ยอดรักจอมเผด็จการ
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.05 น.
แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 21.33 น. โดย เจ้าของนิยาย
บทนำ
ต้นปี 2013 ในกรุงมาดริด ประเทศสเปน
ลาโคลอฟ พาวิลเชนโก เดินออกจากงานเลี้ยงฉลองสมรสของเพื่อนสนิทมาสูบบุหรี่ด้านนอกห้องแกรนด์บอลรูมขนาดใหญ่ หากเขาไม่ได้ละสายตาจากหญิงสาวที่ยืนหลบอยู่หลังดอนอีไลย์เลยแม้แต่น้อย!
“แม่-คน-ขี้-ขลาด” ลาโคลอฟเค้นเสียงและขยับริมฝีปากช้าๆ แน่ใจว่าดวงตาคู่สวยที่มองมายังตนนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน หากต้องหัวเราะพรืดออกมาเมื่อเธอหลบสายตาแล้วเบียดตัวเข้าหามาเฟียเฒ่าราวกับลูกนกหาที่หลบภัย!
เขาอุตส่าห์เดินเข้าไปขอเธอเต้นรำอย่างสุภาพชนแต่กลับถูกปฏิเสธอย่างไม่สนใจใยดี สายตาที่มองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ามันทำให้อยากหิ้วเธอไปทำความรู้จักเป็นการส่วนตัวนัก เอาให้ถึงพริกถึงขิงจนเธอต้องเลิกใช้สายตาชนิดนี้มองเขาเสียที!
สายตาของที่บ่งบอกว่าเขาคือเพลย์บอยเต็มขั้นที่ควรอยู่ให้ห่าง เขามันไม่ต่างจากผู้ล่าที่จ้องจะคอยตะครุบแม่สมันสาวอย่างเธอ
ให้ตายเถอะ! สาบานต่อหน้าพระเจ้าว่าเขาเพียงแค่อยากทำความรู้จักกับเธอเท่านั้น แต่ก็ยอมรับล่ะว่าไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนดึงดูดสายตาได้เช่นนี้มาก่อน ทั้งที่เธอไม่ได้แต่งตัวยั่วยวนหรือมีรูปร่างที่ทำให้ผู้ชายต้องอ้าปากค้าง มองส่วนเว้าหรือส่วนที่นูนออกมาเหมือนสาวๆในหนังสือเพลย์บอย
แล้วมันเรื่องอะไรที่เธอจะต้องมองด้วยความหวาดระแวง มองด้วยความไม่ไว้ใจราวกับเขากำลังคิดแผนชั่ว เป็นอาชญากรฆ่าข่มขืนอย่างนั้น จริงอยู่ว่าเขาอาจจะมีชื่อเสียงเกี่ยวกับผู้หญิงไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่เคยได้ยินคู่ควงหรือคู่นอนคนไหนพูดอย่างนั้นสักที พวกเธอออกจะชอบใจและวุ่นวายกับเขาเกินความจำเป็นด้วยซ้ำ แล้วเธอจำเป็นต้องไปยืนตัวลีบอยู่อย่างนั้นหรือ เขาเป็นถึงนายพลแห่งแอลเมเรีย1 ตำแหน่งสูงสุดทางการทหารที่ไม่ใช่จะได้มาง่ายๆหรือได้มาเพราะมีพ่อเป็นประธานาธิบดีหรอกนะ
ถ้าเธอไม่ไว้ใจคนอย่างเขา ในโลกนี้ก็ไม่มีผู้ชายหน้าไหนที่ไว้ใจได้หรอก
คิดแล้วมันน่าโมโหนัก!
“หึ... เธอไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวในโลกหรอกนะ” ลาโคลอฟเปรยออกมาอย่างไม่แยแส ก่อนที่จะทิ้งบุหรี่ในมือแล้วเดินไปตามทางเดินรอบห้องแกรนด์บอลรูมที่มีประตูทางเข้าออกห่างกันเป็นระยะๆ
ปานชีวาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อมองออกไปตรงระเบียงด้านนอกแล้วไม่เห็นสายตาคมกริบของบุรุษผู้ที่ทำให้หัวใจของเธอสั่นไหว จึงรีบปลีกตัวออกจากวงสนทนาที่มีแต่เรื่องธุรกิจ ผลกำไร หวังออกมาสูดอากาศด้านนอก ไม่นานนักเธอก็ออกมายืนรับลมโชยเอื่อยพร้อมกับมองบรรยากาศยามค่ำคืนของมหานครอันเปี่ยมไปด้วยมนตร์ขลังแห่งนี้
หญิงสาวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เพราะไม่รู้ว่าตัดสินใจถูกหรือไม่ที่เดินทางมากับแม่ ผู้ซึ่งทิ้งเธอไปตั้งแต่อายุแปดขวบ แม้ว่าสามีใหม่ของท่านจะต้อนรับขับสู้อย่างดีราวกับเป็นเจ้าหญิงแต่เธอก็รู้ดีว่านี่มันเป็นเพียงแค่เวลาสั้นๆเท่านั้น เมื่อกลับไปอยู่ในที่ที่จากมา เธอก็คือส่วนเกินของครอบครัวเช่นเดิม ปานชีวาหลับตาลงปล่อยให้เรื่องทุกอย่างดำเนินไปตามวิถีของมัน หากแต่ไม่รู้ตัวเลยว่าอากัปกิริยาทั้งหมดนั้นตกอยู่ในสายตาของใครคนหนึ่งตลอดเวลา
ลาโคลอฟไม่รู้ตัวว่าภาพตรงหน้านั้นสะกดให้ยืนมองเธอนานเท่าไร แต่ความคิดที่จะสลัดภาพของเธอออกไปแล้วหาผู้หญิงคนใหม่มาแทนนั้นเลือนหายไปจนหมดสิ้น เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีใบหน้างดงาม ปากนิดจมูกหน่อย ผิวขาวราวนมสดเหมือนเจ้าหญิงในเทพนิยายที่มีแต่ความสุข แต่ทำไมเธอถึงได้ทำท่าทางราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบ ความในใจและท่าทางเดียวดายของเธอ ทำให้เขาต้องการปัดเป่าความรู้สึกย่ำแย่เหล่านั้นให้มลายไปจนสิ้น
“ถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่คู่เต้นรำที่ดีแต่ก็เป็นคู่คิดที่วิเศษอย่าบอกใคร” ลาโคลอฟว่าพลางก้าวเข้าไปยืนเคียงข้างเธอ
ปานชีวาสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงห้าวดังขึ้น น้ำเสียงของเขาทำลายความคิดทั้งหมดลง ทว่ากลับไม่เข้าใจในคำพูดของเขานักจึงหันไปถามเขาด้วยใบหน้าและน้ำเสียงแปลกใจ “คะ?...”
“ผมมั่นใจว่าคุณได้ยินมันชัดเจน”
มีผู้ชายประเภทหนึ่งที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงเกินอัตรา และเธอก็คงเผชิญหน้าอยู่กับผู้ชายประเภทนี้สินะ ปานชีวาคิดในใจ “ขออภัยนะคะที่ดิฉันไม่ต้องการคู่... ไม่ว่าจะคู่เต้นรำหรือคู่คิด”
ลาโคลอฟเบ้ปาก ถ้าไม่ติดว่าอยากคลายความกังวลใจที่อยู่ในแววตาคู่สวย เขาคงเสนอตัวเป็นให้เธอได้ทุกคู่ ไม่ว่าจะคู่ควง คู่เดต คู่นอน แต่บอกไม่ถูกว่าผู้หญิงคนนี้มีพลังบางอย่างที่แผ่กระจายออกมารอบตัว ซึ่งมันเรียกร้องให้เขาปฏิบัติกับเธอดั่งสุภาพบุรุษ ไม่ใช่ผู้หญิงทั่วไปที่จะลากขึ้นเตียงได้ง่ายๆ
“ก็ตามใจ ผมแค่ไม่อยากเห็นคุณทำท่าเบื่อโลก ถ้ามองความหวังดีของผมว่ามันน่ารำคาญก็คงต้องขออภัยเช่นกัน” ลาโคลอฟบอกราวกับไม่แยแสพร้อมก้มศีรษะให้เล็กน้อยเป็นเชิงอำลาอย่างสุภาพชน
ปานชีวาสบสายตาคมกริบที่จ้องมองตนไม่กะพริบตาเช่นกัน เขายืดตัวขึ้นเต็มความสูงแล้วหมุนตัวเดินห่างออกไปด้วยท่าทางมั่นคง ไม่น่าเชื่อว่าปฏิกิริยาที่ดูเป็นทางการเช่นนี้จะทำให้เธอรู้สึกผิด ภาพด้านหลังของผู้ชายท่าทีองอาจที่กำลังเดินจากไปนี้ ทำให้รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
“ขอโทษค่ะ” ปานชีวาไม่รีรอที่จะกล่าวคำขอโทษ ทว่าเขากลับไม่หันมาจนเธอคิดว่าคงจะไม่ได้ยิน จึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อเอ่ยคำขอโทษซ้ำอีก “ดิฉันขอโทษค่ะ ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้รู้สึกไม่ดีอย่างนั้น”
ทว่าร่างสูงใหญ่ที่ชะงักการก้าวเดินและหมุนตัวกลับมาอย่างกะทันหันนั้นทำให้ปานชีวาตกใจ เสียหลักจนเกือบล้มหากท่อนแขนแข็งแรงคว้าเอาไว้ไม่ทัน
ลาโคลอฟยิ้มพรายเมื่อได้กอดร่างนุ่มนิ่มไว้ในวงแขน ใบหน้ารูปหัวใจของเธอช่างงดงามราวกับภาพวาด ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเป็นประกายราวกับคริสตัลชั้นเยี่ยม จมูกโด่งรั้นปลายเล็กน้อยรับกับริมฝีปากอิ่มและปลายคางแหลม ทุกสิ่งที่ประกอบบนใบหน้านี้มันช่างตรึงสายตาของเขาได้เป็นอย่างดี
ปานชีวาดวงตาพร่าเลือนไปกับรอยยิ้มอบอุ่น ในบุคลิกที่เปี่ยมไปด้วยพลังดึงดูดทางเพศ ชื่อเสียงเพลย์บอยเต็มขั้นเป็นสิ่งที่น่าหวั่นวิตกสำหรับเธอ นั่นควรทำให้เธอหวั่นเกรง ไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ความอ่อนโยนที่ส่งมาทางสายตาและอ้อมกอดอันอบอุ่นกลับทำให้เผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว
รอยยิ้มและแววตาที่บ่งบอกถึงความไว้เนื้อเชื่อใจ ทำให้ความรู้สึกติดลบของลาโคลอฟมลายสิ้น เขาไล้นิ้วเข้ากับแก้มนุ่มแล้วเกี่ยวเอาลูกผมที่ตกลงมาทัดใบหูให้อย่างอ่อนโยน
“คุณสวยจังเบบี้คริสตัล” ดวงตาเป็นประกายราวกับคริสตัลและเนื้อตัวนุ่มนิ่ม น่าทะนุถนอมทำให้เขามีคำพิเศษเรียกขานเธอออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เอ่อ... ปะ...ปล่อยเถอะค่ะ” น้ำเสียงทุ้มที่ดังขึ้นนั้นทำลายภวังค์ความคิด เพิ่งรู้สึกตัวว่าอยู่ในวงแขนของเขามาหลายนาทีแล้ว
ไม่เพียงไม่ปล่อยแต่ริมฝีปากบางเฉียบยังยิ้มพร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้ม จนคนฟังรู้สึกได้ถึงความอาทรนั้น “กังวลใจเรื่องอะไร เล่าให้ผมฟังสิ”
“เปล่านี่คะ” ปานชีวาตอบออกไปราวกับละเมอ
“เขาบอกว่าผู้หญิงมักปากไม่ตรงกับใจ ถ้าลองพูดว่า ‘ไม่แปลว่าใช่’ ถ้าพูดว่าเปล่าในใจจะเต็มไปด้วยคำถามร้อยแปด จริงรึเปล่าคนสวย?” คนที่ไม่เคยสนใจในความคิดของผู้หญิงคนไหนถามอย่างอารมณ์ดี
หากแต่คำว่า ‘คนสวย’ และคำพูดราวกับเข้าอกเข้าใจในความรู้สึกของผู้หญิงเสียทุกอย่าง ทำให้ฉุกคิดได้ว่าเขาคือจอมเจ้าชู้ที่ต้องอยู่ให้ห่าง คำพูดที่เคยได้ยินใครต่อใครกล่าวถึงเพลย์บอยเต็มขั้นย้อนกลับเข้ามาเตือนใจเป็นอย่างดี
โอ... คุณพระช่วย! นี่เธอปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอ้อมแขนของเขาได้อย่างไร แถมยังคิดว่าการพูดจาหว่านล้อมเป็นความเอื้ออาทรจนเผลอแสดงความอ่อนแอให้เขาได้เห็น “ปล่อยนะ!”
ลาโคลอฟประหลาดใจไม่น้อยที่จู่ๆ เธอก็ใช้สองมือดันหน้าอกเขาอย่างแรงและถอยไปยืนติดเสาอาคารต้นใหญ่ หากสายตาที่เธอใช้มันมองมานั้นบ่งบอกให้รู้ว่าเขามันคือตัวอันตราย
“เมื่อไหร่จะเลิกใช้สายตาอย่างนี้มองผมเสียที” ลาโคลอฟถามพลางทำหน้าเมื่อย
“คุณก็หยุดปฏิบัติตัวแบบนี้กับดิฉันเสียที”
“แบบนี้... แบบไหน?” ถามพลางเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจในคำพูดของเธอ
“ก็แบบที่คุณกำลังทำ พูดเอาใจเพื่อง่ายต่อการล่อลวง” ปานชีวาถอนหายใจออกมาหนักๆเมื่อเห็นเขาเบ้ปากส่ายหน้าช้าๆอย่างไม่เห็นด้วย แต่ถ้ายังอ้ำอึ้งก็คงไม่ทำให้เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ “ดิฉันไม่ใช่เด็กสาวที่คุณจะมาพูดจาหว่านล้อมหรือทำดีด้วยเพื่อหวังบางอย่างตอบแทนหรอกนะคะ”
อา... ‘ล่อลวง’ เธอช่างหาคำจำกัดความได้ตรงใจเสียจริง แต่เธอยังไม่รู้หรอกว่าถ้าเขาเริ่มล่อลวง ทุกอย่างมันจะตื่นเต้น เร้าใจ จนเธออาจจะเปลี่ยนความคิดไปเลยก็ได้
“แน่นอนที่รัก... คุณห่างไกลจากคำว่าเด็กสาวเป็นพันปีแสงเชียวล่ะ” แน่ล่ะว่าเขาไม่มีวันชายตาแลเด็กสาว เพราะไม่เห็นประโยชน์ในการทำเช่นนั้น ยังไงเสียหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็น่าสนใจเกินกว่าที่จะเอาไปเปรียบเทียบกับเด็กสาวนัก
“เอ๊ะ!”
“แล้วอยากให้ทำยังไง?” ลาโคลอฟรีบถาม หากแต่ยังกำกวมจนทำให้คนฟังเริ่มโกรธ
“ไม่ต้องทำอะไรค่ะ ต่างคนต่างอยู่ ดิฉันคิดว่าตัวเองไม่มีสิ่งที่คุณกำลังมองหา” ตรงที่สุดแล้วนะ ถ้ายังไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องเจอหน้ากันอีกแล้ว หญิงสาวคิดต่อในใจ
“คุณเป็นผู้หญิงที่ดูเหมือนจะเข้าใจยากแต่ผมกลับคิดว่าน่าสนใจ” ลาโคลอฟพูดพลางสาวเท้าเข้าไปหาเธออย่างเชื่องช้าทว่ามั่นคง
“อย่าเข้ามานะ!” ปานชีวาออกปากห้ามและต้องแหงนมองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ เมื่อเขาก้าวเข้ามาประชิดทั้งยังใช้ฝ่ามือค้ำกับเสาต้นใหญ่จนต้องตกอยู่ในพันธนาการของเขาอีกครั้ง
“ผมน่ะ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ” ลาโคลอฟกวาดสายตาทั่ววงหน้ารูปหัวใจแล้วจ้องลึกลงไปในดวงตาเป็นประกาย “อะไรที่คุณคิดว่าตัวเองไม่มี เชื่อสิว่าผมเห็นอยู่ในตัวคุณครบทุกอย่าง”
“แต่ดิฉันไม่ให้” ปานชีวาโต้กลับทันควัน
“งั้นผมจะเริ่มล่อลวงจนกว่าคุณจะให้ อะไรที่ได้มายากๆ มักจะวิเศษเสมอ” ลาโคลอฟพูดราวกับกำลังโฆษณาชวนเชื่อให้เธอได้หลวมตัวหลวมใจสัมผัสความอันตราย “เชื่อสิที่รัก... ถ้าผมเริ่มล่อลวง คุณต้องติดใจแน่ๆ”
ปลายประโยคที่ลากเสียงอย่างยั่วเย้า ทำให้ปานชีวาหมั่นไส้คนที่มีความมั่นใจในตัวเองอย่างเหลือเชื่อที่สุด “ไม่ล่ะค่ะ ดิฉันไม่ชอบเสี่ยงภัยทุกรูปแบบ ยิ่งตัวอันตรายยิ่งต้องอยู่ให้ไกล”
“อ้อ... ผมมันตัวอันตรายสินะ ถึงได้มองแบบนั้นบ่อยๆ” ยอมรับล่ะว่าสนใจเธอมากกว่าผู้หญิงที่ผ่านมา ขนาดเข้าไปถามกับเพื่อนสนิทที่กำลังยุ่งกับการต้อนรับแขกว่าเธอเป็นใครมาจากไหน เมื่อทราบข้อมูลเกี่ยวกับเธอคร่าวๆก็เป็นฝ่ายเข้าไปสานสัมพันธ์ แต่เธอกลับปฏิเสธคำขอเต้นรำเขาถึงสองครั้งสองครา
“รู้อย่างนี้แล้วก็เลิกตอแยดิฉันสักทีสิคะ ไปหาสาวๆที่คุณเคยชอบจะดีกว่า”
“ขี้หึงไม่เบา” ลาโคลอฟหัวเราะร่วน “ผมกลับไปแก้ไขอดีตที่ผ่านมาของตัวเองไม่ได้หรอกนะเบบี้คริสตัล แต่ถ้าคุณตกลง รับรองว่าผมจะทำให้คุณเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก”
ผู้ชายบ้าอะไรอย่างนี้! นอกจากจะมีความมั่นใจในตัวเองสูงแล้วยังพูดไม่รู้เรื่อง ไม่ว่าอะไรก็ตีขลุมเข้าข้างตัวเองไปเสียหมด
“ดิฉันไม่ใช่คนโลภมากอย่างนั้นหรอกค่ะ ไม่เคยคิดอยากจะเป็นผู้หญิงที่มีความสุขอย่างนั้นสักที คนต้องหาเหยื่อล่อลวงรายใหม่แล้ว” ปานชีวาเชิดหน้าตอบอย่างไม่เห็นค่าในสิ่งที่เขาหยิบยื่นให้
‘น่ารักที่สุด’ เป็นสิ่งที่ลาโคลอฟบอกกับตัวเองเมื่อได้ยินคำปฏิเสธกับท่าทางหยิ่งๆ ของเธอ
อันที่จริงเขาน่าจะปล่อยเธอ หันหลังให้เธอ แล้วไปสนุกกับคนอื่นที่ไม่เล่นตัวจนน่ามอบโล่ให้เช่นนี้ ทว่าสายตากลับปะทะเข้ากับร่างของสตรีวัยกลางคนที่เดินมาแต่ไกลกลับ ทำให้เขารู้ว่าเวลาต่อปากต่อคำกับเธอหมดลงแล้วจึงก้มลงจ้องดวงตากลมสีน้ำตาล พูดกับเธอด้วยน้ำเสียงและท่าทีจริงจัง
“จำไว้นะเบบี้คริสตัล ผมเป็นผู้ชายคนเดียวในโลกที่คุณควรไว้ใจ”
ปานชีวามองแผ่นหลังกว้างที่ห่างออกไปพลันเกิดความรู้สึกไม่ชอบใจกับภาพนี้นัก แต่ก็ไม่ได้คิดหาคำตอบแต่อย่างใดเพราะคำพูดของเขานั้นทำให้อุ่นซ่านไปทั้งร่าง สายตาจริงจังที่ทำให้จิตใจเอนเอียงเชื่อในสิ่งที่เขาพูด มันทำให้รู้สึกเหนื่อยใจที่ไม่สามารถสั่งการตัวเองให้คล้อยตามคำพูดของใครต่อใคร แต่กลับเชื่อมั่นในคำพูดอันหนักแน่นนั้น
“ลูกปัด ลูกปัด...”
เสียงเรียกที่ดังขึ้นดึงปานชีวาออกมาจากห้วงของความคิดพร้อมรับคำผู้เป็นแม่บังเกิดเกล้า “คะ”
บุษบาลอบถอนหายใจเมื่อเห็นว่าลูกสาวจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทันทีที่เห็นว่านายพลเพลย์บอยกำลังพูดคุยอยู่กับลูกสาวก็ตั้งใจจะเข้ามาร่วมวงสนทนาหากแต่ช้าไป บอกตามตรงว่าเธอไม่อยากให้ลูกสาวเพียงคนเดียวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายเจ้าชู้เช่นนั้น ถึงแม้ว่าจะเคยได้ยินสามีเอ่ยปากพูดถึงความสามารถและมันสมองอันเฉียบคมของเขาอยู่บ่อยครั้งก็ตามที “มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้”
“อึดอัดน่ะค่ะ เลยออกมายืนรับลมข้างนอก” ปานชีวาตอบโดยที่มองออกไปอย่างไร้จุดหมาย
“ถึงตรงนี้จะไม่อึดอัดแต่แม่ว่ามันไม่ปลอดภัยเท่าที่ควร อันตรายมีอยู่รอบด้าน บางทีคนท่าทางภูมิฐานก็ซ่อนความร้ายกาจเอาไว้ ลูกน่าจะเข้าไปข้างในดีกว่ายืนใกล้ๆคุณลุงอย่างที่ทำเมื่อครู่ น่าจะดีที่สุด” บุษบาเตือนด้วยความเป็นห่วง คำพูดที่แฝงนัยบางอย่างก็ทำให้ปานชีวารู้ดีว่าท่านหมายถึงเรื่องใด
“ขอบคุณค่ะ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ตอนที่หนูอายุแปดขวบ แล้วมีคุณลุงคอยคุ้มภัยก็คงดีไม่น้อยนะคะ”
“ลูกปัด...” บุษบาเรียกลูกสาวด้วยน้ำเสียงเบาโหวงเพราะมันคือเวลาที่เธอทิ้งลูกสาวมาด้วยความจำเป็นบางอย่าง
ปานชีวายิ้มเศร้าๆให้กับชีวิตวัยเด็กที่ไม่น่าจดจำ แม่หนีตามฝรั่ง พ่อแต่งงานมีลูกใหม่ ต้องสละห้องนอนของตัวเองให้น้องที่เพิ่งลืมตาขึ้นมาดูโลกมาอยู่เรือนหลังเล็กกับคุณย่า บางทีก็ไม่รู้ว่าตัวเองผ่านพ้นช่วงเวลานั้นมาได้อย่างไร
“ลูกปัด แม่ขอโทษ...” บุษบาได้แต่กล่าวคำขอโทษเพราะเธอยังไม่กล้าพอที่จะเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ลูกสาวได้รับรู้ ในยามที่เธอมีพร้อมทุกสิ่งสามารถให้ความสุขสบายกับลูกสาวได้ก็อยากจะทำให้เต็มที่ และอยากชดเชยมอบสิ่งดีๆให้ปานชีวา “เอาล่ะๆ เราจะไม่คุยเรื่องไม่สบายใจกันนะ พรุ่งนี้เราไปเที่ยวบาเซโลนากันดีไหม”
“อย่าเลยค่ะ หลายวันที่ผ่านมาก็มีความสุขมากแล้ว คงต้องกลับไปทำงานเสียที อีกอย่างลางานมาหลายวันแบบนี้คงไม่ดีแน่ค่ะ” ปานชีวาบอกเพราะคิดว่าการใช้ชีวิตในสังคมหรูหราเช่นนี้ไม่เหมาะกับเธอสักเท่าไหร่ และที่ตัดสินใจเดินทางมากับผู้เป็นแม่ในครั้งนี้ก็เพราะอยากรู้ว่าท่านมีชีวิตที่สุขสบาย สามีใหม่รักใคร่ดูแลเป็นอย่างดีหรือไม่ เมื่อได้คำตอบแล้วก็รู้สึกโล่งใจ ท่านสุขกายสบายใจ มีความสุขและดอนอีไลย์ก็ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี
หากเป็นเมื่อก่อนที่ยังไม่ได้ทำความเข้าใจกับชีวิตคู่ เธอก็อยากให้พ่อและแม่กลับมาคืนดีและใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง อยากมีครอบครัวที่อบอุ่นตามประสาพ่อแม่ลูก ไม่อยากที่จะถูกทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวในขณะที่พ่อมีครอบครัวใหม่ ส่วนแม่ก็หายหน้าไม่เคยส่งข่าว
“ขอตัวไปเดินเล่นแถวๆนี้นะคะ”
“เดี๋ยวก่อน ลูกปัด” บุษบาจับมือนุ่มของลูกสาวไว้ทันที เข้าใจความรู้สึกที่ว่าการถูกทอดทิ้งมันเจ็บปวดเพียงใด และคงจะเร็วไปหากจะขอให้ยกโทษกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ควรจะต้องให้เวลาได้คุ้นเคยและปรับตัวกันตามที่สามีของเธอแนะนำ จึงรีบปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ถ้าอย่างนั้นลูกปัดลงไปรอที่ห้องอาหารชั้นล่าง มิลล่าคงจะทานอาหารอยู่ที่นั่น”
บุบษาเอ่ยถึงมิลล่า หญิงวัยใกล้เคียงกับตนที่เดิมทีสามีให้มิลล่าเป็นคนสนิท จนนานวันเข้าก็รู้อกรู้ใจกันจนกลายมาเป็นเพื่อน คอยให้คำปรึกษาหลายอย่างทั้งยังสังเกตได้ว่า ปานชีวากับมิลล่านั้นคุยกันถูกคอ ดูสบายใจและหัวเราะได้บ่อยครั้งกว่าที่อยู่กับตนเสียอีก
“ค่ะ” ปานชีวารับคำสั้นๆพร้อมบิดมือออกจากมือของมารดาอย่างนุ่มนวลทว่าในความรู้สึกของคนเป็นแม่กลับปวดร้าวยิ่งนักทั้งได้แต่หวังว่า เวลาจะสามารถเยียวยาแผลในใจของลูกสาวผู้น่าสงสารได้ในสักวันหนึ่ง
ในขณะที่ลาโคลอฟไม่สามารถอยู่เฉยได้ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เขายิ่งรู้สึกว่าไม่อาจปล่อยให้เธอหลุดมือไปได้
“ขอเวลาสักห้านาที” ลาโคลอฟตัดสินใจเข้าไปดึงเพื่อนสนิทที่กำลังต้อนรับแขกเหรื่อออกมาระรัวคำถามหลายชุดอย่างไม่ยั้ง หากคนถูกถามกลับไม่ตอบแต่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี จนเจ้าสาวที่ยืนอยู่ต้องมองตามด้วยสายตาคาดโทษ หากเจ้าบ่าวก็รีบกลั้นหัวเราะแล้วยิ้มสำนึกผิดให้ภรรยาทันที
“แกนี่ยังไงนะ ชอบทำให้ฉันถูกเมียดุ” เฟร์นานโด อาเชอร์ แมคคาร์ทนี่ย์ มาเฟียแห่งสเปนทำน้ำเสียงรำคาญใจ
“ถ้าแกยังลีลาท่ามาก ฉันจะล่มงานนี้เลยดีไหม” ลาโคลอฟขู่สำทับแต่มีหรือที่มาเฟียหนุ่มจะหวาดกลัว
“เอาสิ! ฉันเห็นด้วย รู้ไหมว่าตอนนี้อยากกกสวิตตี้จนจะตายอยู่แล้ว” คนหลงเมียบอกอย่างเห็นดีเห็นงามไปด้วย
“อาเชอร์ ขอร้องล่ะ”
อาเชอร์มองเพื่อนสนิทอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่าหมอนี่เอ่ยปากขอร้อง แล้วยังขอร้องเรื่องผู้หญิงด้วยซ้ำ! “อะไรจะขนาดนั้นวะ ก็เห็นๆกันอยู่ว่าเธอไม่เล่นด้วย”
แน่ล่ะว่าอาเชอร์ได้ยินปานชีวาปฏิเสธคำขอเต้นรำถึงสองครั้งสองครา และด้วยนิสัยที่ไม่แยแสใครของลาโคลอฟก็ไม่น่าที่จะให้ความสนใจถึงเพียงนี้
“นั่นเป็นเพราะเธอรู้จักฉันจากคำพูดของคนอื่น” ลาโคลอฟบอกพลางสูดหายใจเข้าลึก เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าการมีสัมพันธ์กับผู้หญิงมากหน้าหลายตามันกำลังส่งผลด้านลบในทำนองนี้เอง
“ก็เท่าที่เล่าให้ฟังนั่นแหละ ฉันรู้แค่นั้นจริงๆ เธอเป็นลูกสาวที่เกิดกับสามีคนเก่าของคุณบุษบา อยู่กับพ่อที่เมืองไทยมาตลอด ที่ตามมานี่ก็ได้ยินว่าคุณย่าเพิ่งเสีย น่าจะมาพักผ่อนสมอง คลายความเครียด แต่เท่าที่เห็นนี่ฉันคิดว่าความสัมพันธ์ของคุณบุษบากับลูกสาวไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ดูห่างเหินคล้ายๆฉันกับแม่ ดูไม่สนิทสนมอบอุ่นเหมือนครอบครัวสวิตตี้ของฉัน” อาเชอร์บอก
“แล้ว?...” ลาโคลอฟถามพลางเลิกคิ้วรอฟังอย่างใจจดจ่อ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไป
“แค่นี้จริงๆว่ะ เพราะฉันก็เพิ่งเห็นหน้าเธอมากกว่าแกสักสองครั้ง” อาเชอร์วาดแขนแกร่งเข้าไปกอดคอเพื่อนสนิทที่ทำให้ไม่สบอารมณ์แล้วชี้หนทางสว่าง “เข้าทางดอนอีไลย์สิวะ ท่าจะรุ่ง”
“พ่อแกน่ะเหรอ?” ลาโคลอฟเหล่ตามองเพื่อนพลางส่ายหน้าดิก “ฉันคงชะตาขาด ดูท่าจะหวงลูกติดเมียมากกว่าลูกตัวเองด้วยซ้ำ”
“ผู้ชายก็งี้... รักทุกอย่างที่เป็นของเมีย” อาเชอร์พูดถึงดอนอีไลย์ ผู้เป็นพ่อบังเกิดเกล้าของตัวเองที่มีชีวิตคู่อันล่มสลายเมื่อต้องเข้าพิธีกับแม่ของตนโดยปราศจากความรัก จนกระทั่งมาพบรักกับคุณบุษบาและใช้ชีวิตคู่กันมามากกว่าสิบปี “แล้วเรื่องที่พ่อแกจะให้ลาออกจากราชการ ตัดสินใจรึยัง?”
ลาโคลอฟมองเพื่อนด้วยสายตารำคาญ “ใครใช้ให้เปลี่ยนเรื่อง”
“อย่าโมโหง่ายนักสิ เดี๋ยวก็แก่กันพอดี เธอเพิ่งอายุ 24 ปีเองนะ” อาเชอร์เย้าเพื่อนอย่างอารมณ์ดี “เอาน่า... ถ้าเธอเป็นของแกจริงๆ ต่อให้มีอุปสรรคแค่ไหนก็เปลี่ยนแปลงโชคชะตาไม่ได้หรอก”
บ๊ะ! ไอ้นี่ กล้าดียกเอาเรื่องโชคชะตามาพูดกับเขา มันก็พูดได้สิเมื่อได้เจอผู้หญิงที่รักยืนอยู่เคียงข้างแล้ว แต่เขาแค่เจอผู้หญิงที่ถูกใจ จะพูด จะคุยกับเธอก็ยังลำบาก ทั้งคนรอบข้างที่ดูไม่เป็นใจ ทั้งเจ้าตัวก็ยังไม่อยากจะเสวนาด้วย อะไรมันจะยุ่งยากอย่างนี้นะ
ก็แค่ ‘ถูกใจ’ ทำไมถึงต้องกระเสือกกระสนอยากรู้เรื่องส่วนตัวของเธอนักนะ ลาโคลอฟคิดอย่างประหลาดใจหากแต่ไม่มีเวลาคิดต่อได้นานเพราะเพื่อนสนิทดึงเข้าไปร่วมวงสนทนากับนักการเมืองคนสำคัญจากหลายประเทศ ทว่าเวลาอีกหลายชั่วโมงที่งานฉลองสมรสดำเนินต่อไปนี้ เขากลับไม่ได้เห็นใบหน้าของเธออีกเลย
เอาล่ะ... ครั้งนี้เขาจะยอมเชื่อในโชคชะตา แต่หากเจอหน้าเธออีกครั้งหนึ่ง เขาจะไม่ยอมปล่อยให้เธอหลุดมือไปง่ายๆเช่นนี้แน่ ลาโคลอฟคิดในใจพลางยกแชมเปญขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ