนา”

                “ฉันจะไม่ใจเย็นอดทนพูดดีกับคุณอีกต่อไปแล้วนะ ลูกที่ไม่ได้เกิดจากความรักของพ่อแม่ ลูกที่ไม่ได้เกิดจากความยินยอมพร้อมใจ ฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณเป็นใครมาจากไหน เข้าใจไหมว่าเราไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย เปิดประตู ฉันจะกลับบ้าน” นีราภาสะกดกลั้นความโกรธอย่างที่สุด สั่งด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก หากแต่คนฟังกลับไม่ได้เกรงกลัวเลยสักนิด เธอถอนหายใจก็ถอนหายใจตาม เธอกำลังจะลุกขึ้นจากตัก เขาก็ชิงรัดเอวคอดกิ่วไว้แน่น อุ้มเธอพาดบ่าห้อยหัวลงอย่างผิดธรรมชาติ เดินขึ้นชั้นบนโดยไม่สนใจกับเสียงกรีดร้องและแรงประทุษร้ายร่างกายเลยสักนิด

                “ปล่อยฉันนะ ทำไมถึงพูดไม่รู้ฟังอย่างนี้นะ ฉันจะไม่กลับเข้าไปในห้องนั้นอีกแล้วนะ ปล่อย...” นีราภาทั้งต่อว่าและถีบเตะเท่าที่สามารถทำได้

                “นั่นมันห้องนอน ยังไงคืนนี้เธอกับฉันก็ต้องนอนในห้องนั้น” ทัตเทพบอกพลางใช้เท้าเตะประตูห้องให้เปิดและปิดอย่างคล่องแคล่ว วางร่างระหงลงบนเตียงกว้างที่อยู่ในสภาพเรียบร้อยไม่ได้ยุ่งเหยิงราวกับสนามรบเหมือนในตอนที่เดินออกไป

                “ว้าย... ลุกขึ้น ออกไปจากตัวฉันเดี๋ยวนี้นะ” นีราภาโวยวายเพราะทันทีที่แผ่นหลังแตะกับที่นอนนุ่ม ร่างสูงใหญ่ก็ทาบทับลงมานอนตะแคงกอดเธอราวกับเป็นหมอนข้าง

                ทัตเทพเบียดตัวตนที่กำลังลุกของตัวเองเข้าที่สีข้างของเธอและกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น “ลุก! แค่นี้ฉันก็ปวดร้าวแทบตายอยู่แล้ว แต่ถ้ายังไม่นอนขยันดิ้นอยู่อย่างนี้ เธอก็รู้นะว่าฉัน ลุก! ได้มากกว่านี้”

                เสียงแหบพร่าของเขาสยบอาการต่อต้านของหญิงสาวอย่างง่ายดาย เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขาต้องการมากกว่าที่เคย แข็งแกร่งมากกว่าที่เป็น ยิ่งใหญ่มากกว่าที่คิดนัก! โอ... ทำไมการอยู่ใกล้ชิดกับเด็กคนนี้ถึงได้ทรมานไปทั้งตัวอย่างนี้

                “พรุ่งนี้จะปล่อยฉันกลับบ้านใช่ไหม?” นีราภาถามพร้อมดึงตัวออกเล็กน้อยเพื่อมองหน้าคนที่หลับตาสนิท แต่กล้ามเนื้อส่วนที่ทำให้เธอพรั่นพรึงยังดิ้นขยับไม่หยุดหย่อน

                “จะให้กลับบ้าน”

                นีราภามองใบหน้าหล่อเหลาอย่างไม่ไว้ใจแต่ก็ไม่รู้จะหนีจากอ้อมแขนที่หนาแน่นของเขาไปได้อย่างไร จึงได้แต่ถอนหายใจ หาทางเก็บเนื้อเก็บตัว เลี่ยงจากผู้ชายที่มีเสน่ห์ดึงดูดสายตาก่อนที่จะเผลอตัวเผลอใจให้เขาอย่างที่ผ่านมา “ฉันค้างที่นี่ก็ได้แต่ขอไปนอนห้องอื่นได้ไหม ฉัน... คือฉัน...”

                “ไม่ไว้ใจตัวเอง?” ทัตเทพถามพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ดวงตาสีน้ำตาลอย่างรู้ทันความคิด

                “บ้าน่ะสิ!” นีราภาแหวออกไป กระพริบตาถี่ๆขับไล่รอยยิ้มร้ายกาจที่ส่งมาให้จนสายตาพร่าเลือน “ไม่ไว้ใจตาแก่ตัณหากลับอย่างคุณต่างหาก ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ”

                ทัตเทพหลับตาลงอย่างระงับอารมณ์ ยอมรับล่ะว่าเธอเด็กนักทั้งอายุและประสบการณ์รักแต่ไม่จำเป็นต้องย้ำบ่อยว่าเขาเป็นไอ้แก่ ไอ้เฒ่าชีกอ ผู้ชายอายุสามสิบปีเต็มนี่เขาไม่ได้เรียกว่าแก่แต่เรียกว่าผู้ชายเต็มตัวที่สั่งสมประสบการณ์ชีวิตมาแล้วทุกรูปแบบต่างหาก

                นีราภาตกใจเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาบดกรามแน่นจนเป็นสันนูนอย่างระงับอารมณ์โกรธ ร่างใหญ่ลุกขึ้นมาคร่อมร่างของตนเอาไว้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว จึงร้องห้ามออกไปด้วยความกลัวระคนตกใจ “อย่าทำอะไรบ้าๆอีกนะ”

                ทัตเทพเบือนหน้าหนี เบื่อหน่ายตัวเองที่มักพ่ายแพ้ให้แก่สายตาอ้อนวอนของเธอนัก แต่หากไม่กำราบเสียบ้างเธอจะได้ใจ ไม่ยอมเชื่อฟังคำพูดของเขา “ถ้าจะทำขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ใช่เพราะบ้าหรอก แต่จะทำให้เธอได้รู้ว่าพลังของคนแก่เนี่ยมันมากมายแค่ไหน เอาให้เธอติดใจรสชาติคนแก่จนไม่มีทางโงหัวสวยๆไปมองไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่น”

                “หยาบคาย ลามก” นีราภาต่อว่าทั้งที่ในใจกลัวเป็นที่สุด

                “เปล่าเล้ย... ฉันไม่มีมีรสนิยมทางเพศอย่างนั้น ไอ้ที่จะด่าทอทำให้คู่นอนเจ็บปวดก่อนจะมีเซ็กซ์น่ะ ไม่เคยอยู่ในสมอง ที่ผ่านมาพวกเธอชอบมาขอร้องให้ฉันทำต่อเพราะติดใจ แต่ก็มีไม่กี่คนที่ฉันชอบมากๆจนอยากแสดงความอัดอั้นที่มีทั้งหมดในตัวให้ได้รู้ เอาให้ร้องครวญครางจนเสียงแหบเสียงแห้งไปเลย แล้วเธอก็เป็นผู้หญิงที่ทำให้ฉันอยากทำอย่างนั้นมากๆ”

                “อี๊... น่าเกลียด พูดออกมาได้ไม่อายปาก ฉันจะไม่มีวันยอมให้เป็นอย่างนั้นอีก ไม่มีวันจำเอาไว้เลย”

                “เธอต่างหากที่ต้องจำไว้ว่าอย่าต่อล้อต่อเถียงปลุกอารมณ์ฉันขึ้นมาอีก บอกให้นอนก็นอน แต่ถ้ายังมีปัญหา ฉันก็จะแสดงให้เธอได้รู้ล่ะนะว่าแก่กับปรมาจารย์มันต่างกันลิบลับ หรือว่าที่ดิ้นๆนี่ชักติดใจอยากเลื่อนชั้นจากอนุบาลมาเป็นประถม ฮึ?... แม่สาวไม่ประสา” ทัตเทพตอกกลับสาวน้อยอย่างยั่วอารมณ์ “เอ๊ะ! ความจริงเธออยู่ประถมแล้วนี่นะ เมื่อตอนที่เธอเคลื่อนควบอยู่บนตัวฉันน่ะเธอหัวไวจนฉันให้สอบผ่านด้วยคะแนนเต็มร้อยเชียวล่ะทูนหัว ซี้ด... แค่คิดก็! โอ... หรือว่าอยากเลื่อนชั้นเป็นมัธยมเดี๋ยวนี้เลย เอาม่ะ?”

                นีราภาหลับตาปี๋ กลั้นหายใจ เกร็งตัวเมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมาหา คิดในใจว่าต้องสงบปากสงบคำตามที่เขาสั่งเพราะถ้ายังขืนดื้อรั้นไป สุดท้ายแล้วคงต้องเสียมากกว่าที่เสียไปอีกแน่ ชั่วอึดใจต่อมาก็ต้องลอบถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เมื่อเขาไม่ได้คิดจะล่วงเกินแต่ยังลดตัวนอนเคียงข้าง กกกอดราวกับว่าตนเป็นหมอนข้าง!

                “หลับเดี๋ยวนี้! ถ้ายังปริปากออกมาแม้แต่คำเดียว ฉันจะเริ่มสอนบทเรียนต่อไปเดี๋ยวนี้เลย!”

                เสียงดุที่ขู่ออกมาให้ได้ยินอยู่บนศีรษะ ทำให้ต้องข่มอารมณ์โมโหเอาไว้ให้ลึกสุดใจ ขืนใจ บังคับ กักขัง ข่มขู่ เป็นสิ่งที่ผู้ชายที่กกกอดตนไว้ทั้งตัวนี้มอบให้ โดยที่ไม่สนใจว่าเธอต้องการมันหรือไม่ แสงไฟสว่างไสวในห้องดับวูบลงเหลือเพียงความมืดมิดและเงียบงัน ราวกับเป็นคำถามให้หญิงสาวได้ขบคิดว่า ก้าวเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์นี้ได้เช่นไร และพรุ่งนี้จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร??

                นีราภาไม่สามารถตอบคำถามที่เกิดขึ้นมาได้ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือพลิกตัวหันหลังให้กำแพงเลือดเนื้ออันหนาแน่นที่ดูเหมือนว่าเขาจะหลับสนิทไปแล้ว ปล่อยให้น้ำตาร้อนๆไหลรินออกมาจากสองตาอย่างเงียบๆ

                หากแต่ความชื้นที่สัมผัสได้บริเวณต้นแขนนั้นทำให้คนที่กำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทรา ลืมตาโพลงขึ้นมาในความมืดและเงียบสนิท

                เธอร้องไห้อีกแล้ว!

                ทัตเทพบอกกับตัวเองในขณะที่รู้สึกปวดร้าวหัวใจไม่แพ้กัน ความภูมิใจที่ได้เป็นผู้ชายคนแรกของร่างกลมกลึงนี้มันทำให้เกิดความรู้สึกหวง ห่วง โหยหา ทั้งหมดมันสับสนตีรวนกันไปหมด บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงไม่จ่ายเงินให้เธอไปสักก้อนแล้วให้คนขับรถไปส่งเธอเสียสิ้นเรื่อง ทำไมตอนนี้ในสมองถึงได้มีแต่วิธีที่จะดึงรั้งเธอไว้เพื่อกกกอดไปเช่นนี้ เป็นครั้งแรกที่อยากดึงใครสักคนเข้ามากอดไว้แล้วหลับใหลไปพร้อมกัน เป็นครั้งแรกที่น้ำตาของผู้หญิงสามารถบีบคั้นหัวใจให้เขาขอลุแก่โทษในสิ่งที่ทำมาโดยการพลิกร่างนั้นเข้ามาซุกอยู่ในอก พึมพำปลอบโยนอย่างทะนุถนอม

                “ชูว... นิ่งซะเด็กดี อย่าร้องไห้เลยนะ เธอไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ฉันบอกแล้วว่าจะรับผิดชอบเธอเอง”

                นีราภาไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ยินยอมร้องไห้เงียบๆอยู่กับอกกว้างของเขา สัมผัสอบอุ่นของเขาทำให้นอนนิ่งยอมให้เขาปลอบโยนแต่โดยดี ทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขาจะรับผิดชอบเรื่องทุกอย่างด้วยการเก็บเธอไว้เป็นนางบำเรอ เธอไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นใครมาจากไหนแต่ดูจากท่าทาง ที่อยู่อาศัยก็พอจะรู้ว่าเขาร่ำรวยเอามากๆ และคงไม่ได้เดือดร้อนอะไรหากจะมีนางบำเรอเลี้ยงไว้ดูเล่นสักคน แต่เธอจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่ สิ่งที่สูญเสียไปแล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินอนาคตภายหน้าว่าต้องเป็นผู้หญิงลับๆตลอดไป รับรองว่าเธอจะหนีไปให้ไกล ไกล... จากผู้ชายคนนี้อย่างแน่นอน

                พรุ่งนี้! อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว... นีราภาบอกกับตัวเองและเผลอหลับไปในอ้อมกอดอันอบอุ่นด้วยความเมื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา